คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อาเซียงกับจิตและวิญญาณ
16/10/61 อัพนิยาย
21/12/61 รีไรท์
...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...
"ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ
ตอน อาเซียงกับจิตและวิญญาณ
หลังจากอาเซียงถูกชายชราต่อว่าจนหนำใจ เหตุเพราะทำเหล้าเสียหาย ซึ่งเขาควรจะได้ดื่มด่ำร่ำสุรารสเลิศหมักบ่มมานานปี กลับต้องถูกทำลายโอกาสดีๆ ด้วยน้ำมือของอาเซียง
ทว่าพอผู้เฒ่าหวนนึกถึงนิสัยใจคอ อันสง่าผ่าเผยของชายหนุ่มแล้ว ผู้เฒ่าจึงได้ข่มความโกรธของตนลงไว้ก่อน
"เอาล่ะ...หาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า" ชายชราเหมือนจะอ่านความคิดของชายหนุ่ม อย่างทะลุปรุโปร่งจนหมดเปลือก
เขาเล่นเอาอีกฝ่าย ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนอาเซียงจะเดินไปหาหัวหน้าคนงานของแปลงผัก ผู้เคยช่วยเหลือเขาเมื่อไร้ที่พึ่ง แล้วบอกไปว่า
"พี่หลี่ฝากบอกเถ้าแก่โม่ด้วยว่า ข้าขอลาออกจากงานนี้ และขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด ส่วนนี่คือเงินเก็บทั้งหมดของข้า ท่านเก็บเอาไว้สำหรับดูแลครอบครัวท่านเถิด"
ผู้รับได้แต่สงสัย ตลอดเวลาที่ทำงานในแปลงผักร่วมเดือน ได้ค่าจ้างอย่างมากก็วันละไม่เกิน 10 อีแปะ แล้วเงินเก็บของเขาจะมีมาจากที่ใด
อาเซียงเที่ยงดี มิใช่ชายหนุ่มขี้เหล้าเมายา ผลาญเงินตราลงไหเหล้าอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้ได้สร้างความประหลาดใจ ให้ทุกคนในแปลงผักขบคิดจนปวดหัว
"ขะ...ขอบใจน้องเซียงยิ่งนัก ไว้ข้าจะบอกเถ้าแก่ให้เอง" หลี่กงหนาน หัวหน้าคนงานของแปลงผักกาดพยักหน้ารับคำแทบไม่ทัน
แม้จะแปลกใจที่อาเซียงทำแบบนี้ แต่เขากลับยินดีอย่างยิ่ง การจะได้ลาภลอยในมือกว่า 10 ตำลึง แบบนี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย
มันพอจะใช้ซื้อบ้านและเปิดร้านค้าเล็กๆ แถวชานเมืองได้เลย เขารู้สึกขอบคุณและยึดถืออาเซียงเป็นผู้มีพระคุณของเขาตั้งแต่นั้นมา
"ฮะ ฮะ ฮ่า วิเศษ วิเศษ เจ้านี่มักทำอะไรโง่โง่ ให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อยเลยนะ" ชายชราหัวเราะร่า เมื่อเห็นความไม่ยึดติดในทรัพย์สินเงินทองของอาเซียง ในใจพลางคิดว่า
จะมีใครบ้างเล่า โง่พอจะทำได้เช่นเขา เอาเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตน ให้กับผู้อื่นโดยไม่ลังเลได้เช่นนี้ นับว่าเป็นคนมีจิตใจอันบริสุทธ์นัก
"อ่า...ผู้เยาว์จะถือว่า นั่นคือคำชมก็แล้วกันครับ" ชายหนุ่มผสานมือโค้งคำนับ ก่อนจะผายมือเชิญชายชราขึ้นมาของตน และเดินจูงเจ้าหยกราตรีออกจากแปลงผักกาด โดยมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมตรงมุมปากยังเปื้อนยิ้มไม่ยอมหุบอยู่อีกด้วย "ผู้อาวุโส พวกเราก็ไปกันเถอะ"
"ดีๆ พวกเราไปนั่งชมดาวเคล้าสุราบนยอดเขาฉางซันกันดีกว่า" ชายชราชี้ปลายนิ้วนำสายตาของอาเซียงไปยังภูเขาลูกใหญ่ทางทิศใต้ของเมือง ซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติ ที่กั้นกลางระหว่างเมืองฉางซา และเมืองกุ้ยหยาง
กว่าจะเดินทางถึงยอดเขาฉางซัน อาเซียงก็ใช้เวลาจากเที่ยงวันยันเวลาเย็นพอดิบพอดี แม้แสงทุกอย่างจะพลันหายไป ทว่าตลอดทางขึ้นยอดเขา กลับมีดวงไฟประหลาดถูกจุดไว้รอท่า คล้ายกับเจ้าของสถานที่ จะล่วงรู้ว่ากำลังมีผู้มาเยี่ยมเยือน
พวกเขาทั้งสองมาหยุดหน้าถ้ำเหนือขุนเขา ดวงไฟประหลาดที่ส่องนำทางตั้งแต่ตีนเขาพลันดับลง เหลือเพียงแสงดวงดาวนับร้อยพันส่องทางสว่างโล่ง เผยให้เห็นทางเข้าถ้ำที่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อย จากนั้นชายชราได้ลงจากหลังม้าขาว พลางเชื้อเชิญชายหนุ่มเข้ามาภายในถ้ำ
