คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : การพบพานในยามราตรี
การพบพานในยามราตรี
ปาโดวา ช่วงปลาย คริสต์ศตวรรษที่15
สายลมโชยพัดยามดึกสงัดไร้ผู้คนเพ่นพ่าน แสงจากไฟริมทางเรืองรองแผ่วบางท่ามกลางหมอกหนาไม่สามารถสู้ได้กับจันทร์นวลดวงโตในวันข้างขึ้น สุกสว่างสาดแสงในราตรีได้ดีกว่าแสงใด ขับบรรยากาศให้ดูโรแมนติกหากได้ไวน์รสเลิศสักแก้วพร้อมกับคู่ใจใต้แสงจันทร์
ปาโดวาในยามค่ำคืนนั้นแสนเงียบสงบและสุขสันต์ ช่วงเวลาในฤดูเก็บเกี่ยวนั้นเป็นผู้คนต่างเหนื่อยอ่อนในย่ำค่ำคืนเนื่องจากเร่งร้อนเก็บผลผลิตในยามกลางวัน แม้หลับใหลด้วยความเหนื่อยล้าหากแต่ก็เปี่ยมสุข เมื่อนึกถึงคลังเก็บอาหารที่เต็มล้นต้อนรับฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา
...ทว่า ก็ใช่ทุกคนจะหลับไหล
สองเท้าเหยียบย่ำไปตามพื้นถนนเป็นเสียงกึกกักของรองเท้ากระทบพื้นหิน แผ่วเบาทว่าแจ่มชัดเมื่อมันเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในความเงียบงันนี้ ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินท่อมอยู่ในยามราตรีที่มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร อากาศค่อนข้างหนาวด้วยใกล้สิ้นฤดูเก็บเกี่ยว หากผู้ที่ก้าวย่างไปอย่างสำราญใจนั้นดูจะไม่สะทกสะท้านกับอากาศหรือค่ำคืนอันเงียบเหงาวิเวกของเมืองปาโดวา หนึ่งในเมืองใต้ปกครองของนครรัฐเวนิสอันรุ่งเรือง
ฝีเท้าหยุดลงอีกคราเมื่อดวงตาสีทองสะดุดเข้ากับคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่ตรงหน้า การวางเวรยามตลอดจนสภาพรั้วรอบขอบชิดบ่งชัดว่าเป็นที่พำนักของบุคคลสำคัญไม่ก็ผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในดินแดนแห่งนี้ การลักลอบเข้าไปหรือการเข้ามาด้อมๆมองๆดูจะเป็นเรื่องที่น่าเสี่ยงอันตราย หากแต่ดวงตาที่มองลอดเข้าไปด้านในนั้นไร้ความหวั่นเกรง สิ่งที่เรียกความสนใจคือระเบียงชั้นบนซึ่งบานหน้าต่างเปิดอยู่พร้อมแสงไฟนวลตาทอลอดผ่านออกมา เสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วแต่ไพเราะจับจิต ทั้งจมูกกระสากลิ่นกำยานหอมบางเบาลอยมาตามสายลมอย่างเชื้อเชิญนำทาง
กว่าจะรู้ตัวสองเท้าก็มาหยุดยืนอยู่ที่ระเบียงเสียแล้ว ทั้งที่มีเวรยามแน่นหนาหากแต่ร่างนี้ปรากฏขึ้นด้วยวิธีใดก็ไม่อาจทราบได้ ฝ่าเท้าก้าวผ่านระเบียงห้องไปยังหน้าต่างบานยาวจรดพื้นซึ่งมีผ้าม่านผืนใหญ่ไหวพริ้วไปตามสายลม เมื่อก้าวเข้ามาในห้องที่สว่างไสวไปด้วยตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ดวงตาคู่นั้นก็จ้องมองไปยังผู้ที่อยู่ในห้องทันควัน กลิ่นกำยานยิ่งชัดเจนชวนเคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะเมื่อได้กลิ่นมันพร้อมกับทอดมองบุรุษเจ้าของห้องในห้วงนิทรา...
‘น่ากิน’ คำแรกที่ผุดขึ้นในใจผู้มาเยือนจากความมืดมิด สายตาเหลือบมองข้างหลังอีกครั้งก่อนตัดสินใจอยู่ในห้องที่แสนน่าอยู่นี้ ...อยู่กับ 'อาหาร' ที่แต่งตั้งให้เดี๋ยวนั้นแม้ว่าจะไม่ได้หิวโหยจนถึงกับต้องหาเรื่องกินก็ตาม
สองเท้าสืบเข้าใกล้เตียงสี่เสาอย่างเงียบเชียบ โน้มตัวลงมองใบหน้ายามหลับใหลของเจ้าบ้านไม่วางตา..
