ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    one day in my heart (รักร้ายๆ ของนายสุดโหด)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 6 จูบจากปีศาจน้อย

    • อัปเดตล่าสุด 11 ส.ค. 60


    ฮันเจ เดินลัดเลาะไปตามร้านค้า พลันสายตาก็ไปสะดุดกับร่างบางๆคุ้นตา ที่เดินเลี้ยวผ่านไป  ตรงหัวมุมซอยร้านเครื่องประดับ แต่ก่อนที่เขาจะเร่งฝีเท้าตามเธอไป  ชายคนหนึ่งที่กึ่งเดิน กึ่งวิ่งตามเธอมา พร้อมร้องเรียกชื่อเธอเป็นระยะ ทำให้เค้าชะงักแล้วตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าแทน  ฮันเจ ตามคนทั้งสองมา  เส้นทาง เป็นซอยคู่ขนานร้านค้า ที่เค้าสามารถมองผ่านไปยังคนทั้งสองได้  ความกราดเกรี้ยวปนความสงสัย บัดนี้มันเริ่มลดลง เหลือแต่ความอึดอัดใจที่เห็นยัยพี่เลี้ยงมีผู้ชายมาตาม

    “น้ำ” ธาดายังคงเรียกน้ำเป็นระยะๆ  แต่กลับทำให้เจ้าของชื่อยิ่งเดินเร็วขึ้น

    หยุดคุยกันเถอ

    “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”  น้ำยังคงเดินต่อด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนเกือบเหมือนวิ่ง

    “ขอเวลาพี่ได้อธิบายหน่อย”  นั่นก็ยังไม่ทำให้เธอลดฝีเท้าลง

    “พี่รักน้ำมากนะ” สิ้นประโยค  ทั้งสามคน หยุดลงพร้อมๆกัน   แต่เป็นน้ำที่รู้สึกเสียดแทงหัวใจกับประโยคที่เธอคิดว่ามันน่าขยะแขยงมากที่สุด ทั้งๆที่มันเคยเป็นคำที่มีความหมาย

    “คุณกล้าดียังไง” น้ำพูดทั้งๆที่หันหลังอยู่  ส่วนธาดาเค้าเดินเข้ามาหาน้ำพร้อมยื่นมือไปจะจับตัวเธอ แต่ฮันเจเข้ามาปัดมือเขาทิ้ง พร้อมทั้งดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆเขา

    “เสร็จธุระรึยังคุณพี่เลี้ยง” ฮันเจถาม นลันชา แต่ตาเค้าจับจ้องอยู่ที่ธาดา

    น้ำตกใจที่อยู่ๆฮันเจก็โผล่มา แต่เธอก็รู้สึกดีกว่า ถ้าเธอจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กับธาดาเพียงสองคน  น้ำเผลอกระชับมือที่ฮันเจจับอยู่ให้แน่นขึ้นอีก  ทำให้ฮันเจก้มลงมองตามแรงบีบที่มือ  

    ฮันเจจึงถามย้ำอีกครั้งเพื่อเรียกสติคนข้างๆ  “คุณเสร็จธุระที่นี่หรือยัง”

    น้ำพยักหน้าด้วยไม่รู้ว่าเธอจะตอบเขาอย่างไร ความรู้สึกเธอตอนนี้มันตีกันจนวุ่นวาย ใจนึงไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าเด็กแสบนี่จะตามมาหาเธอถึงตลาด และไม่อยากเชื่อว่าเขาจะช่วยเธอไว้จากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้

    ฮันเจดึงมือเธอให้ออกเดินไปตามทางที่ทอดยาวสู่ พื้นที่โล่ง ตรงใจกลางตลาด ธาดาพยายาม ร้องเรียกน้ำแต่ดูเหมือนเธอจะไม่รับรู้กับสิ่งรอบตัวเธอไปแล้ว เธอเดินตามฮันเจเหมือนต้องมนต์สะกด ไม่มีท่าทีขัดขืนหรือดื้อดึงเหมือนเคย  ระหว่างทางไม่มีการสนทนาใดๆระหว่างคนทั้งสอง มีแต่ความเงียบ แต่มันไม่น่าอึดอัดเหมือนอย่างที่เคยเป็น

    “นี่...” ฮันเจเรียกคนข้างๆเขา ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปล่อยมือ

    “สมองค้างรึไงป้า”  ฮันเจกระเซ้า  น้ำจึงกระตุกมือเธอออกมา หันหลังให้เจ้านายตัวแสบของเธอ เพื่อซ่อนแววตาที่หวั่นไหว

    ฮันเจอยากจะถามใจจะขาด แต่เขารู้ดีว่า ถ้าเขาถาม นลันชา ไม่มีวันตอบเขาแน่นอน เขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็น    ทิ้งความอยากรู้ให้ค้างคาอยู่ในใจ