"พ่อหนุ่ม เราเข้าไปข้างในกันเถอะ"
"เชิญผู้อาวุโสก่อนเลยขอรับ" อาเซียงผสานมือรับคำ และเดินนำเจ้าหยกราตรีไปผูกไว้กับต้นไม้แถวปากถ้ำ ด้วยความบังเอิญ จึงเหลือบเห็นแท่งศิลาสูงระดับเอวสลักคำว่า ถ้ำเมฆหวน ในพงหญ้าใกล้ๆ เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว จึงรีบเดินตามเข้าไปทันที
ชายหนุ่มได้แต่คิดว่า เป็นปราชญ์ผู้ทรงปัญญาท่านใดกัน เป็นตั้งนามถ้ำแห่งนี้ มิเพียงไพเราะเท่านั้น แต่ยังมีความหมายลึกซึ้ง สื่อถึงสถานที่แห่งนี้ได้เหมาะสมยิ่งนัก จนเผลอร่ายกลอนบทหนึ่งขึ้นมา
...เมฆหวน ยามเมฆ มาเยือนเขา
ผ่านผา เงื้อมเงา เทือกเขาใหญ่
เมฆน้อย ลอยฟ้า คลาไคล
เฉกคน จากไกล ได้หวนคืน...
ชายหนุ่มร่ายมัวแต่กลอนอยู่ ทำให้เดินตามชายชราไม่ทัน แม้จะเห็นหลังของชายชราอยู่ไวๆ แต่เขาจะก้าวย่างเร็วเท่าใดกลับมิอาจตามติดได้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเท่าตัว จนเดินถลำลึกเข้ามาภายในบริเวณโถงถ้ำเมฆหวน
ภายในถ้ำ ล้วนเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยตามเพดานหิน ส่วนพื้นดินด้านล่างมีธารน้ำสายเล็กๆ อยู่หนึ่งสาย ไหลจากส่วนลึกสุด แล้วลอดผ่านผนังถ้ำออกไปที่ใด ก็มิอาจทราบได้
"ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสอยู่ที่ใดกัน" ครั้นผ่านถึงโถงถ้ำกว้างขวางมาไม่นาน ชายหนุ่มไม่เห็นแม้แต่เงาของชายชราที่เดินทางมาร่วมกับเขา ทว่าสายตาช่างสังเกตกลับพบว่า บนแท่นหินในบริเวณลึกสุดของถ้ำเมฆหวนแห่งนี้ มีโลงศพศิลาสองโลงเปิดฝาตั้งอยู่ เขาจึงเข้าไปใกล้มากขึ้น หวังมองเห็นภายในโลงศพได้อย่างชัดเจน
"ผะ...ผู้อาวุโส" ปากของอาเซียงยังค้างมิยอมหุบ เมื่อได้เห็นร่างของบุคคลในโลงศพศิลา ถึงร่างกายของทั้งสองคนจะมีบาดแผลเหวอะหวะบริเวณอก แต่ใบหน้าของทั้งสองร่างยังสมบูรณ์ดีอยู่
ชายหนุ่มมองแวบแรกก็รู้โดยทันทีว่า ร่างในโลงศพศิลาด้านซ้ายมือ คือนักพรตนิสัยประหลาดคล้ายเด็กทารกจากอารามเทียมสวรรค์ ผู้เคยหยิบขวดเลือดจิ้งจอกเก้าหางของเขาไปดื่มกินโดยมิบอกกล่าว คราวลงทะเบียนในพิธีปลุกจิตวิญญาณ ณ ประรำพิธีเวทีใจกลางเมืองฉางซา
ส่วนในโลงศพศิลาด้านขวา เป็นร่างของผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งที่เขาให้ความเคารพไม่น้อย แม้จะพบเจอเพียงสองครั้งสองครา ที่โรงเตี๊ยมโม่เยี่ยไหลและที่แปลงผักกาด ทว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มในชุดยาจกแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายชราผู้ที่เตือนสติให้เขาคิดได้ระหว่างที่ท้อแท้สิ้นหวัง และเป็นผู้เชื้อเชิญเขามายังถ้ำลมหวนเหนือยอดเขาฉางซันนั่นเอง
"ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้" แทบจะไม่เชื่อสายตาตนเอง แม้อาเซียงไม่มีสัมผัสที่ 6 แต่ก็ต้องยอมรับว่า ชายชรายังมีห่วงปล่อยวางไม่ลงอยู่เป็นแน่ ถึงได้ปรากฏตนออกมาเพื่อชี้นำเขาจนเดินทางมาถึงที่นี่
หยาดน้ำตาเม็ดใสๆ ไหลคลอด้วยดวงตาของชายหนุ่ม ถึงจะเคยพานพบกันไม่กี่ครั้ง แต่ทั้งสองก็นับเป็นยอดคนแห่งยุค ยิ่งมีชะตากรรมอันน่าอนาจใจเช่นนี้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเสียใจราวกับสูญเสียญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว
"ร้องไห้ให้ข้าด้วยหรือ" เสียงคุ้นเคยเอ่ยทัก ทว่าฟังจากน้ำเสียงที่แหบพร่า อาเซียงจึงเดาว่า ก่อนจะสิ้นลมหายใจ เจ้าของเสียงคงได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเป็นท่านใช่หรือไม่ครับ" ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียง กลับไม่พบผู้ใดนอกจากร่างที่นอนนิ่งในโลงศิลา
