ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Soul Of Demon

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter - 7 - มิติ

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 51


    /> /> />

    หลังจากเวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงเย็นห้าโมงครึ่ง  เอริกะได้พาว่านน้ำกับแอมป์ไปตรงมุมพรรณไม้ดอกเมืองหนาว   โดยที่แอมป์กับว่านน้ำได้ตะโกนบอกเพื่อนให้ตามมาก่อน  เอริกะจะใช้มือสีชมพูสดใสปิดปากทั้งสองคนให้เงียบ

                โทษทีนะที่ฉุดกระชากมาขนาดนี้....ชั้นบอกให้มาด้วยดีๆม่ายมากันนิเอริกะกล่าวขอโทษที่ต้องดึงตัวแอมป์กับว่านน้ำ  มีที่นั่นพร้อมทั้งบอกเหตุผลอย่างเหน็บแนม

                ว่าแต่มีไรหรอเอริกะ ที่พาเรามีที่นี่น่ะ  มีไรจะพูดกะเราหล่ะสิว่านน้ำถามเอริกะไป พร้อมทั้งเดาคำตอบของเอริกะไปด้วย   แต่ว่าเอริกะในตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาที่จะตอบโต้กับคำถามของว่านน้ำเลยสักนิด

                เอริกะได้แต่ยืนหลับตา  พร้อมทั้งขมุบขมิบปากอย่างรวดเร็ว เอาจนแอมป์นักแกะริมฝีปากแปลไม่ทันเลยทีเดียว

                เอริกะเป็นไรไปหรอ   นั่งนิ่งไปเลยอ่าแอมป์พูดจบ พวกเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่เหลือก็วิ่งมาถึงกันพอดี

                จากนั้นแสงสีขาวนวลที่เท็นท์เท่านั้นที่จำเหตุการณ์นี้ได้  ถึงกับตั้งสติอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวที่จะล้มพับไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนคราวก่อน

                นี่มันอะไรเนี่ย.....มันเกิดไรขึ้น  นี่ครายทำเซอร์ไพรซ์รึป่าวเนี่ย  อย่างนี่ตรูม่ายชอบนะเฟ้ยฟางกล่าวสบถขึ้นมาก่อนที่ทุกอย่างในความรู้สึกของฟางแทบจะเลือนหายไปเมื่อมีสายลมเข้ามาปะทะร่างอย่างรุนแรง  ก่อนที่ฟางจะสิ้นสติ  เสียงสุดท้ายที่ฟางและทุกคนได้ยินคือ  เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของหญิงคนหนึ่ง  ดังขึ้นทั่วโสตประสาทของทุกคน

                ........................................................................สวบๆๆ!!! เสียงหญ้าสายพันธุ์แปลกตาดังขึ้น หลังจากที่ฟางเริ่มรู้สึกตัว  และพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น  ขณะที่ยังรู้สึกมึนหัวอยู่  ฟางรีบหัวมองไปรอบๆเห็น เพื่อนร่วมแก๊งค์รวมทั้งเอริกะนอนสลบเหมือดกันหมดในบริเวณใกล้กัน

                เฮ้!!....เท็นท์แกตื่นเซ่!!!!ตรูกลัวนะเฟ้ยฟางรีบพุ่งไปเขย่าตัวเจ้าเท็นท์ที่นอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจบนกอหญ้า 

    ......... แล้วตรูปายขอฟามช่วยเหลือมานทามมายฟระ........ ฟางพูดในใจในระหว่างที่ปลุกคนอื่นให้ตื่นขึ้นมา

    เวลาผ่านไปประมาณกว่าสิบนาทีหลังจากที่ทุกคนจะฟื้นคืนสติมากันได้  คนสุดท้ายก็เป็นปานวาดที่ดันเอาหัวไปโขกกับก้อนหินสีครามมีลวดลายสีเขียวของมอส( หรือตะไคร่น้ำน่านเองง่า - - )   หลังจากนั้นทุคนก็เดินทางไปตามคำเชื้อเชิญของสาวเข้าถิ่น