    “ออกมาแบบนี้ ขออนุญาตใครไม่ทราบ”

    “ฉันบอกคุณไปแล้วนี่”

    “ผมให้ลุงชวนมาซื้อของ  คุณเกี่ยวอะไร”

    “ฉันก็มาช่วยลุงชวนไง”  น้ำสวนกลับ

    “หึ..ช่วยเหรอ เท่าที่เห็น ก็มาเดินหนุงหนิงกับผู้ชาย”  ถึงแม้จะพยายามไม่ถามถึงสาเหตุ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม  น้ำถึงกับชะงักไป เธอนิ่งและไม่ตอบอะไรกลับมา สีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาทันที   ซึ่งฮันเจไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่าน้ำจะต้องโวยวายแล้วแก้ตัวอะไรออกมาบ้าง

    “ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับนาย” พูดพลางก้าวเดินอีกครั้ง  แต่ก็ทำได้เพียงก้าวเดียว ฮันเจจับแขนเธอไว้แน่น ถลึงตามองเธออย่างดุดัน

    “ท่าทางความจำจะไม่ดีด้วยนะ เธอนี่”  เขาพูดพร้อมกับกระชากแขนเธออย่างแรง ไม่รู้ว่าด้วยความโมโหที่เธอไม่พูดหรือ โมโหที่มีผู้ชายมาวอแวเธอกันแน่

    “ฉันบอกกี่ครั้งว่าอย่าเรียก นาย” เขาแนบหน้าลงข้างหูเธอพร้อมกัดฟันพูด

    แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะลามไปมากกว่านี้  ลุงชวนที่หอบของพะรุงพะรัง เดินมาเจอทั้งคู่เสียก่อน

    “คุณฮันเจมาทำอะไรที่นี่ครับ”  ชายวัยเกือบหกสิบร้องถามแต่ไกล

    “ต้องการอะไรเพิ่มหรือครับ” พูดพลางวางข้าวของลงพื้น  แล้วหยิบชายผ้าขาวม้าเช็ดเหงือที่ผุดขึ้นบนใบหน้า

    “ผมแค่มาตามคนหนีงานครับลุง  ไม่ได้จะเอาอะไรอีก” เขาชำเลืองมองเธอ

    “ผมซื้อของที่คุณฮันเจอยากได้เกือบครบแล้ว ขาดอันเดียวครับ”

    “ขาดอะไรหรือลุง”

    “อ๋อ  ผ้าม่านบังแสงครับ ดูท่า ที่นี่จะไม่มี คงต้องเข้าเมือง” ชายแก่แถลงไข

    น้ำยืนมองทั้งคู่คุยกัน ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า ไอ้เด็กแสบนี่มันดู อ่อนน้อมกับลุงคนสวนจัง ทีกะเราไม่เห็นจะเป็นแบบนี้

    “เรากลับกันเถอะ”  พูดพลางก้มลงหิ้วของที่ลุงแกวางไว้    “ผมช่วยถือ”   เขาบอกลุงชวนเพราะเห็นแกทำท่าจะหอบเอาไปทั้งหมด  ทั้งสามพากันเดินไปยังที่จอดรถที่ถัดออกไปไม่ไกลนัก

    “เห้ย..”  น้ำอุทานออกมาอย่างลืมตัว

    “เป็นอะไรอีกละ” ฮันเจขมวดคิ้วถาม

    “ถุงผ้าพันคอฉันนะซิ” น้ำเพิ่งนึกขึ้นได้  “หล่นหายไปตอนไหนก็ไม่รู้”   ฮันเจมองหน้าหล่อน ที่มันฟ้องถึงความเสียดาย

    “ไปเถอะ  เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ก็ได้  มันเย็นแล้ว ทิ้งเจ้าพวกนั้นไว้ ตามลำพังไม่ค่อยจะดี” เขาพูดพร้อมก้บดันข้อศอกเธอเป็นการกระตุ้นให้เดินเร็วขึ้น

    “ลุงกลับคนเดียวนะ” เขาบอกลุงชวนระหว่างเอาของใส่กระบะรถ  แล้วเดินมาเปิดประตูดึงร่างบางๆของน้ำให้ลงมา

    “ฉันมากับลุง ก็ต้องกลับกับลุงซิ” 

    “คุณน้ำกลับกับคุณฮันเจเถอะครับ นั่งสบายกว่า”

    “ไม่ค่ะน้ำจะ....”  พูดไม่ทันจบฮันเจก็รวบร่างบางของเธอขึ้นพาดไหล่

    “ขืนปล่อยไว้คงไม่ได้กลับกันแน่...เจอกันที่บ้านนะครับลุง”  น้ำดิ้น พร้อมบอกให้ปล่อยเธอลง สายตาคนแถวนั้นหันมามองกันเป็นแถว

