ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : YomKippur War การแก้แค้นของอาหรับ
รูปแสดงดินแดน ก่อน-หลังสงคราม 6วัน
สีขาวคือก่อน สีครีมคือหลังสงคราม
**
หลังสงคราม 6วันชัยชนะที่ได้มาอย่างท่วมท้น เหนือความคาดหมายของคนทั้งโลก ทำให้ทหารอิสราเอลได้รับการจับตามอง ว่ายอดเยี่ยมหาใครเทียบ เหนือสิ่งอื่นใด หน่วยข่าวกรองของพวกเขา ถูกยกย่องว่าเป็นหน่วยข่าวกรองที่ดีที่สุดในโลก อิสราเอลสืบถึงความลับของชาติอาหรับได้อย่างหมดไส้หมดพุง รู้ทุกอย่าง เห็นทุกสิ่ง
มีคำกล่าวว่าแม้แต่ทหารอาหรับจามกี่ครั้งอิสราเอลยังรู้ ยุทธวิธีที่อิสราเอลใช้ถูกนำไปใช้สอนในโรงเรียนสอนการทหารทั่วโลก
สายลับอิสราเอล คือสุดยอด สงครามครั้งนั้น ทหารอาหรับถูกเหยียดหยามว่าอ่อนแอ และโง่เขลา เทียบไม่ได้เลยกับทหารของอิสราเอล
เสียงชื่นชม
เสียงชื่นชม
และเสียงชื่นชมที่มาจากทั่วโลก กำลังทำให้อิสราเอลประมาท
และความประมาทครั้งนี้ เกือบทำให้พวกเขาเกือบ"สิ้นชาติ"อีกครั้ง
ปี1969 หลังความพ่ายแพ้ต่ออิสราเอล อย่างหมดรูป ภายในเวลาเพียงแค่ 6วัน ทั้งๆที่ทุกอย่างเหนือกว่ามาก ดินแดนหายไปกว่าค่อนประเทศ อาวุธเสียหายอย่างร้ายแรง ผู้นำของอิยิปต์ นัสเซอร์ซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายโลกอาหรับ แสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออก หลังประกาศว่า เราแพ้อิสราเอล
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นสี่วัน วิทยุแห่งชาติ บอกประชาชนทุกครั้งว่าโลกอาหรับกำลังได้รับชัยชนะ ประชาชนชาวอิยิปต์แทบไม่มีใครเชื่อหูตัวเอง แต่ในขณะนั้นกระแสชาตินิยมมาแรงมาก ประชาชนเดินขบวนไม่ให้นัสเซอร์ลาออก และเรียกร้องให้อยู่ต่อเพื่อทวงดินแดนที่เสียไป นัสเซอร์ประกาศออกทางโทรทัศน์ว่าจะทำทุกวิถีทาง เพื่อทวงแผ่นดินคืน และในปี1970 สิ่งที่นัสเซอร์ก็เป็นรุปเป็นร่างขึ้น กองกำลังถูกรวบรวมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เจรจาหาพันธมิตรเป็นไปได้ด้วยดี ทำทุกอย่าง เพื่อทวงคืนสิ่งที่เสียไป
แต่ทว่า วันที่ 28 กันยายน 1970 ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาหรับ กามาล อับเดล นัสเซอร์ ก็หัวใจวาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยสิ่งที่สัญญาไว้ยังไม่ทำให้เป็นจริง
รูปขณะ ประชาชนเรียกร้องไม่ให้นัตเซอร์ลาออก
รูปขณะประชุมเหล่าผู้นำอาหรับ 1วันก่อนนัตเซอร์ตาย
ซ้ายสุด ยัตเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์ กลาง กามาล อับเดล นัสเซอร์ ขวาสุด king ฮุสเซนต์ของจอร์แดน
งานศพของนัตเซอร์
เมื่อถึงตรงนี้ เหล่าผู้นำอิสราเอล ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ผู้นำที่กระเหี้ยนกระหือรือจะลบประเทศพวกเขา ออกจากแผนที่โลก ได้จากไปแล้ว อิสราเอลคงจะปลอดภัยขึ้น แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่า การที่นัสเซอร์ตาย จะก่อให้เกิดศัตรูคู่ฟ้า ของอิสราเอล
ชายเพียงคนเดียวที่เกือบทำให้ อิสราเอลสิ้นชาติ อันวาร์ ซาดัต
*****
อันวาร์ ซาดัต
*****
ชายที่ดูภายนอกเหมือนคุณลุงใจดีทั่วๆไปนี้ มีเล่ห์เหลี่ยมกว่าที่ใครคาดคิด เขารู้ว่าสิ่งที่จะทำให้อาหรับได้รับชัยชนะ คือด้วยมันสมอง ไม่ใช่กำลังเพียงอย่างเดียว ในสามปีก่อนสงคราม เขาได้เริ่มหันมาเจรจาสัญญาสันติภาพกับอิสราเอล โดยบอกกับอิสราเอลในปี1971ว่าจะขอดินแดนที่เสียไปคืน หากตกลง โดยที่อิยิปต์จะตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล และจะเปิดคลองสุเอซให้ใช้งานได้อีกครั้งและขอให้อิสราเอล รับรองความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์ และที่สำคัญ จะหันไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง แน่นอนว่า การเจรจาล้มเหลว
สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจในกองทัพ ดินแดนที่ชิงไปด้วยกำลังต้องแย่งคืนด้วยกำลัง อันวาร์ ซาดัต ได้ตอบโต้ ด้วยจัดการสับเปลี่ยนผู้นำกองกำลัง การแม้ว่าดูภายนอกจะดูเหมือน อันวาร์ ซาดัต กำลังหวงตำแหน่งและเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าใครคือผู้กุมอำนาจ เพราะก่อนหน้านี้ อันวาร์ ซาดัต ถูกมองว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมือง โดยก่อนหน้ารับตำแหน่ง เขาไม่ได้เป็นแม้แต่รองประธานาธิปดีด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำเขายังเป็นลูกครึ่งไม่ใช่ชาวอิยิปต์แท้ๆ ซึ่งเป็นจุดบอดทางการเมืองอย่างร้ายแรง
แต่แท้จริงแล้ว
อันวาร์ ซาดัต กำลังล้างบาง และตบตา
ล้างบาง สายลับอิสราเอลที่กำลังแทรกซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในกองทัพอิยิปต์ อันวาร์ ซาดัต รู้ดีว่าความพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บปวดในครั้งนั้นเป็นเพราะ สายลับของอิสราเอล อันวาร์ ซาดัต สับเปลี่ยนนายพลผู้รับผิดชอบ ในสงครามหกวันแทนที่ด้วยคนที่เก่งกว่า เปลี่ยนแปลงนายทหารระดับสำคัญหลายตำแหน่ง ด้วยคนที่เขาไว้ใจได้ และที่สำคัญ เขากำลังเล่นละคร ละครที่ตบตาคนทั้งโลก ได้อย่างแนบเนียน ด้วยการทะเลาะกับชาติยักษ์ใหญ่ที่ใครๆก็หวั่นเกรง
สหภาพโซเวียต
ต้นปี 1972 อันวาร์ ซาดัตได้เดินทางไปมอสโกเพือขอยุทธปัจจัยในการทำสงครามครั้งใหม่ แน่นอนว่าสหภาพโซเวียตย่อมปฏิเสธ เพราะยักษ์ใหญ่ทั้งคู่หลีกเลี่ยงการเผชิญกันมาตลอด อันวาร์ ซาดัตได้บอกกับโลกว่า มอสโกปฎิเสธที่จะส่งอาวุธและกระสุน มาให้กับอิยิปต์เพื่อทดแทนสิ่งที่เสียไปในสงคราม6วัน และในเดือนกรกฏคม ปี1972 เขาก็ตอบโต้ด้วยการขับไล่ที่ปรึกษาทางด้านการทหาร และช่างเทคนิคกว่า 15000คนของสหภาพโซเวียต ออกจากอิยิปต์
โลกต่างเข้าใจว่าการที่ ซาดัตเจรจาสันติภาพและบอกว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอเมริกานั้นทำให้ สหภาพโซเวียตไม่พอใจ และคำกล่าวที่ว่าจะทวงคืนดินแดนนั้น ก็เป็นเพียงแค่ลมปาก ในการประชุมสุดยอดที่มอสโกนั้นเรื่องตะวันออกกลางถูกพูดขึ้นมาเพียงนิดเดียว มติสหประชาติที่202 แทบไม่ถูกหยิบยกขึ้นมา โลกหลงเชื่อ อย่างสนิทใจ สงครามทวงดินแดนจะไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อท่าทีของสหภาพโซเวียตเป็นเช่นนี้
ซาดัตทำเช่นนี้ ก็เพื่อกดดัน ให้สหภาพโซเวียตต้องช่วยเหลือด้านอาวุธอย่างไม่มีทางเลือก หากไม่อยากสูญเสียอิทธิพลในตะวันออกกลาง การทีไม่มีที่ปรึกษาของสหภาพโซเวียต อิสระแก่เหล่านายทหารของเขาก็มีเต็มที่ในด้านการวางแผนโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากทางมอสโก หากว่ามอสโกไม่อยากจะชนกับสหรัฐขึ้นมา โซเวียตก็จะไม่สามารถยับยั้งใดๆในเรื่องนี้ได้เลย และอีกในทางหนึ่งซาดัต กำลังเล่นละครให้ศัตรูอย่างอิสราเอลดูว่า อิยิปต์จะไม่ทำสงคราม
ในเดือนสิงหาคมปี 1972 ซาดัตติดต่อไปยังมอสโกอีกครั้ง เพื่อขอความช่วยทางด้านการทหาร เป็นไปอย่างที่เขาคิด มอสโกไม่อยากเสียอิทธิพลในดินตะวันออกกลาง ผลการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี โซเวียตจัดส่งอาวุธให้อิยิปต์อีกครั้งโดยถูกปิดบังในรูปเรือขนส่งสินค้าที่มาขึ้นท่าที่อเล็กซานเดีย
ในครั้งแรก ซาดัตตั้งใจจะจู่โจมอิสราเอลในเดือนพฤจิกายนในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะเล็งเห็นว่าการตัดสินใจใดๆในวอชิงตัน เกือบจะเป็นไปไม่ได้ในวันนั้น โดยเก็บเป็นความลับสุดยอด ขนาดที่นายทหารบางคนยังไม่ทราบว่า จะเกิดการโจมตีในวันนั้น แต่จากการประเมินครั้งใหม่ทหารอิยิปต์ยังไม่พร้อม และที่ปรึกษาทางด้านการทหาร ได้ให้คำแนะนำว่าการที่จู่โจมพร้อมๆกันหลายชาติจะทำให้ ประสบผลสำเร็จมากขึ้น แผนนี้จึงถูกยกเลิก
ในการประชุมเหล่าผู้นำอาหรับ ซาดัต ไม่ได้บอกรายละเอียดใดๆเลยแก่เหล่าผู้นำอาหรับ ในเรื่องการโจมตีอิสราเอล เพียงแต่กำหนด เรื่องสายการบังคับบัญชา โดยมีผู้นำทัพสูงสุด เป็นผบ.สูงสุดของอิยิปต์ เพื่อแก้ปัญหาการกระสานงานที่ผิดพลาดในสงครามหนที่แล้ว อิยิปต์ตกลงแค่เรื่องยุทธปัจจัย และเรื่องน้ำมันรวมไปถึงจำนวนทหารที่จะต้องเข้าร่วม
แต่ทว่าเรื่อง การโจมตีรวมถึงแผนที่ใช้โจมตี ทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ นายระดับสูงทหารจะไม่ทราบถึงแผนการโจมตีจนอีก1สัปดาห์ก่อนเริ่มการโจมตี และทหารระดับล่างก็รู้เรื่องภายในวันนั้นเลย
และในอีกทางซาดัต ใช้สงครามจิตวิทยาด้วยการ ประกาศว่าจะโจมตีอิสราเอล แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประกาศโจมตี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนอิสราเอลเริ่มวางใจ และเริ่มคิดว่าการโจมตีจะไม่เกิดขึ้นจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง ทางด้านหน่วยประเมิน สงคราม ซึ่งประกอบไปด้วย The Israel Defense Forces (IDF) Directorate of Military Intelligence's ("Aman") กำลังประเมินในเรื่อง ความเป็นไปได้ของสงคราม ซึ่งขึ้นอยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานหลายอย่าง อย่างแรกพวกเขาสันนิษฐานได้อย่างถูกต้องว่า ซีเรียจะไม่ไปทำสงครามกับอิสราเอล ถ้าไม่มีอียิปต์ร่วมด้วย อย่างที่สอง ลูกเขยของอดีตประธานาธิบดีนีสเซอร์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นคนของมอสสาด ได้ให้ข้อมูลแก่อิสราเอลว่า อียิปต์ต้องการไซนายที่เสียไปในสงคราม6วัน จริง แต่จะไม่เริ่มสงครามจนกว่าพวกเขาจะได้รับMIG-23s เพื่อมาใช้ในการต่อต้านกองทัพอากาศอิสราเอล และขีปนาวุธสกั๊ดที่จะนำมาใช้กับเมืองอิสราเอล ซึ่งการที่ยังไม่ได้รับนี้ เป็นอุปสรรคต่อการโจมตีอิสราเอล