'ช่างเป็น...อาหารที่น่าทานเสียจริง' ริมฝีปากได้รูปรำพึงเบาๆพร้อมรอยยิ้มประดับ มือเรียวเย็นชืดไล้ใบหน้าคมคายแผ่วเบาทะนุถนอม สัมผัสความร้อนจากผิวกายที่มีชีวิตอย่างเพลินใจ
สัมผัสที่แม้แผ่วเบาหากแต่ก็เย็นเฉียบทำให้ร่างของผู้ถูกรุกรานค่อยขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆ ร่างกำยำบนเตียงหนาสวมเพียงเสื้อขาวตัวยาวและกางเกงสีดำลวกๆค่อยขยับตัวและเปิดดวงตาขึ้นละออกจากความง่วงงุนเพื่อเผชิญผู้มาเยือนในที่สุด
'เย็น' ความรู้สึกแรกที่รับรู้หลังจากนิทรา สติที่เริ่มเลือนพร่าทำให้สัมผัสรับรู้นั้นราวกับอยู่ในความฝัน กลิ่นหอมของกำยานที่จุดไว้ยามคืนค่ำลอยอวลอยู่ในอากาศ สัมผัสจากปลายนิ้วหอมเย็นแปลกไปราวกับไม่ใช่มนุษย์
นัยน์ตาสีอะเมธิสต์ปรือเปิดอย่างเชื่องช้า สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือปลายนิ้วที่สัมผัสใบหน้า และเรือนกายของใครบางคนที่แนบชิดอยู่ข้างเตียง ร่างนั้นปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาจากทางระเบียงซึ่งผ้าม่านผืนยาวถูกสายลมพัดพาจนปลิวไสว กลิ่นหอมประหลาดอายอวลทั่วห้องทำให้บรรยากาศดูราวกับอยู่ในความฝัน
"ฝันดีไหมเจ้าชายนิทรา... หากไม่ดี... ข้าจะช่วยให้มันดีกว่าที่เคยเป็น" เสียงหัวเราะหยอกเย้าดังแผ่วและถามคำเย้าหยอกพร้อมปลายนิ้วที่ลากสัมผัสเปลือกตา ผู้รุกรานอันอุกอาจท่ามกลางแสงจันทร์นี้ขยับกายขึ้นไปแนบชิดร่างกำยำด้วยเสื้อผ้าที่น้อยชิ้นหากเทียบกับฤดูกาลที่หนาวเอาเรื่อง
ดวงตาปรือเปิดขึ้นอย่างเต็มที่มองแขกไม่ได้รับเชิญผู้ที่ย่างกรายมาถึงเตียงกว้าง ตาสบตา แว่วเสียงคำพูดอีกฝ่ายและมองร่างกายของอีกคนที่สะท้อนแสงจันทร์นวล ผู้ที่ถูกบุกรุกเข้าถึงในห้องไม่ได้มีท่าทีแปลกใจใด ซ้ำยังผ่อนคลายเสียจนน่าประหลาดหากเทียบกับสถานการณ์ตรงหน้า ปลายนิ้วแตะลงบนผิวสีน้ำผึ้งสวยแปลกตา ก่อนจะแย้มรอยยิ้ม
"..เจ้าหญิง..มาปลุกข้าถึงนี่เชียวหรือ?"
"..มาส่งเจ้าสู่ฝันแสนหวาน ที่เจ้าหรือใครก็มิอาจเอ่ยถึงความสุขนั้นได้เป็นคำพูด" คำตอบนั้นมาพร้อมรอยยิ้มกว้างขึ้นและโชว์เขี้ยวเล็กคมกริบ เจ้าของวาจาก้มใบหน้าซุกซอกคออุ่นคลอเคลียคล้ายจะหยอกเล่น
"หืม...ฝันหวานเสียจนข้าพูดไม่ออกเชียวเหรอ เจ้าหญิง" ผู้ถูกคลอเคลียขยับตัวเอนพิงหัวเตียง เสื้อเชิ้ตขาวที่สวมอยู่แหวกออกเผยให้เห็นร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม ดวงตาสีม่วงอ่อนวาบขึ้นเมื่อมองเขี้ยวคมกริบของอีกฝ่าย ยกมุมปากขึ้นเนิบช้า ขณะที่ปลายนิ้วไล้หยอกไปตามร่างเปลือยเปล่าชวนฝัน
"ข้าหาใช่เจ้าหญิง... หากเรียกมัจจุราชคงเข้าที่กว่า" ผู้มาเยือนมีท่าทีขบขันเล็กน้อยก่อนลากปลายลิ้นสัมผัสลำคอขาวชิมรสร้อนๆจากร่างกาย เสพสุขกับความอบอุ่นที่ร่างมนุษย์มีให้ไม่ขาดโดยไม่คิดระวังตัวใดๆ
"มัจจุราชเหรอ?" ผู้ถูกรุกรานมองสบตาอีกฝ่ายพลางหัวเราะเบาๆในลำคอ "หากมัจจุราชจะ..งดงามเฉกนี้ ข้าก็ยอมตาย.." เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆดังขึ้น ท่าทีนั้นราวกับตกอยู่ในบ่วงเสน่ห์หาของชายตรงหน้าจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว ก่อนจะออกแรงกอดรัดเอวอีกฝ่ายให้แนบชิด
