ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟ้าสองสี

    ลำดับตอนที่ #2 : ฟิลเลีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 99
      1
      9 พ.ค. 64

     

    บทที่ 1

     

    จะกรีดกรายร่ำร้องสักแค่ไหน 
    จะหลับฝันสิบตื่นหรือเพียงไร
    ฝันหวานวันวาน
    ก็มิอาจย้อนกลับแลหวนคืน

     

     

     ในตอนนั้นนางไม่ได้ใช้ชื่อนี้  ชื่อนางคืออะไร  มันไม่มีค่าพอให้จดจำอีกแล้ว  ฟิลเลียจำวันนั้นได้ดี วันนั้นเป็นวันที่แดดออกสว่างไสว ไม่มีแม้ก้อนเมฆสักก้อน  อากาศดีที่สุดเท่าที่จะนึกได้  นางกำลังนั่งอยู่ที่ตั่งหน้าบ้าน  ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังถนน เมื่อเห็นรถม้าประจำทางจอด นางก็ชูคอชะเง้อ  ด้วยหวังว่าคนที่ลงมาจะเป็นคนที่เฝ้าคอย  นางรอ ดีใจ ผิดหวัง หวัง แล้วก็เฝ้ารอ ชูคอ  ดีใจ ผิดหวัง สลับอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย จนคนพ่อค้าขายขนมที่อยู่ตรงกันข้ามถนน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

    “ เด็กเอ๋ย  ชะเง้อคอยผู้ใดรึ  คอยืดยืดคอยาวจนจะหลุดแล้วนั่น  “


    “ข้ารอคอยท่านพ่อเจ้าค่ะ   วันนี้ท่านว่าจักกลับมา  “ ฟิลเลียตอบกลับด้วยความเต็มใจ  เมื่อวานนางได้รับจดหมายจากม้าเร็ว ส่งข่าวมาบอกว่าบิดาจักกลับมาวันพรุ่ง หรือก็คือวันนี้

     นางดีใจนัก  บิดานางเป็นแม่ทัพใหญ่  จึงไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทุกเวลาที่อยู่กับบิดาจึงมีค่าเสมอ และที่ฟิลเลียชอบที่สุดคือ ทุกคราเมื่อบิดากลับมาจะต้องมีของชาวตะวันตกมาอวดเสมอๆ 

    ฟิลเลียชอบชาวตะวันตกนัก  หัวหูดูแปลกตาไม่เหมือนชาวเรา  ผมเผ้าหรือก็สีแปลก ไม่เหมือนนางที่สีดำดุจรัตติกาล  นางเคยนึกว่าชาวตะวันตกกินทองเข้าไปรึอย่างไร  สีผมจึงเป็นเช่นนั้น  ยิ่งไปกว่าของที่นำมาก็น่าตื่นตานัก  หนก่อนชาวตะวันตกมาเยี่ยมเยียนบิดาและนำของหลายสิ่งมาขาย   ฟิลเลียถูกใจลูกแก้วที่มีปราสาทหลังน้อย ภายในนั้น มีน้ำและกระดาษ เมื่อพลิกลูกแก้ว กระดาษจะตกลงมาแลคล้ายหิมะ  ในบรรดาของที่น่าตื่นตา นางถูกใจสิ่งนี้เป็นที่สุด  นางไม่เคยรบเร้าสิ่งใดเลย  แต่เพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่นางจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ   ท้ายสุด บิดาสังเกตเห็นจึงซื้อให้ แล้วบอกว่า เมื่ออยากได้ ก็จงรักษาไว้ให้ดี    


    เมื่อนึกถึงตอนนั้น ก็ยกลูกแก้วลูกนั้นขึ้นมาดู  ตั้งแต่ได้มามันไม่เคยห่างตัวนางเลย  สงสัยนักว่าเจ้าปราสาทหลังน้อยนั่น  เข้าไปอยู่ในลูกแล้วได้อย่างไร  ยิ่งไปกว่าหิมะเข้าไปอยู่ในนั้นได้อย่างไร  นางค้นหนังสือทุกเล่มที่นางรู้จัก  พยามคิดแทบตายว่าทำได้อย่างไร  แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ

    อันที่จริงหากถามชาวตะวันตกก็คงจะรู้  แต่นางไม่ยอมถามเพราะสิ่งใดได้มาด้วยมือ สิ่งนั้นย่อมมีค่าเสมอ และของสิ่งนี้ก็มีค่าสำหรับนางมากมายนัก   ฟิลเลียยกลูกแก้วขึ้นมาพิจรณาอีกครั้ง เผื่อจะนึกออก  แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างกาย

    “เด็กน้อย  แม่ทัพเบรุสอยู่รึไม่ “  นางหันไปตามเสียงก็พบกับชายชราผู้หนึ่ง พร้อมด้วยชายรูปร่างสูงใหญ่ด้านหลัง  ดวงตาของชายที่อยู่ด้านหลังน่ากลัวนัก   ฟิลเลียเขยิบถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

     ดูเหมือนชายชราจะสังเกตเห็น จึงกล่าวกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า 
    “ถอยไป วาเรียส เจ้าทำให้เด็กน้อยผู้นี้กลัวเสียแล้ว “

    ชายผู้นั้นก้มหัวลงก่อนกล่าว  “ขอรับองค์จักร......” ชายชราตำหนิด้วยสายตา  ฟิลเลียมองออก ยามเมื่อบิดาตำหนิเธอ จะใช้สายตาเช่นนี้เสมอ  ดูเหมือนชายรุปร่างสูงใหญ่จะเข้าใจเช่นเดียวกัน จึงกล่าวแก้

    “ขออภัยขอรับ....นายท่าน” 

    ฟิลเลียลุกขึ้นยืนก่อนจะถอนสายบัว
    “ท่านมีธุระอันใดหรือไม่เจ้าคะ ให้ผู้น้อยสั่งความกับบ่าวในจวนแทนท่านเถิดเจ้าค่ะ“

     ชายชรามองเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้า ด้วยสายตาที่พึงใจ
    “เจ้าฉลาด เด็กน้อย  หากเติบใหญ่จงมาหาข้า  หากข้ายังอยู่ ข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง”

    ฟิลเลียได้แต่มองด้วยความสงสัย  แต่ไม่ทันจะตอบโต้ว่าอะไร  พ่อค้าขายขนมฝั่งตรงข้าม ก็ตะโกนให้นางได้ยิน
    “เด็กน้อย  ท่านแม่ทัพมาแล้วนั่น “  บิดานางมาแล้ว  แต่คนผู้นี้คงเป็นคนใหญ่โต นางไม่อาจเสียมารยาทได้  จึงได้แต่ยิ้มอย่างดีใจ  ดูเหมือนชายชราจะรู้   จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 


    “ไปเถิด เด็กน้อย  ข้ารอได้ “

    นางถอนสายบัวอีกครั้ง ก่อนจะหันไปด้านหลังก็พบกับ....  ชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดเกราะเต็มยศ เคราขึ้นดกกว่าแต่ก่อน  ดวงตาสีสนิมเหล็ก กำลังเล็กหยีเพราะความที่ยิ้มกว้าง   บิดาของนางนั่นเอง แม้จะรู้ว่าไม่ควร  แต่นางก็วิ่งเข้าไปกอดให้สมใจ  นี่บิดาของนางเชียวนะ  ใครจะว่าอย่างไร นางได้หาใส่ใจไม่

    บิดานางหัวเราะลั่น  
    “ระวังเถิด  แม่หญิงตัวน้อย  หากแม่นมเจ้ามาเห็น คงได้บ่นหูชา ”

    นางยิ้มแก้มแทบปริก่อนจะกล่าวพร้อมกันกับบิดา 
    “แม่หญิงไม่ควรวิ่งนะเจ้าคะ  ไม่เป็นกุลสตรีเลย “
    บิดาและนางหัวเราะขึ้นพร้อมกัน  นางกอดบิดาแรงๆอีกทีหนึ่ง
    “ท่านพ่อ  มีคนผู้หนึ่งถามหาท่าน”

    บิดานางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
    “ ผู้ใดหรือแม่หญิงตัวน้อย “
    ฟิลเลียผินหน้าไปทางชายชราผู้นั้น ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้   ทันทีที่เห็นใบหน้าชัดๆ รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าบิดาของนาง และร่างสูงก็ทำท่าจะคุกเข่าลง  แต่ทว่าชายชรากลับส่ายหน้า 

     

     “วันนี้ข้าไม่ใช่ อย่างที่เป็น เข้าใจรึไม่ท่านแม่ทัพเบรุส “

     บิดานางค้อมหัวลงก่อนจะกล่าว 
    “เช่นนี้แล้ว  วันนี้ท่านเป็นผู้ใด นายท่าน “

     ชายชราส่งยิ้มไปให้
    “เรียกข้าแม็กซิมัส “ 


    บิดาของนางค้อมหัวลงรับคำแล้วผายมือ
    “ตรงนี้คงไม่เหมาะ  เชิญนายท่านแม็กซิมัส ข้าไปในจวนเถิด “ 

    นับจากวันนั้น  ฟิลเลียก็เห็นบิดายิ้มน้อยลง หัวเราะน้อยลง  และดูคิดมากว่าแต่ก่อน  แม้นต่อหน้านาง บิดาจะทำเหมือนไม่มีสิ่งผิดแปลก  แต่ทว่า ถึงอย่างไร ยามเมื่อไม่ได้อยู่กับนาง  บิดาเคร่งขรึมลงเสมอ นางไม่อยากให้บิดาเป็นเช่นนี้  แต่อย่างไรฟิลเลียก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเท่านั้น  หาได้มีกำลังไม่

     พี่ชายทั้ง 2 ก็เป็นไปด้วยเช่นกัน เมื่อนางเอ่ยรวบรวมความกล้าเอ่ยปากถาม ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นรอยยิ้ม  บางคราก็ลูบหัว ทุกครั้งนางจะชอบให้พี่ชายลูบหัว  แต่ทำไมหนนี้ถึงได้สัมผัสแต่ความเศร้าหมอง

    จนวันหนึ่ง  ทั่วทั้งประเทศก็ได้รับข่าวร้าย องค์จักรพรรดิสิ้นแล้ว

     

                ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนมาที่บ้านนาง  ฟิลเลียไม่เคยเห็นบิดาเกรี้ยวกราดขนาดนั้นมาก่อน  บิดาใจดีเสมอ  แม้ยามโกรธสีหน้าบิดาก็ไม่เคยดุร้าย  แต่อารมณ์รุนแรงที่เห็นทำให้เธอตัวสั่น
    เธอได้ยินบิดากล่าวว่า   “ความภักดีของข้า ไม่อาจซื้อด้วยเงิน “

    ฟิลเลียไม่อาจเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง  ทหารมากมายก็มาที่บ้านของเธอแล้วจับทุกคนที่เห็น  ทำลายทุกสิ่งที่เจอ  หากผู้ใดขัดขืนเลือดจักนองพื้น ฟิลเลียได้แต่ร่ำไห้ เมื่อสิ่งที่สวยงามที่สุดในชีวิตถูกทำลาย  เธอถูกใครสักคนพาหนี ใครคนนั้นบอกว่าบอกว่าเธอคือความหวัง  จะมีความหวังในสิ่งใดกันเล่า  ยามเมื่อสุญเสียถึงเพียงนี้ จักมีสิ่งใดกัน โลกใบน้อยของเธอไม่อาจเข้าใจ  แต่ทว่า ลึกๆแล้วยามเมื่อได้ยิน ฟิลเลียก็ยังเชื่อว่าความหวังยังมีอยู่ โลกของฟิลเลียสวยงามนักไม่เคยมีเรื่องอันใดที่โหดร้าย