MIG-23s
ขีปนาวุธ สกั๊ด
เนื่องจากอิยิปต์ ยังไม่ได้รับ MIG -23s และขีปนาวุธสกั๊ดได้เดินทางมาถึงเพียงในอียิปต์จากบัลแกเรียในช่วงปลายเดือนสิงหาคมและมันจะใช้ต้องเวลาสี่เดือนในการฝึกอบรม ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลจึงเชื่อว่า "อิยิปต์จะไม่เริ่มสงครามจริงๆ" และเชื่อว่าอิยิปต์จะเริ่มสงครามจริงๆเป็น เพียงอัคติ ท่ามกลางการคัดค้านในที่ประชุม ผู้ำนำอิสราเอลเชื่อว่าในตอนนี้โลกอาหรับไม่มีทางที่จะก่อปัญหาให้กับอิสราเอลได้
ก่อนจะส่ง ยกเลิกคำเตือนสงคราม
การขับไล่ของผู้สังเกตการณ์ทางทหารของสหภาพโซเวียต ก็มีส่วนทำให้อิสราเอลเชื่อว่า ประสิทธิภาพของกองทัพอียิปต์ ได้ลดลงอย่างรุนแรง อียิปต์ได้ตอกย้ำความมั่นใจของอิสราเอล ด้วยการส่ง ข้อมูลที่เป็นเท็จเกี่ยวกับปัญหาการบำรุงรักษาและการขาดบุคลากรในการดำเนินงานอุปกรณ์ทันสมัยที่สุดของพวกเขา อียิปต์ปล่อยข่าวลวงเรื่องรายงานเกี่ยวกับการขาดชิ้นส่วนอะไหล่ ซึ่งอิสราเอลก็หลงเชื่ออย่างสนิทใจ
สิ่งที่ซาดัตทำงานอย่างหนักบรรลุผลเป็นอย่างดี
ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 1973 หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลเริ่มสังเกตเห็นการระดมพลที่มากผิดปกติ และมีช่างเทคนิคและอุปกรณ์ต่างๆ เตรียมที่จะข้ามคลองสุเอซ มอสสาดส่งคำเตือนไปอีกครั้ง อีไลเซียร่าประธานของฝ่ายประเมิน ก็ยังมั่นใจว่า ความน่าจะเป็นของสงครามเป็นไปได้น้อย หากเกิดขึ้นจริงกำลังทางอากาศของอิสราเอลที่เหนือกว่ามากน่าจะจัดการได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ในเดือนพฤษภาคมและสิงหาคม 1973 กองทัพอียิปต์เคลื่อนกำลังมาประชิด ใกล้กับชายแดนโดยทำทีเป็นการซ้อมรบ มอสสาดส่งคำเตือนอีกครั้ง ว่าสถานการไม่น่าไว้วางใจ แต่เมื่อผลปรากฏออกมาว่า เป็นเพียงการซ้อมรบ ทำให้ผู้มีอำนาจในอิสราเอล ตัดสินใจไม่ส่งคำเตือนสำหรับสงคราม ในขณะเดียวกันทางด้านซีเรียก็มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน แต่อิสราเอลเชื่อว่าหากอียิปต์ไม่พร้อม ซีเรียก็จะไม่ทำสงครามด้วยเช่นเดียวกัน
ในวันที่1 ตุลาคม สายข่าว ส่งคำเตือนอีกครั้งว่า การซ้อมรบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการพรางตาถึงการเตรียมข้ามคลองสุเอซเพื่อทำสงคราม
วันที่4และ5 ภาพถ่ายทางอากาศถูกแสดงให้เห็นว่ากองกำลังอียิปค์ถูกปกป้องไว้ด้วย แซมจำนวนมหาศาลและ กองกำลังมหาศาลที่เคลื่อนที่มานี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงการซ้อมรบ อย่างที่ อิสราเอลเคยเชื่อมาตลอด หน่วยข่าวกรองส่งคำเตือนนี้ไปยังผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ก่อนจะตัดสินใจเรียกระดมพล ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนหน้า เพียง6ชั่วโมงของเริ่มโจมตีของฝ่ายอาหรับ ซึ่งสถานการนี้ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกา ในเวลา 16:33 GMT (18:33 เวลาท้องถิ่น) ซึ่งสหรัฐได้ตอบกลับมาว่า อย่าเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีก่อน
ในที่สุดสงครามก็เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม ปี1973
ทางด้านการเตรียมการในสงครามที่จะเกิดขึ้น อิสราเอลได้ลงทุนกว่า 300ล้านเหรียญ สร้างแนวป้องกันที่ชื่อว่าบาเลฟไลน์ ซึ่งเป็นกำแพงทรายสูง 20-25 เมตร ตลอดแนวยาวคลองสุดเอซ มีความลาดเอียงที่ 45-65 องศาซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะยกพลข้ามมา ฝืนข้ามมาได้ ก็จะเจอกับคูดักรถถัง เสริมด้วยป้อมคอนกรีตซึ่งทนการทิ้งระเบิดจากลูกระเบิดขนาด1000ปอนด์ ได้อย่างสบายๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ สนับสนุนด้วยรถถัง 300คัน ปืนใหญ่ 70กระบอก และทหารราบ 18,000 นาย โดยแบ่งเป็น 3ส่วน เมื่อรวมกับการสนับสนุนทางอากาศแล้ว อิสราเอลประเมินว่า ที่นี่จะเป็นสุสานของทหารอิยิปต์อย่างแน่นอน หรือหากจะฝืนข้ามก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 24 - 48 ชั่วโมง แต่ทว่าวิศวกรของอิยิปต์ค้นพบว่าแนวกำแพงราคา300ล้านเหรียญ ที่ว่านี้ แพ้สิ่งที่ไม่ใช่ระเบิดไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงซึ่งอียิปต์ซื้อมาจาก อังกฤษ และเยอรมันตะวันตก เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงนี้ทำลาย กำแพงทรายที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย
ทหารอิยิบ์กำลังข้ามคลองสุเอซ
ส่วนหนึ่งของ บาเลฟไลน์
เวลา 2.00 ตามเวลาท้องถิ่น การโจมตีทางอากาศของฝ่ายอิยิบป์ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยเครื่องบินกว่า 200 ลำ โจมตีสนามบิน 3แห่ง ศูนย์เรดาห์ ฐาน sam และศูนย์การสั่งงานปืนใหญ่ สนามบินที่ Refidim และ Bir Tamada เสียหายอย่างหนัก และไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว
ซึ่งการโจมตีทางอากาศนี้ ผสมกับ การโจมตีด้วยปืนใหญ่กว่า 2000 กระบอก เป็นเวลากว่า 53นาที
ในช่วงเวลานี้ เครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลก็ขึ้นบิน ต่อต้าน การโจมตีของกองทัพอิยิปต์ F4-panthom เจอกับ mig 28 เหนือท้องฟ้าบริเวณ Sharm el-Sheikh อียิบต์เสียเครื่องบินไป 5-18ลำ (ขึ้นอยู่กับแหล่งข่าว) หนึ่งในนักบินที่อียิปต์ถูกฆ่า คือ อาทีฟ ซาดัต พี่ชายของประธานาธิบดีซาดัต ขณะที่อิสราเอลไม่มีการสูญเสีย แต่ขณะที่ เครื่องของอิสราเอลกำลังพัวพัน กับ เครื่องขับไล่ของ อิยิปต์
Tupolev Tu-16 จำนวน 14 ลำก็ยิง ขีปนาวุธ Kelt ถูกสถานีเรดาห์ในภาคกลางของอิสราเอลก่อนจะถูก เครื่องบินมิราจของอิสราเอลยิงตก
ขณะที่การโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่เริ่มต้นยิง
หน่วยรบพิเศษของอิยิปต์ 1,700 นายถูกส่งไปยังแนวหลัง เพื่อก่อวืนาศกรรม ทำลายเส้นทางที่กำลังเสริมที่จะมาช่วยบาเลฟไลน์ เวลาเดียวกัน ทหารอิยิปต์กว่า 32,000 นายก็ข้ามคลองสุเอซ โดยแบ่งเข้ามา 5ช่องทาง จำนวน 12กองพัน ในขณะที่ A-4 Skyhawk ก็พยามบินเข้ามาทำลายสะพาน แต่ก็สูญเสียจากแซมที่ถูกติดตั้งก่อนหน้านี้ และสะพานก็ถูกซ่อมโดยใช้เวลาไม่นาน
ในที่สุดหลังจากเจอกับทหารอิยิปต์ที่จำนวนเหนือกว่ามาก 6ชั่วโมงต่อมา บาเลฟไลน์และ ค่ายทหาร 15แห่ง ก็ถูกอิยิปต์ยึดได้
คงเหลือ แต่ป้อมที่มี code-named ว่า Fort Budapest ที่อยู่ทางเหนือสุดเท่านั้น ที่แม้จะถูกล้อม แต่ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้จนจบสงคราม
หลังจากยึดได้ สะพานถูกเสริมเพิ่มเติมเพื่อรองรับอาวุธหนัก ปืนปรส. ปืนใหญ่ อาวุธ ต่อต้านรถถังเริ่มที่จะข้ามคลอง รถถังอียิปต์คันแรกเริ่มต้นข้ามคลอง เวลา 20:30
รูปเครื่องบินที่ถูกยิงตกในสงครามวันแรก
su -7
a4 Skyhawk
เช้าวันที่ 7ตุลาคม 1973 กองกำลังอียิปต์รวมพล ตั้งแนว พื้นที่ห้างจากคลองสุเอซราว 4-5 กิโลเมตร ทหาร 2กองพล รถถังอิยิปต์ 850 คันก็ข้ามคลองสำเร็จ ในขณะที่กองทัพอากาศอิสราเอล (IAF) หยุดการโจมตี เพราะถูกโยกไปรับมือกับภัยคุกคามที่ใกล้กว่าคือที่ราบสูงโกลัน ซึ่งซีเรียกำลังบุกลงมาเช่นเดียวกัน
แผนที่สงครามที่ไซนาย อิยิปต์บุกใน วันที่ 6-13 และอิสราเอลโต้กลับใน วันที่ 14-15 ตุลาคม 1973
วันที่ 7ตุลาคม อิสราเอลไได้เปิดแผนปฏิบัติการ Operation Tagar เพื่อทำลายกองทพอากาศอิยิปต์และ ฐานแซมซึ่งป้องกันกองกำลังอิยิปต์จาการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลโดยนักบินจะบินต่ำกว่าเรดาห์ เพื่อเข้าไปทำลายฐานแซม โดยแผนนี้ทำลายฐานบินได้เพียงเจ็ดแห่ง จาก200เที่ยวบิน และอิสราเอลสูญเสีย เครื่องบินไปถึง 1ในสาม แผนนี้จึงถูกยกเลิก และกองกำลังทางอากาศก็ถูกโยกไปรับมือกับซีเรีย
วันที่ 8 ตุลาคม อิสราเอลตัดสินใจ สละ Gonen ก่อนจะรวมพลที่เหลือหันไปโจมตี Adan โดยมีรถถัง 182 คันเป็นหัวหอก เสริมด้วยทหารราบและยานเกราะจำนวน 44คัน ก่อนจะเจอทหารอิยิปต์ ที่ยึดที่มั่นที่เมือง Ismailia ทหารอิสราเอลสูญเสียอย่างหนัก ทำให้ต้องถอยออกมา บ่ายวันนั้น กองกำลังอียิปต์ผลักดันและเป็นผลให้อิสราเอลเสียตำแหน่งยุทธศาสตร์หลายที่
รถถัง m60ของอิสราเอลที่ถูกทำลาย
อิสราเอลตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการ เป็นนายพล ฮาอิม บาร์เลฟ ช่วงค่ำอิสราเอล ก็สามารถโต้กลับ รถถังของอิยิปต์ได้ โดยอิยิบปต์เสียรถถังไป 50 คัน โดย กองพันที่ 143rd Armoured Division ของนายพลแอเรียล ชารอน (วีรบรุษจากสงคราม 6วัน) ซึ่งเหลืออีกเพียงสามสัปดาห์จะเกษียน
วันที่9 ตุลาคม แนวของอิยิปต์ก็ไม่สามารถผลักดันออกไปได้อีก เพราะอยู่นอกรัศมีการทำการของsam โดยทันทีที่กองพันหุ้มเกราะของอิยิปต์พยามยึด Ayoun ทางตอนใต้ของคลองสุดเอซ ก็ถูกโจมตีโดยกองทัพอากาศของอิสราเอลเสียหายอย่างหนัก ทำให้ต้องถอยร่นกลับมาในแนวหลัง โดยอิยิปต์ทำได้เพียงยิงปืนใหญ่เข้าใส่แนวของ อิสราเอลเท่านั้น และทั้งสองก็ปะทะกันประปราย โดยที่ส่วนมากเป็นการปะทะกับรบพิเศษและพลร่ม ซึ่งถูกส่งมายังแนวหลังเพื่อก่อกวน แต่ว่ารบพิเศษที่ว่านี้ก็สูญเสียอย่างหนัก(จาก1700 เหลือ700) ในวันเดียวกัน กองลาดตระเวณของอิสราเอลก็พบ ช่องโหว่ระหว่าง กองทัพภาคที่2 และสาม ของอียิปต์