"ข้านึกอยากช่วงชิงชีวิตของเจ้าจากนางผู้เป็นที่รักนัก" ร่างเพรียวสีน้ำผึ้งแปลกตาหยัดกายขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทองอำไพกลายเป็นสีแดงเลือดดูน่ากลัว แต่ก็งดงามจนมิอาจละสายตา คมเขี้ยวดูยาวขึ้นจนน่าแปลกใจ ร่างของมัจจุราชแสนงามที่น่าหลงใหล แปรเป็นปีศาจร้ายที่งดงามเสียจนไม่อาจละสายตา
"ชีวิตเจ้า มอบมันให้ข้าซะ"
น้ำเสียงบ่งชัดว่าคนพูดเอาจริงไม่มีเล่นแฝงแววเอาแต่ใจไม่ปิดบัง และโน้มกายลงอีกคราหมายฝังคมเขี้ยวลงบนคอขาวจัดน่ากินนั้นอย่างไม่ลังเล ทุกสิ่งบ่งชัดว่าผู้มาเยือนนั้นแสนอันตราย หากแต่ผู้ฟังยังหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางจ้องมองดวงตาสีแดงเลือดงดงามนั้น ท่าทีของเจ้าของห้องไม่ได้แปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของอีกคนแม้แต่น้อย ทว่าท่ามกลางท่าทีผ่อนคลายนั้นเจ้าตัวก็เกร็งร่างขึ้น จับแขนเพรียวสีน้ำผึ้งไว้แล้วขยับพลิกตัวอย่างรวดเร็วให้อีกฝ่ายจมลงบนเตียงในจังหวะที่ผู้เผยคมเขี้ยวนั้นโน้มกายลงมาพอดี
"มาขอชีวิตกันง่ายแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เจ้าหญิง" ร่างสูงใหญ่ที่กลายเป็นผู้คร่อมทับเอ่ย พลางดึงแขนทั้งสองข้างนั้นไว้
"เจ้าหวงหรือ?" ดวงตาสีเลือดเบิกกว้างขึ้นนิดๆพลางยิ้มถาม ท่าทีไม่หยี่ระต่อการกระทำอุกอาจ เลือดจากลำคออีกฝ่ายติดอยู่ริมฝีปากจากเขี้ยวที่ฝังเข้าไปได้เล็กน้อย ทำให้ปลายลิ้นแลบเลียลิ้มรสเลือดสดๆตามสัญชาติญาณก่อนร่างกายจะสะท้านด้วยความพอใจและหลงใหล เพียงแค่ได้ชิมรสความกระหายก็พลันแล่นมาจากก้นบึ้งอันแห้งผากที่ไม่เคยเติมเต็มมาแสนนาน
"หวง? หากหมายถึงชีวิตก็ย่อมใช่" เจ้าของห้องทวนคำเบาๆก่อนจะยิ้มบาง นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นอากัปกิริยาสะท้านกายวาบแสนแปลกตานั้น ดวงตามองร่างอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกคราก่อนจะเอ่ยปาก "เป็นเจ้าสินะ ข่าวลือช่วงนี้..ที่ว่ามีผีดิบออกอาละวาด"
"ข้า...? "ผู้ฟังทวนคำแล้วขำ "นี่เป็นคืนแรกที่ข้าได้เหยียบย่างบนแผ่นดินนี้ เจ้าคงทายผิดแล้วกระมัง" ดึงแขนออกจากการเกาะกุมได้ง่ายดายด้วยแรงที่มากกว่าแม้ร่างจะเล็กกว่าผู้คร่อมทับมากนัก ผู้มาเยือนขยับกายนอนสบายๆอย่างไม่ร้อนรน นิ้วเขี่ยผ้าปูที่นอนเล่นพลางสบตาสีอะเมธิสต์ จมูกโด่งรั้นสูดดมกลิ่นหอมหวานไม่หยุด
"..หืม เช่นนั้น แสดงว่ามีผู้อื่น.." แม้จะถูกขัดขืนดึงแขนออกไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นร้ายกาจใช่เล่น ปลายนิ้วก็ยังไล้เล่นเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายอย่างใจกล้าแม้จะรู้ว่าอีกคนไม่ใช่มนุษย์ หากดวงตาพราวระยับด้วยความสนใจ เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปที่นิยมสนใจในสิ่งที่ผิดแผกกว่าตน "นอกจากเจ้าหญิงคนงามตรงหน้าข้างั้นหรือ?"
