คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 7 หัวใจทรยศ 50%
เมื่อกลับออกมา ทั้งคู่ก็ต้องเจอกับสายตาที่บ่งบอกถึงความอยากรู้ ยิ่งคะนิ้งนั้น เธอก้าวพรวดๆ ไปหาฮันเจ ก่อนที่เขาจะเดินมาถึงที่กางเต้นท์เสียอีก
“คุณฮันเจไปไหนมาค่ะ” คะนิ้งเกาะแขน เดินตามฮันเจกลับมาถึงบริเวณกองไฟ โดยมีน้ำรอบมองอาการของเธอเป็นระยะๆ เพราะเมื่อฮันเจหายเข้าไปตามน้ำนั้น คะนิ้งเองก็กระวนกระวาย พยายามมองหาเขา แต่จะถามกับเพื่อนๆ ฮันเจ เธอก็ไม่สามารถสื่อภาษากันได้ ฮันเจไม่ได้ตอบอะไรออกมา ยิ่งทำให้คนข้างๆ หน้าตายับยู่เข้าไปใหญ่
“ปาร์ตี้จบแล้ว...” ฮันเจใช้ภาษาบ้านเกิดบอกเหล่าบรรดาเพื่อนๆของเขา
“อะไรของนาย” ดองวู ตอบกลับ แต่ก็ขยับ ลุกจัดการดับกองไฟ ด้วยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี
เสียงบ่นอ้อยอิ่งของเอเมซที่ยังไม่อยากเลิก แต่ทุกคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ
น้ำปิดประตูห้อง ก้าวขึ้นเตียง แต่ไม่ทันที่หัวจะถึงหมอน
‘ก๊อกๆๆๆ’ เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น เธอไม่แปลกใจที่เปิดออกไปแล้วเจอ ฮันเจ ยืนอยู่
“ผมแค่แวะมา ดูว่าคุณโอเคไหม”
“ฉันปกติดี” เธอตอบพร้อมหันหลังเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมปลายเตียง
“ก็ดีแล้ว” ฮันเจตอบ เขายืนลังเลอยู่หน้าประตู คิดทบทวนจะเดินตามเธอเข้าไปในห้องดีรึเปล่า เพราะด้วยตอนนี้ เขาไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่ว่า จะห้ามใจไม่ให้ทำอะไรมิดีมิร้าย กับยายพี่เลี้ยงคนนี้ได้รึเปล่า
“คุณมาถามแค่นี้จริงๆเหรอ” นลันชาหันมองมาที่เขา สีหน้าของเธอยามนี้ ดูเหนื่อยๆ จึงเป็นแรงขับชั้นดีให้ฮันเจก้าวเข้ามา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ความคิดตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ขณะที่เขาทรุดกายลงข้างๆเธอ
“คนนั้นใช่ไหม ที่ทำให้คุณมาอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ไม่เต็มใจ” เขาเอ่ยขึ้นแบบไม่อาจห้ามความอยากรู้ได้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาจะเป็นยังไงหลังจากได้ยินคำตอบ
น้ำพยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ ฮันเจกำมือแน่น
“ในเมื่อไม่เต็มใจ คุณจะกลับไปตอนนี้ก็ได้นะ” ฮันเจขบกราม ตาจ้องผนังห้อง เขาพูดเพื่อจงใจทำให้คนข้างๆ เจ็บๆแสบๆ แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเอง
นลันชาชำเลืองมองคนข้างๆเธอ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ ‘ตั้งใจจะมาหาเรื่องเร๊อะเนี้ย’ เธอย่นจมูกให้กับความคิดตัวเอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขายังดูอบอุ่นกับเธออยู่เลย ถ้าจะมาเพราะเรื่องนี้มันก็ไม่น่าจะใช่เวลานี้ ขอแค่คืนนี้ไม่ได้เหรอให้เธอได้อบอุ่นหัวใจบ้าง หลังจากที่ต้องเจอกับอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกเธอมาทั้งวัน รึอาจจะเพราะ คะนิ้ง ชื่อนี้เรียกสตินลันชาคนเดิมกลับมาได้ในฉับพลัน
