ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    one day in my heart (รักร้ายๆ ของนายสุดโหด)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ปฐมบทแห่งการฟาดฟัน

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 60


    ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตัวเองทนเจ้าเด็กบ้าอำนาจคนนี้อยู่ได้ยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ "เรานี่งี้เง่าที่สุด" บ่นกับตัวเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั่งนี่ "อยากกลับบ้านฉิบเลย" ตอนนี้อะไรๆก็ดูมืดมนไปหมดสำหรับ 'นลันชา' เดินไปพร้อมกับเหวี่ยงแขนเหวี่งขาไปในอากาศระบายความแค้น 

            "นี่ถ้าย้อนเวลาได้อย่าหวังว่าฉันจะมาเหยียบที่นี่เลย...ไอ้เด็กบ้า.." เมื่อสองอาทิตย์ก่อน'นลันชา' หรือ น้ำ ตบปากรับคำผู้เป็นแม่ทำงานที่ว่านี้ โดยที่ไม่รู้ว่าต้องเจออะไร รู้แต่ว่ามีหน้าที่ดูแลเด็กอายุประมาณ 20-21 ปี ที่บ้านแตก (จะว่างั้นก็ได้..เพราะพ่อแม่แยกกันอยู่แต่ไม่ได้หย่า) ระหว่างที่เค้าพักอยู่ที่บ้านพักตากอากาศที่เชียงราย 
            
            เธอรับคำเพราะไม่คิดว่ามีอะไรยาก แค่ดูเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า และงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่อะไรกัน ไอ้เด็กที่ว่านี่ ทั้งโหด เหลี่ยมจัด ทั้งยังไร้น้ำใจอย่างที่สุด เธอจำวันแรกที่มาถึงที่นี่ดีและไม่มีวันลืมด้วย

            "“เธอใช่ไหม๊ที่แม่ฉันส่งมา" ชายหนุ่มยืนพิงกรอบประตูพูดขึ้นขณะที่น้ำพยายามลากกระเป๋ามาตามทางขรุขระ

            ไม่คิดจะช่วยกันมั่งเลยรึไงเนี้ย น้ำคิดอยู่ในใจ แต่ผูกมิตรไว้ก่อนดีกว่า น้ำมาหยุดยืนอยู่หน้าลานประตูห่างจากเจ้าของคำถามแค่ช่วงแขน และแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ
     

            "“ฉัน นลันชาพี่เลี้ยงของเธอตลอดช่วง 3 เดือนต่อจากนี้" ไม่คิดจะยกมือขึ้นมาทำตามประเพณีไทยบ้างรึไงกัน  ไอ้เด็กนี่ ผู้ใหญ่ทักทายไม่รู้จักมารยาทซะบ้างเล้ย สงสัยต้องอบรมอย่างหนักซะแล้ว เช๊อะ...ยังจะมาทำหน้าตายียวนกวนประสาทอีก 

            "“แล้วนายนะไม่คิดจะแนะนำตัวเองมั่งรึไง..จะ..จ๊ะ" ใส่จริตเข้าไปอย่างยากเย็น

            "“เป็นพี่เลี้ยงประสาอะไร..ไม่รู้จักข้อมูลพื้นฐานของเจ้านายมั่งเลยเหรอ ใช้ไม่ได้" พูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปหน้าตาเฉย 

            'ย๊าก.......ไอ้เด็กบ้า อะไรวะทักดีๆ มาทำอย่างนี้เดี๋ยวแม่ฆ่าทิ้งซะนี่' น้ำร้องในใจ นิสัยไม่ได้เรื่องเลย ตอนนี้น้ำอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ระบายความโกรธที่เกิดขึ้นให้หาย  แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอพึ่งมาถึงที่นี่ได้ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีเลย

            กลางบ้านเป็นโถงโล่งๆ ดูโปร่งตา ท่าทางจะอยู่สบายดีเหมือนกันนี่น้ำคิด แล้วนี่ไอ้เด็กบ้ามันไปไหน และฉันจะนอนที่ไหน อยู่ยังไง มันไม่สนใจกันมั่งเลยรึไงน๊า.. 

            ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงดี มองดูรอบๆ ไม่เห็นจะมีวี่แววของคนอื่นนอกจากเด็กนั่น แล้วนี่ฉันจะทำไงละที่นี้ จะอันเชิญตัวเองขึ้นไปชั้นบนก็ดูกระไรอยู่ แต่ข้างล่างนี่ก็ดูไม่ออกว่าจะมีที่ไหนจะเป็นห้องพักได้บ้าง แล้วมันยังไงกันละนี่ จนในที่สุด ฉันหมดความอดทนแล้วน๊า....ไอ้เด็กบ้า น้ำตะโกนสุดเสียงและมันก็ดังพอที่จะทำให้คู่กรณีของเธอต้องออกมาดู

            "เป็นไรไปป้า" ส่งสำเนียงแบบคนง่วงนอน 

            "“ฉันไปเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายตั้งแต่เมื่อไหร่มิทราบ" ไม่ญาติดงญาติดีกับมันแล้วเป็นไงเป็นกันซิ 

            "ฉันมานี่ในฐานะของพี่เลี้ยงนาย แต่นายกลับไม่สนใจเลยสักนิด ไม่คิดเชื้อเชิญเข้าบ้านไม่พอ แถมยังมาทำเป็นไม่เห็นหัวฉันอีกมันจะมากไปแล้วนะ" 

            "“ก็คุณชื่อ น้ำ อายุเกือบ 27 ปี ตกงาน ไม่มีแฟนเพราะโดนทิ้ง ผมรู้หมดแล้วจะเอาอะไรอีก" 

            "“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น" น้ำตอบ อ้าวแล้วนี่ไอ้เด็กบ้ามันรู้ประวัติเราได้ไงเนี้ย แถมรู้ลึกอีก ยืนงงบวกทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนเจ้าเด็กพูดถึงประวัติตัวเองแบบเหยียดๆ 

            "“ฉันหมายความว่า ฉันจะพักที่ไหนแล้วต้องทำอะไรบ้าง และที่สำคัญมีคนอื่นอีกไหม๊นอกจากนาย" เผื่อฉันจะได้คุยกับเค้าเพราะคิดว่าคงรู้เรื่องมากกว่าพูดกับนาย น้ำคิดต่อในใจ

            "นี่คุณ...เป็นพี่เลี้ยงประเภทไหน คำก็นาย สองคำก็นายไม่รู้จักให้เกียรติกันบ้างผมนะเป็นเจ้านายคุณนะ"

    หนอยมาทำเป็นพูดดีทีตัวเองละจิกฉันยังกะอะไรดีไม่คิดมั่ง เธอค่อนขอดในใจ 

            "และอีกอย่างผมมีชื่อกรุณาเรียกชื่อด้วย"  จะให้เรียกได้ไงฉันไม่รู้จักชื่อนายนี่หว่า น้ำคิด 

            "แล้วนี่ยังมีหน้ามาถามอีก ตัวเองมีหน้าที่ทำอะไร เห๊อะ..ไม่รู้แล้วจะมาเป็นพี่เลี้ยงได้ไงยัยโง่!!" พูดพร้อมทำหน้าเซ็งสุดขีด แล้วเดินเข้าห้องปิดประตูดังโครมใหญ่ ยัยนี่อะไรก็ไม่รู้มาถึงก็เสียงดังน่ารำคาญ แม่นะแม่จะส่งคนสมประกอบกว่านี้มาหน่อยก็ไม่ได้ 

            "นอนดีกว่า" ล้มตัวลงบนที่นอนพร้อมใส่หูฟังเปิดเพลงกลบเสียงโวยวายของคนข้างล่าง 

            "หนอยยยย.....ไอ้เด็กนรก ปากดีนักนะ ทำมาเป็นอวดรู้" (แต่ก็จริงนั่นแหละ) "เช๊อะ เดี๋ยวเถอะฉันจะทำให้นายพูดไม่ออกเลยคอยดู" เดินไปเดินมาระบายความคับแค้นใจ พอเริ่มได้สติเจ้าหล่อนก็หยุดเดินและเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเอง 