รถถังเซนจูเรียน ของอิสราเอล
แต่ทว่า อิสราเอลรู้ดีว่า การรุกในตอนนี้มีแต่จะเจ็บตัว และรู้ดีว่า อิยิปต์จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้
อิสราเอลกำลังเฝ้ารอโอกาศที่จะมาถึง วันที่12 มอสสาดก็ได้รายงานสิ่งสำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ว่า อิยิปต์กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมเคลื่อนพล เพื่อเตรียมยึด Mitla และ Gidi เพื่อเปิดโอกาศให้กับซีเรียด้วย ตอนนี้ซีเรียหยุดทัพ(ทำให้อิสราเอลสมารถโยกองทัพอากาศ เข้ามาสนับสนุนสู้กับอิยิปต์ได้) ในที่สึดสิ่งอิสราเอลเฝ้ารอก็มาถึง
ในวันที่ 14 ตุลาคม ทันทีที่อิยิปต์เริ่มเคลื่อนทัพ
กองทัพอิสราเอลจึงเคลื่อนที่ตัดระหว่างช่องโหว่ของกองทัพภาคที่2-3ของอิยิปต์ โดยอาศัยความเร็วและความเข้าใจในพื้นที่ และการประสานงานที่ฝึกซ้อมมาเป้นอย่างดี และปืนใหญ่ก็ไม่สามารถสนับสนุนได้อย่างเต็มที่เพราะอยู่ในระหว่างการเคลื่อนพล กองทัพอิสราเอลเคลื่อนที่เข้าตัดตรงกลางก่อนจะโจมตีกองทหารราบซึ่งไม่มียานเกราะคุ้มกัน อิยิปต์ส่งหน่วยรบพิเศษ 100คนทางเฮลิคอปเตอร์ลงทางแนวหลังเพื่อโจมตีด้านหลังอิสราเอลเพื่อถ่วงเวลา แต่ทว่าไม่สามารถทำอะไรได้ รถถังของอิสราเอลเข้าถึงสะพาน ก่อนจะโอบล้อมและทำลายเครือข่ายการสั่งการของอิยิปต์ และกองทหารอิสราเอลก็ทำลายฐานแซม และยุทธปัจจัยในแนวหลัง โดยยุทธการนี้อิสราเอลเสีย รถถังไป 40คัน ส่วนอิยิปต์เสียรถถังไป250คัน และยานเกราะ 200 และทหารราบ ราว1000 คน
ทหารอิสราเอลกำลังข้ามคลองสุเอซ
ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในยุทธการครั้งนี้
วันที่15 ตุลาคม 1973 กองทหารของอิสราเอล จำนวน 20 คัน และ 7ยานเกราะเบาเคลื่อนที่เข้ามาในแดนอิยิปต์ราว12กม. ทำลาย เครือข่ายแซมที่เหลือที่ตั้งอยู่แม่น้ำ ทำให้เครื่องบินอิสราเอลที่เคยไม่สามารถโจมตีทางอากาศได้ ปลอดภัยจากการโจมตีของแซม แม้จะมีการต่อต้านจากเครื่องบินของอิยิปต์ แต่ด้วยฝีมือนักบินและจำนวนเครื่องบินรบที่แตกต่างกันมาก เพราะอิยิปต์สูญเสียเครื่องบินและนักบินมือดี ในสงคราม 6วันเกือบหมด ทำให้กองทัพอากาศของอิยิปต์แทบไม่ได้สร้างปัญหาให้อิสราเอลเลย
ภาพแสดงการโต้กลับของอิสราเอล
เครื่องบินอิสราเอล ทำลายสะพานที่เหลือทั้งสามแห่ง ซึ่งเคยได้รับการคุ้มกันจากแซมที่อยู่แนวหลัง เครื่องบินอิสราเอลยังโจมตีและทำลายสายการสื่อสารใต้ดินที่ Banha ใน สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ บังคับให้ชาวอียิปต์ใช้ส่งข้อความโดยวิทยุซึ่งอาจถูกดักฟังได้ นอกเหนือจากสายเคเบิลที่ Banha จากนั้นก็เป็นทีของสกั๊ดที่ตอนนี้จอดรออยู่ที่ท่าเรือซึ่งถูกทำลายโดยป้องกันตัวเองไม่ได้เลย
วันที่ 16 ตุลาคมอิสราเอล โจมตีchina farm ซึ่งเป็นจุดตรวจการชั้นดีจากด้านหลัง ในขณะที่ อีกส่วนก็โจมตีจากทางด้านหน้า หลังการต่อสู้ อิสราเอลตาย300 บาดเจ็บ 1000 เสียรถถังไป 56คัน อียิปต์เสียรถถังไป115คัน จนถึงตอนนี้การอิสราเอลทำลายเครือข่ายการสื่อสารทำให้กองทัพของอิยิปต์ที่อยู่อีกฝั่งของคลองเกิดการสับสนในการสั่งการ และไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของอิสราเอล
เพื่อแก้สถานการที่เกิดขึ้น อิยิปต์ส่งกองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21 จากกองทัพภาคเหนือ และ กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25จากทางกองทัพภาคใต้ เข้าโจมตีจากทางเหนือและใต้ บริเวณตรงกลางที่อิสราเอลเจาะผ่านมาได้ เืพื่อโดดเดี่ยวกองกำลังของอิสราเอลที่ข้ามคลองไป แต่ทว่าด้วยความสับสนในการสั่งการ ทำให้ทั้งสองโจมตีไม่พร้อมกัน และไม่มีการลาดตระเวณทำให้ไม่ทราบว่ามีกองพันยานเกราะที่162 ของอิสราเอลซุ่มอยู่ โดย กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21ได้มาถึงก่อน กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21 จึงถูกโจมตี สูญเสียรถถังไปราว50-60คัน ส่งผลให้ต้องล่าถอยไป ก่อนที่กองพันยานเกราะที่162 ของอิสราเอล จะหันไปซุ่มโจมตี กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25 ของอิยิบปต์มาถึงทีหลัง จึงถูกทำลาย 86 จาก 96คัน
รถถัง T-62 ซึ่งเป็นรถถังหลักของ กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25
ภาพทหารอิสราเอลในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ริมคลองสุเอซ
วันที่ 17 ตุลาคม อิยิปต์ส่งฝูงบินจำนวน20ลำเพื่อทำลายสะพาน แต่ทว่าเจอกับเครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลทำให้สูญเีสียไป 16ลำ เฮลิคอปเตอร์ 7ลำ ส่วนอิสราเอลเสียไป 6ลำ ในเวลาต่อมา ปืนใหญ่และปืนครก ก็ถูกระดมยิงเข้ามา ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์เปิดภารกิจฆ่าตัวตายโดยบรรทุกระบิดนาปลามร์แล้วเข้าพุ่งชนสะพาน ทำให้สะำพานได้รับความเสียหายอย่างหนัก คอมมานโด และมนุษย์กบเข้ามาลอบโจมตีสะพาน
แต่สะพานก็ได้รับการซ่อมแซมในเวลากลางคืน โดยยุทธการนี้ฝ่ายอิสราเอลสูญเสียรถถังไป10คัน
แต่อย่างไรก็ตามการที่สูญเสียอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี
วันที่18 อิสราเอลจึงเปิดปฏิบัติการอีกครั้งโดยยึด Ismailia ที่พลร่มอิยิปต์ยึดครองอยู่ เพื่อทำให้สะพานรอดพ้นจากจุดตรวจการของปืนใหญ่ ภายใต้การนำของ แอเรียล ชารอน แต่ปรากฏว่าโดนต้านทานอย่างหนัก ทำให้ต้องหยุดอยู่ที่สี่แยกในNefália
ส่วน กองทัพของAdan ไปทางทิศใต้ของคลองสุเอซ ในขณะที่กองทัพของ Magen มุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่ไคโรและทิศใต้ไปทาง Adabiya
ที่ 19 ตุลาคม กองทัพของแอเรียล ชารอนพยามอีกครั้ง จนผลักดันพลร่มอียิปต์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ Ismailia ลึกเข้ามาในดินแดนอิยิปต์ราว8-10กิโลเมตร ในเวลาเดียวกัน กองพลที่สองของชารอนเริ่มที่จะข้ามคลอง พลร่มอิยิปต์ถอยร่นไปที่ ค่ายอาบูสุลต่าน บริเวณตอนเหนือของ Orcha ซึ่งกองพันทหารคอมมานโดของอิยิปต์เข้ามาสมทบ แต่ทว่า ตอนนี้ ทหารอิสราเอลได้ที่มั่นที่สูงกว่าประกอบกับกำลังเสริมที่เข้ามาถึงพอดี พอตกค่ำ แนวตั้งรับที่ Orchaก็แตก อิยิปต์ สูญเสียทหารไป300 ถูกจับ 15นาย อิสราเอลสูญเสียไป 18 นาย การล่มสลายของ Orcha
ทำให้สายส่งกำลังบำรุงที่คอยส่งให้ทหารอิยิปต์ในไซนายถูกตัดขาด โดยจุดตรวจการปืนใหญ่ก็ถูกยึดด้วย ทำให้ปืนใหญ่อิยิปต์เริ่มขาดความแม่นยำ แต่ทว่า ทหารอิสราเอลขยายแนวรบไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยส่งทหารไป1กองพัน แต่เจอทหารอิยิปต์วางกับระเบิด แทรกซึมเข้ามาจากทางด้านใต้ก่อนจะโจมตีทางด้านหลัง แต่ก็สูญเสียหนักทั้งสองฝ่าย แม้จะมีกำลังทางอากาศสนับนุน Ismailia ก็ยังถูกยึดได้อย่างไม่สมบรูณ์ โดยจนถึงวันที่ 21ยึดได้แค่เพียง 1ใน3 และรอบนอกเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น แนวข้ามคลองของอิสราเอลก็ขยายเพิ่ม เป็น40กิโลเมตร
9K11 Malyutka อาวุธต่อต้านถังที่อิยิปต์นำมาใช้
วันที่ 22 ทหารอิสราเอลยึดแนวป้องกันสุดท้ายของเมือง Ismailia ได้ แต่ทว่าทหารอียิปต์ โต้กลับผลักดันทหารอิสราเอลกลับไป 10กิโลเมตร
กองทัพของAdan และ Magen เคลื่อนทัพไปทางทิศใต้ แต่ก็เจอกับ ทหารอิยิปต์ที่รวมพลกันใหม่ซึ่งต้านทานอย่างหนัก และทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก อิสราเอลตัดสินใจ แบ่งกองทัพออกเป็นสองทาง โดยส่วนหนึ่งไปทำลายเครือข่ายแซมที่ เขา Geneifa ทำให้เครื่องบินอิสราเอลสามารถเข้ามาสนับสนุนการโจมตีได้ ในที่สุดกองทัพที่3 ของอิยิปต์ ก็ถูกล้อมโดยสมบูรณ์ โดยตอนนี้ กองทัพของอิสราเอลห่างจากกรุงไคโรเพียง 101 กิโลเมตร และยึดพื้นที่รอบคลองสุเอซฝั่งอิยิปต์ได้ 1,600 ตารางกิโลเมตร แม้ว่าจะมีกองทัพอิยิปต์ ขนาดใหญ่อีกสองกองทัพซึ่งตั้งอยู่ฝั่งไซนาย
แต่ทว่า การกำลังขาดการส่งกำลังบำรุง
แต่ทว่ามติ สหประชาชาติที่303 ก็มาถึง ซึ่งลงนามโดยสปอร์เซอร์ยักษ์ใหญ่ของทั้งสอง อเมริกา และสหภาพโซเวียต โดยให้ทั้งสองหยุดยิง
รูปแสดงดินที่ทั้งสองฝ่ายยึดครองในช่องสงคราม
Ismailia สมรภูมิเดือดปี1973 ในสภาพปัจจุบัน
ประธานาธิปดีอัลซาดของซีเรียกับทหารในหลุมบุคคล
ทางด้านซีเรีย
ในวันเริ่มสงคราม บริเวณที่ราบสูงโกลาน ซีเรียเปิดการโจมติอิสราเอลด้วยปืนใหญ่ 188 กระบอก โดยปืนใหญ่ระดมยิงอยู่ถึง 50 นาที พวกเขาเริ่มการโจมตีพร้อมๆกับ การโจมตีทางอากาศประมาณ 100 เที่ยวบิน ทหาร 3กองพันบุกไปข้างหน้าข้ามแนวผู้สังเกตการของสหประชาชาติ ตามด้วยกองกำลังจู่โจมหลักซึ่งถูกคุ้มครองด้วยเครือข่าย sam คูดักรถถังถูกถมด้วยถังใส่ดินซึ่งเตรียมาก่อนหน้านี้
โดยที่ทหารอิสราเอลมีเพียง ทหาร 3,000 รถถัง 180 ปืนใหญ่ 60 กระบอก ต้องเผชิญหน้าทหารซีเรีย 28,000คน รถถัง800คัน ปืนใหญ่ 600 กระบอก การโจมตีหนักหน่วงที่สุด บริเวณเกิดที่ฐานที่มั่นของอิสราเอลที่สำคัญที่สุดที่ภูเขาเฮอร์มอน ซึ่งมีความหลากหลายของอุปกรณ์การเฝ้าระวังอยู่ อิสราเอลกำลังพยายามที่จะตอบโต้หยุดการโจมตีของซีเรีย