“ฉันอยากนอน” เธอเอ่ยหลังจากเงียบมาสักพัก ในเมื่ออีกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว เธอนึก งั้นก็ไม่ต้องคุย ไหนๆ ก็จะไล่เธอไปอยู่แล้ว เพราะมีคนอื่นที่ดูแลเขาได้ดีกว่าและเขาก็ดูเต็มใจ บัดนี้ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น เหมือนไม่อยากให้อะไรในหัวหลุดออกมา
“คะนิ้ง..คงทำได้ดีกว่าฉัน” เธอพูดโดยไม่มองหน้าเขาเช่นกัน
“เกี่ยวอะไร....” เขาหยุดไว้แค่นั้นแล้วเปลี่ยนใจพูด อีกอย่าง
“คะนิ้งนะ ทำได้ดีกว่าเธอแน่ๆ คุณพี่เลี้ยง”
“ฮึ.....ฉันมันไม่ดีอยู่แล้วในสายตานาย” อีกครั้งที่เหตุการณ์จบลงแบบเดิม น้ำเองก็แปลกใจเหมือนกัน ทำไมเธอถึงเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก“นายสบายใจได้ นายจะไม่ต้องรำคาญใจเพราะฉันอีก” พูดพร้อมกับลุกเดินไปที่ประตูห้อง เหมือนบังคับกลายๆให้ฮันเจ ออกไป
“ให้มันได้อย่างปากพูดด้วยนะ” ฮันเจเดินผ่านเธอออกไป เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองต้องการจะทำร้ายความรู้สึก ซึ่งกันและกัน แต่แปลกที่ ต่างฝ่ายต่างเจ็บกันเอง เสียงปิดประโครมใหญ่บ่งบอกอารมณ์เจ้าของห้องได้ดี ‘เกี่ยวอะไรกับคะนิ้ง’ ฮันเจนิ่งคิดขณะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ‘ถ้าคิดจะจับคู่ให้ ขอคนที่เหมาะกว่านี้ไม่ได้รึไง...ยายนี่’ ฮันเจพึมพำ พลันเขาเดินกลับลงไปที่ตั้งแคมป์ มุดตัวเข้าเต้นท์ที่เขาเตรียมไว้ให้นลันชา กวาดตามองข้าวของที่เขาอุตส่าเตรียมไว้ให้
ยังไม่รุ่งสางดีนัก นลันชา ตื่นมาเข้าครัวทำอาหารเช้า เมนูที่เธอทำวันนี้เป็นข้าวต้มหมู กุ้ง ซึ่งมันออกจะเป็นเมนูโปรดของฮันเจ ‘เธอทำอะไรย่ะ ยายน้ำ’ เธอบ่นตัวเองใจใน อยากเป็นคนที่เขาเห็นความสำคัญขนาดนี้เลยหรอ ลงทุนทำขนาดนี้ อยากเอาชนะเด็กคะนิ้ง แล้วเป็นคนที่รู้ใจเขามากขนาดนั้นเหรอ ‘ฮึๆๆๆ’ เธอหัวเราะตัวเองแบบเหยียดๆ เท้ามือลงบนเคาท์เตอร์ครัว ก้มหน้าพยายามเรียกความเป็นตัวตนของตัวเองคืนมา เกือบ 7 โมง อาหารพร้อมอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ที่สูงจรดเพดาน ที่ประจำของฮันเจ
เช้านี้มีหมอกจางๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วบริเวณกางเต้นท์ ดองวู งัวเงียลุกออกมานอกเต้นท์ เดินตรงเข้าไปที่ประตูหลังบ้านเพื่อจัดการธุระส่วนตัวเล็กๆ หลังออกจากห้องน้ำ เขาเห็นน้ำยืนจัดโต๊ะอยู่ จึงเปลี่ยนใจเดินไปหาเธอ
“คุณตื่นเช้าจัง” ดองวู ถามเธอด้วยภาษาสากล
“ค่ะ?”