            ตั้ง 3 เดือนเชียวนะ ชักไม่แน่ใจแล้วซิเราจะอยู่รอดไหม๊เนี้ย "เฮ้อ...." น้ำถอนหายใจยาวๆ เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกับตัวเธอ กับเจ้าเด็กบ้า นี่แค่วันแรกที่มาถึงยังเป็นขนาดนี้ แล้วต่อไปจะเป็นยังไงเนี้ย น้ำเริ่มวิตกในใจ

            นลันชา พาตัวเอง ออกมาข้างนอกสูดอากาศบริสุทธิ์ ลึกๆ เข้าปอด 'นี่มันเป็นวันอะไร (ว่ะ) เนี้ย' เธอคิด

            ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์กะจะโทรหา...แต่เปลี่ยนใจกดหาอีกชื่อแล้วต่อสาย อึดใจปลายทางก็รับ

      
           "“แม่ค่ะ..หนูมีเรื่องรบกวนหน่อยค่ะ”" ลูกสาวกำลังลำบากแม่จะรู้ไหม๊เนี้ย ?

           
             "ว่ามาแม่ฟังอยู่....เออ.แล้วเป็นไงถึงที่พักแล้วเหรอ ไปถึงกี่โมง เป็นไงบ้าง...?”" แม่รัวคำถามใส่เป็นชุดน้ำต้องหยุดแม่โดย

        
            "“แม่ค่ะ..ไว้หนูจะเล่าให้ฟังค่ะ แต่ตอนนี้หนูอยากให้แม่ช่วยหนูเรื่องนี้ก่อน"นิ่งไปอึดใจ


            "“หนูอยากรู้เรื่องของเด็กนี่ค่ะ"เฮ้อ..ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องขนาดนี้มาก่อนเลย จนมาเจอกับเจ้าเด็กปีศาจนี่ แย่ชะมัด *_*

          
            ผู้เป็นแม่ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาให้ลูกสาวฟัง เท่าที่ตัวเองรับรู้มาจากแม่ของเค้า ลีฮันเจหรือ ฮันเจพ่อเป็นชาวเกาหลี ฮันเจเกิดและโตที่เกาหลี ตามแม่กลับมาเที่ยวที่ประเทศไทยตอนอายุ 10 ขวบซึ่งตอนนั้นทางครอบครัวกำลังมีปัญหา จากการมาเที่ยวคราวนี้ ทำให้ผู้เป็นแม่ตัดสินใจอยู่เมืองไทยเป็นการถาวร เพื่อต้องการยุติปัญหาต่างๆ 


            ส่วนฮันเจ โดนส่งเข้าโรงเรียนนานาชาติที่เมืองไทยจนจบ ม.ต้น และเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายที่อังกฤษตามที่พ่อของเขาต้องการ นั่นจึงทำให้เค้ามีความสามารถพูดได้หลายภาษา ตอนนี้เค้าเรียนปริญญาตรีอยู่ที่เกาหลี เดินทางมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมแม่และพักผ่อนในตัวสรุปไอ้เด็กแสบนี่เป็นเด็กอินเตอร์ด้วยว่างั้นเถอะ อะไรจะเพอร์เฟคขนาดนั้น ตายแน่คราวนี้ฉันเธองืมงำในลำคอ แล้วตั้งใจฟังเรื่องราวของเด็กเจ้าปัญหานี่ต่อไปแบบที่ต้องคิดตามไปว่าจะรับมือยังไงดี


            ขอบคุณค่ะแม่..เท่านี้ก่อนนะค่ะน้ำตัดบทดื้อๆ เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนมีคนมองมาจากด้านหลัง


            หันหน้ามาก็ต้องแปลกใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ เพราะตั้งแต่เจอเด็กฮันเจนั่น ไม่มีอะไรดูจะปกติสำหรับเธอเลย


            “"เออ...."อยู่ๆ เหมือนเสียงมันจะหายไปเฉยๆ


            “"ไง..ป้า..ทำไม  ตกใจซะจนหลอดเสียงอักเสบเลยรึง่ะ”" ยืนมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังทำหน้ายุ่งยากใจ