ที่ราบสูงโกลานได้รับความสำคัญจากกองบัญชาการทหารของอิสราเอลสูงสุด เพราะมันอยู่ใกล้กับศูนย์ประชากรของอิสราเอล ซีเรียได้ไปก็จะก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ร้ายแรงไปยังเมืองของอิสราเอลที่สำคัญเช่น ทิเบเรีย , เฟ็ด , ไฮฟา และ เนทันยา ดังนั้นคำสั่งที่มาถึง
ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไปที่ราบสูงโกลานจะเสียไปไม่ได้
กองหนุนได้รับคำสั่งให้ไปถึงที่ราบสูงโกลานให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พวกเขาได้รับมอบหมายให้ขึ้นรถถังและถูกส่งตัวไปแนวหน้าทันทีที่พวกเขามาถึงที่สถานีของกองทัพ โดยไม่รอให้ ติดตั้งอปุกรณ์เสริมหรือตั้งศูนย์ปืนก่อน ซีเรียซึ่งเคยคาดไว้ว่า จะใช้เวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อส่งกำลังสำรองของอิสราเอลไปถึงแนวหน้า ในความเป็นจริงหน่วยสำรองเริ่มถึงแนวหน้าโดยใช้เวลาเพียง 15 ชั่วโมงหลังจากที่สงครามเริ่ม
T-62 ในที่ราบสูงโกลาน
เหมือนอย่างอียิปต์ที่ไซนาย ซีเรียอยู่ภายใต้การคุ้มครอง SAM ของพวกเขา กองทัพอากาศอิสราเอลที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในการโจมตีเที่ยวแรกก็สูญเสียไปถึง 40 เครื่องจากระบบต่อต้านอากาศยานของซีเรีย แต่เมื่อเที่ยวที่สอง นักบินอิสราเอลเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ใหม่ บินในระดับต่ำกว่าเรดาห์ ก่อนจะเชิดหัวขึ้น ในจังหวะที่จะทิ้งระเบิด เครื่องบินอิสราเอลทิ้งระเบิดทั้งธรรมดาและเพลิง ทำลายล้างกองกำลังหุ้มเกราะซีเรีย แต่จังหวะเดียวกันนี้ก็มักถูกยิงตก ในวันที่สองของสงครามกองทัพอากาศอิสราเอลพยายามที่จะทำลายระบบต่อต้านอากาศยานของซีเรีย โ้ค้ดเนมปฏิบัติการคือ Doogman 5 อิสราเอลเจอกับบทเรียนราคาแพง อิสราเอลทำลายsam ได้เพียงหนึ่งระบบ แลกกับเครื่องบิน 6ลำ
รถถังเซนจูเรี่ยนของอิสราเอล
หกชั่วโมงของการโจมตีครั้งแรก จำนวนทหารของอิสราเอลน้อยกว่า ถึง10ต่อ1 ทำให้แนวป้องกันที่วางเอาไว้ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ กองพลรถถังซีเรียผ่าน Rafid Gap ก่อนจะหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่เรียกกันว่าถนนTapline ซึ่งตัดทแยงมุมข้ามที่ราบสูงโกลาน ซึ่งซีเรียจะใช้มันข้ามผ่าน Nafah หากซีเรียรุกผ่านมาได้ สถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองพลอิสราเอล ก็อยู่เพียงแค่เอื้อมมือ
ถนนนี้จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการต่อสู้
ที่Nafah ในช่วงเวลากลางคืน กองกำลังซีเรียรุกเข้ามาใกล้แนวของอิสราเอล โดยใช้แว่นตามองกลางคืน อิสราเอลปล่อยให้เข้ามาใกล้ก่อนจะเปิดสปอตร์ไลทร์ทำให้ทหารซีเรียตาพร่า แล้วโจมตี ประสานกับปืนใหญ่อัตราจรซึ่งได้ชัยภูมิที่ดีกว่า แต่ไม่นานซีเรียก็เริ่มตั้งตัวได้ พร้อมๆกับใช้การจำนวนที่เหนือกว่า เข้ากดดัน เวลาเดียวกันนั้นเอง Cpt. Zvika Greengold ที่เพิ่งแต่งงานได้เพียงวันเดียว ก่อนหน้าสงคราม หลังสู้กับซีเรียเป็นเวลา20ชั่วโมง หมวดรถถังของเขามีทั้งหมด6คัน ก็สูญเสียไปหมด จนเหลือรถถังของเขาแค่คันเดียว ตัวGreengold เองก็ได้รับบาดเจ็บ เดินทางมาถึงพอดีกับซีเรียกับอิสราเอลกำลังต่อสู้กัน เขาจึงร่วมรบด้วยทันที โดยยิงจากด้านข้าง ทำลายรถถังซีเรียไป10คัน ซึ่งการมาถึงของเขานี้ทำให้ซีเรียคิดว่าตนเองกำลังถูกล้อมด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ ทั้งๆที่เป็นรถถังเพียงแค่คันเดียว จึงถอยร่นจากแนวรบอย่างไม่เป้นขบวน พร้อมกับได้รับความสูญเสียเป็นอย่างมาก นายพลจัตวา Oh Abrash ของซีเรียตายในที่รบ
หลังจบสงคราม Cpt. Zvika Greengold ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุด
Cpt. Zvika Greengold
รถถังซีเรียที่ถูกทำลาย
รูปแสดงแผนภูมิการรบในซีเรีย
ในวันที่ 4 ของการต่อสู้ 7th Armored Brigade ของอิสราเอล ในภาคเหนือก็สามรถ จัดการยึดเนินเขาเพื่อปกป้อง ด้านข้างของสำนักงานใหญ่ การรบใน Nafah ก่อให้เกิดความสูญเสียหนักในซีเรีย อย่างไรก็ตามซีเรียยังคงโจมตีต่อไปกองกำลังของอิสราเอลเริ่มเป็นฝ่ายสูญเสียบ้าง
จนถึงบ่ายวันที่ 9 ตุลาคม รถถังอิสราเอลก็เหลือเพียง 6คัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน รถถังของ Lt. Col. Yossi Ben-Hanan จำนวน15คัน ก็ เข้าโจมตีจากด้านข้าง ทำให้ซีเรียคิดว่าอิสราเอลมีกองหนุนแล้วจึงถอยร่นกลับไป
ไปทางทิศใต้ Barak Armored Brigadeของอิสราเอล ได้รับการสูญเสียอย่างหนัก ซีเรียได้ชะลอตัวลงในตอนแรกเมื่อเจอกับทุ่นระเบิด แต่ซีเรียยังคงเดินหน้าเข้ามา และ Barak Armored Brigade เริ่มที่จะได้รับสูญเสียหนักขึ้น อิสราเอลยังคงต่อสู้แม้จะ หมดหวังที่จะซื้อเวลาสำหรับกองกำลังสำรองที่จะไปถึงแนวหน้า
ตราอามร์ของ Barak Armored Brigade
ในเวลากลางคืนซีเรียได้ใช้แสงอินฟาเรดในการนำทาง ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการใช้ไฟส่องสว่างและโปรเจคเตอร์ไฟซีนอนในรถถังของพวกเขา รถถังบัญชาการของพันเอก Shohamถูกทำลาย เขาเสียชีวิตทันที พร้อมกับเจ้าหน้าที่สองนาย ถึงตอนนี้Barak Armored Brigade ไม่สามรถหยุด รถถังของซีเรีย ที่กำลังมุ่งหน้าไปยัง ทะเลสาปกาลิลี แต่แล้วจู่ๆ รถถังของซีเรียก็หยุดการโจมตีก่อนจะถอยหลังกลับไปเชื่อว่าเป็นเพราะ การสูญเสียผบ. และพ่ายแพ้ใน Nafah ทำให้ซีเรียประเมิน กองกำลังของอิสราเอลสูงกว่าความเป็นจริง โดยเริ่มหยุดยิงเมื่อเวลา 17.00 การหยุดยิงดำเนินไปตลอดทั้งคืนทำให้กองกำลังอิสราเอลมีเวลา ที่จะสร้างแนวป้องกัน
กระแสสงครามเริ่มต้นย้อนกลับ ถึงตอนนี้อิสราเอลมีกำลังเต็มที่แล้ว ในวันที่ 8 ตุลาคมอิสราเอลเริ่มผลักดันซีเรียกลับสู่ที่ตั้งเดิมก่อนสงคราม อิสราเอลที่ได้รับบาดเจ็บหนักในช่วงสามวันแรกของการต่อสู้ ก็เริ่มยิงปืนใหญ่เพื่อขับไล่ซีเรียจากระยะไกล ที่ราบสูงโกลานแทบไม่มีที่กำบังให้รถถังเลย วันที่9 ตุลาคมซีเรีย ยิง FROG-7ขปนาวุธพื้นสู่พื้น ตกไปยัง ฐานบินของอิสราเอลของ สังหารนักบิน-บาดเจ็บหลายราย อิสราเอลส่ง F-4 7ลำเข้าไปทิ้งระเบิดในซีเรียทำลายศุนย์การบัญชาการ และ สถานีเรดาห์รวมถึงสนามบิน ซีเรียย้าย sam กลับเข้าไปป้องกันดามัสกัส ซีเรียพยามโต้กลับแต่ไม่เป็นผล 10 ตุลามคม ทหารของซีเรีย ทั้งหมดถูกผลักกดันออกจากที่ราบสูงโกลาน
การตัดสินใจตอนนี้ ว่าจะหยุดที่ชายแดน1967 หรือที่จะเดิรหน้าต่อเข้าไปในดินแดนซีเรีย ผลมติในสภา ให้เดินหน้าต่อเพื่อการเจรจาจะได้ สิ่งต่อรองมากที่สุด
FROG-7ขีปนาวุธพื้นสู่พื้น
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โกดาเมียร์
วันที่ 11 ตุลาคมกองกำลังอิสราเอลผลักดันเข้าไปในซีเรียมุ่งสู่ดามัสกัสตามถนน Qunaytirah วันที่ 12 ตุลาคม อิสราเอลส่งหน่วยรบพิเศษ Sayeret หน่วยลาดตระเวน Tzanhanim ทำการ แทรกซึมลึกเข้าไปในซีเรียและทำลายสะพานในพื้นที่สามชายแดนของซีเรียระหว่างอิรักและ จอร์แดน การดำเนินการหยุดชะงัก การไหลบ่าของอาวุธและกองกำลังทหารไปซีเรีย
วันที่ 14 ตุลาคมเผชิญการต่อต้านโดยกองหนุนซีเรียที่เตรียมไว้ อิสราเอลบุกครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จแต่ทว่าการบุกครั้งที่สองสามารถยึดพื้นที่ 50 ตารางกิโลเมตรของดินแดนใกล้เมืองบาชาน ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ จากตรงนั้นอิสราเอลสมารถตั้งปืนใหญ่ M107 ยิงถล่มเข้าไปในกรุงดามัสกัสได้
อิรัก ตัดสินใจส่งทหาร 30,000 คน รถถัง 250-500 APC 700 เข้ามาช่วยซีเรีย แต่ก็เจอกับ การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล
M107
แต่อย่าไงไรก็ตาม การที่อิรักส่งทหารเข้ามาช่วยนี้สร้างความหนักใจให้กับ อิสราเอลจึงหยุดอยู่ที่ชานเมืองดามัสกัส เพื่อประเมินกองกำลังที่เข้ามาเสริมใหม่ แม้จะมีความพยายาม จะตอบโต้ แต่กองทัพอากาศอิสราเอลเหนือกว่ามาก โดยวันที่23ตุลาคมเพียงวันเดียว เหนือท้องฟ้ากรุงดามัสกัส เครื่องของซีเรียถูกทำลาย10ลำ กองทัพอากาศอิสราเอลใช้ความเหนือกว่าทางอากาศที่จะโจมตีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ทั่วประเทศซีเรีย ทำลายคลังน้ำมัน ระบบขีปนาวุธ สะพาน ค่ายทหาร
ซีเรียเตรียมการตอบโต้ขนาดใหญ่ที่จะผลักดันกองกำลังอิสราเอลออกจากซีเรีย
ในวันที่ 23 ตุลาคม ซีเรียรวมกองกำลังที่เหลืออยู่ สนธิเข้ากับกำลังเสริมที่ได้จากอิรัก และจอร์แดนที่กำลังเดินทาง รวมทั้งอาวุธที่ได้จากสหภาพโซเวียตที่ส่งมาให้แทนสิ่งที่เสียไปในช่วงแรก แต่ทว่าแรงกดดันจาก ยักษ์ใหญ่ทั้งสองก็มาถึง ในท้ายที่สุดประธานาธิบดี ของซีเรีย ตัดสินใจที่จะยกเลิกการโจมตีในวันที่23 ตุลาคม และอิรักก็สั่งให้ทหารของตนกลับบ้าน และประกาศหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ภาพความสูญเสียในระหว่างสงคราม
ภาพอิสราเอลกำลังโจมตีในยุทธการที่ หุบเขาแห่งน้ำตา
ภาพยุทธการในท้องทะเล
ปะทะซีเรีย
ปะทะอิยิปต์
สรุปตัวเลขการสูญเสีย
กำลังของอิสราเอล
บาดเจ็บและสูญเสีย
ตาย 2,521 -2800
ได้รับบาดเจ็บ 7,250 -8800
ถูกจับ 293
รถถังถูกทำลาย 1063
รถเกราะทำลายหรือถูกจับ 407
เครื่องบินถูกทำลาย 102-387
กองกำลังของฝ่ายอาหรับ
ตาย 8,000 -18,500
ที่ได้รับบาดเจ็บ 18,000 -35,000
จับ 8,783
รถถัง 2,250 -2,300
เครื่องบิน 514
เรือรบจม 19 ลำ
ทหารของสหประชาชาติที่ หลักกิโลเมตรที่ 101
