คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ลั่นกลองพร้อมรบ
กระเป๋าเดินทางและสัมภาระอื่นๆ อีกเล็กน้อยของนลันชา ยังกองรวมกันอยู่ที่พื้นกลางห้องโถง หลังจากจัดการฮันเจซะหมอบ และกลับเข้าห้องตัวเองไปตั้งแต่บ่ายแล้ว เธอก็นั่งจมอยู่ที่โซฟาตัวเขื่อง นี่ก็ปาเข้าไป 6 โมงกว่าแล้ว
ตอนนี้ท้องของน้ำชักฟ้องว่ามันต้องการอะไรมาเติมใส่เพื่อให้ช่องว่างที่มีอยู่เต็มเสียที แต่ว่าไม่มีวี่แววว่าฮันเจเจ้าเด็กแสบนั่นจะยอมออกมาจากห้องง่ายๆ แล้วนี่ฉันจะทำยังไง ห้องครัวอยู่ไหน ห้องน้ำ และที่สำคัญห้องนอนของฉันอยู่ไหน น้ำตะโกนก้องในใจเพราะไม่รู้จะไปโวยวายเอากับใคร และอีกอย่างเรี่ยวแรงของเธอก็เหลือน้อยเต็มที
ถ้านับก็เป็นเวลาเกือบ 10 ชั่วโมงแล้วหลังจากอาหารมื้อล่าสุดที่น้ำได้กินไป ตั้งแต่มาถึงที่นี่อย่าว่า แต่ข้าวเลย แม้แต่น้ำสักหยดยังไม่ผ่านคอลงไปเลย เป็นไงเป็นกันซิ (วะ) ว่าแล้วก็เดินตรงดิ่งขึ้นบันไดวนไปยังชั้น 2 ของบ้าน บ้านหลังนี้มีห้องพักมากมาย เรียงตัวในแบบโมเดิร์นสวยงาม ตรงข้ามบันไดน่าจะเป็นห้องของฮันเจแน่ เพราะถ้าจำไม่ผิดเหมือนเห็นเขาเดินออกมาเมื่อตอนกลางวัน
เคาะครั้งที่ 1....เงียบ
เคาะครั้งที่ 2...เงียบ
ครั้งที่ 3 จึงเปลี่ยนจากเคาะเป็นทุบประตูแทน
ฟากฮันเจ เมื่อเข้ามาในห้อง หลังจากหายจุกแล้วเขาก็โทรศัพท์ กะว่าจะโทรหาแม่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ต่อสายข้ามประเทศหาเพื่อนรักแทน
เค้าบ่นกับเพื่อนรักด้วยภาษาที่คุ้นเคยอย่างหัวเสีย และอยากจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับหล่อนให้สาสม จนเพื่อนรักต้องออกปากห้ามเพื่อมิให้สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายลงไปอีก
“ยายนี่ฤทธิ์เดชสุดยอดเลยว่ะ”
“แล้วนายไปทำอีท่าไหนว่ะ ถึงได้โดนเข้าซะแบบนี้” เพื่อนรักของฮันเจพูดด้วยน้ำเสียงที่เห็นว่าเป็นเรื่องตลกมากกว่า แต่ฮันเจไม่คิดอย่างนั้น
“นี่แกคิดว่ามันน่าขำเหรอไงว่ะ ยายนี่นะถ้าไม่นับหน้าตาแล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง” พูดไปเบ้ปากไปแบบไม่อยากจะเอ่ยถึง
“กวนประสาทก็ที่หนึ่ง แถมยังปากร้ายด้วย เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลยให้ตายซิ” ฮันเจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่คิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา
“ฉันว่านายใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่ ยังไงนายก็ต้องอยู่ร่วมบ้านกับยายนี่ไปอีกนาน” จุนกิกล่าวทิ้งท้ายก่อนวางสาย พยายามเตือนสติเพื่อนอย่างเต็มที่ เพราะเขารู้ดีว่าเวลาฮันเจโกรธมากๆ มันจะเป็นยังไง
ส่วนจุนกิเขาอยากจะเห็นหน้าแม่สาวคนนี้จริงๆ ว่าเป็นยังไง ถึงสามารถทำให้ฮันเจที่ส่วนใหญ่จะสุภาพกับผู้หญิงโมโหได้ขนาดนี้ ‘หน้าตาดีด้วยเหรอ ชักอยากจะเจอซะแล้ว’ จุนกิคิด ^_^
เสียงเคาะประตูปลุกให้ฮันเจต้องลืมตา พลางคิดว่าคนที่มาเคาะนั้นน่าจะเป็นใคร แต่เมื่อเรียกสติได้ครบถ้วนเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่เคาะนั้นเป็นใคร แล้วอารมณ์กรุ่นๆ ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ฮันเจเดินมาเปิดประตูเมื่อเสียงเคาะเปลี่ยนเป็นทุบ ปังๆ
“มีอะไร..?”
“นายยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” พูดพลางชี้มาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“ห้องพักฉันอยู่ไหน”
“ไม่มี” ฮันเจตอบหน้าตาเฉย ส่วนน้ำแทบเต้นเมื่อได้ฟัง แล้วเหมือนฮันเจจะคิดอะไรได้ เค้าอมยิ้มให้ตัวเองและรีบพูดขึ้นก่อนที่น้ำจะตอบโต้กลับมา
“ตามมา..” เค้าเดินนำหน้าน้ำลงบันไดกลับมายังชั้นล่างบริเวณกลางโถงมาหยุดตรงบริเวณหน้าเตาผิง คิดในใจถึงเวลาชำระแค้นแล้ว ยิ้มกว้างให้ตัวเองอีกครั้งอย่างสะใจ
“เธอนอนตรงนี้แหละ” บอกพร้อมชี้มือไปบริเวณพื้นที่ว่างระหว่างเตาผิงกับโซฟา
“ว่าไงนะ...นายจะให้ฉันนอนที่นี่นะเหรอ” ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะร้ายกาจปานนี้
“ใช่..นี่ละห้องพักของพี่เลี้ยงอย่างเธอ” เขายิ้มอย่างคนที่เหนือกว่าทุกด้าน “อ้อ..ถ้าจะใช้ห้องน้ำก็ใช้ห้องที่ติดกับห้องครัวนั่น..เข้าใจนะ” แหม! ได้เห็นหน้าแม่คนเก่งทำท่าเหมือนจะร้องไห้นี่มันดีซะยิ่งกว่าดีอีก ยืนกอดอกมองหน้าน้ำอย่างสบายอารมณ์
“นาย...” น้ำพูดได้แค่นั้น อยู่ๆเสียงมันก็หายไปซะดื้อๆ ซ้ำร้ายน้ำตาเจ้ากรรมก็พาลจะไหลออกมาอีก น้ำพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างสุดความสามารถ เธอไม่อยากให้เจ้าเด็กนี่เห็นน้ำตาของเธอโดยเด็ดขาด
“ขอบใจ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา พูดจบก็เดินตรงดิ่งออกนอกบ้านโดยไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกอย่างไร หรือ สาแก่ใจแค่ไหน ~_~
น้ำมาหยุดอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เธอปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างที่มันต้องการ น้ำตาอุ่นๆ ไหลเป็นทางไม่ขาดสาย ความเจ็บปวดต่างๆ ที่เธอได้เผชิญมาตอนนี้มันได้กลายเป็นคลื่นน้ำตาถ่าโถมใส่เธออย่างไม่ยั้ง
ความเจ็บปวดที่โดนคนรักหักหลัง เพื่อนที่แสนไว้ใจคนนั้นของเธอเป็นผู้ให้ความร่วมมือในกระบวนการครั้งนี้ด้วย สองคนที่เธอไว้ใจทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส
ที่เธอต้องรับหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็นนี่ ก็เพราะต้องการจะหนีจากความข่มขืนในครั้งนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เธอกลับต้องมาเจอกับปีศาจในร่างคนดีๆ นี่เอง จากที่คิดว่าอะไรๆ คงจะดีขึ้น แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด เธอต้องมาทนกับพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งน้ำใจ ไร้ความปรารถนาดีจากคนที่เธอพึ่งรู้จัก
เธอใช้หลังมือปาดน้ำตา สบถกับตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง น้ำก็พร้อมที่จะกลับเข้าข้างในอีกครั้ง อากาศรอบๆ ตัวในตอนนี้ก็เย็นลงจนทำให้น้ำต้องเร่งฝีเท้าเพื่อที่เธอจะได้ไม่หนาวตายซะก่อน อากาศที่นี่เย็นเยียบจนน้ำต้องกระชับแขนที่กอดอกให้แน่นขึ้น
‘ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กแสบนั่นมาหัวเราะเยาะได้อีกเด็ดขาด’ เธอเตือนตัวเอง
กลับเข้ามาภายในบ้าน ซึ่งตอนนี้ว่างเปล่า ฮันเจคงขึ้นข้างบนไปแล้วซึ่งก็เป็นเรื่องดี ที่เธอจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเด็กนั้นอีกในเวลานี้ น้ำขยับตัวลงนั่งที่โซฟา รื้อกระเป๋าเดินทางของตัวเองควานหาของใช้ส่วนตัว แล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ จัดการกับธุระของเธอ แล้วกลับมายังที่เดิม