            ยังมาปากดีอีกนะ ฉันเป็นอะไรไม่เกี่ยวกับนายย่ะ ไงหาตัวช่วยอยู่เหรอชายหนุ่มยืนมอง นลันชา


            มันจะเอาไงกะฉันเนี้ย ทำเป็นไม่สนใจอยู่แหม็บๆ ตอนนี้จะมาทำเป็น เอาว่ะอีกสักตั้ง

     
           "“ตกลงเราจะคุยกันดีๆใช่ม่ะ"ลอบมองหน้าอย่างพิจารณา จะว่าไปเด็กนี่หน้าตาหล่อเหลาเอาการอยู่นะ ตัวก็สูง คงสักประมาณ 180 ซม. ได้มั่งนี่ คะเนจากสายตาเปรียบเทียบกับบานประตูบ้าน ไม่น่านิสัยเสียเลย คงดีกว่านี้


            “"เอาไงก็ได้" แน๊..มาแปลกวุ้ย


            "ได้..งั้นมาตกลงกันก่อน"


            "เรื่องอะไร”" ชายหนุ่มเริ่มระแวงขึ้นมาบ้าง เพราะสีหน้าท่าทางที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจของเจ้าหล่อน


            "เรื่องแรกห้ามเรียกฉันว่าป้า"ฮันเจมองหน้าน้ำเชิงท้าทาย เหมือนจะบอกว่ามีไรอีกไหม๊


            "“เรียกฉันว่าพี่น้ำด้วย เข้าใจ๋”" ยืนท้าวเอวอย่างคนเป็นต่อ


            “"ได้..”"  ยายบ๊อง...เค้าเลือกที่จะไม่พูดประโยคหลังออกมา "“งั้นคุณต้องเรียกผมว่าคุณด้วย"ตัวเองแกว่าแค่นี้เองจะมาทำเบ่งให้เรียกพี่.. ฝันไปเถอะชาติหน้าตอนสายๆโน่น เค้านึก


            "“งั้น..เริ่มหน้าที่พี่เลี้ยงได้แล้ว"เค้าสั่งเสียงเย็นไม่มีความเป็นมิตรในน้ำเสียงนั่น


            “"ห๊า...ว่าไงนะ"น้ำร้องคลางในลำคอ "อะไร (ฟะ) นี่กะจะใช้งานกันวันแรกเลยรึไงนะ"


            "แม่ผมไม่ได้จ้างคุณมาเพื่อที่จะมาต่อล้อต่อถียงกับผมจำไว้ด้วยยายบื้อ" ว่าแล้วสะบัดหน้าเดินนำเข้าบ้านพร้อมร้องตะโกนสั่ง


            "“เข้ามาได้แล้ว จะอยู่ตรงนั้นรึไงยายพี่เลี้ยง"


            ฉันบอกว่าให้เรียกฉันว่าไงนายจำไม่ได้รึ ไอ้เด็กผีทะเลหนอยแน่ น้ำกัดริมฝีปากตัวเองแน่นไม่อยากให้ความคิดตัวเองในขณะนี้ต้องหลุดออกเป็นคำพูด แล้วเดิมตามเข้าบ้านไป


            เข็มนาฬิกาบอกเวลาบ่าย 4 โมง อากาศที่นี่เริ่มเย็นลงอย่างรู้สึกได้ เพราะบ้านพักหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา บนเนื้อที่ประมาณ เกือบ 5 ไร่ รายล้อมไปด้วยดงต้นสนและต้นไม่อื่นอีกนับไม่ถ้วน บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด เพราะเป็นที่ส่วนบุคคลแบบที่ไม่มีใครสามารถผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ นั่นจึงทำให้น้ำเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตกอยู่บนเกาะร้างยังไงยังงั้น


            “"มัวยืนทำอะไรอยู่ ไปทำอะไรให้ฉันกินทีซิ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้กินไรเลย"พูดพลางเดินไปนั่งที่โซฟาขนสัตว์หนานุ่มตรงบริเวณหน้าเตาผิง ยกขาพาดบนโต๊ะกลางอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่สนใจสายตาของฝ่ายตรงข้ามเลยว่าขณะนี้มันจะลุกวาวแค่ไหน