    จนกระทั่ง ยามเมื่อเธอถูกพาผ่านกำแพงเมือง โลกของฟิลเลียก็พังทลายลง ศรีษะของบิดาและพี่ชายทั้งสองที่อยู่บนกำแพง ทำให้ฟิลเลียรู้ว่า  ความหวังได้หมดสิ้นแล้ว     จากนั้นอีกหลายปี เธอถูกพาไปยังที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เปลี่ยนชื่อนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีที่ใดเลยที่เธอเคยอยู่เกินข้ามวัน  ไม่ทันได้จดจำ  ไม่ทันได้ผูกพัน  จนกระทั่งเธอมาอยู่ ณ สุดเขตแดน ที่นี่คนที่พาเธอหนี กล่าวว่าที่นี่อยู่ในเขตอิทธิพลผู้จงรักภักดีของบิดาเธอ  เธอจะปลอดภัย

    หลายปีต่อมาทำให้นางรู้ว่า  เกิดสิ่งใดขึ้น

    องค์จักรพรรดิถูกลอบสังหาร หาได้สิ้นเพราะป่วยตามคำที่รัฐกล่าวอ้าง ผู้ที่กุมอำนาจต้องการควบคุมองค์รัชทายาท  ผู้กุมอำนาจนั้นจึงชักชวนให้บิดาเธอเข้าร่วม มีผู้เล่าความว่า เพราะบิดาเธอรวบรวมกำลังคนหมายคุ้มครององค์รัชทายาท แต่แผนแตกเสียก่อน  
     จึงทำให้บิดาของเธอพลาดท่า

    บิดานางไม่ใช่กบฏ บิดาของนางตาย เพราะถือความภักดีเป็นที่ตั้ง เห็นแก่ประเทศชาติเป็นสำคัญ ไม่ยอมลงให้ความชั่วช้า คนผู้นั้นกล่าว

    เมื่อนึกถึงตรงนี้ฟิลเลียแค่นยิ้ม 

    ความภักดี คือสิ่งใด  ยุติธรรม คุณธรรมคือสิ่งใด  
    โลกนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  เข้มแข็งรอดอ่อนแอตาย  บิดาเธออ่อนแอจึงได้ตาย  
    ฟิลเลียไม่เชื่อในความภักดี ไม่เชื่อถือในคุณธรรม ไม่อีกแล้ว

     ความยุติธรรมที่ไร้กำลังมันก็แค่ลมปาก
     

    ฟิลเลียวันนี้อายุได้ 16ปีแล้ว ผมยาวเหยียดตรงถึงกลางหลัง ใบหน้ารุปไข่ ดวงตาสีน้ำตาลดุจดังบิดา มีใครบางคนกล่าวว่าเธองามนัก  แต่เธอเกลียดคำๆนี้  ความงามหาได้ช่วยอะไรไม่

    ฟิลเลียชังคำว่าภักดีนัก  เพราะคำๆนี้  ทำให้บิดาเธอตาย เกลียดคำว่าประเทศชาติ  เพราะคำๆนี้ทำให้บิดาเธออ่อนแอ  และเหนือสิ่งอื่นใด  เธอเกลียดมัน  มันชื่อเร็ก  ผมยาวสีทองใบหน้าหวานอย่างผู้หญิง   หากมันเป็นหญิงจริงก็คงเรียกได้ว่ามันงามกว่าเธอก็เป็นได้  รุปร่างก็อรชรอ้อนแอ้น   เธอชังนัก เป็นผู้ชายฉไนจึงไร้ซึ่งกำลัง  ดูท่าแม้จะคอนดาบก็คงหามีแรงไม่ และดวงตาที่ชวนโมโหทุกครั้งที่มอง  ไม่ว่ากลั่นแกล้งหนักหนาสักแค่ไหน ดวงตาคู่นั้นไม่เคยแสดงความหวาดหวั่นใดๆ  เหนืออื่นใดมันเป็นเชื้อพระวงค์ที่พ่ายแพ้ในการชิงอำนาจ  เพราะพวกมันนี่ล่ะที่ทำให้ฟิลเลียต้องพลัดพราก จากสิ่งที่ดีที่สุด โลกของนางพังทลายก็เพราะมัน นางชังมันนัก

    ชังดวงตาคู่นั้น  ชวนให้โมโหทุกครั้งที่มอง ดวงตาสีเทาพายุ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×