คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter - 7 - มิติ
หลังจากเวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงเย็นห้าโมงครึ่ง เอริกะได้พาว่านน้ำกับแอมป์ไปตรงมุมพรรณไม้ดอกเมืองหนาว โดยที่แอมป์กับว่านน้ำได้ตะโกนบอกเพื่อนให้ตามมาก่อน เอริกะจะใช้มือสีชมพูสดใสปิดปากทั้งสองคนให้เงียบ
“โทษทีนะที่ฉุดกระชากมาขนาดนี้....ชั้นบอกให้มาด้วยดีๆม่ายมากันนิ” เอริกะกล่าวขอโทษที่ต้องดึงตัวแอมป์กับว่านน้ำ มีที่นั่นพร้อมทั้งบอกเหตุผลอย่างเหน็บแนม
“ว่าแต่มีไรหรอเอริกะ ที่พาเรามีที่นี่น่ะ มีไรจะพูดกะเราหล่ะสิ” ว่านน้ำถามเอริกะไป พร้อมทั้งเดาคำตอบของเอริกะไปด้วย แต่ว่าเอริกะในตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาที่จะตอบโต้กับคำถามของว่านน้ำเลยสักนิด
เอริกะได้แต่ยืนหลับตา พร้อมทั้งขมุบขมิบปากอย่างรวดเร็ว เอาจนแอมป์นักแกะริมฝีปากแปลไม่ทันเลยทีเดียว
“เอริกะเป็นไรไปหรอ นั่งนิ่งไปเลยอ่า” แอมป์พูดจบ พวกเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่เหลือก็วิ่งมาถึงกันพอดี
จากนั้นแสงสีขาวนวลที่เท็นท์เท่านั้นที่จำเหตุการณ์นี้ได้ ถึงกับตั้งสติอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวที่จะล้มพับไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนคราวก่อน
“นี่มันอะไรเนี่ย.....มันเกิดไรขึ้น นี่ครายทำเซอร์ไพรซ์รึป่าวเนี่ย อย่างนี่ตรูม่ายชอบนะเฟ้ย” ฟางกล่าวสบถขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างในความรู้สึกของฟางแทบจะเลือนหายไปเมื่อมีสายลมเข้ามาปะทะร่างอย่างรุนแรง ก่อนที่ฟางจะสิ้นสติ เสียงสุดท้ายที่ฟางและทุกคนได้ยินคือ เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของหญิงคนหนึ่ง ดังขึ้นทั่วโสตประสาทของทุกคน
........................................................................สวบๆๆ!!! เสียงหญ้าสายพันธุ์แปลกตาดังขึ้น หลังจากที่ฟางเริ่มรู้สึกตัว และพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ขณะที่ยังรู้สึกมึนหัวอยู่ ฟางรีบหัวมองไปรอบๆเห็น เพื่อนร่วมแก๊งค์รวมทั้งเอริกะนอนสลบเหมือดกันหมดในบริเวณใกล้กัน
“เฮ้!!....เท็นท์แกตื่นเซ่!!!!ตรูกลัวนะเฟ้ย” ฟางรีบพุ่งไปเขย่าตัวเจ้าเท็นท์ที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจบนกอหญ้า
......... แล้วตรูปายขอฟามช่วยเหลือมานทามมายฟระ........ ฟางพูดในใจในระหว่างที่ปลุกคนอื่นให้ตื่นขึ้นมา
เวลาผ่านไปประมาณกว่าสิบนาทีหลังจากที่ทุกคนจะฟื้นคืนสติมากันได้ คนสุดท้ายก็เป็นปานวาดที่ดันเอาหัวไปโขกกับก้อนหินสีครามมีลวดลายสีเขียวของมอส( หรือตะไคร่น้ำน่านเองง่า - - ) หลังจากนั้นทุคนก็เดินทางไปตามคำเชื้อเชิญของสาวเข้าถิ่น
“อ๊าง!!!!เอริกะนั่นตัวไรหน่ะ น่ารักจัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากคนที่อยู่รั้งท้ายขบวนที่เดินทางไปหมู่บ้านป่าเอกิดาวะ หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งล่งลอยอยู่ข้างๆไหล่ของเอริกะ แต่เมื่อแน็ปปี้พูดขึ้นเจ้าตัวน่ารักน่าชังนั่นก็หายวับไป