"เจ้าน่าจะลองพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนั้นเองนะเจ้าชายน้อย ข้าคงให้คำตอบอะไรแก่เจ้าไม่ได้" วลีที่แทนตัวเองกับอีกฝ่ายนั้นแปรเป็นเช่นนี้เมื่อไหร่ไม่อาจมีใครทราบ การรับรองที่แปลกประหลาดของเจ้าของห้องทำให้แววตาผู้มาเยือนวาววับด้วยความสนอกสนใจ ไม่ได้ขับไส..หากแต่ก็ไม่ได้หวาดกลัว ท่าทีราวกับไม่ระหยี่ในตัวตนอันผิดแผกและยิ่งใหญ่นี้ทำให้ต้องจับจ้องมองใบหน้าอีกคนเขม็ง ความสนใจจะอยู่ที่เลือดจากลำคอหนาที่กำลังไหลอาบลงมาทีละนิดและใกล้หยดลงมาเต็มที
"พิสูจน์ยังไงดีล่ะ" ผู้ถูกจ้องยิ้มบางๆ นัยน์ตามองตามดวงตาอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือแตะเลือดที่ซึมออกมาจากต้นคออย่างนึกรู้ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าว่าเป็นเช่นไร ปลายนิ้วตวัดหยดเลือดนั้นแตะริมฝีปากอีกคนอย่างรวดเร็ว "แบบนี้ รึเปล่า?"
".........." ไม่มีคำตอบ คำกล่าวใดๆล้วนหายไปในลำคอเมื่อหยดเลือดถูกส่งมาตรงหน้า ริมฝีปากบางเม้มรับปลายนิ้วนั้นก่อนตวัดเลียอาหารอันโอชะอย่างใจเย็น ลิ้มชิมรสหวานนั้นอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางสายตาและรอยยิ้มของผู้เฝ้ามองตรงหน้า
"หิว..งั้นหรือ?" เจ้าของดวงตาสีเข้มมองท่าทีนั้นด้วยดวงตาวาววับพึงใจ รู้ว่าสิ่งที่ตนคาดคิดสำเร็จ นัยน์ตากวาดมองสำรวจเรือนร่างอีกฝ่าย ผิวกายเนียนเรียบราวกับกระเบื้องเคลือบเป็นสีน้ำตาลอ่อนเจือจางราวกับชานมรสหวาน ร่างเพรียวบางกรุ่นกลิ่นลึกลับบางสิ่งดูน่าค้นหา เส้นผมสีรัตติกาลยาวจรดบั้นเอวประกอบกับใบหน้างดงาม หาได้หวานล้ำเฉกหญิงสาว แต่ก็ดูดีมีเสน่ห์เกินชาย ทั้งยั่วเย้าและงดงามเปล่งประกายสมกับเป็นอมนุษย์ผู้ใช้เสน่ห์ล่อลวงมนุษย์ให้ตกหลุมพราง..
ปลายนิ้วอีกข้างแตะไล้เรือนกายสีน้ำผึ้งอย่างช้าๆ กระซิบถามผู้ที่อยู่ตรงหน้าท่ามกลางความคิดของตนและแววตาสำรวจตรวจสอบ
"อยากกิน ใช่ไหม?"
ถาม..และกดปลายนิ้วที่มีรอยเลือดแตะเรียวลิ้นอีกฝ่ายเบาๆ
"จะดูดเลือดข้าจนหมดตัวตาย..รึเปล่านะ"
ไม่มีคำตอบใดมอบให้ผู้ที่เอ่ยวาจาราวกับขลาดเขลานักหนา สองมือที่หลุดพ้นพันธนาการคว้าคอดึงร่างอีกฝ่ายลงมา ละริมฝีปากจากนิ้วนั้นมาที่ลำคอแทนคำตอบในทุกคำถาม ขณะที่ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยเมื่อร่างของตนถูกอีกฝ่ายทาบทับไว้ ดวงตาสีอะเมธิสต์จ้องมองก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอ
"...กินข้าแล้วจะหายหิวไหมนะ"
"หากรสชาติของเจ้าถูกปากข้า.... ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีวันอิ่ม" ปลายลิ้นเล็กชุ่มน้ำลายเลียรอยแผลบนลำคอเบาราวจะปลอบ "ข้านั้นหิวโหย โลภมาก แม้เจ้าจะถวายเลือดเนื้อทั้งหมดก็ไม่อาจเพียงพอ ...ไม่เคยเพียงพอ"
สิ้นวาจาที่เอ่ยตอบคำถามให้เจ้าชายขี้สงสัย ร่างกำยำก็สะดุ้งเฮือก คมเขี้ยวขาวทะลุผิวเนื้อท่ามกลางเสียงเนื้อฉีกขาดดังไพเราะเพราะพริ้งดูดดื่มเลือดจากร่างนั้นอย่างละเมียดละไม ขณะที่ผู้ฟังสะดุ้งเฮือก ร่างสะท้านวาบหลังจากนิ่งฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์ คมเขี้ยวที่ปลุกความเจ็บปวดฉุดรั้งสติและบอกให้รู้ ว่าบัดนี้กำลังถูกหมายคร่าชีวิต