หลังประกาศหยุดยิง ในวันที่ 28 ตุลาคม มีการพบกันที่ หลักกิโลเมตรที่ 101 ระหว่างอิสราเอลนายพล อารอน ยารีฟ และอียิปต์นาย พล อับเดลกาห์เอล กามาซี ด่านสหประชาชาติถูกนำตัวเข้ามาแทนที่ทหารอิสราเอล อุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวกับทหาร ได้รับอนุญาตให้ผ่านและแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ
การประชุมการประชุมสุดยอดในเจนีวา ที่ตามมาในเดือนธันวาคม 1973 ของทุกฝ่ายที่เข้าร่วมสงคราม - อิสราเอล ซีเรีย จอร์แดน และอียิปต์ -
ในที่สุดการเจรจาก็ได้รับก่ีตอบสนอง โดยอิสราเอลค่อยๆคืนดินแดนที่ได้ในสงคราม6วัน มาแลกกับสนธิสัญญาสันติภาพ
การประชุมที่แคมป์เดวิด
ข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ก็มาถึงในที่สุด 17 กันยายน 1978 ในการประชุมที่แคมป์เดวิด หลังจากการเจรจาเป็นเจ้าภาพโดยประธานาธิบดี จิมมี่คาร์เตอร์ . ตามสนธิสัญญากองกำลังอิสราเอลถอนตัวออกเรื่อย ๆ โดยทหารคนสึดท้าย ออกจากดินแดนที่ยึดครองเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1982
โดยอันวาซาดัต ได้ รางวัลโนเบลสันติภาพร่วมกับ เมนาเฮม เบกิน และประธานาธิปดีจิมมี คาเตอร์
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเศร้า เมื่อ พวกหัวรุนแรง ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาสันติภาพ กับอิสราเอล อันวาซาดัต จึงถูกลอบสังหารใน
วันที่6 ตุลาคม พ.ศ. 2524
การเข้ามามีอิทธิพลของสองยักษ์ใหญ่
วันที่ 6 ตุลาคมรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ แนะนำว่าควรส่งอาวุธและความช่วยเหลือไปยังอิสราเอล แต่จาการประเมินแล้ว ในตอนแรกเริ่มของสงคราม อเมริกาเชื่อว่าอิสราเอลจะได้ชัยภายใน 72-96 ชั่วโมง
แต่ทว่าทุกอย่างกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม โดยวันที่ 8 ตุลาคมอิสราเอลได้พบปัญหา อิยิปต์เตรียมตัวมาดีเกินคาด อิสราเอลไม่สามารถหยุดกองกำลังของอิยิปต์ได้เลย กองกำลังซีเรียรุกเข้ามาจนสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำจอร์แดน และระบบป้องกันทางอากาศของฝ่ายอาหรับทำให้ เครื่องบินอิสราเอลเกิดความสูญเสียอย่างมาก และ มันเป็นที่ชัดเจนว่าสถานการไม่มีทางพลิกกลับได้ วันที่8ตุลาคม นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลได้กล่าวว่า "นี่คือจุดสิ้นสุดของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม"มองดูผ่านๆ เธอหมายถึงความพ่ายแพ้ของอิสราเอล แต่คำว่า "วัด" เป็นรหัสที่ใช้เรียกอาวุธนิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกอิสราเอลได้เตือนว่าประเทศกำลังเดินเข้ามาใกล้จุดของ "สุดท้าย" ในคืนนั้นเองขีปนาวุธเจริโคซึ่งสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ก็ถูกติดตั้ง F- 4ที่ฐานทัพอากาศโทนอฟสก็ถูกเชื่อว่า กำลังติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ขนาด20กิโลตันด้วยเช่นกัน ทำให้สหรัฐอเมริกาส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด้วนเพื่อไม่ให้อิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยผ่านทางโปรตุเกตและเนเธอร์แลนด์
โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่ง ยุทธปัจจัย 22,395 ตันไปยังอิสราเอล 8,755 ตันมาถึงก่อนการสิ้นสุดของสงคราม โดยส่งทางอากาศ เป็นจำนวน 567เที่ยวบิน การการขนส่งมีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน และ9หมื่นตันทางเรือ โดยขนส่งครั้งสุดท้ายในวันที่ 30ตุลาคม
โดยทั้งหมดมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ แปดร้อยล้านเหรียญ หรือประมาณ 4250ล้านเหรียญในราคาปัจจุบัน
การช่วยเหลือของฝ่ายโซเวียต
ทันทีที่ สหรัฐอเมริกา ส่งอาวุธไปยังอิสราเอล สหภาพโซเวียตได้เริ่มจัดส่งอาวุธไปยังอิยิปต์ และซีเรีย
โดยวันที่ 9 ตุลาคม สหภาพโซเวียตประกาศว่า เริ่มส่งอาวุธให้อียิปต์และซีเรียทั้ง ทางอากาศและทางทะเล โซเวียตส่งยุทธปัจจัยเป็นจำนวน 12,500-15,000 ตัน 6,000 ตันไปอียิปต์ 3,750 ตันไปซีเรีย และ 575 ตันไปอิรัก โดย อียิปอ้างว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งการขนส่งจริง ไปซีเรีย ทั้งๆที่อิยิปต์ สูญเสียมากกว่า โดยขนส่งทางอากาศกว่า 900 ภารกิจ
ในวันที่ 30 ตุลาคม โซเวียตก็ส่งไปให้อีก 63,000 ตันส่วนใหญ่ไปยังประเทศซีเรียโดยใช้การขนส่งทางทะเล โดยในนี้เป้นรถถังจำนวนกว่า 400คัน ซึ่งเป็น T-55และT-62เพื่อนำไปแทนที่การสูญเสียของซีเรีย โดยอิยิปต์อ้างว่า ไม่ได้รับรถถังใด ๆ จากโซเวียตนี่เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สายความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตและอิยิปต์เกิดปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม ในก่อนหน้าจะสิ้นสุดสงคราม มีการตรวจพบความเข้มข้นของรังสี ซึ่งอาจเป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมันถูกจัดเก็บไว้ที่ท่าเรืออเล็กซานเดีย นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ทั้งคู่กดดันให้มีการหยุดยิง
และ อันวา ซาดัตได้หันไป เปิดความสัมพันธ์กับอเมริกา และเกิดการประชุมที่แคมป์เดวิด อย่างไรก็ตามการเจรจาสันติภาพนี้ ไม่เป็นที่ถูกใจพวกหัวรุนแรงเป็นอย่างมาก อันวา ซาดัต จึงถูกลอบสังหารอยู่หลายครั่ง ก่อนที่ จะประสบความสำเร็จใน วันที่6 ตุลาคม พ.ศ. 2524
ซึ่งการลอบสังหารนี้เปิดโอกาสให้เผด็จการคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ และอิยิปต์ก็กลายเป็นพันธมิตรของอเมริกาอย่างเต็มตัว พร้อมๆกับ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต สงครามครั้งใหญ่ระหว่างยิวและอาหรับ จึงไม่มีอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เกิดอะไีรขึ้นกับอิยิปต์ต่อจากนั้นอ่านได้ที่นี่ครับ
http://thaipublica.org/2013/01/hosni-mubarak-of-egypt-the-sphinx-1/
เครดิต และอ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Yom_Kippur_War
http://en.wikipedia.org/wiki/Anwar_Sadat
http://www.defencejournal.com/2002/nov/4th-round.html
http://www.nationalreview.com/article/360505/how-we-used-do-it-mario-loyola
http://www.globalsecurity.org/military/library/report/1984/ORL.htm
ในที่สุดสงครามก็เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม ปี1973
ทางด้านการเตรียมการในสงครามที่จะเกิดขึ้น อิสราเอลได้ลงทุนกว่า 300ล้านเหรียญ สร้างแนวป้องกันที่ชื่อว่าบาเลฟไลน์ ซึ่งเป็นกำแพงทรายสูง 20-25 เมตร ตลอดแนวยาวคลองสุดเอซ มีความลาดเอียงที่ 45-65 องศาซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะยกพลข้ามมา ฝืนข้ามมาได้ ก็จะเจอกับคูดักรถถัง เสริมด้วยป้อมคอนกรีตซึ่งทนการทิ้งระเบิดจากลูกระเบิดขนาด1000ปอนด์ ได้อย่างสบายๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ สนับสนุนด้วยรถถัง 300คัน ปืนใหญ่ 70กระบอก และทหารราบ 18,000 นาย โดยแบ่งเป็น 3ส่วน เมื่อรวมกับการสนับสนุนทางอากาศแล้ว อิสราเอลประเมินว่า ที่นี่จะเป็นสุสานของทหารอิยิปต์อย่างแน่นอน หรือหากจะฝืนข้ามก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 24 - 48 ชั่วโมง แต่ทว่าวิศวกรของอิยิปต์ค้นพบว่าแนวกำแพงราคา300ล้านเหรียญ ที่ว่านี้ แพ้สิ่งที่ไม่ใช่ระเบิดไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงซึ่งอียิปต์ซื้อมาจาก อังกฤษ และเยอรมันตะวันตก เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงนี้ทำลาย กำแพงทรายที่ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย
ทหารอิยิบ์กำลังข้ามคลองสุเอซ
ส่วนหนึ่งของ บาเลฟไลน์
เวลา 2.00 ตามเวลาท้องถิ่น การโจมตีทางอากาศของฝ่ายอิยิบป์ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยเครื่องบินกว่า 200 ลำ โจมตีสนามบิน 3แห่ง ศูนย์เรดาห์ ฐาน sam และศูนย์การสั่งงานปืนใหญ่ สนามบินที่ Refidim และ Bir Tamada เสียหายอย่างหนัก และไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว
ซึ่งการโจมตีทางอากาศนี้ ผสมกับ การโจมตีด้วยปืนใหญ่กว่า 2000 กระบอก เป็นเวลากว่า 53นาที
ในช่วงเวลานี้ เครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลก็ขึ้นบิน ต่อต้าน การโจมตีของกองทัพอิยิปต์ F4-panthom เจอกับ mig 28 เหนือท้องฟ้าบริเวณ Sharm el-Sheikh อียิบต์เสียเครื่องบินไป 5-18ลำ (ขึ้นอยู่กับแหล่งข่าว) หนึ่งในนักบินที่อียิปต์ถูกฆ่า คือ อาทีฟ ซาดัต พี่ชายของประธานาธิบดีซาดัต ขณะที่อิสราเอลไม่มีการสูญเสีย แต่ขณะที่ เครื่องของอิสราเอลกำลังพัวพัน กับ เครื่องขับไล่ของ อิยิปต์
Tupolev Tu-16 จำนวน 14 ลำก็ยิง ขีปนาวุธ Kelt ถูกสถานีเรดาห์ในภาคกลางของอิสราเอลก่อนจะถูก เครื่องบินมิราจของอิสราเอลยิงตก
ขณะที่การโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่เริ่มต้นยิง
หน่วยรบพิเศษของอิยิปต์ 1,700 นายถูกส่งไปยังแนวหลัง เพื่อก่อวืนาศกรรม ทำลายเส้นทางที่กำลังเสริมที่จะมาช่วยบาเลฟไลน์ เวลาเดียวกัน ทหารอิยิปต์กว่า 32,000 นายก็ข้ามคลองสุเอซ โดยแบ่งเข้ามา 5ช่องทาง จำนวน 12กองพัน ในขณะที่ A-4 Skyhawk ก็พยามบินเข้ามาทำลายสะพาน แต่ก็สูญเสียจากแซมที่ถูกติดตั้งก่อนหน้านี้ และสะพานก็ถูกซ่อมโดยใช้เวลาไม่นาน
