คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 4 ปีศาจทั้ง 5 II
ใกล้วันเสาร์เข้ามาเต็มที่แล้ว ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายวันพฤหัสฯ ฉัน ‘นลันชา’ คนเดิมยังคงตั้งหน้าตั้งตาปัดกวาด เช็ด ถู เรียกได้ว่าเกือบจะทุกซอก ทุกมุมในห้องพักรับรองแขก ของเจ้านายสุดแสบก็ว่าได้
หนึ่งฉันไม่อยากให้เด็กบ้านั้นมาดูถูกฉัน สองฉันต้องการเอาชนะเจ้าเด็กนั้น สรุปแล้วคือ ฉันไม่อยากเสียหน้านั่นเอง ‘เฮ้อ..’ ฉันถอนหายใจเมื่องานชิ้นสุดท้ายของภารกิจบ้าอำนาจจบลง ฉันอมยิ้มอย่างภูมิใจเป็นที่สุด ที่งานของฉันเสร็จก่อนเวลา ซึ่งนับว่าดี เพราะจะได้มีโอกาสตรวจสอบความละเอียดอีกที ‘หึ หึ..’ ฉันหัวเราะในลำคอ เหมือนเป็นการหัวเราะเยาะตัวเองที่บ้าทำความสะอาดมาก เกือบเรียกว่าได้ว่าเข้าขั้นโรคจิตเลยทีเดียว ฉันเองก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ต้องลงแรงทำถึงขนาดนั้น พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะเจ้าเด็กนั้น คิดๆ ดูมันน่าตลกสิ้น ที่ฉัน ผู้ใหญ่อย่างฉันต้องการเอาชนะเด็ก ‘เฮ้อ..’ฉันถอนหายใจอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองแง่มุมไหนเจ้าเด็กนั่นก็สมควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง
เมื่อเดินลงมาข้างล่าง ฉันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ฮันเจนอนหลับอยู่บนโซฟาขนสัตว์ตัวหนาหนักหน้าเตาผิง มันช่างเป็นภาพที่เกินบรรยายจริงๆ หน้าตาของเขาดู...ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ดูราวกับเทพบุตร
ฉันส่ายหน้าเชื่องช้า ไม่อยากเชื่อว่าเวลาหลับ กับตื่น จะทำให้คนเราต่างกันได้ถึงเพียงนี้ ฉันไม่เคยเห็นเขาตอนหลับมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
ฉันสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด พยายามเงียบเสียงอย่างที่สุด ไม่อยากทำให้คนตรงหน้าลืมตา เปลี่ยนภาพเทพบุตร กลายเป็นปีศาจในทันที ฉันถึงกับกลั้นหายใจ ‘เสียสติสิ้นดี’ ฉันงืมงำ แล้วค่อยๆ ถอยเท้ากลับมาอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
ฉันแสร้งทำเป็นส่งเสียงเหมือนเพิ่งเดินลงมาจากข้างบน เป็นการส่งสัญญาณให้คนที่หลับใหลตื่นขึ้น ก็ฉันทนเห็นภาพเทพบุตรแบบนั้นนานๆ ไม่ได้นี่นา
“นี่คุณ..” เขาส่งเสียงที่เรียกได้ว่าไม่พอใจมาสู่ฉัน
“จะนอนกินบ้านกินเมืองรึไงกัน..นี่มันกี่โมงแล้วรู้ไหม๊” ฉันถลึงตาใส่เขา กลบเกลื่อนอารมณ์ตัวเอง
ฮันเจใช้ท่อนแขนยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา “แล้วกี่โมงกันละ” เขาย้อมถามทำเหมือนว่าเวลามีค่ามากสำหรับเขา
“นี่..ถ้าทีหลังจะหลับก็กรุณาขึ้นไปบนห้องของคุณ” ฉันกลืนน้ำลาย แม้ตอนนี้เขาก็ยังดูน่าหลงใหล.. “ถ้าจำไม่ผิด..คุณยกที่ตรงนี้ให้เป็นห้องพักสำหรับฉัน เพราะงั้นคุณไม่มีสิทธิ”