    “ถ้าอายก็อยู่นิ่งๆ จะได้ถึงรถเร็วๆ”   เขาพยายามรวบร่างบางให้อยู่เฉยๆ  พลันใจก็นึกว่าทำไมเขาต้องอุ้มยัยนี่ขึ้นมาแบกด้วย เขาแค่ต้องการแสดงความเป็นเจ้านายกับยายพี่เลี้ยงแค่นั้นเอง เขาสรุปในใจ

    ส่วนธาดาเขาจะตามคนทั้งสองไปแต่มีเสียงหนึ่งหยุดเขาไว้เสียก่อน

    “แทน....”  ผู้หญิงหุ่นเพียว ในชุดสูททันสมัย ร้องตะโกนเรียกมาแต่ไกล เธอรีบเดินมาหาเขาพร้อมยกมือป้องแสงแดดยามเย็น

    “คุณมาทำอะไรตรงนี้ค่ะ”  ผู้จัดการถามหาคุณแน่ะ”  เธอคว้าแขนเขามาแนบตัว พร้อมดึงให้เขาออกเดินไปพร้อมเธอ กลับไปทางที่เธอเพิ่งเดินจากมา  ฉันเดินตามหาคุณซะทั่ว  ไหนว่าจะมาหากาแฟดื่ม เดินมาทำไมถึงตรงนี้เนี้ย ระหว่างทางหญิงสาวบ่นแต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังอะไร

    ภายในรถหรู  นลันชา นั่งพิงศรีษะติดกระจก เหม่อมองออกไปนอกรถ เหมือนไม่ต้องการให้คนข้างๆ มีโอกาสเปิดบทสนทนาระหว่างกันได้  ก็ยามนี้ มันไม่มีอารมณ์ที่จะตอบโต้อะไรเจ้าเด็กนี่ แถมต้องเจอโจทย์เก่า แบบไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกของเธอตอนนี้ ยากที่จะเข้าใจได้  แม้ตัวเธอเองก็ตาม

    “หลับไปก็ได้นะ”  ฮันเจ เอ่ยในที่สุด  ตั้งแต่ขึ้นรถมา นับเวลาก็เกือบชั่วโมงได้ ที่ภายในรถมีแต่ความเงียบ

    “อือ”  น้ำส่งเสียงในลำคอเป็นการตอบ

    “ประหยัดคำเหลือเกินนะ”  เขายังไม่วายที่จะตอแยหล่อน  ก็มันไม่ชินกับความอึดอัดแบบนี้นินา เพราะปกติ เขาและเธอจะมีแต่สถานการณ์ที่ต้องปะทะคารมกันตลอดช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมา

    “ฉันไม่มีอารมณ์” เธอพูดในที่สุด

    “ผมสร้างให้เอาม่ะ”  เขาหลี่ตามองเธอ

    “เห๊อะ..นายนี่มัน”

    “อ๊ะๆๆๆ  จำไม่ได้ใช่มั้ย  ผมบอกให้เรียกอะไร” เขาทิ้งช่วง  “จำตอนที่อยู่ในครัวได้ใช่มั้ย”  พอฮันเจพูดจบ น้ำหัน ควับจ้องเขาเขม่ง 

    “แบบนี้ค่อยเหมือนพี่เลี้ยงของผมหน่อย” ฮันเจยิ้มมุมปาก โดยไม่สนใจว่าคนข้างๆจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขนาดไหน เขาลดความเร็วก่อนเลี้ยวเขาทางลูกรังที่ป้ายติดไว้ว่า 'ที่ส่วนบุคคลห้ามเข้า  ตลอดระยะทางกิโลเมตรกว่าๆ ที่เข้ามาจากถนนหลัก ความเงียบก็ปกคลุมในรถอีกครั้ง แต่คราวนี้ฮันเจ ดูจะอารมณ์ดีกว่า เพราะคนข้างๆเขายังทำหน้ายับยุ่งอยู่

    เขาจอดรถหน้าบ้าน พร้อมฝุ่นที่ปลิวตลบไปทั่ว  น้ำรีบเปิดประตูลงจากรถอย่างกับนั่งทับอะไรร้อนๆ  หล่อนไม่สนใจด้วยว่าฮันเจจะร้องเรียกเธอทำไม...การใช้เวลาเกือบชั่วโมงอยู่ในรถกับเขา มันน่าอึดอัดก็จริง  แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้สมองตัวเองโล่งแล้วต้องนึกถึงคนที่เธอไม่อยากคิดถึง

    “นี่..จะรีบอะไรนักหนา”  ฮันเจ โวยวายแต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความหงุดหงิดใจ

    นี่ก็ปาเข้าไปจะห้าโมงเย็นแล้ว  แต่งานบ้านของเธอยังไม่ได้ขยับไปไหนสักอย่าง  เห้อ..  น้ำถอนหายใจตอนที่ก้าวเท้าเข้าบ้านขณะที่สายตามองไปยังนาฬิกา ฉันจะทำอะไรทันมั้ยนี่ เธอคิด  ก่อนออกไปมันก็แค่บ่ายโมงหน่อยๆ  ไม่คิดว่าจะกลับมาเอาป่านนี้  ก็ลุงชวนขับรถออกจะช้า เสียเวลาในการเดินทางไปเยอะ แต่ขากลับนี่ซิ ฮันเจ ใช้เวลาน้อยกว่ามากเลย  แล้วตอนที่เขาไปตลาด เจ้าเด็กนั่นขับไปเท่าไหร่กันนะ เธอนึกขึ้นใจใน  สงสัยเพราะจากระยะเวลาที่ขับกลับมาด้วยความเร็วเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง  ยังใช้เวลาขนาดนี้  แล้วตอนบ่ายละ เธอเริ่มคำนวณในใจ  หลังจากวางสายไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำที่เขาโผล่มา  น้ำยกมือขึ้นปิดปาก เพราะจากการคาดเดาของเธอ มันทำให้เธอตกใจ เจ้าเด็กนั่นขับรถเร็วเกือบ 200 เลยเหรอ  ตายๆๆ น้ำร้องใจใน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา...เธอหยุดความคิดไว้แค่นั้น  พร้อมเขกหัวตัวเองให้กับความคิดบ้าๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮันเจเข้ามาเห็นพอดี   เขาหยุดยืนมอง  สักพักจึงกระแอมส่งเสียง

    “อืมม....ไหวมั้ยป้า  ดูจะ....”  เขาทิ้งช่วงคำรอให้อีกฝ่ายโต้กลับ

    “หึ คนอย่างฉันไม่สนใจกับจูบบ้าๆ นั้นหรอก ลืมไปได้เลย เด็กน้อย”  เธอตอบกลับแบบที่คิดว่าเขาจะต้องของขึ้นแน่ๆ  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฮันเจหัวเราะออกมา  และกลายเป็นเธอเองที่ต้องของขึ้น

    “ที่ถามว่าไหวไหมนะ..ผมหมายถึงเรื่องที่ตลาด”  เขามองดูหน้าของอีกฝ่าย  ที่ขณะนี้มันดูเก้อๆเขินๆ แต่ฉับพลันมันก็เปลี่ยนเป็นหน้าตูมๆ

    “ถ้าเรื่องนั้นละก็นะ...มันไม่มีอะไรให้น่าจำเลยนะสำหรับผม”  เขาจงใจเน้นเสียงหนักๆท้ายประโยค  ส่งผลให้คนตรงหน้าเขาตอนนี้  สีหน้าจัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    “อ่อ..แล้วก็ไม่ต้องทำอาหารนะ  วันนี้แคมป์ปิ้ง   ยังจำได้นะ”  เขาเดินผ่านเธอไปขณะที่พูด  เสียงเขานั้น มีท่าทีล้อเลียนเธออย่าเปิดเผย  เสียงหัวเราะในลำคอของเขายังคงได้ยินชัดเจน  ถึงแม้เขาจะมุ่งหน้าไปที่ประตูหลังบ้าน

    นลันชาขณะนี้เธอแทบแดดิ้น   เพราะเสียท่าให้เจ้านายตัวแสบของเธออย่าเต็มประตู  คิดอะไรอยู่นะถึงได้ตอบไปแบบนั้น  เธอคิด  อยากจะเขกกะโหลกตัวเองให้แตกซะเดี๋ยวนี้

    หลังบ้าน  ตอนนี้เพื่อนๆฮันเจ  กางเต้นท์ ไว้เรียบร้อย  ขาดแต่เพียงอาหารที่ฮันเจสั่งให้คนสวนของเขาไปซื้อมา  เต้นท์ 6 หลังถูกกางไว้เป็นวงกลม  ภายในเต้นท์มีอุปกรณ์ในการนอนครบครัน  แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลง  เป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้วเสียงรถของลุงชวนวิ่งเข้ามาถึงพอดี  


    นลันชา เมื่อเธอไม่ต้องทำอาหารเย็นวันนี้   จึงมีเวลาว่างเธอเลือกที่จะอาบน้ำ  ล้างฝุ่นผง คราบไคล  ให้สบายเนื้อตัวเผื่อมันจะแผ่มาถึงจิตใจของเธอด้วย  น้ำฝักบัวที่อุ่นกำลังดี  ผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี  กลิ่นของครีมอาบน้ำที่ฮันเจซื้อมาให้เธอนั้น  มันก็สดชื่นด้วยกลิ่นส้มแมนดารินผสมกลิ่นวนิลา  ช่างเป็นการอาบน้ำที่เพลิดเพลิน   เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย  ที่ฮันเจซื้อของใช้พวกนี้ให้เธอ  แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ... เธอก้าวออกจากห้องด้วยกางเกงวอมสีเทาอ่อนกับเสื้อยืดรูปการ์ตูนสีชมพู  เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง  ก็เห็นลุงชวนหอบหิ้วกล่องเอย  ถุงเอย และอีกสารพัดที่แกจะถือได้เข้ามาในบ้าน