หากราวกับรู้ความคิดที่แสนน่าสงสาร อมนุษย์ผู้แสนงามตรงหน้าละริมฝีปากจากรอยแผลบนลำคอหนาและลากไล้ขึ้นมาที่ใบหูและขบกัดเบาๆ พลางเอ่ยกระซิบชักจูงให้เคลิบเคลิ้ม "อย่าได้กลัวไปเลยเจ้าชายน้อยของข้า ชีวิตเจ้ายังไม่จบลงในคืนนี้หรอก ....ข้าทะนุถนอมอาหารที่ข้าต้องใจเสมอ"
"ข้าจะเชื่อได้ยังไงล่ะ..เจ้าหญิง" หลังจากผ่านความตกใจและไม่เคยคุ้น ร่างสูงนิ่งฟังคำพูดของอีกฝ่าย ค่อยๆสยบหัวใจที่ตระหนกไปวูบหนึ่งและยิ้มอีกครั้งอย่างใจเย็น ดวงตาสีเข้มหรี่ลงน้อยๆ ราวกับครุ่นคิดบางสิ่งขณะที่ปลายนิ้วแตะไล้ท่อนบนของร่างกายอีกฝ่ายไปยังกางเกงตัวบางและสัมผัสมันเบาๆ
"ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งใด ล้วนแล้วแต่เจ้าจะเชื่อในคำข้ารึไม่" เจ้าของวาจาเลื่อนใบหน้าลงกัดย้ำที่เดิมฉีกแผลเปิดให้กว้างขึ้นอีก ราวกับจะลงโทษมือไม้ซนๆนั้น
"ข้าถือคติ ไม่เชื่อวาจาผู้ใด" เมื่อผ่านพ้นความตระหนกมาได้ เสียงหัวเราะเบาๆก็ดังขึ้นกับความเจ็บปวดที่น้อยกว่าถูกปลายดาบเชือดเฉือนมากนัก ..ปลายนิ้วสอดล่วงเข้าไปในกางเกงอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่รอช้า "แม้แต่กับอมนุษย์ ก็ไม่พ้น"
"อย่า... " มือคว้าหมับไว้ทันก่อนที่อีกคนจะทันได้ล่วงเกินใดๆ พลางสบตามองอย่างรู้ทัน "ข้ามิได้อนุญาตให้เจ้าได้สัมผัสข้าด้วยราคะ "
"เช่นนั้น ข้าก็ไม่อนุญาตให้ดูดกินข้าด้วยความกระหาย" ถ้อยคำแสนแปลกหูทำให้ผู้ฟังอมยิ้ม ขบขันอยู่ในใจด้วยต้นเหตุแห่งการหระทำนั้นไกลคำว่าราคะอยู่มากโข หากแต่ก็ยิ้มเยื้อนแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคิดไปเฉกนั้น..เหตุเพราะดีกว่ารู้ความจริงยิ่งนัก
"ข้าเองก็มิได้ให้สิทธิเลือกสรรกับมนุษย์เช่นเจ้าด้วยสิเจ้าชายน้อย เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าตนมีสิทธิใดๆเหนือความตายที่พร้อมพรากชีวิตเจ้าทุกเมื่อกัน" ได้ฟังคำตอบแล้วอมนุษย์ก็เลิกคิ้วพลางยิ้ม มือzลักร่างกำยำนั้นลงนอนด้วยกำลังที่มากกว่าและตรึงร่างนั้นไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่าเหยียดมองด้วยสายตาดูแคลนมนุษย์ที่มีชีวิตแสนสั้น
"ข้าหาได้ระหยี่ต่อความตาย นอกจากความตายแล้ว จะเอาอะไรมาขู่ข้ารึ?" แม้จะถูกตรึงไว้ผู้ถูกตรึงก็หาได้หวาดหวั่น ยังคงหัวเราะและเอ่ยถามพลางสบมองดวงตาคู่นั้น
"ความตายเป็นเพียงการเปรียบเปรยให้เจ้าได้ฟัง ข้าพบเห็นมนุษย์มากมายที่หวาดกลัวต่อความตาย ทั้งๆที่ต้อพบพานกับมันในสักวันจริงไหม" แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเบื่อหน่ายกับมันเสียเต็มประดา "แต่คนเช่นเจ้า ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเจอ ล้วนแล้วแต่กล่าวเพียงแค่ลมปาก...ดังเช่นเจ้าว่า ลมปากใดก็เชื่อถือไม่ได้"
"..เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน ใช่หรือไม่?" มนุษย์ผู้ถูกดูแคลนยิ้มสบตาอีกฝ่ายก่อนจะดึงมือข้างหนึ่งออกจากการเกาะกุมโดยง่าย
"ข้าชอบพิสูจน์...ความกล้าหาญของมนุษย์ เช่นเจ้า.... ว่ามันจะน่าชื่นชม รึน่าขบขัน" อมนุษย์จงใจปล่อยอีกฝ่ายเพื่อการพิสูจน์อย่างนึกสนุก ขณะที่กางเกงผ้าฝ้ายอียิปต์ตัวบางเลื่อนลงต่ำหลังจากถูกอีกฝ่ายล้วงเข้ามาในทีแรก หางเรียวยาวสีดำสนิทโผล่พ้นออกมา ส่ายไปมาช้าๆบ่งบอกอารมณ์เจ้าของมันได้เป็นอย่างดี