แวบนึงฉันเห็นเขาอมยิ้ม “เออ..นั่นซินะ ตรงนี้ห้องนอนคุณจริงด้วย” น้ำเสียงของเขากลั้วด้วยรอยยิ้ม ไม่ผิดจริงๆ เป็นรอยยิ้มที่ฉันไม่เคยเห็น รอยยิ้มละลายใจ และเสี้ยววินาทีถัดมา
“แต่มันก็เป็นบ้านผม...เพราะ-ฉะ นั้น” เขาเน้นย้ำหนักแน่น “ผมมีสิทธิทุกพื้นที่ในบ้านหลังนี้ เข้าใจ๋”
รอยยิ้มละลายใจที่ฉันแอบตื่นเต้น ถูกแทนที่ด้วยยิ้มเหี้ยมเกรียมซะแล้ว เหอะ ...เบ่งเข้าไป สักวันฉันจะทำให้นายพูดไม่ออกเลยทีเดียว เขาล้มตัวลงนอนต่อ เป็นการหย่าศึกครั้งนี้
หลังจากฟาดคารมเล็กๆ น้อยๆ ฉันเดินเรื่อยเปื่อยมาที่ประจำของฉัน ต้นสนใหญ่หลังบ้าน ช่างเป็นที่สงบจิตใจของฉันได้ดีแท้ แม้วันนี้การปะทะจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว เพราะฉันยุ่งเรื่องทำความสะอาด แต่ฉันรู้สึกดีมากกว่าจะอารมณ์เสีย ฉันเกือบจะกลายเป็นคนเสพติดการวิวาทย์ไปแล้วกระมัง ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง พักหลังฉันเริ่มรู้สึกว่าการทะเลาะกันเหมือนเป็นการ จะเรียกว่าไงดีนะ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฮันเจ พิลึกดีแท้ แต่จะว่าไปนั่นทำให้เรามีอะไรคุยกัน เพราะนอกจากการหาเรื่องทะเลาะกันแล้ว ฉันเองไม่เห็นว่าเราจะมีเรื่องอะไรที่หยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนาได้เลย
ฉันนั่งเล่นรับลมเย็นๆ เรื่อยเปื่อย งานของวันนี้หมดแล้ว ที่จริงมื้อเย็นวันนี้ฉันยังไม่ได้ทำ แต่เพราะฮันเจบอกว่าจะออกไปข้างนอก ฉันจึงหมดหน้าที่แล้ว ความคิดทั้งหลายแห่โหมเข้าหา ฉันแทบไม่ทันตั้งตัว เพราะหลายวันแล้วที่ไม่ได้นั่งนิ่งๆ แบบนี้ ชวนให้คิดถึงแม่ เพื่อน และคนสุดท้ายฉันแทบกระอักออกมา ก้อนแข็งจับตัวที่ลำคอ ยากเย็นเกินกว่าจะปฏิเสธ ความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าความเข้มข้นของมันจะลดลงบ้าง แต่...มันยังเจ็บอยู่ ตรงอกข้างซ้าย ฉันเผลอทาบมือลงบนอกข้างที่เจ็บแปลบอย่างลืมตัว น้ำใสๆ ไหล่ผ่านร่องแก้ม
ฉันสะบัดหัวอย่างแรง เตือนตังเองให้นึกถึงเรื่องอื่น มือปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ‘ป่านนี้แม่จะทำอะไรอยู่’ ฉันนึก ยืนขึ้นล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง หยิบเครื่องมือสื่อสารทันสมัย กดหาเบอร์คุ้นตา และโทรออก
ไม่นานเกินรอ เสียงตอบรับจากเจ้าของเครื่องเจือด้วยความดีใจจนฉันยิ้มออกมา “น้ำ...เป็นไงบ้างลูก”
เหมือนหมัดฮุกเข้าที่ลำตัว ฉันแข็งค้าง ‘นี่ฉันไม่ได้โทรกลับบ้านนานแค่ไหนกัน’ ฉันสงสัย แต่ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ “หนูเงียบไปแม่เป็นห่วง” ฉันบอกไม่ถูกกับความรู้สึกนี้ หดหู่ เสียใจ หรือ บ้าแน่ๆ ที่ฉันรู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่ทำให้แม่เป็นห่วงได้
บ้าเอ้ย!