“มีรายหรอแน็ป...ตัวอะไรหรอ อยู่ตรงหนายอ่า ม่ายเหนมีเลย” พอเจ้าเท็นท์ได้ยินแน็ปพูดก็รีบสอดส่ายสายตาควานหาเจ้าตัวนั่นทันที แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
“เฮ้อ.....คาบุคออกมาเถอะ......พวกเค้าไม่ทำร้ายเธอหรอก” เอริกะพูดขึ้นท่ามกลางสายตาแห่งความสงสัยหันกลับมาหาเอริกะตอนที่พูดจบ จากนั้นบริเวณไหล่ของสาวชาวเอลฟ์ก็ได้เกิดแสงสีทองเป็นสายขดวนกันเป็นทรงกลมสวย
ตรงแกนกลางด้านในสุดของทรงกลมทองได้เปล่งแสงสีขาวออกมา จากนั้นเงาสีดำได้กำเนิดขึ้นท่ามกลางแสงสีทองและขาวที่ส่องสว่างวาววับสลับกันไปมา มันกลางเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมแต่มีรูปร่างกลมกลึงปากมีเขี้ยวเล็กๆโผล่ออกมาทั้งสองมุมปาก เท้ามีขนาดใหญ่เท่าบริเวณท้องเลยทีเดียว หางยาวตรงปลายหางเป็นขนเรียบกลมแบน บนหัวมีรังสีแห่งเทพลอยอยู่
“ก่าบุ๊ค.......” กาบุคเริ่มขยับเขยื้อนตัวท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ มันเริ่มล่องลอยผ่านอากาศไปดูกน้าอย่างชัดเจนทีละคน
“เท็นท์.....ฟาง....เรยาห์….ว่านน้ำ….ปานวาด…..เปียโน…แน็ปปี้….แอมป์…เป็นเพื่อนๆของเอริกะจริงๆ” ทุกแทบไม่ยอมปิดปากที่อ้าค้างตะลึงที่คาบุคสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ รวมทั้งสามารถบอกชื่อของทุกคนอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องบอก
“เอริกะ...ทำไมมันอัจฉริยะขนาดเน้...ว่าแต่นี่มันรายหรอ” แอมป์ถามซะยืดเยื้อจนต้องวกกลับมาถามคำถามที่ควรจะถาม
“มันเป็นคู่หูชั้นเองหล่ะ......ชั้นได้มันมาตั้งแต่มันเป็นดักแด้แล้....”
“หา!!!...ดักแด้ เจ้าตัวนี้เป็นผีเสื้อหรอ”
เอริกะพูดยังไม่ทันจบมีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา เท็นท์รู้สึกแปลกใจมากเพราะมันมีรูปร่างที่ต่างไปจากผีเสื้อที่เท็นท์เคยรู้จักโดยสิ้นเชิง
“ฟังช้านหน่อยได้ม้าย!!!!!!.....” เอริกะโวยลั่น เมื่อเจ้าเท็นท์แย้งขึ้นมาทันควัน จนแทบจะเอาเจ้าเท็นท์หัวใจวาย
“อ่าว!!!.....ลืมซะละ ไม่เป็นไรอยู่ๆไปพวกเธอก็รู้เองหล่ะ” เอริกะพูดปัดภาระมัคคุเทศก์ออกไป
“เอริกะนี่ก็นะ...ขี้ลืมจัง แล้วเมื่อไหร่เราจาถึงหมู่บ้านเอริกะหล่ะ” ปานวาดพูดขึ้นพร้อมแอบหัวเราะ
เมื่อเอริกะได้ฟังดังนั้น เธอถึงกับหน้าแดงเพราะความเขิลอายปะปนกับความหน้าแก้วหล่น(แหะๆ หน้าแตกหน่ะหล่ะคร้าบ)
“นั่นไงเห็นป่าตรงนู้นมั้ยหล่ะ นั่นหล่ะหมู่บ้านของชั้นหล่ะ เอ้า..รีบเดินเร็วๆสิ เดี๋ยวก็ค่ำกันพอดีหรอก” เอริกะเร่งพวกเดมอนเคิร์ส ให้เร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้ก็อยู่ในเวลาพลบค่ำเมื่อดูจากแสงอาทิตย์ ทุกคนเดินเท้ากันมาเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เพื่อมาพบกับสถานที่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ในขณะนี้ มันเป็นเส้นใยเส้นเล็กๆสีใสเปล่งแสงระยิบระยับเหมือนใยแมงมุมที่ได้ขึงไว้กับต้นบอนไซยักษ์สองต้น ที่เอนลำต้นเข้าหากันอย่างสวยงามดูแล้วคล้ายซุ้มประตูบานใหญ่ ที่ดูหรูหราและมีความเป็นศิลปะอยู่ในตัว
เอริกะเดินหน้าไปก่อนเพื่อแสดงให้ทุกคนดูว่าจะใช้เส้นใยนี้อย่างไร เธอเริ่มจากยกมือทั้งสองขึ้นมาทาบไว้ตรงส่วนใจกลางของใยแมงมุมระยิบระยับเหล่านั้น จากนั้นก็....