"มิผิด เสียงนี้เป็นเสียงของข้าเองล่ะ" เสียงเดิมเอ่ยอีกครั้ง แต่คราวนี้ พลันปรากฏร่างของชายชราเดินจากมุมมืดของถ้ำ โดยมีแสงสว่างจางๆ แผ่ออกมาตามร่างกาย
"ทำไมท่านถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้" ชายหนุ่มจดจ้องมองร่างของบางสิ่ง ซึ่งมีอากัปกิริยาเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับมนุษย์ กำลังพูดออกมาด้วยเสียงของชายชรา ทว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตปกติ
"เฮ่อ...นี่คือทักษะหุ่นไม้จำแลงกาย จากวงแหวนวิญญาณวงที่แปดของข้าเอง เพราะหลังจากเจ้าเฒ่าทารกคิดแผลงแผลง ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับศัตรู โดยพวกเราทั้งคู่ต้องนอนในโลงศพศิลา ทว่ามันดันใช้จิตวิญญาณของตนจนเกินขอบเขต เป็นเหตุให้ดวงจิตของข้าแยกออกจากร่าง ยังดีที่มีทักษะของจิตวิญญาณนี้ ทำให้ดวงจิตของข้ายังคงสภาพอยู่ในโลกนี้ได้อีกหลายชั่วยาม ส่วนเจ้าเฒ่าทารกกลับนอนสิ้นลมอยู่ในโลงข้างๆ นั่นยังไงล่ะ" ชายชราถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ น้ำเสียงพูดถึงนักพรตประหลาดฟังดูโศกเศร้า คล้ายอาลัยต่อการจากไปของสหายรู้ใจ ก่อนจะไล่เรียงเหตุการณ์ให้อาเซียงฟังเป็นฉากๆ
ถึงไม่อยากมีเอี่ยวในเรื่องนี้ แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะร่องรอยของบาดแผลบนร่างนั้นดูประหลาดนัก อาเซียงจึงได้ถามออกไป "ศัตรูของพวกท่านว่าคือ..."
ทว่ายังถามไม่จบความ เสียงที่เคยแหบพร่าของผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นเข้มขึม เล่นเอาผู้ที่ได้ยินเสียวสันหลังวาบ "เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้เจ้าจงคุกเข่า แล้วคำนับข้าสามสิบครั้ง มิเช่นนั้นข้าคงจากไปไม่สงบเป็นแน่"
"สามสิบครั้ง?" ใบหน้าแสนธรรมดาของชายหนุ่มเหมือนจะปรากฏคำถามใหม่ ที่ต้องการเรียกร้องให้ใครสักคนอธิบายเพื่อคลายข้อสงสัยของตน
"สิบครั้งแรกคารวะแผ่นฟ้า สิบครั้งที่สองคารวะผืนดินและสิบครั้งหลังก็คารวะข้า การเคารพสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตัวเจ้าเอง มีอะไรน่าสงสงสัยงั้นหรือ" น้ำเสียงของหุ่นไม้ฟังดูแล้ว ราวไม่สบอารมณ์กับคำพูดของอาเซียงอยู่บ้างเล็กน้อย ทำให้อาเซียงมิกล้าขัด
"ปะ...เปล่าครับ" ชายหนุ่มทรุดกายลงคุุกเข่าคำนับสามสิบครั้งแทบจะทันที ในใจกล้าๆ กลัวๆ มัวนึกถึงเรื่องลี้ลับที่เคยประสบมาจากการร่วมถ่ายทำรายการล่าท้าผีในโลกเก่าอยู่บ้าง ทำให้หวั่นใจว่า จะเจอสิ่งเร้นลับของโลกนี้เข้าให้แล้ว "ว่าแต่...ตอนนี้ผู้อาวุโสเป็นอะไรกันแน่ครับ"
"ฮะ ฮะ ฮ่า แล้วเจ้าคิดว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วจะกลายเป็นอะไรกันล่ะ" ท่ามกลางบรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานกลับมีเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นจากหุ่นไม้ ถึงครั้งหนึ่งเคยเป็นร่างของชายชรา ทว่ากลับยิ่งสร้างความหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นไปอีก
"เออ..." อาเซียงกลายเป็นน้ำท่วมปากยากจะเอ่ยคำตอบออกมาได้ ถึงจะเคยผ่านช่วงความเป็นความตายมาแล้ว แต่วิญญาณเขา ก็เพียงจากโลกเก่าเข้ามาอยู่ร่างใหม่ในโลกนี้เท่านั้น แล้วจะให้ตอบอะไรออกไปเล่า ถึงบอกไปไม่แน่ว่าจะมีใครเชื่อ
"เอาล่ะเอาล่ะ เจ้าคำนับ ก็เท่ากับกราบข้าเป็นอาจารย์แล้ว"
"หือ" ถึงจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนพึ่งได้ยินไป แต่ชายหนุ่มพลันดีใจจนเนื้อเต้น มิคาดว่า ในโลกนี้ยังพอมีคนเห็นถึงความสามารถในตัวเขาอยู่บ้าง มิเรียกเขาเป็นขยะอย่างยอดฝีมือคนอื่นๆ "ข้าว่า..."