“ดีค่ะแม่..ที่นี่อากาศดี” ฉันเฉไฉ ไปหาดินฟ้าอากาศ ทำหยั่งกะว่าแม่อยากจะรู้เสียเต็มประดาว่าอากาศที่นี่ต่างจากกรุงเทพยังไง
“น้ำ..” แม่เตือนฉันด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “หนูไม่พอใจแม่เรื่องนั้นใช่ไหม๊” แม่ส่งสารท้ารบมาแล้ว
“หนูไม่อยากพูดถึงอีก” ฉันแทบคำราม ครั้งล่าสุดที่โทรหาแม่ เรามีเรื่องกันเล็กน้อยถึงเรื่องที่อยู่ของฉัน แม่บอกเล่าที่อยู่ของฉันให้แก่คนที่ฉันอยากให้รู้เป็นคนสุดท้ายบนโลกนี้ แม่ทำงั้นได้ไง แม่ไม่รู้เหรอว่าเขาทำลูกแม่เจ็บเจียนตาย แล้วเหตุผลชั้นดีข้อไหนที่ทำให้แม่ใจอ่อนบอกเรื่องราวของฉันกับเขา
“แทน..” น้ำเสียงของแม่จางไปในลำคอยามเอ่ยชื่อนี้ “เขาขอร้อง ขอโอกาสให้เขาได้ขอโทษ...แม่รู้ถึงมันจะไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น แต่น้ำ...” แม่รัวคำพูดจนแทบฟังไม่ได้ “เขาอยากขอโทษลูกจริงๆ อยากให้ลูกยกโทษให้เขา” นี่ๆๆ, นี่มันอะไรกัน แม่เป็นอะไรไปแล้ว แม่ทำเหมือนว่าคำขอโทษจะลบเลือนความเจ็บปวดของฉันได้งั้นหรือ ไม่, ไม่มีทางเด็ดขาด ถ้าฉันยอมเท่ากับว่าเขาคนนั้น หมดหน้าที่รับผิดชอบต่อการกระทำครั้งนี้อย่างสวยงาม ไม่มีวัน... ฉันเกือบจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องกัดลิ้นตัวเองไว้ไม่อยากให้อะไรในหัว หลุดออกมาเป็นคำพูด
“เราตกลงกันแล้ว...ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ฉันหอบเอาอากาศเข้าปอดอย่างหนักหน่วง พยายามสะกดอารมณ์ขุ่นเขียวในใจ “ถ้าแม่ยังอยากคุยกับหนู” ฉันยื่นคำขาด
“ก็ได้..” แม่ตอบแต่น้ำเสียงไม่ได้ไปทางเดียวกัน
“แม่สบายดีใช่ไหม”
“ดีลูก...ที่นี่อากาศดี” แม่ย้อนฉันเข้าให้
“งั้นหนูคงไม่ต้องห่วงซินะค่ะ” ฉันเหน็บแม่บ้าง “สวัสดีค่ะแม่” ฉันตัดบทสนทนาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉันกดหาเบอร์อีกเบอร์ที่ชินตา ไม่นานนัก เจ้าของเครื่องกรอกเสียงใสกังวาล ชวนให้อารมณ์ดี
“ไงยะ..นี่เกิดอะไรขึ้นถึงโทรหากันได้” คำทักทายแสบๆ คันๆของหมี่เล่นเอาฉันถึงกับอ้าปากเหวอ หรือว่าฉันจะไม่ได้ติดต่อโลกภายนอกมานานขนาดหนักแล้ว
“แหม..ฉันคิดถึงเธอทุกวัน ไม่รู้สึกบ้างรึไง” ฉันงัดเอามุกออดอ้อนมาเป็นกระบวนแรก
“ดีขึ้นมากแล้วนี่”
“งั้นมั้ง” ฉันตอบ
“ก็ยอกย้อนได้แล้วนี่..ฉันอยากให้แกเป็นเหมือนเดิมแทบใจจะขาด” หมี่แทบงับปากตัวเองทันที ที่รู้ว่าตัวเองสะกิดแผลของฉันเข้าแล้ว ฉันเองก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันควันที่เป็นต้นเหตุความไม่สบายใจของเพื่อน เราทั้งคู่เงียบกันไปนาทีเต็มๆ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องมาชวนคุยชนิดที่เรียกได้ว่า เข้าขั้นเม้าท์กระจาย หมี่ถ่ายทอดเรื่องราวในที่ทำงานหลังฉันได้ลาออกมาแล้ว โดยฝีมือเธอเป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้นกระทั่งลายมือที่เขียนลงในจดหมายลาออกฉบับนั้น ก็เป็นฝีมือเธอ ฉันแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลาออกของตัวเองเลย นึกๆ แล้วก็น่าขัน เธอระมัดระวังในการเล่าอย่างมากจนฉันรู้สึกได้ เพราะเธอเงียบเป็นพักๆ เหมือนนึกหาถ้อยคำที่ระคายหูฉันน้อยที่สุด เพื่อนฉันคนนี้แสนดีที่สุด