    อ๊าง!!!!เอริกะนั่นตัวไรหน่ะ  น่ารักจังเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากคนที่อยู่รั้งท้ายขบวนที่เดินทางไปหมู่บ้านป่าเอกิดาวะ หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งล่งลอยอยู่ข้างๆไหล่ของเอริกะ แต่เมื่อแน็ปปี้พูดขึ้นเจ้าตัวน่ารักน่าชังนั่นก็หายวับไป

    มีรายหรอแน็ป...ตัวอะไรหรอ อยู่ตรงหนายอ่า ม่ายเหนมีเลยพอเจ้าเท็นท์ได้ยินแน็ปพูดก็รีบสอดส่ายสายตาควานหาเจ้าตัวนั่นทันที แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

    เฮ้อ.....คาบุคออกมาเถอะ......พวกเค้าไม่ทำร้ายเธอหรอกเอริกะพูดขึ้นท่ามกลางสายตาแห่งความสงสัยหันกลับมาหาเอริกะตอนที่พูดจบ จากนั้นบริเวณไหล่ของสาวชาวเอลฟ์ก็ได้เกิดแสงสีทองเป็นสายขดวนกันเป็นทรงกลมสวย 

    ตรงแกนกลางด้านในสุดของทรงกลมทองได้เปล่งแสงสีขาวออกมา จากนั้นเงาสีดำได้กำเนิดขึ้นท่ามกลางแสงสีทองและขาวที่ส่องสว่างวาววับสลับกันไปมา  มันกลางเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมแต่มีรูปร่างกลมกลึงปากมีเขี้ยวเล็กๆโผล่ออกมาทั้งสองมุมปาก  เท้ามีขนาดใหญ่เท่าบริเวณท้องเลยทีเดียว  หางยาวตรงปลายหางเป็นขนเรียบกลมแบน  บนหัวมีรังสีแห่งเทพลอยอยู่

    ก่าบุ๊ค.......กาบุคเริ่มขยับเขยื้อนตัวท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่  มันเริ่มล่องลอยผ่านอากาศไปดูกน้าอย่างชัดเจนทีละคน

    เท็นท์.....ฟาง....เรยาห์….ว่านน้ำ….ปานวาด…..เปียโนแน็ปปี้….แอมป์เป็นเพื่อนๆของเอริกะจริงๆทุกแทบไม่ยอมปิดปากที่อ้าค้างตะลึงที่คาบุคสามารถพูดภาษามนุษย์ได้  รวมทั้งสามารถบอกชื่อของทุกคนอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องบอก

    เอริกะ...ทำไมมันอัจฉริยะขนาดเน้...ว่าแต่นี่มันรายหรอแอมป์ถามซะยืดเยื้อจนต้องวกกลับมาถามคำถามที่ควรจะถาม

    มันเป็นคู่หูชั้นเองหล่ะ......ชั้นได้มันมาตั้งแต่มันเป็นดักแด้แล้....

    หา!!!...ดักแด้ เจ้าตัวนี้เป็นผีเสื้อหรอ

    เอริกะพูดยังไม่ทันจบมีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา  เท็นท์รู้สึกแปลกใจมากเพราะมันมีรูปร่างที่ต่างไปจากผีเสื้อที่เท็นท์เคยรู้จักโดยสิ้นเชิง

    ฟังช้านหน่อยได้ม้าย!!!!!!.....” เอริกะโวยลั่น  เมื่อเจ้าเท็นท์แย้งขึ้นมาทันควัน จนแทบจะเอาเจ้าเท็นท์หัวใจวาย

    อ่าว!!!.....ลืมซะละ  ไม่เป็นไรอยู่ๆไปพวกเธอก็รู้เองหล่ะเอริกะพูดปัดภาระมัคคุเทศก์ออกไป