“ฟังดูห่างเหินจัง” ดองวูตัดพ้อเธอ พร้อมทั้งก้าวเข้ามาให้ใกล้ยิ่งขึ้น
“ผมมาอยู่บ้านนี้เกือบสัปดาห์แล้ว แต่ยังคุยกับคุณไม่ถึงสิบคำเลย” ดองวูทำหน้าเหมือนเด็กๆ อ้อนอยากได้ของเล่นใส่น้ำ
“ฉันไม่รู้จะคุยอะไรนี่ค่ะ”
“ถ้าคุณอยากรู้จักผมเนี้ย...มีเรื่องคุยเยอะเลยน๊า” เขาลงนั่งเกาอี้ตัวข้างๆที่เธอยืนอยู่
“ทานมื้อเช้าเลยไหมค่ะ” น้ำถาม พร้อมก้มลงมองมือเธอ ที่ตอนนี้ดองวูกุมมันอยู่
“มือเล็กแค่นี้ แต่ทำอะไรได้เยอะเลย” ดองวูเท้าศอกลงบนโต๊ะ ดึงมือน้ำมากุมไว้ตรงหน้า น้ำค่อยๆดึงมือกลับอย่างสุภาพ หันไปตักข้าวต้มใส่ถ้วยให้ดองวู
“รับอะไรเพิ่มไหมค่ะ กาแฟ หรือ ชาสักแก้วไหม” เธอถามหลังจากวางถ้วยตรงหน้าเขา
“ตัวคุณอุ่นๆนะ “ เขาพูดพร้อมใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผากเธอ ถึงแม้เขาจะนั่งอยู่ แต่ด้วยความสูง 184 ซม. จึงไม่เป็นปัญหาอะไรในการกระทำนี้
“คงเพราะเมื่อคืนตากน้ำค้างในป่านะค่ะ..แถมอากาศก็เย็น” น้ำพูดพร้อมจัดอาหารให้กับสมาชิกที่เหลือ ที่ตอนนี้น่าจะตื่นกันแล้ว เมื่อครบทุกคนก็พอดีกับที่ฮันเจเดินเข้าบ้านมา
“ฉันขอตัวนะคะ..” เธอแทบไม่รอคำตอบ รีบจ้ำไปทางหน้าบ้านเหมือนกำลังหนีสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน ดองวูอมยิ้มให้กับการกระทำของเธอ
“ตื่นเช้านะแก” ฮันเลื่อนเก้าอี้ ลงนั่งข้างๆ ดองวู
“แปลกที่ว่ะ”
“แปลกอะไรกัน นายนอนมากี่คืนแล้ว”
“แปลกที่ต้องนอนข้างนอกนั่นมั้ง”
“แล้วเมื่อกี๊ยายพี่เลี้ยงไม่ใช่เหรอ” ฮันเจถามพร้อมรินกาแฟใส่แก้วตัวเอง “รีบไปไหนว่ะ เดินเหมือนหนีตาย”ดองวูขำออกมา “ก็คงงั้น” ไม่ทันที่จะได้คุยต่อ เพื่อนที่เหลือก็พากันเดินมาที่โต๊ะอาหาร มื้อเช้าวันนี้ช่างน่ารื่นรมณ์เสียจริงๆในความรู้สึกดองวู
ตลอด 2 วันที่ผ่านมา นลันชา พยายามหลบหน้าฮันเจ ทำตัวเหมือนเงาอยู่ในบ้าน จนฮันเจเองก็แปลกใจ ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือ เย็น ที่เธอต้องทำหน้าที่แม่ครัว เขาก็ไม่เคยได้เจอหน้าเธอเลย จะมีแต่อาหารที่วางรอพวกเขาอยู่เท่านั้น บางครั้งที่บังเอิญหรือฮันเจ ตั้งใจจะมาหา เธอก็จะหลบเลี่ยง พยายามทำตัวให้อยู่ห่างฮันเจมากที่สุด จะมีก็แต่คะนิ้งที่หลังจากวันนั้น เธอก็มาที่บ้านฮันเจทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน คะนิ้ง คอยทำหน้าที่ดูแล จัดการทุกอย่าง หลังมื้อเที่ยงวันนี้ ฮันเจจะเข้าในเมือง ร้องเรียกบรรดาเพื่อนๆ เป็นการกระตุ้นให้พวกปีศาจน้อยทั้งหลายรีบเตรียมตัว
“ฉันไม่ไปดีกว่าว่ะ” ดองวูพูดตอนที่ฮันเจคว้ากุญแจรถอีกคันส่งให้เขา
“ทำไมว่ะ” ฮันเจท้าวเอวมองหน้าเพื่อนรัก
“รู้สึกไม่ค่อยดีว่ะ”
“นายเป็นอะไร” ฮันเจ จับหน้าดองวู หันไปหันมา ใช้นิ้วดีดเบาๆที่หน้าผาก