ฉันคงหาเพื่อนที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วในชีวิต เรากล่าวคำอำลาตอนที่ขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาอมม่วง พระอาทิตย์กำลังจะลับยอดเขาแล้วขณะที่ฉันรีบจ้ำเข้าบ้าน ฉันไม่รู้ว่าอากาศเย็นขนาดนี้ตอนที่กำลังคุยกัน แต่ตอนนี้มันหนาวเสียดกระดูกเหลือเกิน ฉันใช้ฝ่ามือถูแขนเพื่อเพิ่มความร้อน ระหว่างที่ก้าวเข้าบ้าน เป็นเวลาเดียวกับที่ฮันเจกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี
“ไง..” เขาเอ่ยทักขึ้นก่อน “หนาวขนาดนั้นเลยเหรอ” สีหน้าของฉันคงแสดงออกเกินความจำเป็น ในนี้อุ่นกว่ามากฉันเริ่มดีขึ้นจากอาการหนาวเหน็บ
“ก็คงงั้นมั้ง” ฉันตอบไม่เต็มเสียง ไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เมื่อนึกถึงตอนบ่ายฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุก เฮ้ย! อะไรกัน...ฉันเขินคนนอนหลับหรือนี่ ความคิดนี้ช่าง, ช่างพิลึกพิลั่นเหลือเกิน
“คงกลับดึกหน่อย, คุณคงไม่ว่า”
“ฉันจะว่าอะไรคุณละ” ฉันเริ่มงง
“ก็ผมทิ้งคุณไว้คนเดียว” เขาเฉลย
“อ่า....” ฉันคราง “ใช่ซิฉันต้องอยู่คนเดียว” บ้านหลังใหญ่มหึมา แต่ฉันต้องอยู่คนเดียวคืนนี้ แค่คิดก็วังเวงดีแท้ “ไม่เป็นไร...” ฉันตอบเขาแต่เหมือนปลอบตัวเองมากกว่า
“ผมจะกลับทันทีที่ธุระของผมเสร็จ” เขาไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางเป็นห่วงฉันขนาดนั้นก็ได้ แต่ฉันรู้สึกดีมาก เขาเดินผ่านหน้าฉันออกไปแต่ไม่วายร้องสั่ง “ล็อคประตูบ้านให้ดี..ทุกประตู โอเค้” เขาเน้นเลียงสั่งเหมือนฉันเป็นเด็ก
“อืม” ฉันตอบได้แค่นั้น เพราะสมองของฉันกำลังทำความเข้าใจกับประโยคคำสั่งของเขาที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเข้าใจยาก แล้วทำไมต้องทุกประตู มีคืนไหนกันเหรอที่ฉันเผลอเลอลืมล็อกประตูไปสักบานแล้วเขาลงมาเจอ ไม่น่าเป็นไปได้ ฉันแย้งในใจ เสียงรถแล่นออกไปดึงฉันออกจากห้วงความคิด หันมองรอบบ้านเงียบและเงียบ ฉันเพิ่งค้นพบความหวาดระแวงอันใหม่ ความกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว ลุงชวนคนสวนของที่นี่ทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับไม่มีการพักค้างคืน เมื่อก่อนไม่รู้สึกอยากให้ลุงค้างที่นี่สักหน่อย เพราะอย่างน้อยข้างบนก็ยังมีฮันเจอยู่ ถึงแม้จะเกิดเรื่องร้ายกับฉัน คิดในแง่บวก..อาจแค่แก๊สระเบิด หรือว่าไฟไหม้ ฮันเจจะวิ่งลงมาใช้เวลาอย่างน้อยไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้แค่ลุงชวนอยู่เป็นเพื่อนก็คงดีแล้วมั้ง ฉันหลอนตัวเองด้วยความคิดบ้าๆ นานัปการ แค้นเคืองตัวเองสิ้นดี ที่คิดอะไรพิเรนพรรค์นั้น แทนที่จะทำอย่างอื่น แต่ความสงัดของบรรยากาศโดยรอบชวนให้หลงคิดอยู่ดี
ฉันเผลอคิดถึงแม้กระทั่งมีคนลอบเข้ามาในนี้ “บ้า, บ้าๆสิ้นดี” ฉันร้องอย่างลืมตัว ไม่กล้าคิดต่อจากนั้น ฉันต้องหาอย่างอื่นทำนอกจากมานั่งจินตนาการถึงเรื่องเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับฉันในตอนที่อยู่คนเดียว จะว่ากลางป่าก็ไม่ผิดนัก เพราะรอบๆ บ้านเป็นป่าต้นสนถึงแม้จะไม่ทึบมากนักก็น่าหวั่นใจมิใช่หรือ