ในที่สุดหลังจากเจอกับทหารอิยิปต์ที่จำนวนเหนือกว่ามาก 6ชั่วโมงต่อมา บาเลฟไลน์และ ค่ายทหาร 15แห่ง ก็ถูกอิยิปต์ยึดได้
คงเหลือ แต่ป้อมที่มี code-named ว่า Fort Budapest ที่อยู่ทางเหนือสุดเท่านั้น ที่แม้จะถูกล้อม แต่ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้จนจบสงคราม
หลังจากยึดได้ สะพานถูกเสริมเพิ่มเติมเพื่อรองรับอาวุธหนัก ปืนปรส. ปืนใหญ่ อาวุธ ต่อต้านรถถังเริ่มที่จะข้ามคลอง รถถังอียิปต์คันแรกเริ่มต้นข้ามคลอง เวลา 20:30
รูปเครื่องบินที่ถูกยิงตกในสงครามวันแรก
su -7
a4 Skyhawk
เช้าวันที่ 7ตุลาคม 1973 กองกำลังอียิปต์รวมพล ตั้งแนว พื้นที่ห้างจากคลองสุเอซราว 4-5 กิโลเมตร ทหาร 2กองพล รถถังอิยิปต์ 850 คันก็ข้ามคลองสำเร็จ ในขณะที่กองทัพอากาศอิสราเอล (IAF) หยุดการโจมตี เพราะถูกโยกไปรับมือกับภัยคุกคามที่ใกล้กว่าคือที่ราบสูงโกลัน ซึ่งซีเรียกำลังบุกลงมาเช่นเดียวกัน
แผนที่สงครามที่ไซนาย อิยิปต์บุกใน วันที่ 6-13 และอิสราเอลโต้กลับใน วันที่ 14-15 ตุลาคม 1973
วันที่ 7ตุลาคม อิสราเอลไได้เปิดแผนปฏิบัติการ Operation Tagar เพื่อทำลายกองทพอากาศอิยิปต์และ ฐานแซมซึ่งป้องกันกองกำลังอิยิปต์จาการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลโดยนักบินจะบินต่ำกว่าเรดาห์ เพื่อเข้าไปทำลายฐานแซม โดยแผนนี้ทำลายฐานบินได้เพียงเจ็ดแห่ง จาก200เที่ยวบิน และอิสราเอลสูญเสีย เครื่องบินไปถึง 1ในสาม แผนนี้จึงถูกยกเลิก และกองกำลังทางอากาศก็ถูกโยกไปรับมือกับซีเรีย
วันที่ 8 ตุลาคม อิสราเอลตัดสินใจ สละ Gonen ก่อนจะรวมพลที่เหลือหันไปโจมตี Adan โดยมีรถถัง 182 คันเป็นหัวหอก เสริมด้วยทหารราบและยานเกราะจำนวน 44คัน ก่อนจะเจอทหารอิยิปต์ ที่ยึดที่มั่นที่เมือง Ismailia ทหารอิสราเอลสูญเสียอย่างหนัก ทำให้ต้องถอยออกมา บ่ายวันนั้น กองกำลังอียิปต์ผลักดันและเป็นผลให้อิสราเอลเสียตำแหน่งยุทธศาสตร์หลายที่
รถถัง m60ของอิสราเอลที่ถูกทำลาย
อิสราเอลตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการ เป็นนายพล ฮาอิม บาร์เลฟ ช่วงค่ำอิสราเอล ก็สามารถโต้กลับ รถถังของอิยิปต์ได้ โดยอิยิบปต์เสียรถถังไป 50 คัน โดย กองพันที่ 143rd Armoured Division ของนายพลแอเรียล ชารอน (วีรบรุษจากสงคราม 6วัน) ซึ่งเหลืออีกเพียงสามสัปดาห์จะเกษียน
วันที่9 ตุลาคม แนวของอิยิปต์ก็ไม่สามารถผลักดันออกไปได้อีก เพราะอยู่นอกรัศมีการทำการของsam โดยทันทีที่กองพันหุ้มเกราะของอิยิปต์พยามยึด Ayoun ทางตอนใต้ของคลองสุดเอซ ก็ถูกโจมตีโดยกองทัพอากาศของอิสราเอลเสียหายอย่างหนัก ทำให้ต้องถอยร่นกลับมาในแนวหลัง โดยอิยิปต์ทำได้เพียงยิงปืนใหญ่เข้าใส่แนวของ อิสราเอลเท่านั้น และทั้งสองก็ปะทะกันประปราย โดยที่ส่วนมากเป็นการปะทะกับรบพิเศษและพลร่ม ซึ่งถูกส่งมายังแนวหลังเพื่อก่อกวน แต่ว่ารบพิเศษที่ว่านี้ก็สูญเสียอย่างหนัก(จาก1700 เหลือ700) ในวันเดียวกัน กองลาดตระเวณของอิสราเอลก็พบ ช่องโหว่ระหว่าง กองทัพภาคที่2 และสาม ของอียิปต์
รถถังเซนจูเรียน ของอิสราเอล
แต่ทว่า อิสราเอลรู้ดีว่า การรุกในตอนนี้มีแต่จะเจ็บตัว และรู้ดีว่า อิยิปต์จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้
อิสราเอลกำลังเฝ้ารอโอกาศที่จะมาถึง วันที่12 มอสสาดก็ได้รายงานสิ่งสำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม ว่า อิยิปต์กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมเคลื่อนพล เพื่อเตรียมยึด Mitla และ Gidi เพื่อเปิดโอกาศให้กับซีเรียด้วย ตอนนี้ซีเรียหยุดทัพ(ทำให้อิสราเอลสมารถโยกองทัพอากาศ เข้ามาสนับสนุนสู้กับอิยิปต์ได้) ในที่สึดสิ่งอิสราเอลเฝ้ารอก็มาถึง
ในวันที่ 14 ตุลาคม ทันทีที่อิยิปต์เริ่มเคลื่อนทัพ
กองทัพอิสราเอลจึงเคลื่อนที่ตัดระหว่างช่องโหว่ของกองทัพภาคที่2-3ของอิยิปต์ โดยอาศัยความเร็วและความเข้าใจในพื้นที่ และการประสานงานที่ฝึกซ้อมมาเป้นอย่างดี และปืนใหญ่ก็ไม่สามารถสนับสนุนได้อย่างเต็มที่เพราะอยู่ในระหว่างการเคลื่อนพล กองทัพอิสราเอลเคลื่อนที่เข้าตัดตรงกลางก่อนจะโจมตีกองทหารราบซึ่งไม่มียานเกราะคุ้มกัน อิยิปต์ส่งหน่วยรบพิเศษ 100คนทางเฮลิคอปเตอร์ลงทางแนวหลังเพื่อโจมตีด้านหลังอิสราเอลเพื่อถ่วงเวลา แต่ทว่าไม่สามารถทำอะไรได้ รถถังของอิสราเอลเข้าถึงสะพาน ก่อนจะโอบล้อมและทำลายเครือข่ายการสั่งการของอิยิปต์ และกองทหารอิสราเอลก็ทำลายฐานแซม และยุทธปัจจัยในแนวหลัง โดยยุทธการนี้อิสราเอลเสีย รถถังไป 40คัน ส่วนอิยิปต์เสียรถถังไป250คัน และยานเกราะ 200 และทหารราบ ราว1000 คน
ทหารอิสราเอลกำลังข้ามคลองสุเอซ
ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในยุทธการครั้งนี้
วันที่15 ตุลาคม 1973 กองทหารของอิสราเอล จำนวน 20 คัน และ 7ยานเกราะเบาเคลื่อนที่เข้ามาในแดนอิยิปต์ราว12กม. ทำลาย เครือข่ายแซมที่เหลือที่ตั้งอยู่แม่น้ำ ทำให้เครื่องบินอิสราเอลที่เคยไม่สามารถโจมตีทางอากาศได้ ปลอดภัยจากการโจมตีของแซม แม้จะมีการต่อต้านจากเครื่องบินของอิยิปต์ แต่ด้วยฝีมือนักบินและจำนวนเครื่องบินรบที่แตกต่างกันมาก เพราะอิยิปต์สูญเสียเครื่องบินและนักบินมือดี ในสงคราม 6วันเกือบหมด ทำให้กองทัพอากาศของอิยิปต์แทบไม่ได้สร้างปัญหาให้อิสราเอลเลย
ภาพแสดงการโต้กลับของอิสราเอล
เครื่องบินอิสราเอล ทำลายสะพานที่เหลือทั้งสามแห่ง ซึ่งเคยได้รับการคุ้มกันจากแซมที่อยู่แนวหลัง เครื่องบินอิสราเอลยังโจมตีและทำลายสายการสื่อสารใต้ดินที่ Banha ใน สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ บังคับให้ชาวอียิปต์ใช้ส่งข้อความโดยวิทยุซึ่งอาจถูกดักฟังได้ นอกเหนือจากสายเคเบิลที่ Banha จากนั้นก็เป็นทีของสกั๊ดที่ตอนนี้จอดรออยู่ที่ท่าเรือซึ่งถูกทำลายโดยป้องกันตัวเองไม่ได้เลย
วันที่ 16 ตุลาคมอิสราเอล โจมตีchina farm ซึ่งเป็นจุดตรวจการชั้นดีจากด้านหลัง ในขณะที่ อีกส่วนก็โจมตีจากทางด้านหน้า หลังการต่อสู้ อิสราเอลตาย300 บาดเจ็บ 1000 เสียรถถังไป 56คัน อียิปต์เสียรถถังไป115คัน จนถึงตอนนี้การอิสราเอลทำลายเครือข่ายการสื่อสารทำให้กองทัพของอิยิปต์ที่อยู่อีกฝั่งของคลองเกิดการสับสนในการสั่งการ และไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของอิสราเอล
เพื่อแก้สถานการที่เกิดขึ้น อิยิปต์ส่งกองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21 จากกองทัพภาคเหนือ และ กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25จากทางกองทัพภาคใต้ เข้าโจมตีจากทางเหนือและใต้ บริเวณตรงกลางที่อิสราเอลเจาะผ่านมาได้ เืพื่อโดดเดี่ยวกองกำลังของอิสราเอลที่ข้ามคลองไป แต่ทว่าด้วยความสับสนในการสั่งการ ทำให้ทั้งสองโจมตีไม่พร้อมกัน และไม่มีการลาดตระเวณทำให้ไม่ทราบว่ามีกองพันยานเกราะที่162 ของอิสราเอลซุ่มอยู่ โดย กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21ได้มาถึงก่อน กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 21 จึงถูกโจมตี สูญเสียรถถังไปราว50-60คัน ส่งผลให้ต้องล่าถอยไป ก่อนที่กองพันยานเกราะที่162 ของอิสราเอล จะหันไปซุ่มโจมตี กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25 ของอิยิบปต์มาถึงทีหลัง จึงถูกทำลาย 86 จาก 96คัน
รถถัง T-62 ซึ่งเป็นรถถังหลักของ กองพันยานยนตร์หุ้มเกราะที่ 25
ภาพทหารอิสราเอลในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ริมคลองสุเอซ
วันที่ 17 ตุลาคม อิยิปต์ส่งฝูงบินจำนวน20ลำเพื่อทำลายสะพาน แต่ทว่าเจอกับเครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลทำให้สูญเีสียไป 16ลำ เฮลิคอปเตอร์ 7ลำ ส่วนอิสราเอลเสียไป 6ลำ ในเวลาต่อมา ปืนใหญ่และปืนครก ก็ถูกระดมยิงเข้ามา ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์เปิดภารกิจฆ่าตัวตายโดยบรรทุกระบิดนาปลามร์แล้วเข้าพุ่งชนสะพาน ทำให้สะำพานได้รับความเสียหายอย่างหนัก คอมมานโด และมนุษย์กบเข้ามาลอบโจมตีสะพาน
แต่สะพานก็ได้รับการซ่อมแซมในเวลากลางคืน โดยยุทธการนี้ฝ่ายอิสราเอลสูญเสียรถถังไป10คัน
แต่อย่างไรก็ตามการที่สูญเสียอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี
วันที่18 อิสราเอลจึงเปิดปฏิบัติการอีกครั้งโดยยึด Ismailia ที่พลร่มอิยิปต์ยึดครองอยู่ เพื่อทำให้สะพานรอดพ้นจากจุดตรวจการของปืนใหญ่ ภายใต้การนำของ แอเรียล ชารอน แต่ปรากฏว่าโดนต้านทานอย่างหนัก ทำให้ต้องหยุดอยู่ที่สี่แยกในNefália
ส่วน กองทัพของAdan ไปทางทิศใต้ของคลองสุเอซ ในขณะที่กองทัพของ Magen มุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่ไคโรและทิศใต้ไปทาง Adabiya
ที่ 19 ตุลาคม กองทัพของแอเรียล ชารอนพยามอีกครั้ง จนผลักดันพลร่มอียิปต์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ Ismailia ลึกเข้ามาในดินแดนอิยิปต์ราว8-10กิโลเมตร ในเวลาเดียวกัน กองพลที่สองของชารอนเริ่มที่จะข้ามคลอง พลร่มอิยิปต์ถอยร่นไปที่ ค่ายอาบูสุลต่าน บริเวณตอนเหนือของ Orcha ซึ่งกองพันทหารคอมมานโดของอิยิปต์เข้ามาสมทบ แต่ทว่า ตอนนี้ ทหารอิสราเอลได้ที่มั่นที่สูงกว่าประกอบกับกำลังเสริมที่เข้ามาถึงพอดี พอตกค่ำ แนวตั้งรับที่ Orchaก็แตก อิยิปต์ สูญเสียทหารไป300 ถูกจับ 15นาย อิสราเอลสูญเสียไป 18 นาย การล่มสลายของ Orcha