"บุรุษเช่นข้าหากถูกเจ้าขบขัน คงดูไม่จืดเสียแน่แท้" หัวเราะเบาๆด้วยท่าทีไม่หยี่ระเช่นเคยแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอมนุษย์ หางตามองเห็นหางยาวสีดำที่ปรากฏทำให้คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความฉงน ปลายนิ้วแตะลงไปด้วยความใคร่รู้อย่างรวดเร็ว "แล้วนี่..อะไรกันรึ..แวมไพร์มีหางเสียด้วย"
"ไม่เคยเห็นหรือเจ้าชายน้อย" เจ้าของดวงตาสีแดงเข้มครางเสียงต่ำในลำคอ หรี่ตาดูเจ้าของมือซุกซน มองประกายอยากรู้อยากเห็นในดวงตาสีอะเมธิสต์เงียบๆ
"ข้าไม่เคยเห็น" ปลายนิ้วไล้วนเล่นหางสีดำเล่นเงียบๆ แสดงท่าทีใคร่รู้อย่างไม่ปิดบังพลางมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย "ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย.." เอ่ย..ขณะที่ความคิดบางอย่างแล่นวูบ ประกายตาวาบขึ้นพลางกระตุกหางสีดำแรงๆอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม "ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าหญิงที่มาปลุกข้าจะมีหาง"
"เจ้า... เจ้า..." แขนเรียวสีน้ำผึ้งเอื้อมไปด้านหลัง กำลังจะดึงมือนั้นออกแต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อปลายหางถูกกระตุกดึงอย่างรวดเร็วเจ้าของร่างก็ร้องเสียงหลงอย่างทรมานพร้อมกายที่สั่นเทิ้ม ร่างทั้งร่างทรุดลงบนร่างแกร่งด้วยอาการที่แทบพูดไม่ออก
" ..ข้า ทำไมรึ " ใบหน้าหล่อเหลาหยักยิ้มโค้งขึ้น หัวคิ้วเลิกขึ้นน้อยๆมองท่าทีนั้นด้วยความรื่นรมย์พลางหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะกระตุกหางสีดำนั้นอีกครั้ง "เรียกชื่อข้าเพราะข้ามองเห็นจุดอ่อนของเจ้าแล้วสิ เจ้าหญิง"
"อย่า...ได้บังอาจ ..! " แม้ร่างสะท้านเฮือกแต่อมนุษย์ก็กัดฟันกรอด มือเลื่อนกุมลำคอนั้นไว้แล้วออกแรงบีบอย่างไม่เบานัก อีกมือก็คว้าจับมืออีกฝ่ายแล้วกำแน่น แสดงท่าทีต่อต้านและกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน
"ข้า ทำไมรึ" ท่าทีนั้นดูน่าหวาดหวั่นหากแต่ผู้ฟังเพียงยิ้มหวาน มองปลายนิ้วที่บีบลำคอตนเองอย่างไม่หยี่ระ ปลายนิ้วก็ไล้หางสีดำเล่นอย่างซุกซนแสดงอาการต่อต้านแม้จะไม่ได้พูด แต่บ่งชัดว่าเจ้าอมนุษย์ตรงหน้าเจอเหยื่อที่ยากจะต่อกรเข้าแล้ว ส่วนแวมไพร์เจ้าของคำขู่ก็เม้มริมฝีปากเงียบๆ ท่าทีบ่งชัดว่าทำอะไรไม่ได้มากนักเมื่อลมหายใจเริ่มกระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย และแรงบีบค่อยๆอ่อนแรงลงทีละนิด
"...เป็นอะไรไปหรือ เจ้าหญิง?" ริมฝีปากหนายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แววตาวาววับเริ่มสนุกขึ้นขณะที่สลับปลายนิ้วหยอกเย้าส่วนหางของอีกฝ่าย มนุษย์ผู้ร้ายกาจที่จับจุดอ่อนของแวมไพร์ตรงหน้าได้ไม่ยอมให้โอกาสที่ตนคว้าไว้หลุดมือไปได้เพียงชั่วเเล่น
สบตากันเพียงอีกอึดใจผู้บุกรุกก็ตัดสินใจลุกพรวด ปัดมือร้อนๆอีกฝ่ายออกก่อนลุกขึ้นหวังผละหนีให้ห่าง ด้วยพละกำลังที่มากกว่าทำให้ผละออกไปอย่างง่ายดาย แต่แทนที่จะลุกไปทางหน้าต่างเจ้าตัวกลับดันลุกผิดมาจนมุมที่อีกฝั่งของห้องให้ชวนขำนัก