เสียงของชายชราเอ่ยออกมาตัดบท ขณะอาเซียงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จนเขาต้องนิ่งฟังอย่างตั้งใจ "เจ้าลองล้วงที่ร่างข้า แถวๆ บริเวณชายพกจะมีจี้หยกรูปใบไผ่มรกตอยู่"
ชายหนุ่มรีบลุกขึ้น แล้วลองทำตามคำของชายชรา ก็พบกับสิ่งที่ต้องการหาอยู่ทันที "เจอแล้วผู้อาวุโส ข้าเจอแล้ว"
"เจ้าศิษย์โง่ ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์สิ ถึงจะถูกต้อง" เสียงชายชราตวาดลั่น ส่วนอาเซียงก็ตัวสั่นงันงกอยู่นาน ก่อนจะตั้งสติได้
"ครับ..." ชายหนุ่มประสานมือทั้งสองข้างระดับอก แล้วโค้งคำนับหุ่นไม้อันเป็นร่างสถิตดวงจิตของชายชรา "ศิษย์อาเซียง คารวะอาจารย์"
"ดีๆ ศิษย์รัก นั่นคือสัญลักษณ์ประจำตัวของเจ้าสังกัดดอยไผ่เขียวทุกรุ่น ให้เจ้าพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ซึ่งตอนนี้เท่ากับว่าเจ้าเป็นศิษย์ของเมฆาครามเรียบร้อยแล้ว" เสียงของชายชรากล่าวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำให้เขาลอบหลั่งเหงื่อเม็ดเย็นอาบแผ่นหลัง ด้วยไม่คิดว่าจะมีสำนักใดรับเข้าไว้เป็นลูกศิษย์เสียอีก
"เมฆาคราม..." ในใจของอาเซียงแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง นี้มันเกินกว่าที่เขาจะนึกฝันไว้เสียอีก เพราะเขาตั้งใจเพียงแค่ขอได้เข้าเป็นศิษย์สำนักใดสำนักหนึ่งก็ได้แท้ๆ แต่โชคชะตาคล้ายจะเย้าเขาเล่นแล้วหรืออย่างไร ทำให้เขากลายเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาคราม หนึ่งในสำนักระดับแนวหน้ายุทธจักรวิญญาณแห่งจักรวรรดิต้าเทียนจนได้
ครั้นชายหนุ่มนำจี้หยกใบไผ่เหน็บที่ชายพก เขากลับต้องปวดแซบปวดร้อนบริเวณหน้าผากเหมือนจะถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงกาฬ ทว่าเพียงไม่นานความเจ็บปวดพลันมลายหายสิ้น และบริเวณที่เคยร้อนผ่าว ได้ปรากฏจุดแต้มสีเขียวมรกตรูปใบไผ่กลางหน้าผากเรียบร้อย
"ฮะ ฮ่า พลังวิญญาณของเจ้าสูงส่งนัก นึกไม่ถึงว่ายังไม่เรียนวิชาของสำนักเรา เจ้าก็ได้รับการยอมรับจากจี้หยกไผ่เขียวแล้ว ประเสริฐประเสริฐ" เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังระงมถ้ำเมฆหวน
ชายชราหวนนึกทบทวน ถึงคำบอกเล่าของอาจารย์ปู่ของตน ที่กล่าวถึงจี้หยกเมฆเขียวไว้ว่า มีเพียงปรมจารย์เทียนจิงเต้าหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ได้รับการยอมรับ และสืบทอดพลังจากจี้หยกเมหเขียว แต่ตอนนี้กำลังจะมีคนต่อไปที่ได้รับการยอมรับ นั่นก็คือชายหนุ่มเบื้องหน้าเขานี่เอง
อาเซียงยิ้มแหยๆ เหมือนจะตัวลอยเพราะคำชม "มิกล้ามิกล้า ศิษย์ดี ด้วยมีอาจารย์ดี"
"ผิดแล้ว ต้องเป็นอาจารย์ที่ดีเลิศประเสริฐศรีด้วยต่างหาก เจ้าเด็กนี่ช่างรู้จักเอาใจคนแก่ยิ่งนัก เอ้านี่คือตำราวิชาประจำตัวของข้า" ชายชราคล้ายจะบ้ายอตัวเองอยู่มากโข พอกล่าวจบก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีครามบนเพดานถ้ำ แล้วลอยมาอยู่บนมือซ้ายของชายหนุ่ม ตามมาด้วยม้วนคัมภีร์สีเงิน ลอยมาอยู่ในมือขวา "ส่วนนี้คือตำราที่ภายหน้าจะใช้จารึกวิชาประจำตัวของเจ้า"