เสียงท้องของน้ำร้องโครกคราก ฟ้องว่ามันต้องการอาหารเต็มที่แล้ว แต่น้ำก็ไม่รู้ว่าในตู้เย็นบ้านหลังนี้จะมีอะไรให้เธอกินบ้าง ลองเสี่ยงเดินเข้าครัว หวังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้ให้ผ่านพ้นไป แต่เธอเองก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะทำอะไรที่ยุ่งยากกินตอนนี้ เมื่อเปิดตู้เย็น เธอจึงมองหากล่องนมแทน
โชคดีเมื่อสิ่งที่เธอหวังนั้นไม่ใช่อะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ เมื่อกวาดสายตาจนทั่วแล้วเธอเลือกที่จะหยิบนมจืดให้ตัวเอง หลังจากจัดการนมกล่องนี้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อนเสียที
น้ำล้มตัวลงนอน และหลับไปอย่างยากลำบาก เพราะแปลกที่ อากาศที่นี่ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว น้ำนอนขดตัวจนเข่าเกือบชิดคาง จะมีก็เพียงไออุ่นจากเตาผิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่เธอได้รับ
น้ำตื่นแต่เช้า จัดการล้างหน้าล้างตาและทำธุระส่วนตัวของเธอเรียบร้อย ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น วันนี้เธอตั้งใจที่จะรบคำสบประมาทของเจ้าเด็กตัวดี เธอจัดการทำอาหาเช้าแบบฝรั่งเตรียมไว้อย่างครบครัน กะจะไม่ให้เจ้าเด็กอินเตอร์คนนี้บ่นอะไรเธอได้เลย เธอจัดวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม รอแค่เจ้าของอาหารมื้อนี้ลงมาเท่านั้น
ฮันเจ ซึ่งวันนี้เค้าตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพียงเพราะว่าเค้ามีแผนการที่แกล้งพี่เลี้ยงจอมอวดดีของเขานั่นเอง พลางคิดว่าป่านนี้ ยายน้ำตัวแสบคงยังนอนไม่ตื่นแน่ๆ เขาจึงรีบวิ่งลงบันไดมา แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเจอแต่ความว่างเปล่า ‘หายไปไหนแต่เช้าว่ะเนี้ย’ ฮันเจหันซ้ายหันขวา มองหาน้ำรอบๆ บ้าน
“มองหาอะไรอยู่เหรอ” เสียงทักของน้ำที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาฮันเจสะดุ้ง
“ผมก็แค่จะดูว่าอะไรในบ้านผมหายไปบ้างรึเปล่า” ฮันเจแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ ตัดบทดื้อ ๆ
“ไหนอาหารเช้า”
“อยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว” (ย่ะ) น้ำตอบสวนทันควัน นี่กะจะเล่นงานฉันแต่เช้าเหรอ เหอะๆ ขอบอกคนอย่าง นลันชา ยอมให้ดูถูกกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นย่ะ
ฮันเจเดินไปที่โต๊ะอาหาร พร้อมมองเมนูที่อยู่บนนั้นอย่างกึงแปลกใจ กึ่งทึ่ง เพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่ดูสมัยใหม่เป็นสาวยุคไอทีอย่างน้ำจะทำอะไรพวกนี้ได้ และน่ากินซะด้วย
“ผมอยากทานอาหารเช้าแบบไทยๆ มากกว่า” ยังไม่วายที่จะยียวน
“นี่นาย...” ฮันเจหันควับมามองด้วยสายตาที่เอาเรื่อง “เออ...คุณฮันเจ” พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อให้หลุดออกมาจากปาก “ฉันว่าคุณทานมื้อนี้ไปก่อนเถอะ แล้วฉันจะทำให้ทานวันพรุ่งนี้แทน”
“ขี้เกียจรึไง”
“ฉันไม่ได้ขี้เกียจ แต่ฉันเสียดาย”
“แน่ใจเหรอว่าเสียดายจริงๆ”
“นี่นาย...” เฮ้อจนได้ซิน่า น้ำพยายามที่จะไม่อาละวาด “ถ้าคุณไม่ทานแล้วใครจะทานละ”