    “มีอะไรอีกมั้ยค่ะลุงชวน”  เธอร้องทักคนสูงวัย

    “เหลืออีกนิดหน่อยนะคุณน้ำ อยู่หลังกระบะรถ”  ลุงเอ่ยตอบ

    “เดี๋ยวหนูไปเอาให้ค่ะ”  พูดพลางเดินตรงไปประตูหน้าบ้าน  เมื่อถึงรถ น้ำเห็นกล่องอาหารมากมายที่เรียงซ้อนกันหลายถุง

    “แหม..นี่กินกันกี่คนเนี้ย  แค่มื้อเย็นมันจะอะไรขนาดนี้”  เธอพูดโดยไม่ได้สังเกตว่าที่นั่งข้างคนขับ  มีคนนั่งอยู่

    “มีแต่ของที่คุณฮันเจชอบนะค่ะ”  เด็กสาวเอ่ยขึ้น   ขณะที่เดินมายืนฝั่งตรงข้ามกับเธอ

    “อุ้ย..ขอโทษค่ะ  พอดีไม่ทันสังเกต”  น้ำเอ่ยขึ้น

    “หนูเก็บของอยู่ในรถนะค่ะ”  เธอทิ้งช่วง  “พี่คงเป็นพี่เลี้ยงคุณฮันเจ ใช่ไหมค่ะ” 

    “ใช่จ๊ะ”

    “ตาเล่าเรื่องพี่ให้ฟังบ่อยๆอยู่หน่ะช่วงนี้”  เด็กสาวเฉลยเป็นในๆ  ถึงที่มาของตัวเอง

    “อ๋อ.....เหรอ”  น้ำลากเสียงยาวเหมือนนึกถึงวีรกรรมของเธอที่ผ่านมา  ลุงจะเล่าอะไรบ้างนะ น้ำนึกหวั่นในใจ  คงไม่ใช่อะไรที่พิสดารที่เธอทำหรอกนะ เพราะมันคงไม่ดีกับเยาวชนอย่างเธอแน่

    “มาค่ะ หนูช่วยถือ” เธอสะพายเป้ใส่หลัง  แล้วช่วยน้ำหิ้วถุงกล่องอาหารเข้าบ้าน

    “หมดแล้วค่ะ” น้ำบอกเมื่อเห็นลุงชวนจะเดินออกมาจากบ้าน

    “นี่อะไรเยอะแยะค่ะลุง” 

    “อาหารที่คุณฮันเจ สั่งไว้นะครับ”  แกพูดพร้อมอมยิ้มบนใบหน้า “ไม่ว่ากี่ครั้งที่กลับมา คุณฮันเจจะชอบสั่งให้ทำ”

    “แล้วใครทำค่ะเนี้ย”  น้ำอดสงสัยไม่ได้

    “เจ้าคะนิ้งนี่ละครับ” ลุงบุ้ยปากไปทางหลานสาว 

    “ก็ไม่มีอะไรยากหรอกค่ะ “ คะนิ้งบอก  “แค่พวกไส้อั่วทอด น้ำพริกหนุ่มที่รสไม่เผ็ด กับอาหารทางภาคเหนือ”  

    “อ้อ......” คะนิ้งลากเสียงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  “คราวนี้สั่งให้ทำบาบีคิวด้วย”  เธอเอ่ย  “ไม่รู้ใครชอบกิน”

    เธอจะคิดไปเองรึเปล่าน๊า  น้ำเสียงที่คะนิ้งพูดถึงฮันเจ  ทำไมมันฟังดูเหมือนเธอกำลังงอนๆ ที่สั่งให้เธอทำเมนูที่ไม่ใช่ของโปรดฮันเจ 

    “ไม่รู้คุณฮันเจจะว่าอะไรรึเปล่า”  ลุงชวนบ่นขณะเดินตามมาด้านหลัง

    “ปกติหนูก็มาได้นิตา”  เสียงหลานสาวแย้งขึ้น

    “ก็นั่นมันกลางวัน  นี่ต้องค้างด้วย เอ็งจะนอนที่ไหน”

    “ตานอนไหนละ”

    “ข้านอนห้องเก็บของข้างหลังโน่น” 