            "อ๋อ..แต่เดี๋ยวก่อน มาจุดไฟที่เตาผิงให้ก่อนดีกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว"ฮันเจสั่งต่อโดยไม่มองหน้าของน้ำ แถมหยิบนิตยสารเกี่ยวกับดนตรีที่วางอยู่ขึ้นมาอ่านแทน


            น้ำกำหมัดขึ้นแล้วทิ้งมันลงข้างลำตัว ระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เธอมาทำงานนี้เพื่อที่จะหนีจากปัญหาชีวิตรักของตัวเอง แต่กลับต้องมาเจออะไรที่ยิ่งกว่าเสียอีก ความโกรธเริ่มจะทลายกำแพงความอดทนที่เหลืออยู่น้อยนิดเสียเหลือ


            “"นี่...นายมันจะเกินไปแล้วนะ"ในที่สุดก็ระเบิดออกมาฉันพึ่งมาถึงที่นี่วันนี้ กะจะไม่ให้พักกันบ้างเลยรึไงไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมั่งเลย


            "แม่ผมไม่ยักกะบอกว่า พี่เลี้ยงคนนี้ต้องพักสักหน่อย"พูดไปพร้อมกับผลิกนิตยสารในมืออย่างทองไม่รู้ร้อน


           “"ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปจะเรียกให้รถมารับ..จะได้รู้ไว้ว่า..”" เขาทิ้งจังหวะ "ผู้หญิงอย่างคุณมันไม่ได้เรื่อง"ท้ายหางเสียงแสดงการดูถูกอย่างเปิดเผย


            “"นาย....”" น้ำแหวใส่แต่ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ

         "ผมบอกแล้วใชไหม๊ว่าให้เรียกคุณฮันเจ คุณนี่ท่าจะความจำไม่ค่อยดี”" พูดพร้อมย่างสามขุมมาหา นลันชาเชิดหน้าอย่างท้าทาย ไม่ถอยหนีอย่างที่เขาอยากจะเห็น


            "ฉันแน่กว่าที่นายคิด"พูดพร้อมตั้งท่าเตรียมสู้


            “"คุณจะทำอะไร..คิดเหรอว่าคุณจะรับมือผมได้ตัวกระเปี๊ยกแค่นี้เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นเชิงดูถูก


            "นายก็ลองดูแล้วกัน"ในขณะที่น้ำพูด ฮันเจก็เดินเข้ามาหาจนเกือบประชิดตัว น้ำถอยเพื่อให้ตัวเองสามารถที่จะเตะเขาได้ถนัด หากว่าเขาทำอะไรเกินเลยกว่านี้


            ฮันเจยื่นหน้าเข้ามาหาน้ำ โดยอัตโนมัติ น้ำก็กระตุกฝ่ามือไปที่หน้าของเขาเต็มแรง 'เพียะ!!....'หน้าฮันเจหันไปตามแรง


            "“เธอ..กล้าดียังไงมาตบหน้าฉัน ห๊า..”" พูดพรางกระชากมือของน้ำ หล่อนเซถลามาตามแรง แต่โดนไม่คาดคิด ในจังหวะนั้นน้ำก็กระแทกเข่าเข้าไปที่หว่างขาของฮันเจอย่างเต็มแรง ส่งให้เขาลงไปกองอยู่กับพื้น


            "“เธอ...ยาย..ยายบ้า"เสียงของเขาในตอนนี้ฟังอู้อี้ไปหมดเพราะฤทธิ์เข่าของเธอนั่นเอง


            
    ช่วยไม่ได้..ก็นายอยากแกล้งฉันทำไม ฉันก็แค่ป้องกันตัว แต่น้ำเสียงของคนพูดไม่ได้แสดงว่ารู้สึกผิดสักนิด น้ำแอบอมยิ้มให้ตัวเองที่ส่งเจ้าปีศาจตัวนี้ลงสู่พื้นได้ คิดในใจ ต่อไปจะได้ไม่กล้ากำแหงกับเธออีก .....ฮู้..สะใจ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×