"วิชาประจำตัวของข้างั้นหรือ" อาเซียงไม่รีรอรีบเปิดม้วนคัมภีร์สีเงินทันที ทว่าผิดคาดแทนที่จะมีภาพวรยุทธ์หรือเคล็ดวิชา กลับมีเพียงหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า แล้วม้วนคัมภีร์นั้นพลันหายเข้าไปในร่างของเขาทันที ทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจอย่างยิ่ง
"อาจารย์ครับ นี่มันเกิดอะไร ทำไมไม่มีเคล็ดวิชาอันใดอยู่เลย"
"ก็ข้าพึ่งบอกไปว่า นั่นเป็นตำราจารึกวิชาประจำตัวของเจ้าในภายหน้า ซึ่งก็หมายความว่า เจ้าเองต้องเป็นคนคิดค้นขึ้นและขัดเกลาจนกลายสุดยอดวิชา เพื่อส่งต่อสู่ลูกศิษย์ของเจ้า หลานศิษย์ของข้าในอนาคตยังไงล่ะ" เสียงของอาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยเหมือนไม่พอใจกับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของลูกศิษย์
"อ๋อ! ที่แท้เป็นเช่นนั้นเอง ศิษย์ผู้โง่เขลา พอเข้าใจมากขึ้นบางแล้วครับ" เมื่อรู้ดังนั้น อาเซียงจึงถามถึงยอดวิชาประจำตัวของอาจารย์บ้าง
ตัวเขาไม่ได้เปิดม้วนคัมภีร์สีครามออกดู ด้วยเกรงว่า จะมีเคล็ดวิชาอันยอดเยี่ยมจนมิอาจเข้าใจได้โผล่ออกมาอีก แล้วหากมันหายเข้าไปในตัวเขาอีกคงไม่ได้เรียนรู้กันพอดี
มิสู้ให้อาจารย์หวงอธิบายก่อน เขาค่อยศึกษาภายหลังจะดีกว่า แล้วชายหนุ่มจึงถามออกไปว่า
"แล้ววิชาประจำตัวของท่านอาจารย์ คือวิชาแบบใดกันขอรับ"
"ฮ่าๆ ได้คืบจะเอาศอกนะเจ้า ข้าชักจะชอบคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนอย่างเจ้ายิ่งนัก " เสียงชายชรากล่าวอย่างขบขำ ในใจก็แอบคิดว่า ถึงเจ้าไม่ถาม ข้าก็จะสอนให้อยู่ดี แล้วจึงเอ่ยถึงวิชาที่ตนคิดค้นขึ้น "เจ้าคงรู้ดีว่า ใต้หล้านี้ให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณเป็นอันดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับพลังวิญญาณเป็นอันดับสอง โดยหลงลืมไปว่า ยังมีจิตที่ยังผูกติดกับวิญญาณอยู่"
"ขอรับ ศิษย์รู้เรื่องนั้นดี"
"แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วข้าเป็นใคร..." เสียงชายชราถามซ้ำอีกครั้ง
พอได้ยินดังนั้น อาเซียงขมวดคิ้วเป็นเงื่อนตายทันที ทั้งๆ ที่กราบผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์แล้วแท้ๆ เขายังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของอาจารย์ตนเองเลย จึงไม่อาจรู้ว่า อาจารย์ของเขาเป็นใครกันแน่ และไม่อาจคาดเดาเลยว่า ความจริงแล้วชายชราเป็นยอดฝีมือท่านใดในยุทธภพ
"เฮ้อ! เจ้ามิรู้..." เสียงของอาจารย์ผู้เฒ่าถอนหายใจคล้ายหมดอาลัยตายอยากจนอาเซียงรู้สึกได้ ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งที่ทุกคนใต้หล้ารู้จักเป็นอย่างดีออกมา "แต่เจ้าคงจะเคยได้ยินสมญานาม ยาจกอุดร มาบ้างกระมัง"