    “หนูก็นอนที่นั่นไง”  คะนิ้งบอกเสียงงอนๆ

    “บอกว่าไม่ต้องมา เอ็งก็ไม่ฟัง” 

     น้ำเดินฟังบทสนทนาของตาหลาน  ชำเลืองตามองข้ามไหล่ ดูสีหน้าคะนิ้ง 

    “เอาวางไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้นะคะลุง”  น้ำเอ่ยบอกเมื่อเดินมาถึงโต๊ะกลางห้องครัว

    “หนูเอาออกไปให้คุณฮันเจเลยก็ได้ค่ะ”  พูดจบคะนิ้งก็เดินเลยไปตรงประตูหลังบ้านมุ่งหน้าไปบริเวณที่กางเต้นท์  โดยไม่สนใจคำพูดของน้ำ 

    “ฉันคิดไปเองใช่ไหมนี่”  น้ำพึมพำกับตัวเอง

    คะนิ้งเดินมาถึงบริเวณกางเต้นท์  ใบหน้าเธอเปื้อนยิ้มกับภาพตรงหน้า

    “คุณฮันเจ”  คะนิ้งตะโกนเรียกฮันเจ

    ฮันเจหันตามเสียงใสกังวานที่คุ้นๆ “อ้าว..คะนิ้ง”  ฮันเจแปลกใจ ที่เห็นเด็กสาว

    “ตาแวะไปเอาของที่คุณสั่งให้ทำ  คะนิ้งเลยดื้อขอตามมาด้วย”  เธอพูดพราง เดินตรงไปหา

    “ว้าว...เต้นท์เยอะเลย” คะนิ้งมองไปรอบๆ   และเสียงสนทนาก็ดึงความสนใจของบรรดาเพื่อนๆของฮันเจ 

    “เอาไว้ตรงไหนค่ะ”  เธอพูดพร้อมกับยกของที่หิ้วในมือขึ้น  นลันชา เดินตามออกมาสมทบพร้อมถือตะกร้าหวาย ใส่ถ้วย ชามและของต่างๆ

    “ทำไมให้คะนิ้งถือออกมา หึ๊!!  ฮ้นเจเน้นเสียงมองมายังเธอ  น้ำเหลือบตามองไปยังคนต้นเรื่อง แต่เธอกลับยืนเฉยไม่ปริปาก

    “ฉันก็ว่าจะถือมานั่นแหละ..แต่ไหนๆ ก็มีคนมาช่วยแล้วนี่ ใช้นิดใช้หน่อยจะเป็นไร”  น้ำเลือกที่จะไม่ตอบเรื่องจริงเช่นกัน 

    “เธอนี่นะ...”  ฮันเจพูดตอนที่เขาเดินมายืนข้างๆ ก้มหน้าลง จงใจให้ได้ยินแค่ระหว่างเขาและเธอเท่านั้น  พูดจบเขาก็ฉวยตะกร้าในมือน้ำ  โฮ๊ะ น้ำอุทานเบาๆ   เขาสังเกตเห็นแขนของน้ำมันดูตึงมากขนาดไหนตอนที่หิ้วมันอยู่

    “ไม่เป็นไรนี่ค่ะ  คะนิ้งอยากช่วย”  เด็กสาวเอื้อนเอ่ย  ยังไม่ทันที่ฮันเจจะพูออะไรต่อ  บรรดาชายหนุ่มทั้งสี่ ซึ่งบัดนี้เดินออกมายืนขนาบข้างฮันเจและน้ำ เรียบร้อยแล้ว  แล้วก็เป็น เอเมซ ผู้น่ารักที่เข้าไปช่วยคะนิ้งถือถุงของกินทั้งหลาย

    เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย ปาร์ตี้รอบกองไฟ ของเหล่าบรรดาหนุ่มหล่อทั้ง 5 ก็ เริ่มขึ้น  ลุงชวนถือกล่องใส่บาบีคิวออกมาส่งเป็นรอบสุดท้าย  ฮันเจชวนเขาให้อยู่ทานด้วยกันแต่แกขอตัว  ส่วนคะนิ้งนั้น บัดนี้เธอนั่งติดอยู่ข้างฮันเจ เรียบร้อย

    คะนิ้งเจอกับฮันเจเกือบทุกครั้งที่เขามาที่นี่    จึงไม่แปลกอะไรที่เธอจะดูสนิทกับเขา  น้ำไม่ได้นั่งร่วมวงด้วย เพราเธอต้องรับบทย่างบาบีคิว  แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะ มันคือของโปรดของเธอเช่นกัน  ดองวู ลุกเดินมาเพื่อขอบาบีคิวเพิ่ม

    Wait a minuteเธอส่งภาษาบอกดองวูให้รอหน่อย    อีกฝ่ายยิ้มตอบละมุน  ซึ่งทั้งหมดก็ไม่อาจรอดสายตาจากฮันเจได้