    เอริกะนี่ก็นะ...ขี้ลืมจัง  แล้วเมื่อไหร่เราจาถึงหมู่บ้านเอริกะหล่ะปานวาดพูดขึ้นพร้อมแอบหัวเราะ

        เมื่อเอริกะได้ฟังดังนั้น  เธอถึงกับหน้าแดงเพราะความเขิลอายปะปนกับความหน้าแก้วหล่น(แหะๆ หน้าแตกหน่ะหล่ะคร้าบ)

        นั่นไงเห็นป่าตรงนู้นมั้ยหล่ะ  นั่นหล่ะหมู่บ้านของชั้นหล่ะ เอ้า..รีบเดินเร็วๆสิ  เดี๋ยวก็ค่ำกันพอดีหรอกเอริกะเร่งพวกเดมอนเคิร์ส ให้เร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

                ตอนนี้ก็อยู่ในเวลาพลบค่ำเมื่อดูจากแสงอาทิตย์ ทุกคนเดินเท้ากันมาเป็นระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร  เพื่อมาพบกับสถานที่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ในขณะนี้  มันเป็นเส้นใยเส้นเล็กๆสีใสเปล่งแสงระยิบระยับเหมือนใยแมงมุมที่ได้ขึงไว้กับต้นบอนไซยักษ์สองต้น ที่เอนลำต้นเข้าหากันอย่างสวยงามดูแล้วคล้ายซุ้มประตูบานใหญ่  ที่ดูหรูหราและมีความเป็นศิลปะอยู่ในตัว 

                เอริกะเดินหน้าไปก่อนเพื่อแสดงให้ทุกคนดูว่าจะใช้เส้นใยนี้อย่างไร  เธอเริ่มจากยกมือทั้งสองขึ้นมาทาบไว้ตรงส่วนใจกลางของใยแมงมุมระยิบระยับเหล่านั้น จากนั้นก็....

                ในนามของผู้แทนทวยเทพแห่งเอกิดาวะทั้งหลาย....ข้าวานจงเปิดออกเอริกะพูดพึมพำอยู่กับเส้นใยประหลาดนั่นอยู่พักหนึ่ง  จากนั้นใจกลางเส้นใยนั้นใดหมุนวนออกไปรอบๆต้นบอนไซทั้งคู่  แล้วกลายเป็นลวดสีใสพันต้นบอนไซทั้งสองอย่างสวยงาม

    เอริกะ....นั่น!!!มันอะไรน่ะ  ดูน่ากลัวพิลึกว่านน้ำรีบไขข้อสงสัยของเธอทันที  ก่อนที่เธอจะมึนงงไปกับเรื่องทั้งหมดนี้

    อ๋อ!!..นี่หน่ะหรอ  มันคือประตูพฤกษาพันปี  ที่จะพาเราเข้าสู่ดินแดนเอลิเมนท์โซล ว่าแต่...มันจะเหมือนเดิมหรือไม่เท่านั้นหล่ะเอริกะตอบคำถามของว่านน้ำอย่างผู้นำทาง แต่ทิ้งความกังวลให้ผู้ร่วมเดินทางไว้อย่างน่าค้นหา

    เมื่อคุณหนูแอมป์ได้ยินดังนั้น ท่านเธอจึงกระวีกระวาดถามกลับอย่างรวดเร็ว

    แล้วอะไรเหมือนเดิมหล่ะ  แล้วเมื่อก่อนมันเป็นไงหรอแอมป์รัวคำถามไปหนึ่งชุดเล็กๆพอหอมปากหอมคอ

    เอ่อ......เอริกะเริ่มมีอาการลังเลในการตอบคำถามให้ผู้ที่สงสัย

    ไม่เป็นไรหรอกน่า....บอกเลยคร้าบ(อิอิ)เท็นท์เริ่มมีน้ำเสียงอ้อนวอนปนกวนทีนเล็กน้อย