"จะเล่นไล่จับเหรอเจ้าหญิง?" ไม่ว่าจะทราบหรือไม่ว่าอมนุษย์ตรงหน้าขยับผิดทาง แต่เจ้าของห้องก็หัวเราะพลางลุกขึ้นก่อนจะสบตาอีกฝ่าย
"เจ้ามนุษย์จอมโอหัง อย่าได้บังอาจเข้ามาใกล้ข้าเชียว!" แวมไพร์หนุ่มมองอีกฝ่ายแล้วแยกเขี้ยวขู่ ยกปลายนิ้วขึ้นชี้หน้าอีกคนพลางเอ่ยปากอาฆาต อีกมือก็ดึงเอากางเกงที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ไว้ ท่าทีน่าขันเช่นนั้นทำให้เจ้าของห้องทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วขยับเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
มาบัดนี้ผู้บุกรุกกลายเป็นเสียเปรียบเสียแล้วเมื่อถูกล่วงรู้จุดอ่อน เจ้าของห้องกอดอกแล้วจ้องมองอีกฝ่ายราวกับดูเชิง ส่วนแวมไพร์หนุ่มก็เก็บหางไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง แทบจะไถตัวไปตามผนังเพื่ออ้อมออกไปทางหน้าต่าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันและวาจายั่วเย้า
"ใครกัน มัจจุราชที่จะเอาชีวิตข้า ตอนนี้เห็นแต่ตัวตลกน่าขันกำลังเก็บหางวิ่งหนี" เจ้าของห้องยิ้มหยัน จงใจเอ่ยปากให้อีกคนโกรธกริ้ว
"ตัวข้าก็หาใช่สิ่งปกติในสายตาพวกเจ้าอยู่แล้ว" ผู้ฟังเลิกคิ้วพลางขยับตัวไปใกล้ระเบียงได้ในที่สุด สัญชาตญาณเอาตัวรอดเยี่ยงสัตว์ที่ไม่เคยแก้หาย ขณะที่ก้าวเท้าไปยังขอบระเบียงห้องหาได้หลงไปกับคำยั่วยุนั้น
"...ถูก หาใช่สิ่งปกติในสายตาของข้า ถ้าหากจับได้ ผู้อื่นจะว่าอย่างไรนะ เจ้าหญิง" ร่างสูงใหญ่เอ่ยถาม เจ้าของห้องขยับเท้าตามไปอย่างช้าๆ ระยะทางที่ห่างออกถูกย่นเข้ามาจนใกล้ขณะที่ยั่วอีกฝ่ายด้วยคำพูดและให้จดจ่ออยู่กับวลีนั้น
"นั่นสินะ น่าสงสัย.... แต่คงไม่มีวันนั้นกระมัง" อมนุษย์ผูกมัดผ้าคาดเอวไว้ให้แน่นตามเดิม มือม้วนหางตนเพื่อลบสัมผัสร้อนๆเมื่อครู่ออกไป
"คิดว่าเข้าจับเจ้าไม่ได้หรือ เจ้าหญิง" ขณะที่อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับหางของตน เจ้าของห้องก็เดินเข้าไปประชิดอย่างรวดเร็วพลางรวบเอวอีกฝ่ายไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็ดึงผ้าคาดเอวอันเป็นจุดที่ต้องระวังของอีกฝ่ายไว้
"แล้วทำไมเจ้าจึงคิดว่าจะสามารถจับข้าได้เล่าเจ้าชายของข้า" ผู้ถูกจับได้ไม่มีท่าทีตกใจ ทำเพียงมองสบตาเงียบๆสายตาเลื่อนมองเลือดอีกคนที่ยังไหลอยู่
"เพราะข้าเป็นเจ้าชายของเจ้ากระมัง เจ้าหญิง" เจ้าของห้องหัวเราะเบาๆแล้วจงใจโน้มกายเข้าไปใกล้ เพราะรู้ว่าสายตาอีกฝ่ายจดจ่อกับรอยเลือดตรงลำคอเขาก็ยังแกล้งขยับเข้าหาราวกับเสนอตัวไปเป็นเหยื่อไม่จบสิ้น
"ก่อนจะได้เป็นจริงเจ้าคงเสียเลือดในกายตายก่อน" มองแล้วยกยิ้มนิด "หากยังยั่วยวนข้าเช่นนี้คงจะหาว่าข้าไม่ทะนุถนอมเจ้าไม่ได้แล้วล่ะนะ"
"ข้าก็เช่นกันนะ เจ้าหญิง" ผู้ฟังหัวเราะเบาๆ ก่อนที่มือซึ่งถือชายกางเกงอีกฝ่ายจะกระตุกมันออกอย่างรวดเร็วให้ชายผ้านั้นหลุดลุ่ยลงไปแล้วคว้าหางอีกคนมาจับไว้ทันทีราวกับเป็นตัวประกันไปเสียแล้ว
"เจ้านี่ซนจนน่าเอือมระอาเสียจริง" อมนุษย์สะดุ้งเบาๆ หูค้างคาวเล็ก ตั้งชันขึ้นคล้ายจะขนลุกกับสัมผัสนั้น พลางถอนใจอย่างหน่ายเหนื่อยกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้ามนุษย์ตรงหน้า