ทำให้สายส่งกำลังบำรุงที่คอยส่งให้ทหารอิยิปต์ในไซนายถูกตัดขาด โดยจุดตรวจการปืนใหญ่ก็ถูกยึดด้วย ทำให้ปืนใหญ่อิยิปต์เริ่มขาดความแม่นยำ แต่ทว่า ทหารอิสราเอลขยายแนวรบไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยส่งทหารไป1กองพัน แต่เจอทหารอิยิปต์วางกับระเบิด แทรกซึมเข้ามาจากทางด้านใต้ก่อนจะโจมตีทางด้านหลัง แต่ก็สูญเสียหนักทั้งสองฝ่าย แม้จะมีกำลังทางอากาศสนับนุน Ismailia ก็ยังถูกยึดได้อย่างไม่สมบรูณ์ โดยจนถึงวันที่ 21ยึดได้แค่เพียง 1ใน3 และรอบนอกเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น แนวข้ามคลองของอิสราเอลก็ขยายเพิ่ม เป็น40กิโลเมตร
9K11 Malyutka อาวุธต่อต้านถังที่อิยิปต์นำมาใช้
วันที่ 22 ทหารอิสราเอลยึดแนวป้องกันสุดท้ายของเมือง Ismailia ได้ แต่ทว่าทหารอียิปต์ โต้กลับผลักดันทหารอิสราเอลกลับไป 10กิโลเมตร
กองทัพของAdan และ Magen เคลื่อนทัพไปทางทิศใต้ แต่ก็เจอกับ ทหารอิยิปต์ที่รวมพลกันใหม่ซึ่งต้านทานอย่างหนัก และทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก อิสราเอลตัดสินใจ แบ่งกองทัพออกเป็นสองทาง โดยส่วนหนึ่งไปทำลายเครือข่ายแซมที่ เขา Geneifa ทำให้เครื่องบินอิสราเอลสามารถเข้ามาสนับสนุนการโจมตีได้ ในที่สุดกองทัพที่3 ของอิยิปต์ ก็ถูกล้อมโดยสมบูรณ์ โดยตอนนี้ กองทัพของอิสราเอลห่างจากกรุงไคโรเพียง 101 กิโลเมตร และยึดพื้นที่รอบคลองสุเอซฝั่งอิยิปต์ได้ 1,600 ตารางกิโลเมตร แม้ว่าจะมีกองทัพอิยิปต์ ขนาดใหญ่อีกสองกองทัพซึ่งตั้งอยู่ฝั่งไซนาย
แต่ทว่า การกำลังขาดการส่งกำลังบำรุง
แต่ทว่ามติ สหประชาชาติที่303 ก็มาถึง ซึ่งลงนามโดยสปอร์เซอร์ยักษ์ใหญ่ของทั้งสอง อเมริกา และสหภาพโซเวียต โดยให้ทั้งสองหยุดยิง
รูปแสดงดินที่ทั้งสองฝ่ายยึดครองในช่องสงคราม
Ismailia สมรภูมิเดือดปี1973 ในสภาพปัจจุบัน
ประธานาธิปดีอัลซาดของซีเรียกับทหารในหลุมบุคคล
ทางด้านซีเรีย
ในวันเริ่มสงคราม บริเวณที่ราบสูงโกลาน ซีเรียเปิดการโจมติอิสราเอลด้วยปืนใหญ่ 188 กระบอก โดยปืนใหญ่ระดมยิงอยู่ถึง 50 นาที พวกเขาเริ่มการโจมตีพร้อมๆกับ การโจมตีทางอากาศประมาณ 100 เที่ยวบิน ทหาร 3กองพันบุกไปข้างหน้าข้ามแนวผู้สังเกตการของสหประชาชาติ ตามด้วยกองกำลังจู่โจมหลักซึ่งถูกคุ้มครองด้วยเครือข่าย sam คูดักรถถังถูกถมด้วยถังใส่ดินซึ่งเตรียมาก่อนหน้านี้
โดยที่ทหารอิสราเอลมีเพียง ทหาร 3,000 รถถัง 180 ปืนใหญ่ 60 กระบอก ต้องเผชิญหน้าทหารซีเรีย 28,000คน รถถัง800คัน ปืนใหญ่ 600 กระบอก การโจมตีหนักหน่วงที่สุด บริเวณเกิดที่ฐานที่มั่นของอิสราเอลที่สำคัญที่สุดที่ภูเขาเฮอร์มอน ซึ่งมีความหลากหลายของอุปกรณ์การเฝ้าระวังอยู่ อิสราเอลกำลังพยายามที่จะตอบโต้หยุดการโจมตีของซีเรีย
ที่ราบสูงโกลานได้รับความสำคัญจากกองบัญชาการทหารของอิสราเอลสูงสุด เพราะมันอยู่ใกล้กับศูนย์ประชากรของอิสราเอล ซีเรียได้ไปก็จะก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ร้ายแรงไปยังเมืองของอิสราเอลที่สำคัญเช่น ทิเบเรีย , เฟ็ด , ไฮฟา และ เนทันยา ดังนั้นคำสั่งที่มาถึง
ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไปที่ราบสูงโกลานจะเสียไปไม่ได้
กองหนุนได้รับคำสั่งให้ไปถึงที่ราบสูงโกลานให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พวกเขาได้รับมอบหมายให้ขึ้นรถถังและถูกส่งตัวไปแนวหน้าทันทีที่พวกเขามาถึงที่สถานีของกองทัพ โดยไม่รอให้ ติดตั้งอปุกรณ์เสริมหรือตั้งศูนย์ปืนก่อน ซีเรียซึ่งเคยคาดไว้ว่า จะใช้เวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อส่งกำลังสำรองของอิสราเอลไปถึงแนวหน้า ในความเป็นจริงหน่วยสำรองเริ่มถึงแนวหน้าโดยใช้เวลาเพียง 15 ชั่วโมงหลังจากที่สงครามเริ่ม
T-62 ในที่ราบสูงโกลาน
เหมือนอย่างอียิปต์ที่ไซนาย ซีเรียอยู่ภายใต้การคุ้มครอง SAM ของพวกเขา กองทัพอากาศอิสราเอลที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในการโจมตีเที่ยวแรกก็สูญเสียไปถึง 40 เครื่องจากระบบต่อต้านอากาศยานของซีเรีย แต่เมื่อเที่ยวที่สอง นักบินอิสราเอลเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ใหม่ บินในระดับต่ำกว่าเรดาห์ ก่อนจะเชิดหัวขึ้น ในจังหวะที่จะทิ้งระเบิด เครื่องบินอิสราเอลทิ้งระเบิดทั้งธรรมดาและเพลิง ทำลายล้างกองกำลังหุ้มเกราะซีเรีย แต่จังหวะเดียวกันนี้ก็มักถูกยิงตก ในวันที่สองของสงครามกองทัพอากาศอิสราเอลพยายามที่จะทำลายระบบต่อต้านอากาศยานของซีเรีย โ้ค้ดเนมปฏิบัติการคือ Doogman 5 อิสราเอลเจอกับบทเรียนราคาแพง อิสราเอลทำลายsam ได้เพียงหนึ่งระบบ แลกกับเครื่องบิน 6ลำ
รถถังเซนจูเรี่ยนของอิสราเอล
หกชั่วโมงของการโจมตีครั้งแรก จำนวนทหารของอิสราเอลน้อยกว่า ถึง10ต่อ1 ทำให้แนวป้องกันที่วางเอาไว้ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ กองพลรถถังซีเรียผ่าน Rafid Gap ก่อนจะหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่เรียกกันว่าถนนTapline ซึ่งตัดทแยงมุมข้ามที่ราบสูงโกลาน ซึ่งซีเรียจะใช้มันข้ามผ่าน Nafah หากซีเรียรุกผ่านมาได้ สถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองพลอิสราเอล ก็อยู่เพียงแค่เอื้อมมือ
ถนนนี้จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของการต่อสู้
ที่Nafah ในช่วงเวลากลางคืน กองกำลังซีเรียรุกเข้ามาใกล้แนวของอิสราเอล โดยใช้แว่นตามองกลางคืน อิสราเอลปล่อยให้เข้ามาใกล้ก่อนจะเปิดสปอตร์ไลทร์ทำให้ทหารซีเรียตาพร่า แล้วโจมตี ประสานกับปืนใหญ่อัตราจรซึ่งได้ชัยภูมิที่ดีกว่า แต่ไม่นานซีเรียก็เริ่มตั้งตัวได้ พร้อมๆกับใช้การจำนวนที่เหนือกว่า เข้ากดดัน เวลาเดียวกันนั้นเอง Cpt. Zvika Greengold ที่เพิ่งแต่งงานได้เพียงวันเดียว ก่อนหน้าสงคราม หลังสู้กับซีเรียเป็นเวลา20ชั่วโมง หมวดรถถังของเขามีทั้งหมด6คัน ก็สูญเสียไปหมด จนเหลือรถถังของเขาแค่คันเดียว ตัวGreengold เองก็ได้รับบาดเจ็บ เดินทางมาถึงพอดีกับซีเรียกับอิสราเอลกำลังต่อสู้กัน เขาจึงร่วมรบด้วยทันที โดยยิงจากด้านข้าง ทำลายรถถังซีเรียไป10คัน ซึ่งการมาถึงของเขานี้ทำให้ซีเรียคิดว่าตนเองกำลังถูกล้อมด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ ทั้งๆที่เป็นรถถังเพียงแค่คันเดียว จึงถอยร่นจากแนวรบอย่างไม่เป้นขบวน พร้อมกับได้รับความสูญเสียเป็นอย่างมาก นายพลจัตวา Oh Abrash ของซีเรียตายในที่รบ
หลังจบสงคราม Cpt. Zvika Greengold ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุด
Cpt. Zvika Greengold
รถถังซีเรียที่ถูกทำลาย
รูปแสดงแผนภูมิการรบในซีเรีย
ในวันที่ 4 ของการต่อสู้ 7th Armored Brigade ของอิสราเอล ในภาคเหนือก็สามรถ จัดการยึดเนินเขาเพื่อปกป้อง ด้านข้างของสำนักงานใหญ่ การรบใน Nafah ก่อให้เกิดความสูญเสียหนักในซีเรีย อย่างไรก็ตามซีเรียยังคงโจมตีต่อไปกองกำลังของอิสราเอลเริ่มเป็นฝ่ายสูญเสียบ้าง
จนถึงบ่ายวันที่ 9 ตุลาคม รถถังอิสราเอลก็เหลือเพียง 6คัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน รถถังของ Lt. Col. Yossi Ben-Hanan จำนวน15คัน ก็ เข้าโจมตีจากด้านข้าง ทำให้ซีเรียคิดว่าอิสราเอลมีกองหนุนแล้วจึงถอยร่นกลับไป
ไปทางทิศใต้ Barak Armored Brigadeของอิสราเอล ได้รับการสูญเสียอย่างหนัก ซีเรียได้ชะลอตัวลงในตอนแรกเมื่อเจอกับทุ่นระเบิด แต่ซีเรียยังคงเดินหน้าเข้ามา และ Barak Armored Brigade เริ่มที่จะได้รับสูญเสียหนักขึ้น อิสราเอลยังคงต่อสู้แม้จะ หมดหวังที่จะซื้อเวลาสำหรับกองกำลังสำรองที่จะไปถึงแนวหน้า
ตราอามร์ของ Barak Armored Brigade
ในเวลากลางคืนซีเรียได้ใช้แสงอินฟาเรดในการนำทาง ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ด้วยการใช้ไฟส่องสว่างและโปรเจคเตอร์ไฟซีนอนในรถถังของพวกเขา รถถังบัญชาการของพันเอก Shohamถูกทำลาย เขาเสียชีวิตทันที พร้อมกับเจ้าหน้าที่สองนาย ถึงตอนนี้Barak Armored Brigade ไม่สามรถหยุด รถถังของซีเรีย ที่กำลังมุ่งหน้าไปยัง ทะเลสาปกาลิลี แต่แล้วจู่ๆ รถถังของซีเรียก็หยุดการโจมตีก่อนจะถอยหลังกลับไปเชื่อว่าเป็นเพราะ การสูญเสียผบ. และพ่ายแพ้ใน Nafah ทำให้ซีเรียประเมิน กองกำลังของอิสราเอลสูงกว่าความเป็นจริง โดยเริ่มหยุดยิงเมื่อเวลา 17.00 การหยุดยิงดำเนินไปตลอดทั้งคืนทำให้กองกำลังอิสราเอลมีเวลา ที่จะสร้างแนวป้องกัน
กระแสสงครามเริ่มต้นย้อนกลับ ถึงตอนนี้อิสราเอลมีกำลังเต็มที่แล้ว ในวันที่ 8 ตุลาคมอิสราเอลเริ่มผลักดันซีเรียกลับสู่ที่ตั้งเดิมก่อนสงคราม อิสราเอลที่ได้รับบาดเจ็บหนักในช่วงสามวันแรกของการต่อสู้ ก็เริ่มยิงปืนใหญ่เพื่อขับไล่ซีเรียจากระยะไกล ที่ราบสูงโกลานแทบไม่มีที่กำบังให้รถถังเลย วันที่9 ตุลาคมซีเรีย ยิง FROG-7ขปนาวุธพื้นสู่พื้น ตกไปยัง ฐานบินของอิสราเอลของ สังหารนักบิน-บาดเจ็บหลายราย อิสราเอลส่ง F-4 7ลำเข้าไปทิ้งระเบิดในซีเรียทำลายศุนย์การบัญชาการ และ สถานีเรดาห์รวมถึงสนามบิน ซีเรียย้าย sam กลับเข้าไปป้องกันดามัสกัส ซีเรียพยามโต้กลับแต่ไม่เป็นผล 10 ตุลามคม ทหารของซีเรีย ทั้งหมดถูกผลักกดันออกจากที่ราบสูงโกลาน
การตัดสินใจตอนนี้ ว่าจะหยุดที่ชายแดน1967 หรือที่จะเดิรหน้าต่อเข้าไปในดินแดนซีเรีย ผลมติในสภา ให้เดินหน้าต่อเพื่อการเจรจาจะได้ สิ่งต่อรองมากที่สุด