เมื่อฉันจัดการความคิดบ้าๆ อยู่หมัด ฉันก็ต้องหวั่นใจขึ้นมาเป็นรอบที่สองเมื่อนึกขึ้นได้ว่า วันนี้ฉันไม่ได้เก็บไม้มาเป็นเชื้อไฟ ‘แย่แล้ว’ ฉันคิดคืนนี้จะนอนหลับยังไงกันละ กรรมของฉันซิน่า มัวแต่คุยโทรศัพท์ เฮ้อ...ฉันถอนหายใจยาว ครั้นจะออกไปตอนนี้ ช่างเป็นความคิดที่โง่เง่าที่สุด เดินกลับไปกลับมาหน้าเตาผิงอยู่ชั่วครู่ เมื่อไม่มีเหตุผลสนับสนุนการออกไปข้างนอกฉันจึงตกลงว่าคืนนี้ฉันจะนอนโดยไม่มีไฟในเตาผิงให้ความอบอุ่น นากจากผ้าห่มผืนเดียว
หลังจากอาบน้ำอาบท่า จัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อย ฉันก็มานั่งอยู่หน้าเตาผิงที่ไร้เปลวเพลิง บนโซฟาขนสัตว์ที่ให้ความอุ่นสบายกับฉัน แต่ถ้าจะนอนบนนี้จริงๆ ฉันคงต้องงอก่องอขิงเหมือนท่าที่เห็นฮันเจนอนเมื่อตอนบ่ายเป็นแน่ คงไม่สบายเท่าไหร่ฉันคำนวณในใจ
เสียงรถยนต์แล่นฉิวเข้ามาในบริเวณบ้าน ฉันน่าจะดีใจ แต่ไม่เลยเพราะเสียงรถคันนี้ไม่ใช่เสียงรถของฮันเจ แล้วใครกันละแขกที่ไม่ได้รับเชิญ?ในค่ำคืนนี้
น้ำกระวนกระวายใจ เพราะไม่รู้ว่ารถที่แล่นเข้ามานั้นเป็นรถใคร หันซ้ายหันขวา มองหาอะไรที่พอจะใช้เป็นอาวุธเฉพาะกิจได้ในตอนนี้ พลันสายตาก็สะดุดกับเหล็กเขี่ยไฟในเตาผิง ไม่ต้องรอให้ใครสั่งน้ำเดินตรงไปหยิบเจ้าเหล็กที่ว่ากระชับแน่นในกำมือ พร้อมสูดหายใจเข้าก่อนก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ไปยังหน้าต่างข้างประตูเพื่อดูการเคลื่อนไหวภายนอก บริเวณนอกบ้านมีไฟส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียว จึงมองอะไรไม่ค่อยถนัด น้ำหงุดหงิดคิดจะสั่งลุงชวนคนสวนติดเพิ่มทันทีในวันพรุ่งนี้หากว่าเธอรอดผ่านเหตุการณ์คืนนี้ไปได้ ‘เฮ้อ..คิดอะไรของฉันเนี้ย น้ำเอ็ดตัวเองในใจ’ พยายามเพ่งสมาธิกับเหตุการณ์ข้างนอกนั่น แล้วประตูรถปริศนาก็เปิดออก ชายคนแรกก้าวลงมา และอีกสองคนบนรถคันนั้นก็ตามลงมาติดๆจากประตูรถคนละบาน
“แย่แล้วฉัน..” น้ำครวญคราง “แค่คนเดียวก็ไมรู้จะรับมือยังไง นี่ตั้งสามคน” เธอเบ้ปาก “ยังไงก็ขอให้ศพสวยๆหน่อยละกันนะ” น้ำไม่วายจะมีอารมณ์ขันถึงแม้มันจะไม่ได้ทำรู้สึกดีขึ้นเลยก็ตาม และก่อนที่น้ำจะจินตนาการถึงสภาพศพของตัวเองไปมากกว่านั้น เสียงรถยนต์ที่คุ้นหูก็แล่นฉิวเข้ามาจอดเทียบกัน น้ำเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวรู้สึกดีใจกว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถคันนี้
ฮันเจไขกุญแจเข้าบ้าน แต่ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว และหนุ่มๆ ที่เดินตามเข้ามาก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“เธอเป็นอะไรของเธอ” พูดพร้อมหรี่ตามองมาที่น้ำ แต่น้ำยังคงนิ่งและแปลกใจกับคำถาม นึกในใจ ฉันจะเป็นอะไรละก็ปกติดีนิน่า
“เธอถือเหล็กนั้นไว้ทำไม” ฮันเจช่วยไขความข้องใจให้น้ำเมื่อเห็นว่าเธอยังคงมีสีหน้างุนงง
“อ๋อ...” น้ำลากเสียงยาวเข้าใจในทันที “ก็...” เธอไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดีแถมหน้าก็ดันร้อนผ่าวๆ รู้สึกเหมือนคนแอบทำความผิดแล้วถูกจับได้
ฮันเจหัวเราะเสียงดัง ... แต่น้ำปั้นหน้าไม่ถูกรู้เสียฟอร์มอย่างที่สุด “ขำอะไรนักหนา...” เธอพยายามเสียงแข็งตวาดฮันเจให้หยุด...