"เรื่องนี้ศิษย์พอรู้มาบ้างครับ ในยุทธภพได้กล่าวถึงห้ายอดจอมยุทธ์ภูต ผู้มีจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมและพลังวิญญาณอันแกร่งกล้า
ได้แก่ ภูตบูรพา ยาจกอุดร อ๋องทักษิณ พิษประจิม และกลางเทพศักดิ์สิทธิ์" ชายหนุ่มรีบผสานมือแล้วตอบทันที แล้วในใจพลันคิดเชื่อมโยงกับคำกล่าวของอาจารย์เมื่อสักครู่ "ชะ...เช่นนั้นท่านอาจารย์คือ ยาจกอุดร ผู้อาวุโสหวงชีกองั้นหรือครับ"
"ใช่" เสียงผู้เฒ่าตอบห้วนๆ ชายหนุ่มแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง นั้นก็เท่ากับว่า เขากลายเป็นศิษย์ของยอดคนหนึ่งในห้าของแผ่นดินนี้แล้ว จากนั้นชายชราจึงถามอาเซียงต่ออีกว่า "แล้วรู้รึไม่ว่า จิตวิญญาณของข้าคืออะไร"
"ใต้หล้าต่างรู้จัก จิตวิญญาณของท่านอาจารย์คือไม้เท้าประกาศิต มีวรยุทธ์ที่ใช้ไม้เท้าได้อย่างยอดเยี่ยม คือ วิชาไม้เท้าตีสุนัข" ชายหนุ่มเอ่ยออกมาโดยไม่ลังเล เพราะผู้คนทั้งยุทธภพต่างรู้ดี ถึงจิตวิญญาณของอาจารย์เขา
"ไม่ใช่ไม่ใช่ เจ้าพูดผิดแล้ว เพราะจิตวิญญาณของข้าไม่ใช่ไม้เท้า แต่เป็นไม้จิ้มฟันต่างหากล่ะ" ในต้นประโยค ชายชราเพียงใช้น้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าท้ายประโยคกลับแฝงน้ำเสียงหนักแน่น
ชายหนุ่มจึงพอจะเดาออกว่า ข้อความข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
จากนั้นหุ่นไม้จำแลงกาย ได้เร่งเร้าวงแหวนวิญญาณทั้ง 8 วงออกมา จึงปรากฏจิตวิญญาณไม้เท้าสีมรกต
ดูภายนอกเห็นเป็นไม้ไผ่เก้าปล้อง แผ่รัศมีความแข็งดั่งหยก แกร่งดั่งเหล็กกล้าก็มิปาน ก่อนจะคลายวงแหวนวิญญาณทั้งหมด ออกจากไม้ไผ่หยกเก้าปล้องนั้น แล้วกลายเป็นเพียงไม้จิ้มฟันขนาดไม่เกิน 1 ชุ่น
"มะ...ไม้จิ้มฟันจริงจริงด้วย แล้วทำไมมันถึงได้..." ชายหนุ่มตกตะลึง มิคาดคิดว่า หนึ่งใน 5 ยอดฝีมือแห่งยุคจะมีจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดแบบนี้ จึงเกิดความสงสัย
เพราะเหตุใดกัน จิตวิญญาณถึงสามารถพัฒนาได้หรอกหรือ จากเริ่มแรกเป็นเพียงไม้จิ้มฟันที่ไร้ค่าเสียยิ่งกว่าพู่กันของเขาอีก แต่กับแปรเปลี่ยนเป็นไม้เท้าประกาศิต อันมีพลานุภาพสะเทือนแผ่นดินได้เช่นใด
"เพราะจิตวิญญาณ พวกมันมีชีวิตและสามารถพัฒนาได้ยังไงล่ะ" เสียงของชายชราตอกย้ำในความคิดของอาเซียงเสมือนหนึ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า ขยะแบบเขาจะก้าวสู่การเป็นเพชรแท้ที่เจียระไนได้ "จากการค้นคว้าของข้า ผู้ฝึกฝนเป็นจอมยุทธ์ภูต ต้องค้นหาวงแหวนวิญญาณ อันเหมาะสมกับจิตวิญญาณของตนเอง ผ่านการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน และนั่นก็รวมถึงการยอมรับชะตากรรม ซึ่งเกิดจากการลองผิดลองถูกเหล่านั้นของตนเองด้วย"
บ้าไปแล้วมั้ยนั่น ตำราสรรพศาสตร์ใดๆ ก็ไม่มีระบุไว้เช่นนั้นเลย แต่...