FROG-7ขีปนาวุธพื้นสู่พื้น
นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โกดาเมียร์
วันที่ 11 ตุลาคมกองกำลังอิสราเอลผลักดันเข้าไปในซีเรียมุ่งสู่ดามัสกัสตามถนน Qunaytirah วันที่ 12 ตุลาคม อิสราเอลส่งหน่วยรบพิเศษ Sayeret หน่วยลาดตระเวน Tzanhanim ทำการ แทรกซึมลึกเข้าไปในซีเรียและทำลายสะพานในพื้นที่สามชายแดนของซีเรียระหว่างอิรักและ จอร์แดน การดำเนินการหยุดชะงัก การไหลบ่าของอาวุธและกองกำลังทหารไปซีเรีย
วันที่ 14 ตุลาคมเผชิญการต่อต้านโดยกองหนุนซีเรียที่เตรียมไว้ อิสราเอลบุกครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จแต่ทว่าการบุกครั้งที่สองสามารถยึดพื้นที่ 50 ตารางกิโลเมตรของดินแดนใกล้เมืองบาชาน ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ จากตรงนั้นอิสราเอลสมารถตั้งปืนใหญ่ M107 ยิงถล่มเข้าไปในกรุงดามัสกัสได้
อิรัก ตัดสินใจส่งทหาร 30,000 คน รถถัง 250-500 APC 700 เข้ามาช่วยซีเรีย แต่ก็เจอกับ การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล
M107
แต่อย่าไงไรก็ตาม การที่อิรักส่งทหารเข้ามาช่วยนี้สร้างความหนักใจให้กับ อิสราเอลจึงหยุดอยู่ที่ชานเมืองดามัสกัส เพื่อประเมินกองกำลังที่เข้ามาเสริมใหม่ แม้จะมีความพยายาม จะตอบโต้ แต่กองทัพอากาศอิสราเอลเหนือกว่ามาก โดยวันที่23ตุลาคมเพียงวันเดียว เหนือท้องฟ้ากรุงดามัสกัส เครื่องของซีเรียถูกทำลาย10ลำ กองทัพอากาศอิสราเอลใช้ความเหนือกว่าทางอากาศที่จะโจมตีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ทั่วประเทศซีเรีย ทำลายคลังน้ำมัน ระบบขีปนาวุธ สะพาน ค่ายทหาร
ซีเรียเตรียมการตอบโต้ขนาดใหญ่ที่จะผลักดันกองกำลังอิสราเอลออกจากซีเรีย
ในวันที่ 23 ตุลาคม ซีเรียรวมกองกำลังที่เหลืออยู่ สนธิเข้ากับกำลังเสริมที่ได้จากอิรัก และจอร์แดนที่กำลังเดินทาง รวมทั้งอาวุธที่ได้จากสหภาพโซเวียตที่ส่งมาให้แทนสิ่งที่เสียไปในช่วงแรก แต่ทว่าแรงกดดันจาก ยักษ์ใหญ่ทั้งสองก็มาถึง ในท้ายที่สุดประธานาธิบดี ของซีเรีย ตัดสินใจที่จะยกเลิกการโจมตีในวันที่23 ตุลาคม และอิรักก็สั่งให้ทหารของตนกลับบ้าน และประกาศหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ภาพความสูญเสียในระหว่างสงคราม
ภาพอิสราเอลกำลังโจมตีในยุทธการที่ หุบเขาแห่งน้ำตา
ภาพยุทธการในท้องทะเล
ปะทะซีเรีย
ปะทะอิยิปต์
สรุปตัวเลขการสูญเสีย
กำลังของอิสราเอล
บาดเจ็บและสูญเสีย
ตาย 2,521 -2800
ได้รับบาดเจ็บ 7,250 -8800
ถูกจับ 293
รถถังถูกทำลาย 1063
รถเกราะทำลายหรือถูกจับ 407
เครื่องบินถูกทำลาย 102-387
กองกำลังของฝ่ายอาหรับ
ตาย 8,000 -18,500
ที่ได้รับบาดเจ็บ 18,000 -35,000
จับ 8,783
รถถัง 2,250 -2,300
เครื่องบิน 514
เรือรบจม 19 ลำ
ทหารของสหประชาชาติที่ หลักกิโลเมตรที่ 101
หลังประกาศหยุดยิง ในวันที่ 28 ตุลาคม มีการพบกันที่ หลักกิโลเมตรที่ 101 ระหว่างอิสราเอลนายพล อารอน ยารีฟ และอียิปต์นาย พล อับเดลกาห์เอล กามาซี ด่านสหประชาชาติถูกนำตัวเข้ามาแทนที่ทหารอิสราเอล อุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวกับทหาร ได้รับอนุญาตให้ผ่านและแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ
การประชุมการประชุมสุดยอดในเจนีวา ที่ตามมาในเดือนธันวาคม 1973 ของทุกฝ่ายที่เข้าร่วมสงคราม - อิสราเอล ซีเรีย จอร์แดน และอียิปต์ -
ในที่สุดการเจรจาก็ได้รับก่ีตอบสนอง โดยอิสราเอลค่อยๆคืนดินแดนที่ได้ในสงคราม6วัน มาแลกกับสนธิสัญญาสันติภาพ
การประชุมที่แคมป์เดวิด
ข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ก็มาถึงในที่สุด 17 กันยายน 1978 ในการประชุมที่แคมป์เดวิด หลังจากการเจรจาเป็นเจ้าภาพโดยประธานาธิบดี จิมมี่คาร์เตอร์ . ตามสนธิสัญญากองกำลังอิสราเอลถอนตัวออกเรื่อย ๆ โดยทหารคนสึดท้าย ออกจากดินแดนที่ยึดครองเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1982
โดยอันวาซาดัต ได้ รางวัลโนเบลสันติภาพร่วมกับ เมนาเฮม เบกิน และประธานาธิปดีจิมมี คาเตอร์
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเศร้า เมื่อ พวกหัวรุนแรง ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาสันติภาพ กับอิสราเอล อันวาซาดัต จึงถูกลอบสังหารใน
วันที่6 ตุลาคม พ.ศ. 2524
การเข้ามามีอิทธิพลของสองยักษ์ใหญ่
วันที่ 6 ตุลาคมรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ แนะนำว่าควรส่งอาวุธและความช่วยเหลือไปยังอิสราเอล แต่จาการประเมินแล้ว ในตอนแรกเริ่มของสงคราม อเมริกาเชื่อว่าอิสราเอลจะได้ชัยภายใน 72-96 ชั่วโมง
แต่ทว่าทุกอย่างกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม โดยวันที่ 8 ตุลาคมอิสราเอลได้พบปัญหา อิยิปต์เตรียมตัวมาดีเกินคาด อิสราเอลไม่สามารถหยุดกองกำลังของอิยิปต์ได้เลย กองกำลังซีเรียรุกเข้ามาจนสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำจอร์แดน และระบบป้องกันทางอากาศของฝ่ายอาหรับทำให้ เครื่องบินอิสราเอลเกิดความสูญเสียอย่างมาก และ มันเป็นที่ชัดเจนว่าสถานการไม่มีทางพลิกกลับได้ วันที่8ตุลาคม นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลได้กล่าวว่า "นี่คือจุดสิ้นสุดของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม"มองดูผ่านๆ เธอหมายถึงความพ่ายแพ้ของอิสราเอล แต่คำว่า "วัด" เป็นรหัสที่ใช้เรียกอาวุธนิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกอิสราเอลได้เตือนว่าประเทศกำลังเดินเข้ามาใกล้จุดของ "สุดท้าย" ในคืนนั้นเองขีปนาวุธเจริโคซึ่งสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ก็ถูกติดตั้ง F- 4ที่ฐานทัพอากาศโทนอฟสก็ถูกเชื่อว่า กำลังติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ขนาด20กิโลตันด้วยเช่นกัน ทำให้สหรัฐอเมริกาส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด้วนเพื่อไม่ให้อิสราเอลใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยผ่านทางโปรตุเกตและเนเธอร์แลนด์
โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่ง ยุทธปัจจัย 22,395 ตันไปยังอิสราเอล 8,755 ตันมาถึงก่อนการสิ้นสุดของสงคราม โดยส่งทางอากาศ เป็นจำนวน 567เที่ยวบิน การการขนส่งมีมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน และ9หมื่นตันทางเรือ โดยขนส่งครั้งสุดท้ายในวันที่ 30ตุลาคม
โดยทั้งหมดมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ แปดร้อยล้านเหรียญ หรือประมาณ 4250ล้านเหรียญในราคาปัจจุบัน
การช่วยเหลือของฝ่ายโซเวียต
ทันทีที่ สหรัฐอเมริกา ส่งอาวุธไปยังอิสราเอล สหภาพโซเวียตได้เริ่มจัดส่งอาวุธไปยังอิยิปต์ และซีเรีย
โดยวันที่ 9 ตุลาคม สหภาพโซเวียตประกาศว่า เริ่มส่งอาวุธให้อียิปต์และซีเรียทั้ง ทางอากาศและทางทะเล โซเวียตส่งยุทธปัจจัยเป็นจำนวน 12,500-15,000 ตัน 6,000 ตันไปอียิปต์ 3,750 ตันไปซีเรีย และ 575 ตันไปอิรัก โดย อียิปอ้างว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งการขนส่งจริง ไปซีเรีย ทั้งๆที่อิยิปต์ สูญเสียมากกว่า โดยขนส่งทางอากาศกว่า 900 ภารกิจ
ในวันที่ 30 ตุลาคม โซเวียตก็ส่งไปให้อีก 63,000 ตันส่วนใหญ่ไปยังประเทศซีเรียโดยใช้การขนส่งทางทะเล โดยในนี้เป้นรถถังจำนวนกว่า 400คัน ซึ่งเป็น T-55และT-62เพื่อนำไปแทนที่การสูญเสียของซีเรีย โดยอิยิปต์อ้างว่า ไม่ได้รับรถถังใด ๆ จากโซเวียตนี่เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สายความสัมพันธ์ระหว่างโซเวียตและอิยิปต์เกิดปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม ในก่อนหน้าจะสิ้นสุดสงคราม มีการตรวจพบความเข้มข้นของรังสี ซึ่งอาจเป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมันถูกจัดเก็บไว้ที่ท่าเรืออเล็กซานเดีย นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ทั้งคู่กดดันให้มีการหยุดยิง
และ อันวา ซาดัตได้หันไป เปิดความสัมพันธ์กับอเมริกา และเกิดการประชุมที่แคมป์เดวิด อย่างไรก็ตามการเจรจาสันติภาพนี้ ไม่เป็นที่ถูกใจพวกหัวรุนแรงเป็นอย่างมาก อันวา ซาดัต จึงถูกลอบสังหารอยู่หลายครั่ง ก่อนที่ จะประสบความสำเร็จใน วันที่6 ตุลาคม พ.ศ. 2524
ซึ่งการลอบสังหารนี้เปิดโอกาสให้เผด็จการคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ และอิยิปต์ก็กลายเป็นพันธมิตรของอเมริกาอย่างเต็มตัว พร้อมๆกับ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต สงครามครั้งใหญ่ระหว่างยิวและอาหรับ จึงไม่มีอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เกิดอะไีรขึ้นกับอิยิปต์ต่อจากนั้นอ่านได้ที่นี่ครับ
http://thaipublica.org/2013/01/hosni-mubarak-of-egypt-the-sphinx-1/
เครดิต และอ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Yom_Kippur_War
http://en.wikipedia.org/wiki/Anwar_Sadat
http://www.defencejournal.com/2002/nov/4th-round.html
http://www.nationalreview.com/article/360505/how-we-used-do-it-mario-loyola
http://www.globalsecurity.org/military/library/report/1984/ORL.htm
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น