“เธอไง กินไปซิ ฉันอนุญาต” ฮันเจยังไม่ลดละความพยายามในการหาเรื่องกับน้ำ
“งั้น...ตามใจถ้าคุณไม่ทานก็เรื่องของคุณ เพราะฉันจะไม่ทำอะไรแล้วทั้งนั้น” พูดจบก็หันหลังเดินออกมาทันที
ส่วนฮันเจ เมื่อน้ำเดินออกไปแล้ว เขาก็หันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน ตักคำแรกใส่ปากก็ต้องแปลกใจเป็นรอบสองเพราะรสชาตินั้นอร่อยเหมือนกับหน้าตาของมันทีเดียว จากคำแรกต่อไปเรื่อยๆ จนหมด จะว่าไปยายนี่ก็เก่งไม่เบาเลยที่เดียว ถ้าตัดเรื่องปากร้ายออกละก็ ไม่แน่เขาอาจจะชอบเธอไปแล้วก็ได้ เพราะหน้าตาก็เข้าขั้นสวยเลยก็ว่าได้ แถมหุ่นก็เพรียวบาง เป็นสเป็คของหนุ่มหลายๆ คนทีเดียว
น้ำเดินออกมารับอากาศข้างนอกเพื่อดับอารมณ์ เธอจะไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างของฮันเจแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แน่ เธอเริ่มคิดหาวิธีที่จะปราบเจ้าเด็กจอมพยศ คนนี้ให้กลายเป็นแมวเหมี่ยว น้ำสั่นหัวไปมาเหมือนจะพยายามขับไล่ความสับสนในหัวออก
พาตัวเองเดินกลับเข้าในบ้านพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ของเธออีกครั้ง จะเริ่มจากอะไรดีละเรา เพราะไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน ก็เลยโทรศัพท์หาเพื่อนรักแทน เผื่อว่าจะได้มีไอเดียเริดๆ มาทำงานพร้อมรับมือเด็กเจ้าปัญหานี่ด้วย ต่อสายยังไม่ทันได้ฟังเพลงรอสายจบท่อน เพื่อนเธอก็รับสายซะแล้ว
“ฉันนึกว่าแกจะไม่โทรมาซะแล้ว”
“แหมทักทายกันดีๆ หน่อยซิจ๊ะที่รัก” เธอล้อเพื่อน
“ไม่มีอารมณ์หรอกย่ะ...เล่นหายหัวไปเลยแบบนี้”
ก่อนที่เพื่อนรักจะบ่นเธอยืดยาว “น่า...อย่าอารมณ์เสียเลย ก็โทรมาแล้วนี่ไง” ทำเสียงออดอ้อน
“ฉันแค่ไม่ได้โทรหาแกไม่ถึงสองวันเลยนะ” พยายามอธิบาย
“แล้วแกเป็นไงบ้างละ” น้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนทำเอาน้ำ ต้องออกแรงกลั้นน้ำตา
“ก็สบายดี...” เธอพยายามรักษาน้ำเสียงตัวเองให้ปกติ
“แล้วเด็กนั่นเป็นไง”
“หมายความว่าไงเหรอหมี่” น้ำงงที่เพื่อนถาม
“ก็กวนไหม๊ หรือแบบว่าเอาแต่ใจรึเปล่าประมาณเนี้ย แกไม่เข้าใจอะไรว่ะเนี้ย” หมี่เองก็งง ที่เพื่อนเธอถามกลับมาเช่นกัน
“หรือว่า...” หมี่ทำเสียงตกใจ !
“นี่พอเลยคุณหมี่ ไม่ต้องมาคิดอะไรพิเรนหรอกย่ะ ไม่มีอะไร ก็ปกติดี เหมือนเด็กทั่วไปนั่นแหละ
“แต่แค่ปากร้าย กวนโอ้ย แล้วก็อะไรอีกนะฉันบรรยายสรรพคุณนายนี่ให้แกฟังทั้งหมดไม่ไหวหรอก” น้ำถอนหายใจ
“โอ๊ะ โอ” หมี่อุทาน “นี่เพื่อนเราเจอปัญหาเหรอเนี้ย ไม่น่าเชื่อนะ” หมี่ทำเสียงล้อเลียน
“นี่..หมี่” เสียงเรียกของน้ำเบาหวิว จนปลายสายจับได้
“แกไม่ต้องถามฉันหรอก ถึงยังไงฉันก็ไม่บอกแกอยู่ดี” หมี่รู้ว่าเพื่อนรักของเธอจะถามเธอเรื่องอะไร เธอจึงปฏิเสธเสียก่อน
“แกจะอยากรู้ไปทำไมว่ะ เรื่องของคนแบบนั้น ฉันว่าแกลืมซะเถอะอย่าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นดีที่สุด”
ถึงแม้หมี่จะพูดมาแบบนั้นแต่ก็ไม่ทำให้น้ำคิดตามในสิ่งที่เพื่อนบอกได้ เธอยังคงคิดถึงคนที่ทำให้เธอต้องหนีมาถึงที่นี่อยู่ทุกวัน ทั้งที่มันแสนจะเจ็บปวดแต่น้ำก็ยังคงอาลัยเขาคนนั้นผู้เป็นที่รักของเธอเสียเหลือเกิน การโทรหาเพื่อนครั้งนี้เพื่อต้องการหาตัวช่วยแต่กลับจบลงด้วยน้ำตาของน้ำแทน
ความคิดเห็น