    คือว่า....เมื่อก่อนหน้าที่ชั้นจะไปยังโลกของพวกเธอน่ะนะ   พื้นที่ทั้งหมดเคยเป็นป่าเขียวชอุ่มไปทั่วดินแดนที่ชั้นว่าเนี่ยหล่ะ  แม้ในช่วงหิมะตกพืชต่างๆยังคงสีเขียวสดอยู่ตลอดปี  แต่พอหลังจากที่เกิดเรื่องในเขตธันดอเรสเตอร์ฮิล  มันทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปทั้งเอลิเมนท์โซล ทั้งพวกภูติไพรบางส่วนกลายเป็นผีร้าย  เนื่องจากมีลัทธิพวกมนุษย์ลึกลับที่โผล่มาจากเกาะร้างกลางมหาสมุทร  ได้ใช้ความศรัทธาในลัทธิที่โด่งดัง ดึงตัวพวกออร์ค  เอล์ฟ  สปิริต บางส่วนไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน  ที่พวกมันเรียกว่า  สาวกแห่งเทพผู้ก่อเกิดจากผืนดิน….”

    เอริกะสาธยายไปเรื่อยๆจนหยุดไปสักพัก  ในขณะที่คนอื่นๆกำลังตั้งใจฟังตำนานในดินแดนของเธอ  จากที่เธอบรรยายทำให้พวกเขาสามารถจินตนาการภาพลักษณ์ของดินแดนได้อย่างสวยงาม

    อ้าว!!!....เอริกะเป็นไรไปรึปล่าวเปียโนลุกขึ้นไปเขย่าตัวเอริกะนิดๆให้รู้สึกตัว  จากนั้นเธอก็ส่งสัญญาณว่า ต้องการเล่าเรื่องต่อไป

    จากนั้น  พวกเอลฟ์สาวกเหล่านั้นได้ตั้งเผ่าพันธุ์ใหม่ชื่อว่า  ดาร์คชิลเลน ส่วนพวกออร์คเท่าที่รู้กันพวกมันกลายเป็นสาวกไปหมดแล้วร่างของมันกลายเป็นสีเขียวคล้ำเหมือนผีดิบ ส่วนพวกสปิริต ได้ทำลายเหล่าแมกไม้ให้เหี่ยวแห้งไปทั่วทั้งเอลิเมนท์โซล  แล้วมันได้แต่งตั้งสองราชินีเอลฟ์ และราชาที่ไม่เคยมีใครได้พบเจอ แล้วสถาปนาเขตธันเดอเรสเตอร์ฮิล ให้กลายเป็นอาณาจักรมืดนามว่า เบอเรนดัสท์ จากนั้นพวกมันก็ได้ขยายอาณาบริเวณของพวกมันมาเรื่อยๆ จนถึงตอนชั้นถูกจับไป แล้วเรื่องมันดำเนินไปเรื่อยๆ ตามที่ชั้นเล่าก่อนหน้านี้หล่ะ

    เมื่อเอริกะพูดจบ เธอได้ก้มหน้าลง ท่าทางของเธอเหมือนสิ้นหวัง  ไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างในจิตใจ และความคิดเธออีกต่อไปแล้ว  เจ้าคาบุคที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีใครได้สนใจมันสักเท่าไรได้ลอยเข้ามาเกาะตรงไหล่เอริกะเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ ของเหลวสีใสได้หลั่งออกมาจากดวงตาสีฟ้าของเธออย่างไม่ขาดสาย  เสียงสะอื้นของเธอทำให้ผู้ร่วมเดินทางกลุ่ม เดมอนเคิร์ส ได้พากันปลอบโยนเธออย่างเห็นอกเห็นใจ  จากนั้นแสงสว่างรอบกายก็พลางค่อยหรี่ลงไปเรื่อยๆ สู่รัตติกาลแห่งความเศร้าโศก............

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×