ฮันเจให้นิ้วปาดน้ำตาที่ซึมออกมา..พยายามจะหยุดขำแต่เมื่อนึกถึงยายพี่เลี้ยงตัวแสบก็กลัวเป็นเหมือนกันก็ทำให้เขาต้องหัวเราะออกมาอีกรอบ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่น้ำพยายามปกปิดไม่เคยแสดงว่ากลัวอะไรทั้งๆที่บางครั้งฮันเจก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอกลัวมาก...และก่อนที่จะเกิดศึกครั้งใหม่ชายหนุ่มหนึ่งในสี่คนส่งเสียงกระแอมเพื่อบอกว่าพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย...ฮันเจหันมาหาพยายามข่มไม่ให้ขำก่อนที่จะพูดกัน...แต่ด้วยภาษาที่น้ำเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง เธอยืนมองพวกเขาคุยกันและก็เริ่มจะเดาออกว่าฮันเจเล่าอะไรให้ฟังเพราะสีหน้าหนุ่มๆ แต่ละคนเริ่มมีสีเข้มขึ้นและก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ น้ำโดนเหล็กเขี่ยไฟในมือทิ้งลงพื้นเสียงดังสะท้อนทั่วบ้านกลบเสียงหัวเราะของบรรดาหนุ่มๆ เสียสนิท ฮันเจหันขวับมามอง...เบิ้งตากว้าง
“ขอโทษที..มันหลุดมือนะ” น้ำทำเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมทำหน้าตาบ้องแบ๊ว
แต่ฮันเจนั้นเค้าอยากจะโดดกัดหูน้ำเสียจริงๆ เพราะเขารู้ว่าน้ำจงใจแกล้ง
“ไม่เป็นไร...” เขาทิ้งช่วงรอโอกาสให้น้ำตายใจ “ผมไม่ถือคนบ้าอยู่แล้ว” จบประโยคเป็นน้ำเสียเองที่ออกอาการอยากจะฆ่าใครสักคน..
“นี่...” ฮันเจเอ่ยขึ้น พร้อมกับโอบไหล่ชายคนที่ยืนติดกับเขา
“เพื่อนผมเอง..จะมาพักอยู่กับเราสักระยะหนึ่ง” เขาทิ้งช่วงเพื่อให้น้ำปรับอารมณ์ของเธอที่โดนเขาเปลี่ยนกะทันหัน
“คนนี้ชื่อ ลี ดอง วู แล้วนี่ ชอย จิ ยู เอเมซ และก็จัสติน” ในขณะที่ฮันเจเอ่ยชื่อ แต่ละคนก็ค้อมศีรษะให้น้ำด้วย บรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายทำให้น้ำอารมณ์ดีขึ้นมาเป็นกองเลยก็ว่าได้
แล้วหนึ่งในนั้นก็ทักทายน้ำด้วยภาษาสากลที่น้ำเข้าใจดี และตอบกลับไปด้วยประโยคที่แสดงความยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทย เรียกรอยยิ้มจากบรรดาหนุ่มๆ ได้ถ้วนหน้า รวมทั้งฮันเจด้วย
‘ยายนี่ ทำตัวหน้าน่ารักก็เป็นด้วยแฮะ’ ฮันเจนึกในใจ
เมื่อฮันเจพาเพื่อนๆ ไปยังห้องพักมีเสียงโวยวาย แต่น้ำไม่เข้าใจความหมายและเมื่อสติกลับมาโดยสมบูรณ์ น้ำก็ต้องแปลกใจ 'ไหนว่าจะมาวันเสาร์' น้ำคิดเพราะเพื่อนฮันเจมากันแค่ 4 คนเท่านั้น ...