"เจ้าก็เหมือนกัน นะ เจ้าหญิงน้อย" ร่างสูงยกยิ้มมุมปากก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนใบหูเล็กๆแปลกตาอย่างใจกล้า
"เจ้านี่ล่วงเกินต่อทุกคนที่พบเห็นรึ.." ดวงตาสีแดงสดหรี่ลงมองคนช่างสำรวจ ท่าทีนั้นดูมีอะไรมากเกินกว่าการสัมผัส หากแต่เป็นอมนุษย์ ก็หาได้ล่วงรู้ใจคน
"ข้าล่วงเกินเฉพาะคนที่ตนสนใจ..และ" ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม จ้องสบตาอีกฝ่ายในระยะประชิด "เฉพาะกับคนที่ลวนลามข้าก่อน เจ้าหญิง"
"หากว่าเจ้าคิดว่ามันเป็นการลวนลาม" อมนุษย์เลิกคิ้วนิดๆแล้วหัวเราะขัน "ข้ากำลังปรุงอาหารของข้าต่างหาก"
"เจ้าหญิงไม่ชอบกินของสดๆหรอกหรือ" ชายหนุ่มกระซิบถามกลับแล้วดึงหางเล็กๆสีดำของอีกฝ่ายมาไล้เล่น
"บางทีของสดก็ไม่อร่อย เติมแต่งรสชาติเสียบ้างก็ไม่จืดชืด"
ชายหนุ่มผู้ฟังยิ้มรับคำพูดอีกฝ่ายก่อนจะดึงหางอีกคนอย่างแรงด้วยดวงตาวาววับ พอถึงจังหวะที่อีกฝ่ายสะดุ้งก็อ้าปากงับลิ้นเรียวเล็กที่เจ้าของเผลออ้ากว้างคล้ายจะต่อว่า งับมันแรงๆจนเป็นรอยแผล พร้อมกับผละออกมาอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือผลักร่างของอมนุษย์กึ่งเปลือยตรงหน้าออกไปจากห้อง แล้วปิดล็อกประตูระเบียงอย่างรวดเร็ว
"แล้วเคยได้ยินไหม ว่าถ้ามัวแต่ชักช้า จะอดนะ เจ้าหญิง"
"จ.. เจ้ามนุษย์จอมโอหัง!" คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โทสะแล่นวาบ อมนุษย์ยกเท้ายันประตูระเบียงแตกทั้งบานก่อนผละออกมา สายตามองผู้กระทำอย่างมาดร้ายก่อนร่างจะหายวับไปจากระเบียงนั้น ส่วนเจ้าของห้องก็ผละออกมาไม่ให้โดนเศษกระจกบาด ร่างสูงหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางก้มลงเก็บกางเกงของอีกคนไว้ ขณะที่เสียงแตกของบานกระจกทำให้ประตูห้องถูกเคาะเรียกอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านชราปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่น้อยขณะที่เจ้าของห้องยิ้ม ชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ถูกเรียก 'ท่านมาร์ควิส' นั้นได้แต่บอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รอยเลือดที่ลำคอก็ทำให้ถูกจ้องมองด้วยแววตาหวั่นๆไม่น้อย ร่างสูงจึงเพียงไหวไหล่ และชี้อำนาจของตนเอ่ยปากสั่งการให้ซ่อมประตูห้องพลางชี้ไปยังเศษกระจกที่แตกอยู่เป็นเชิงบอกโดยอ้อมว่ารอยแผลนี้ได้มาจากที่ไหน
กางเกงผ้าฝ้ายอียิปต์เนื้อบางลวดลายแปลกตาถูกยกขึ้นมาสำรวจเงียบๆก่อนจะส่งไปให้คนใช้ของตนนำไปซักทำความสะอาด มาร์ควิสแห่งปาโดวา..เจ้าของนามที่เป็นผู้ครองคฤหาสน์แห่งนี้ยิ้มน้อยๆพลางจ้องมองดวงจันทร์ที่กระจ่างฟ้า ฝ่ามือเช็ดรอยเลือดที่ลำคอ รับรู้ได้ถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบและความรู้สึกยามที่โลหิตหลั่งริน ด้วยสัญชาติญาณบางอย่าง ชายหนุ่มรู้ว่าอมนุษย์ตนนั้นย่อมต้องปรากฏตัวขึ้นอีกเป็นแน่..
++++++++++++++++
การพบพานในยามค่ำคืน จุดเริ่มต้นของตำนานบนกระดาษซีดจาง หนึ่งมนุษย์และอีกหนึ่งผู้ไม่ใช่มนุษย์ต่างไม่รู้ตัวว่า ค่ำคืนนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของพวกตอนอีกยาวนาน
-------------------------------------------
ความคิดเห็น