“เออ..ไม่ไปก็ไม่ไป พลาดอะไรดีๆ แล้วอย่ามาโวยล่ะ” ฮันเจเดินออกไปที่รถ โดยมีเพื่อนอีก 3 คนตามไปด้วย เขาส่งกุญแจรถปอร์เช่คาเยน ให้เอเมซ เพียงอึดใจรถ 2 คันก็วิ่งฉิวออกไป ระหว่างทางฮันเจปล่อยใจล่องลอยไปตามทิวทัศน์ข้างทางอยู่ๆ หน้าของนลันชาก็ลอยเข้ามาในความคิด เขาสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า 2-3 วันมานี้ เธอตั้งใจหลบหน้าเขาจริงๆ หรือแค่เธอยุ่ง เพราะปกติ ต่อให้ทะเลาะกันยังไง เธอก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ ‘ฮึ...’ เขาหลี่ตา กัดริมฝีปาก ให้กับความคิดเพี้ยนๆนี้ ‘เห้ย..ฮันเจแกไม่ใช่คนที่จะมาสนเรื่องเล็กๆแบบนี้’ เขานึก ‘จะหลบหน้ารึอะไรก็ช่างเขาซิ’ ความคิดฮันเจตอนนี้ ช่างพลุ่งพล่านดีแท้ เขากดคันเร่งลงไปอีกเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ ส่งผลให้เอเมซที่ขับตามเขามาต้องเร่งความเร็วขึ้น
ส่วนดองวู วันนี้เขาเป็นอิสระจากเพื่อนๆ ทั้งหลาย เขากะจะใช้เวลานี้ อยู่กับนลันชา เพื่อทดสอบอะไรบางอย่าง เขาเดินออกมาทางหน้าบ้าน มองหาสาวร่างบาง เขาเดินมาตามลานหินกรวด อ้อมมาด้านข้าง เลาะเรื่อยๆมาจนเกือบสุดตัวบ้าน พยายามมองหาน้ำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว ตัดใจหันหลังกลับ พลันสายตาเหลือบไปเห็น เท้าเรียวสวมร้องเท้าแตะสีฟ้าโผล่พ้น พุ่มไม้ เขาจึงตรงรี่ไปทันที หลังพุ่มต้นชาดัด นลันชานั่งอยู่บนพื้นหญ้าขาข้างนึงชันเข่าขึ้น ส่วนอีกข้างเธอปล่อยให้เหยียดยาว เท้ามือลงพื้น เอนหลังแหงนหน้ามองฟ้า ยามบ่าย
“อะ อืมมมม” ดองวูส่งเสียง “อยู่นี่เอง” เขาย่อตัวนั่งลงบนส้นเท้า ห่างจากปลายขาของน้ำเล็กน้อย
“คะ..” น้ำเอียงหน้ามาทางเขา “มีอะไรรึเปล่าค่ะ” เธอถามด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องปาก
“ตอนนี้ทั้งบ้านเหลือแค่คุณกับผม” เขาอมยิ้ม “ทำอะไรกันดีละ?” น้ำ ได้ฟังถึงกับดีดตัวนั่งหลังตรง
“เออ..ฉันยังทำงานบ้านไม่เสร็จเลย” น้ำตอบ รู้สึกลุกลี้ลุกลนกับคำถามนั่น ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่กลับหน้ามืดขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ก่อนที่หน้าจะคะมำลงไป ดองวู ประคองเธอไว้ในอ้อมแขนได้ทัน
“เป็นอะไรไป..” เขาประคองให้เธอทรงตัว
“ไม่รู้ซิ อยู่ดีๆก็หน้ามืดเฉยเลย”
“ตัวคุณร้อนนะ” ดองวูนึกถึงเช้าวันนั้นที่โต๊ะอาหาร “ตั้งแต่วันนั้น คุณทานยาไปบ้างไหม”
“ยา.........” เธอทิ้งช่วงพลางนึก พร้อมทั้งพยายามจะยืนด้วยตัวเอง แต่ดองวูไม่ยอมปล่อยมือจากเอว
“คุณไม่สบายนะ รู้ตัวไหม” ดองวูเสียงเข้มขึ้น จนน้ำเองก็แปลกใจ “ป่ะ..” เขาประคองเธอเดินไปพร้อมกัน
“เดี๋ยวผมพาคุณไปห้อง คุณจะได้พัก”