“แล้วทำไมสั่งให้ทำความสะอาดตั้ง 5 ห้อง” น้ำบ่นรอดไรฟันพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นๆ อีกครั้ง
“นี่คงกะจะแกล้งฉันซินะ ไอ้เด็กแสบ” น้ำบ่นพรางเดินไปทางโซฟาหน้าเตาผิง แต่ว่ายังไม่ทันที่จะถึง
“จะไปไหน” เสียงฮันเจดังมาจากด้านหลัง แต่คราวนี้น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเกินกว่าที่น้ำเคยได้ยิน
" “มีอะไรว่ามา"” พยายามปัดความรู้สึกแปลกใจทิ้งไป
“ใจร้อน” ฮันเจตอบเสียงหวานเกินเหตุ
“นี่นาย” น้ำตวัดเสียง
“จุ๊ๆๆ” ฮันเจทำท่าจุ๊ปากเป็นเชิงห้าม
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้คุณเรียกผมแบบนี้ คุณพี่เลี้ยง” ฮันเจส่ายหน้าพร้อมกับที่เขาพูด แถมด้วยสายตายี่ยวน
“เพื่อนคุณมาแค่นี้เหรอ” น้ำเปิดประเด็นที่ค้างคาใจ
“ใช่...คุณตาไม่ฝาดหรอก”
“แล้วที่คุณสั่งให้ฉันทำความสะอาดตั้ง 5 ห้องละหมายความว่าไง” น้ำพยายาม นับ1 ถึง 10 ในใจ
ฮันเจทำหน้าตาครุ่นคิด...อาการดังกล่าวยิ่งจุดชนวนระเบิดให้น้ำได้เป็นอย่างดีและเมื่อฮันเจยั่งนิ่ง
“คุณฮันเจ.....” น้ำเรียกชื่อฮันเจด้วยเสียงที่หนักๆ และก่อนที่น้ำจะทันได้ระเบิดอารมณ์
“นี่คุณ..” ฮันเจส่ายศรีษะไปมาอย่างช้าๆ “คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้คุณนอนข้างล่างนี่ ในขณะที่เพื่อนผมมาค้างอยู่ที่บ้านเนี้ยนะ” ฮันเจ ทำหน้าตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าน้ำคิดว่าเขาจะไร้มนุษยธรรมขนาดนั้น
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง...คุณมีน้ำใจต่อฉันมากขนาดนั้น รึก็เปล่า” น้ำเถียง แต่อารมณ์เดือดเมื่อครู่ หายไปโดยสิ้นเชิง
“ถ้าจะให้ฉันคิดว่าคุณหวังดี เผื่อห้องนอนไว้ให้ฉันด้วยนั้น ขอบอกมันเกินที่ฉันจะคิดได้” น้ำพูดออกไปหวังจะทำให้เค้าอารมณ์บูดเล็กๆเท่านั้น
“ก็แค่จนกว่าเพื่อนผมจะกลับ” สีหน้าแววตากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
“โธ่เอ้ย...” น้ำหลุดอุทานแต่งับปากไว้ได้ทันก่อนที่อะไรจะตามมามากกว่านี้ ‘ที่แท้ก็กลัวเสียหน้า ว่าแล้ว ความหวังดีของนายไม่เคยออกมาจากใจจริงเลย’ น้ำคิดต่อในใจ
ฮันเจ ยื่นถุงกระดาษที่เขาถือติดมือมาตั้งนานแล้วให้น้ำ “เอ้า...นี่ของคุณ”
น้ำยืนนิ่ง ไม่แน่ใจว่าคราวนี้เขาจะมาไม้ไหนอีก
“นี่คุณ.รับไปซิผมซื้อมาให้” คราวนี้เขากระชากเสียงเหมือนหงุดหงิด น้ำยื่นมือไปรับมาถือไว้
“แล้วฉันต้องจ่ายเงินให้คุณทีหลังด้วยรึเปล่า” น้ำประชด
ไม่ทันตั้งตัวฮันเจ จับข้อมือน้ำลากเธอตามเขาขึ้นมาชั้นบนระหว่างที่เดิน
“เลิกทำตัวงี่เง่าซะที”
“เหอะ..ใครกันแน่ที่งี่เง่า” น้ำสวนกลับ
“คุณนี่ยังไงกัน..ไม่มีห้องก็โกรธ มีห้องก็โกรธ ...บ้ารึเปล่า” ดูเหมือนเขาจะโกรธจัดกว่าฉันซะอีก เพราะแรงที่บีบข้อมือฉันมันเริ่มทำให้ปวดตึบๆ