“ในนามของผู้แทนทวยเทพแห่งเอกิดาวะทั้งหลาย....ข้าวานจงเปิดออก” เอริกะพูดพึมพำอยู่กับเส้นใยประหลาดนั่นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นใจกลางเส้นใยนั้นใดหมุนวนออกไปรอบๆต้นบอนไซทั้งคู่ แล้วกลายเป็นลวดสีใสพันต้นบอนไซทั้งสองอย่างสวยงาม
“เอริกะ....นั่น!!!มันอะไรน่ะ ดูน่ากลัวพิลึก” ว่านน้ำรีบไขข้อสงสัยของเธอทันที ก่อนที่เธอจะมึนงงไปกับเรื่องทั้งหมดนี้
“อ๋อ!!..นี่หน่ะหรอ มันคือประตูพฤกษาพันปี ที่จะพาเราเข้าสู่ดินแดนเอลิเมนท์โซล ว่าแต่...มันจะเหมือนเดิมหรือไม่เท่านั้นหล่ะ” เอริกะตอบคำถามของว่านน้ำอย่างผู้นำทาง แต่ทิ้งความกังวลให้ผู้ร่วมเดินทางไว้อย่างน่าค้นหา
เมื่อคุณหนูแอมป์ได้ยินดังนั้น ท่านเธอจึงกระวีกระวาดถามกลับอย่างรวดเร็ว
“แล้วอะไรเหมือนเดิมหล่ะ แล้วเมื่อก่อนมันเป็นไงหรอ” แอมป์รัวคำถามไปหนึ่งชุดเล็กๆพอหอมปากหอมคอ
“เอ่อ......” เอริกะเริ่มมีอาการลังเลในการตอบคำถามให้ผู้ที่สงสัย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า....บอกเลยคร้าบ(อิอิ)” เท็นท์เริ่มมีน้ำเสียงอ้อนวอนปนกวนทีนเล็กน้อย
“คือว่า....เมื่อก่อนหน้าที่ชั้นจะไปยังโลกของพวกเธอน่ะนะ พื้นที่ทั้งหมดเคยเป็นป่าเขียวชอุ่มไปทั่วดินแดนที่ชั้นว่าเนี่ยหล่ะ แม้ในช่วงหิมะตกพืชต่างๆยังคงสีเขียวสดอยู่ตลอดปี แต่พอหลังจากที่เกิดเรื่องในเขตธันดอเรสเตอร์ฮิล มันทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปทั้งเอลิเมนท์โซล ทั้งพวกภูติไพรบางส่วนกลายเป็นผีร้าย เนื่องจากมีลัทธิพวกมนุษย์ลึกลับที่โผล่มาจากเกาะร้างกลางมหาสมุทร ได้ใช้ความศรัทธาในลัทธิที่โด่งดัง ดึงตัวพวกออร์ค เอล์ฟ สปิริต บางส่วนไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน ที่พวกมันเรียกว่า สาวกแห่งเทพผู้ก่อเกิดจากผืนดิน….”
เอริกะสาธยายไปเรื่อยๆจนหยุดไปสักพัก ในขณะที่คนอื่นๆกำลังตั้งใจฟังตำนานในดินแดนของเธอ จากที่เธอบรรยายทำให้พวกเขาสามารถจินตนาการภาพลักษณ์ของดินแดนได้อย่างสวยงาม
“อ้าว!!!....เอริกะเป็นไรไปรึปล่าว” เปียโนลุกขึ้นไปเขย่าตัวเอริกะนิดๆให้รู้สึกตัว จากนั้นเธอก็ส่งสัญญาณว่า ต้องการเล่าเรื่องต่อไป
“จากนั้น พวกเอลฟ์สาวกเหล่านั้นได้ตั้งเผ่าพันธุ์ใหม่ชื่อว่า ดาร์คชิลเลน ส่วนพวกออร์คเท่าที่รู้กันพวกมันกลายเป็นสาวกไปหมดแล้วร่างของมันกลายเป็นสีเขียวคล้ำเหมือนผีดิบ ส่วนพวกสปิริต ได้ทำลายเหล่าแมกไม้ให้เหี่ยวแห้งไปทั่วทั้งเอลิเมนท์โซล แล้วมันได้แต่งตั้งสองราชินีเอลฟ์ และราชาที่ไม่เคยมีใครได้พบเจอ แล้วสถาปนาเขตธันเดอเรสเตอร์ฮิล ให้กลายเป็นอาณาจักรมืดนามว่า เบอเรนดัสท์ จากนั้นพวกมันก็ได้ขยายอาณาบริเวณของพวกมันมาเรื่อยๆ จนถึงตอนชั้นถูกจับไป แล้วเรื่องมันดำเนินไปเรื่อยๆ ตามที่ชั้นเล่าก่อนหน้านี้หล่ะ”
เมื่อเอริกะพูดจบ เธอได้ก้มหน้าลง ท่าทางของเธอเหมือนสิ้นหวัง ไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างในจิตใจ และความคิดเธออีกต่อไปแล้ว เจ้าคาบุคที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีใครได้สนใจมันสักเท่าไรได้ลอยเข้ามาเกาะตรงไหล่เอริกะเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ ของเหลวสีใสได้หลั่งออกมาจากดวงตาสีฟ้าของเธออย่างไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นของเธอทำให้ผู้ร่วมเดินทางกลุ่ม เดมอนเคิร์ส ได้พากันปลอบโยนเธออย่างเห็นอกเห็นใจ จากนั้นแสงสว่างรอบกายก็พลางค่อยหรี่ลงไปเรื่อยๆ สู่รัตติกาลแห่งความเศร้าโศก............
ความคิดเห็น