“ฉันว่า ฉันคงลุกเร็วไปหน่อย เลยหน้ามืดนะคะ” เธอบ่ายเบี่ยง ไม่อยากให้เขาขึ้นไปส่ง“คุณนี่ดื้อเหมือนกันนะ” เขาก้มลงมอง ยิ่งใกล้ชิดแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้ว่า เธอนั้นตัวเล็กแค่ไหน ก็แค่ฝ่ามือเดียวของเขาเกือบจะโอบรอบเอวเธอได้เลย
“แต่ตัวแค่นี้ จะเอาแรงที่ไหนมาสู้ผมได้” เขาระบายยิ้มออกมา น้ำเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม สีหน้าหวั่นๆ
“ฉันนะ มีท่าไม้ตายนะ” เธอยิ้ม “นั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ” น้ำเดินตรงไปที่โซฟาหน้าเตาผิง โดยมีดองวูประคองเธอไปอย่างไม่ห่าง
“พักผ่อนเถอะ งานบ้านที่เหลือเดี๋ยวผมทำให้เอง” น้ำขมวดคิ้วสงสัย เขาจะช่วยอะไรเธอได้
“อย่าดูถูกผมน๊า..” ดองวูเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นสีหน้าของเธอ “ผมน่ะเก่งนะเรื่องแบบเนี้ย” เขายิ้มกว้าง จนนลันชาอดยิ้มตามไม่ได้ น้ำพิงศีรษะ หลับตาลง เพื่อบรรเทาอาการ จนผล็อยหลับไป
หลังจากช่วยจัดการล้างจาน ชาม และงานในครัว ดองวูเดินมาสังเกตอาการของน้ำ ซึ่งขณะนี้ เธอนอนราบไปบนโซฟาแล้ว เขามองเห็นเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม จึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ แล้วก็ต้องตกใจ เพราะตอนนี้ เธอตัวร้อนเหมือนไฟเลยทีเดียว ดองวูหันซ้าย หันขวา มองหาคนอื่นในบ้าน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีใครนอกจากเขา เพราะหลังฮันเจ ออกไป ลุงคนสวนก็ออกไปส่งหลานสาวเช่นกัน
“บ้าชิบ” ดองวู สบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด เขาผลุนผลันเดินเข้าครัว เอาน้ำมาเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้เธอ
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงที่เขาต้องคอยเฝ้าไข้น้ำ เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามา จอดแน่นิ่งที่ลานหน้าบ้าน ดองวู มี สีหน้าผ่อนคลายขึ้น แทนที่เขาจะรอให้เจ้าของรถเข้าบ้าน เขาช้อนร่างบางขึ้นไว้ในอ้อมแขน พลางสาวเท้าอย่างเร่งรีบไปที่ประตูหน้าบ้าน
“พาไปโรงพยาบาลที” ดองวูตะโกน ขณะที่เดินไปที่รถ ภาพที่ดองวูอุ้มเธอไว้สร้างความตกใจให้กับผู้มาถึงได้อย่างมาก
ฮันเจ วิ่งมาหา พร้อมถามอย่างร้อนรนว่าพี่เลี้ยงของเขาเป็นอะไรไป แต่ ดองวู เร่งให้เขาขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลก่อน เพราะตอนนี้ไข้เธอขึ้นสูงมาก เกรงว่าจะเป็นอันตราย ฮันเจเปิดประตูรถคันที่เอเมซขับ ดองวูค่อยๆ เอาตัวของน้ำวางลงที่เบาะหลังอย่างนุ่มนวล แล้วทั้ง 2 หนุ่มก็รีบขึ้นนั่งประจำที่ตัวเอง รถทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่าใจของฮันเจในตอนนี้
ความคิดเห็น