“ฉันเจ็บนะ” น้ำร้องบอก แต่ก็ไม่มีการผ่อนแรง จนเขาลากเธอมาถึงหน้าประตูห้อง เขาจับน้ำยืนพิงผนังยกแขนทั้งสองกั้นไว้ ก้มหน้าลงมาจนน้ำรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา
“ถ้าคุณไม่อยากให้เพื่อนผมออกมาดูโชว์ ที่คุณเป็นผู้ร่วมแสดงด้วยก็เงียบซะ” เขาทิ้งช่วง
“และอะไรที่ผมทำให้ก็รับไปแล้วไม่ต้องยอกย้อน” คราวนี้น้ำเป็นฝ่ายกลั้นใจบ้าง เพราะเขาก้มลงกระซิบที่ข้างหู ริมฝีปากของเขาคลอเคลียอยู่ที่ใบหูของเธอ หัวใจน้ำเต้นโครมครามจนแทบระเบิดออกมา และอยู่ๆ ภาพฮันเจกับเธอวันนั้นที่หลังบ้านก็ผุดขึ้นมากระจ่างชัด น้ำหลับตาปี๋ยกมือขึ้นกอดอกอย่างฉับพลัน ปล่อยถุงในมือให้ตกลงพื้น
ฮันเจ ชะงักเล็กน้อยเขาถอยหลังไปแล้วหัวเราะในลำคอ จนน้ำต้องลืมตา
“คุณคิดว่าผมจะทำอะไรมิทราบ คุณพี่เลี้ยง” ฮันเจพูดในขณะที่ตัวเขาเบียดจนเกือบชิดตัวของน้ำ
น้ำเม้มปากแน่นโมโหที่ตัวเองต้องตกเป็นของเล่นให้เด็กบ้านี่ แถมต้องก้มหน้าหนีการคุกคามจากสายตาของฮันเจ
ฮันเจตั้งใจเบียดหน้าเขาลงไปที่ซอกคอซุกไซ้ไปตามลำคอเรียวยาว ส่วนน้ำแทบบ้าตาย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรถึงยอมให้ฮันเจทำตามอำเภอใจแบบนี้
“หยุด” เสียงของน้ำที่เปล่งออกมาฟังดูเหมือนเพ้อมากกว่าจะเป็นคำสั่ง เธอพยายามรวบรวมสติที่ตอนนี้มันกระเจิดกระเจิงไปหมด น้ำเอามือดันหน้าอกฮันเจหวังใจเพื่อต้องการหยุดการกระทำนี้ แต่มันผิดมหันต์เมื่อมือเธอสัมผัสหน้าอกของเขา จากที่ออกแรงผลักกลับกลายเป็นแค่การเกาะกุมไว้ เพื่อช่วยให้เธอพยุงตัวอยู่ได้เท่านั้น
“คุณช่วยตบหน้าผมแรงๆสักทีได้ไหม” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า สายเว้าวอนต้องการสัมผัสริมฝีปากของน้ำที่ตอนนี้มันเผยอ ออกด้วยแรงหายใจหอบกระชั้น
“ไม่งั้นผมคงหยุดตัวเองไม่ได้” น้ำไม่รู้จะทำยังไงดีเธอตามอารมณ์ของเด็กนี่ไม่ทันเดี๋ยวโมโห เดี๋ยวเหมือนห่วงใย และตอนนี้ยังมีหน้ามาขอร้องให้เธอหยุดการกระทำของเขาที่เธอเองไม่ได้ร้องขอให้ทำสักนิด...เมื่อเห็นน้ำยั่งนิ่ง ฮันเจจึงก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาต้องทำหน้าตาเหยเก ก็ด้วยฤทธิ์ของนิ้วมือเธอที่จิกลงบนอกเขานั่นเอง
“ฉันว่าวิธีนี้ดีกว่าเยอะ” เธอออกแรงผลักฮันเจอีกหน คราวนี้ได้ผลเขาถอยหลังไปหลายก้าว
“ราตรีสวัสดิ์” น้ำกล่าว และไม่วายมองหน้าฮันเจที่กำลังยุ่งยากใจ เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง และก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจทำเรื่องที่ทำค้างไว้ให้จบ น้ำชิงเปิดประตูห้องแต่ไม่ลืมที่จะหยิบถุงที่อยู่ที่พื้นติดมือไปด้วยและปิดประตูโดยเร็ว
ส่วนฮันเจเขายังคงยืนอยู่หน้าห้อง ทาบมือลงบนประตูอมยิ้มให้คนในห้องที่หาทางเอาตัวรอดได้ฉิวเฉียด
“ฝากไว้ก่อนยายพี่เลี้ยง” เขาพึมพำกับประตู แล้วเดินเข้าห้องฝั่งตรงข้ามกับห้องของน้ำ
*********
ความคิดเห็น