    “ไฟไม่แรงเลย” น้ำบ่น  แต่คนตรงหน้าก็ไม่อาจรู้ความหมาย

    “อุ้ย...” เสียงคะนิ้งดังขึ้น  พร้อมกับแก้วน้ำที่หกเลอะเสื้อ  เร็วเท่าๆกับน้ำที่หกไป ฮันเจคว้าผ้าขนหนูที่อยู่ในตะกร้าหวายจัดการเช็ดน้ำให้เธออย่างเบามือ  ซึ่งมันก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของน้ำเช่นกัน

    หึ้ย..!!’  น้ำร้องใจในอย่างหงุดหงิด 

    “ขอตัวสักครู่นะค่ะ”  เธอบอกดองวู  โดยไม่สนใจว่าเขาจะเข้าใจความหมายนั้นมั้ย  เดินห่างออกไปแถวแนวชายป่าต้นสน

    หงุดหงิดอะไรของเธอยายน้ำ  น้ำพึมพำกับตัวเอง   ก็ถ้าไม่เห็นว่ายายเด็กนั้นจงใจทำน้ำหกใส่ตัวเองแบบหน้าซื่อๆ เธอคงไม่หงุดหงิดหรอก   เธอคิดต่อในใจ

    “จะอะไรก็ช่างเว้ยยยยย”   น้ำพ่นคำพูดอย่างลืมตัว  วันนี้เธอเจอทั้งปัญหาเก่า ซ้ำยังต้องเจอกับปัญหาใหม่ ที่ถึงแม้เธอเองก็ไม่เข้าใจ  มันช่างกดดันความรู้สึกเธอจริงๆ  ไหนจะอารมณ์วูบไหวของฮันเจที่เธอต้องคอยรับมือ  น้ำเดินเลยเข้าแนวชายป่า จริงๆก็เพื่อมาเก็บไม้  เอาไปเป็นเชื้อไฟเพิ่ม  แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินเลยมาแค่ไหน เพราะตอนนี้  รอบตัวเธอมันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ เท่านั้น  ส่วนอากาศก็เย็นเยียบขึ้น

    “หึ้ยยย...” เธอร้องขึ้น  “น้ำเอ้ย โง่ หรือบ้านะแกเนี้ย”  เธอตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนจะหลงทาง  เธอพยายามเดินย้อนกลับทางเก่าที่เดินมา  แต่ตอนที่เดินเข้ามาก็ไม่ได้สนใจมองอะไร  ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งหลงทิศหนักกว่าเดิม  นึกถึงโทรศัพท์ขึ้นมา  เห้ออออ  เธอถอนหายใจออกมายาวๆ  ก็เพราะเธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว  เธอจึงวางมันไว้บนห้องไม่ได้หยิบลงมาด้วย 

    “โอ้ยยยยยย”  เธอร้องอีกครั้ง  “ทำไมซวยอย่างงี้ว้า”  เมื่อจนปัญญาเธอจึงเลือกที่จะนั่งลงพิงหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่  เธอกอดเข่ากระชับแน่นเพื่อเพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย

    คงต้องมีสักคนที่เห็นว่าเธอหายไป  น้ำคิด แต่ลึกๆ เธอหวังให้ฮันเจรับรู้ถึงการไม่มีอยู่ของตัวเธอ

     

    เมื่อเงยหน้ามองมายังที่ย่างบาบีคิว  เขาเห็นเพียงแต่ดองวูที่ยืนทำหน้าที่แทนน้ำ  ฮันเจลุกขึ้น สาวเท้ายาวๆ เพียงไม่เท่าไหร่เขาก็มาหยุดอยู่ข้างดองวู  เขาถามเหมือนกระซิบ ดองวูชี้มือไปแถวชายป่าต้นสนทึบๆ  ห่างออกไปไม่มากนัก

    “น่าจะ 10 นาทีได้นะ”  ดองวูตอบฮันเจด้วยภาษาบ้านเกิด  ชั่วพริบตาฮันเจพาตัวเองมาถึงบริเวณชายป่า

     

    “ยายพี่เลี้ยง เธอคิดจะทำอะไรนะ”  ฮันเจบ่นแต่น้ำเสียงมันฟังดูเป็นกังวลมากกว่าที่เขาจะโกรธ   โอ้ยยยย  เสียงแว่วๆ