ถึงในใจจะคิดแย้ง แต่อาเซียงยังฝืนใจขบคิดตามคำของอาจารย์ จึงทำให้ทราบถึงสาเหตุที่เหล่าเจ้าสำนักคนอื่นๆ ต่างพากันเรียกจิตวิญญาณของเขาว่าเป็นขยะไร้ค่าได้แล้ว "สำนักวิญญาณยุทธ์อื่นอื่น ไม่กล้าเสี่ยงรับข้าเป็นศิษย์ ถึงแม้จะมีพลังวิญญาณเต็มขั้นก็ตาม ก็เพราะพวกเขาไม่อยากเสียเวลาไป โดยเปล่าประโยชน์ ทว่าจิตวิญญาณของข้า ก็มีแนวทางพัฒนาในวิถีของมันเองอยู่"
เสียงชายชรา จึงไขข้อสงสัยในใจของชายหนุ่มต่ออีกว่า "ใช่แล้ว แนวทางฝึกฝนของแต่สำนัก ล้วนถูกคิดค้นจากปรมาจารย์ในอดีต เพื่อถ่ายทอดสู่ศิษย์รุ่นหลัง ย่อมผ่านการศึกษาค้นคว้าและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาเป็นอย่างดี จนการเป็นวิถีจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยม แม้เจ้าจะมีพลังวิญญาณเต็มขั้น แต่จิตวิญญาณกลับเป็นเพียงพู่กัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้จักไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงๆ จึงไม่รู้แนวทางการพัฒนา ทำให้พวกเขาเลือกมองข้ามพรสวรรค์ของเจ้าไป แต่สำหรับข้านั้นสนใจในจิตใจอันใสซื่อของเจ้ามากกว่า จึงได้รับเข้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว ฉะนั้นต่อจากนี้เจ้าต้องหาวิถีทางฝึกฝนของตนเองให้พบ"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะ" ชายหนุ่มเหมือนได้ออกจากกะลาครอบ เปิดความคิดสู่โลกวิถีวิญญาณอันกว้างใหญ่บ้างแล้ว
"ออกทะเลไปไกลมากแล้ว กลับมาที่วิชาประจำตัวของข้าบ้าง จะพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณก็ได้ จะว่าไม่เกี่ยวก็ได้ แล้วแต่เจ้าจะคิดเอาเอง ทว่ามันจะมีความแตกต่าง ระหว่างแนวทางฝึกฝนของสำนักเมฆาครามและสำนักวิญญาณยุทธ์อื่นอยู่มาก โดยหลักวิชาของสำนักเมฆาครามและสำนักวิญญาณ นั้น มุ่งฝึกฝนจากภายนอกสู่ภายใน กล่าวคือการซึมซับพลังวิญญาณจากธรรมชาติ เพื่อบ่มเพาะพลังในร่างกาย ทว่าวิชาที่ข้าคิดค้นฝึกฝนจากภายในสู่ภายนอก เรียกว่า จิต ที่เน้นการรับรู้ รู้สึกถึงพลังภายในร่างกายเพื่อแผ่ขยายพลังออกสู่ภายนอก"
"จิต..." อาเซียงเลิกคิ้วสงสัย แม้จะคุ้นกับคำนี้อยู่บ้าง เพราะในโลกเก่าของเขา มักจะระบุไว้ในคัมภีร์ทางศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาที่เขานับถือด้วยแล้วนั้น ได้อธิบายความหมายของจิตไว้อยู่ด้วย
จิตน่าจะหมายถึง สภาวะที่รู้อารมณ์ หรือสภาวะที่ทำหน้าที่เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สึกต่อการสัมผัสถูกต้องทางกายและรู้สึกนึกคิดทางใจ จิตนี้ไม่ว่าจะเกิดแก่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหมก็ตาม ย่อมมีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะเหมือนกันทั้งสิ้น แล้วจิตที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงล่ะ จะเป็นเช่นใดกันแน่
"ใช่แล้ว
จิตคือพลังแฝงในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ซึ่งสามารถจำแนกแยกแยะได้สามลักษณะ ได้แก่ หนึ่งคือจิตแห่งการหยั่งรู้
สองคือจิตแห่งการต่อสู้ สามคือจิตแห่งเทวะ" เสียงของชายชรายังได้อธิบายต่ออีก เพื่อให้ความกระจ่างในข้อสังสัยของลูกศิษย์
"อืม..." อาเซียงฟังปุ๊บพลันนึกพลังพิเศษรูปแบบหนึ่งในการ์ตูนชื่อดังของโลกเก่า ที่ตัวเอกของเรื่องเป็นโจรสลัดมักจะสวมหมวกฟางอยู่ใบหนึ่งขึ้นมาทันที แต่ต้องรอฟังคุณสมบัติของทั้งสามลักษณะ จากอาจารย์เขาเสียก่อน จึงจะสรุปได้ว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
เสียงชายชราได้อธิบายต่ออีกว่า "ลักษณะแรก จิตแห่งการหยั่งรู้ ผู้ฝึกฝนจะสามารถรับรู้ถึงตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ระดับพลังวิญญาณและขีดความสามารถของสิ่งมีชีวิต ในขอบเขตเฉพาะบุคคล ทำให้สามารถหลบหลีกหรือเข้าโจมตีศัตรูได้อย่างแม่นยำ หากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นหรือแม้กระทั่งคาดการณ์อนาคตอันใกล้ได้"