    ถึงมันจะไม่ดังมากนัก แต่เขาก็จำได้ว่า มันคือเสียงใคร  ไม่ต้องให้ใครสั่งฮันเจมุ่งหน้าเข้าไปในป่า  เขาพยายามเดินอย่างระมัดระวัง  เพราะในป่าแบบนี้  เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรอยู่บ้าง  ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงแถมโมโหยายพี่เลี้ยงตัวดีที่ชอบทำอะไรให้ตัวเองต้องเสี่ยงอยู่เรื่อย  ไม่นานนักเขาเพ่งมองออกไปในความสลัวเบื้องหน้า  เขาเห็นนลันชา  นั่งกอดเข่าพิงต้นไม่อยู่   หันซ้าย หันขวา อย่างคนหวาดระแวง  จะกลัวก็ไม่แปลกหรอก เขานึก  ฮันเจย่องเบาๆ  อ้อมไปทางด้านหลังของเธอ  จะว่าไปมันก็ไม่ได้ไกลอะไรนักหนา  แต่ทำไมเธอถึงหาทางออกไม่เจอนะ เขาคิดต่อ  พร้อมกับยิ้มขึ้นที่มุมปาก    มัวแต่ตกใจอยู่ละซิ  แม่คนเก่ง  รอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า 

    เมื่ออ้อมมาถึงระยะที่ใกล้พอ  เขาเลือกที่จะยืนหลบอยู่หลังต้นไม่ขนาดเขื่อง แอบดู ด้วยใจคิดอยากจะสั่งสอนคนเก่งคนนี้ให้หลาบจำไปอีกนาน  ว่าการทำอะไรไม่คิดมันจะส่งผลอย่างไรกับเธอ

    “เห้อ...”  นลันชาซบหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้น  เธอระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนาย

    “จะมีใครรู้บ้างรึยังว่าฉันหายไป”  เธอบ่นกับตัวเอง   “ไอ้เด็กบ้านั่นจะรู้เรื่องบ้างมั้ย”  น้ำเสียงประโยคนี้มันเหมือนเธอน้อยใจอยู่กลายๆ  “ฉันหายมาเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ  ไม่มีใครรู้บ้างเลยเหรอ”  เธอซบหน้านิ่งลงบนเข่าอีกครั้ง

    แล้วอยู่ๆ ความอัดอั้นทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาอุ่นๆ  เธอเงยหน้าขึ้นรีบปาดมันทิ้ง  ฮันเจเห็นภาพเบื้องหน้า ทำไมเขาถึงรู้สึกสงสารยายพี่เลี้ยงตัวดีขึ้นมาจับใจ  เขาก้าวออกมาจากที่ซ่อน  เดินตรงมาที่เธอทันที  ส่วนน้ำเมื่อได้เสียงกรอบแกรบ
     
    ดังมาจากด้านหลัง  เธอทะลึ่งตัวขึ้นยืนอย่างหวาดหวั่น  เมื่อเห็นเงาทะมึนที่ไม่รู้ว่าใครเดินตรงมาที่เธอ  น้ำเตรียมตัวจะวิ่งและอ้าปากจะร้อง แต่ช้ากว่าฮันเจ  เขาคว้าตัวเธอไว้ในอ้อมแขน  มืออีกข้างปิดปากเธอไว้ น้ำตกใจดวงตาเบิ่งกว้าง

    “ฉู่ๆๆๆ....”  เขาส่งเสียงเพื่อลดความตระหนก  “ผมเอง”  เมื่อน้ำรับรู้ถึงตัวตนของคนที่มา  เธอกลับสะอื้นออกมาอย่างสุดที่จะกลั้น  ฮันเจปล่อยมือที่ปิดปากเธอไว้  ใช้นิ้วโป้งค่อยๆปาดน้ำตาที่เอ่อล้น  ตัวเธอเย็นมากเขารับรู้ได้  ฮันเจกระชับกอดเธอให้แน่นขึ้นเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ  นลันชาในยามนี้ทุกอย่างดูอื้ออึงไปหมด  ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า  แต่มันกลับทำให้เธอสุขใจอย่างประหลาด 

     “คุณมาทำอะไรตรงนี้”  เขาเอ่ยทำลายความเงียบ  และขณะที่หน้าของน้ำยังซบอยู่ที่อก

    “ฉันแค่จะมาเก็บไม้” 

    “คงพอแล้วมั้ง มาตั้งนานแล้วนิ”   ฮันเจเท้าคางเขาลงบนศีรษะเธอ  “กลับกันเถอะ”  เขาคลายวงแขนออก  นลันชาเงยหน้ามอง คำพูดเขาทำไมมันช่างอบอุ่นขนาดนี้  มันก็แค่ประโยคชวนกลับบ้านธรรมดาๆ   ภายใต้แสงสลัวแวบนึงเธอเห็นเขายิ้มและมันเป็นยิ้มที่อ่อนโยนมากๆ  และโดยไม่ทันตั้งตัว  ฮันเจก้มลงจูบเธออย่างนุ่มนวล  ฝ่ามือเขาประคองหน้าเธออย่างทะนุถนอม  เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กันนะ ทุกอย่างเชื่องช้าไปสิ้น

     

    ****************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×