"ส่วนลักษณะที่สอง จิตแห่งการต่อสู้ ผู้ฝึกฝนจะสามารถสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวและหากเกราะที่สร้างแข็งแกร่งมากพอ ก็สามารถใช้โจมตีศัตรูด้วยพลังทางกายอันมหาศาล โดยไม่ต้องอาศัยพลังวิญญาณเข้าช่วยหนุน หากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถผสานกับจิตวิญญาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีและป้องกันถึงขั้นคงกระพันได้เลย"
"และลักษณะสุดท้าย จิตแห่งเทวะ ถือกำเนิดมาพร้อมชีวิตของคนผู้นั้นๆ เป็นจิตที่มิอาจฝึกฝนกันให้เกิดขึ้นได้ แต่สามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์ได้ ผู้ที่มีจิตนี้สามารถปล่อยจิตเสน่หาออกมาโน้มน้าว ควบคุมจิตใจของผู้คนให้อ่อนไหวคล้อยตาม หรือปล่อยแรงกดดันหรือจิตสังหารออกมาคุกคามและทำให้ศัตรูอ่อนแรงหมดสติ ข่มขู่ ร่วมถึงข่มขวัญให้ตกตะลึง หากฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ย่อมสามารถรวบรวมผู้คนนับแสนนับล้านเป็นหนึ่งเดียวกันและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของผู้คนทั้งแผ่นดินได้ไม่ยาก"
นี่มันไม่ต่างจากการใช้ฮาคิเลย จิตแห่งการคงอยู่ก็คือฮาคิสังเกต จิตแห่งการต่อสู้ก็คือฮาคิแห่งเกราะและการทะลวง และจิตแห่งเทวะก็คือฮาคิราชันในการ์ตูนชื่อดังเรื่องนั้นนั่นเอง ซึ่งก่อนจะจากโลกเก่ามา การ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้เดินเรื่องมาถึงตอนที่แปดพันกว่าแล้ว โดยตัวเอกที่สวมหมวกฟางพึ่งจะเอาชนะกลุ่มโจรสลัดที่มีกัปตันเป็นชายผมแดง ผู้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่จักรพรรดิได้สำเร็จ ด้วยการผสานฮาคิทั้งสามลักษณะกับพลังของผลปีศาจกลายเป็นทักษะการโจมตีที่เรียกว่า เกียร์แปด และดูเหมือนเรื่องนี้ไม่มีที่ว่าเรื่องนี้จะจบลงในระยะเวลาอันสั้นเลยด้วย
ชายหนุ่มครุ่นคิดได้แล้ว ถึงกลับหัวใจเต้นเร่าอย่างรุนแรง ทั้งตื่นเต้นทั้งต้องการวิชานี้ไว้ในครอบครอง แววตามุ่งมั่นพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของอาเซียง เพราะอาจารย์ของเขานับเป็นยอดฝีมือคนแรก ที่ไม่สนใจในจิตวิญญาณ แต่ยอมรับในจิตใจของเขาแทน ถึงขนาดรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิจนได้
"เฮ่ย..." ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองใบหน้าของศิษย์รักเป็นครั้งงสุดท้าย "ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว เจ้าก็ลองฝึกตามคัมภีร์ก็แล้วกัน ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ สุดแท้แต่เจ้าจะไขว่คว้าด้วยตนเองได้มากน้อยสักเท่าใด ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้วิชานี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากและผดุงความเป็นธรรมให้ใต้หล้าสงบสุข"
อาเซียงถือตำราสีครามไว้แน่น แล้วเร่งคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น 3 ครั้ง แล้วกล่าวว่า "ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอน"
"เช่นนั้นข้าก็หมดห่วง" เสียงของชายชราพลันเงียบสนิทลง พร้อมๆ กับหุ่นไม้จำแลงกายสูญสลายกลายเป็นธุลี และวงแหวนวิญญาณทั้ง 7 วงของอาจารย์ผู้เฒ่า ก็ลอยหายไปในกลางอากาศ ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในถ้ำเมฆหวน
"น้อมส่งท่านอาจารย์" ชายหนุ่มเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แม้จะเสียใจมาก แต่ก็ต้องยอมรับในลิขิตสวรรค์ที่ตนเองมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ และเมื่อดวงจิตของชายชราสลายไป เขาได้แต่เซ็ดคราบน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ให้แห้งสนิท และคิดสืบหาศัตรูผู้ที่ทำร้ายอาจารย์และนักพรตอาวุโสจากอารามเทียนเหมินต่อไป
แม้นไม่แน่ใจว่า ตนเองจะแก้แค้นแทนอาจารย์ได้สำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ก็ขอให้เขาได้ใช้สิ่งที่อาจารย์สั่งสอนมาตอบแทนบุญคุณของท่านให้ได้มากสุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าฉับพลันชายหนุ่มพลันนึกถึงบางเรื่องออก ทว่ากลับสายไปเสียแล้ว
แล้ววิชาของสำนักเมฆาครามล่ะ อาจารย์ยังไม่ได้สอนเลย มิใช่ข้าต้องไปทดสอบเป็นศิษย์สำนักเมฆาครามด้วยตนเองอีกครั้งหรอกนะ...
++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น