ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #6 : อาเซียงกับความหวังในความสิ้นหวัง

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 63


    9/10/61 อัพนิยาย

    18/12/61 รีไรท์

    ...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...

     

    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ตอน อาเซียงกับความหวังในความสิ้นหวัง


    ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังสับสนไร้หนทางก้าวเดินต่อไป ผู้ปลุกจิตวิญญาณคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จจากการได้รับจิตวิญญาณตามปรารถนา ไม่ก็เป็นจิตวิญญาณที่สามารถทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่างเช่น จิตวิญญาณสายศาสตรา จิตวิญญาณสายอสุรา จิตวิญญาณสายพฤกษา และจิตวิญญาณประเภทเครื่องมือต่างๆ


    พ่อแม่และญาติพี่น้องของผู้ปลุกจิตวิญญาณเหล่านั้น ต่างร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข และยังสนทนาถึงการส่งบุตรหลานของตนเข้าเป็นศิษย์เพื่อรับการฝึกฝนในสำนักวิญญาณ ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ชัดในยุทธภพ ซึ่งหมายถึง 1 อาราม 3 นิกาย 5 สำนัก 7 หมู่ตึกและ 9 ตระกูลนั่นเอง โดยอธิบายได้ดังนี้


    1 อาราม คือ อารามเทียมสวรรค์ ศูนย์กลางของเหล่าจอมยุทธ์ภูติ ปกครองโดยองค์สังฆราชาและเหล่าราชาคณะ ตั้งอยู่ที่นครหลวงลั่วหยาง ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนักต้าเทียน ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและความสงบสุขของผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทั่วจักรวรรดิ


    3 นิกาย ได้แก่ นิกายตะวันจันทราแห่งเขาคุนหลุน นิกายดารารายแห่งเขาม่านเฉิงและนิกายพรายอสูรแห่งป่าเจียนหวู แต่ละนิกายมีประมุขเป็นผู้นำสูงสุด


    5 สำนัก ได้แก่ สำนักเมฆาครามแห่งเขาเทียนซัน สำนักดาบเทพเจ้าแห่งป่าเว่ยอัน สำนักเทพกระบี่แห่งเขาไป๋หม่า สำนักหัตถ์หยกเทวะแห่งเขาเหิงซันและสำนักหลอมโลหิตแห่งป่าจิ้นเฉิง แต่ละสำนักมีเจ้าสำนักเป็นผู้นำสูงสุด


    7 หมู่ตึก ได้แก่ หมู่ตึกหมื่นบุปผาแห่งป่าหนานเจียง หมู่ตึกป้อมอินทรีแห่งเขาคุนหมิง หมู่ตึกกรุ่นเพลิงกาฬแห่งเขาซานหนิง หมู่ตึกธารวารีแห่งทะเลฟ่านไห่ หมู่ตึกร้อยคีตะแห่งป่าอันหนิง  หมู่ตึกสัตว์ปีศาจแห่งเขาม่านหยุนและหมู่ตึกปราชญ์โอสถแห่งเขาจงหนาน โดยหมู่ตึกแต่ละแห่ง มีเจ้าหมู่ตึกเป็นผู้ปกครองดูแล


    9 ตระกูล ได้แก่ ตระกูลหลงแห่งเมืองฉางอัน ตระกูลเฝิงแห่งเมืองกุ้ยหยาง ตระกูลหู่แห่งเมืองผู่หยาง ตระกูลอู่แห่งเมืองเทียนสุย ตระกูลถังแห่งเมืองหยุนหนาน ตระกูลไป๋แห่งผิงหยวน ตระกูลจูเก่อแห่งเมืองหยงอัน ตระกูลกงซุนแห่งเซียงผิงและตระกูลมู่หรงแห่งหุยจี ซึ่งผู้นำของแต่ละตระกูล ล้วนแทนตัวเองว่า เจ้าบ้าน


    สังกัดทั้งหลายที่กล่าวมา ต่างมีชื่อเสียงและเกียรติยศทัดเทียมกันในยุทธภพ หากผู้หนึ่งผู้ใดได้เข้าเป็นศิษย์หรือสาบานตนเข้าร่วมแล้ว จะได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนในการฝึกปรือพลังวิญญาณ รวมถึงการค้นหาวงแหวนวิญญาณที่เหมาะสมกับจิตวิญญาณของคนผู้นั้นอีกด้วย ทำให้มีความก้าวหน้าพัฒนาฝีมือไปในทางที่ถูกต้องได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุด


    ยังมิได้นับรวมพรรครองพรรคเล็กอื่นๆ กว่าห้าร้อยพรรค ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดิน ที่มิอาจเอ่ยชื่อได้ครบถ้วน ทว่าทุกแห่งล้วนแล้วมุ่งฝึกฝนวิญญาณให้ถึงแก่นแท้และเป็นเจ้าจอมยุทธ์ภูติแทบทั้งสิ้น จึงทำให้บางครั้งเกิดความขัดแย้งไม่ลงรอยและบางคราวร่วมมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน อันเป็นธรรมดาวิสัยแห่งโลกยุทธภพวิญญาณแห่งนี้


    ทว่าสำหรับชายหนุ่มผู้สิ้นหวัง กลับหาได้เป็นกังวลในการเข้าสังกัดไม่ เขาจมดิ่งในความมืดดำภายในส่วนลึกของจิตใจ


    ในห้วงเวลาเดียวกันที่ความสิ้นหวังกลืนกินอาเซียงอยู่นั้น ณ กระท่อมหลังน้อยกลางสวนส้ม ชานเมืองกุ้ยหยาง มีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังวางเข่งไม้ไผ่ที่ใส่ผลส้มที่แก่จัดจนเกือบล้นไว้ในโรงเก็บเพื่อส่งขายให้กับพ่อค้าในวั่งรุ่งขึ้น จากนั้นนางจึงไปเก็บกวาดภายในกระท่อมให้สะอาด โดยสายตาคู่งามมองขวาแลซ้าย คล้ายจะชะเง้อมองหาใครสักคนอยู่ ซึ่งนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านหญิงเฝิงหรือเฝิงปิงปิง โฉมงามแห่งกุ้ยหยางนั่นเอง


    "ท่านหญิงเจ้าคะ คุณชายเซียงยังไม่กลับมาวันนี้หรอกเจ้าค่ะ ทูลเชิญท่านหญิงกลับตำหนักอ๋องพร้อมพวกเราดีกว่า" เสียงสาวใช้คนสนิทท่ามกลางเหล่าองครักษ์นับสิบทักขึ้น แม้จะโน้มน้าวสักปานใด แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ เพราะจิตใจจดจ่อง่วนกับงานที่ทำอยู่และระลึกถึงชายในดวงใจผู้ไร้ข่าวคราว จนเหล่าสาวใช้ต้องถอดใจ ถอยออกไปรักษาความปลอดภัยอยู่รายล้อมกระท่อมแทน จึงเหลือแต่ท่านหญิงเฝิงที่อยู่ในกระท่อมเพียงลำพัง


    "อาเซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เป็นตายร้ายดีก็ควรส่งข่าวกลับมาบ้าง" พูดพลางหยาดน้ำตาเม็ดใสๆ ไหลรินออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็มิอาจทราบได้ ในใจเฝ้าคะนึงถึงชายหนุ่มที่ผูกพันกันมาตั้งแต่จำความได้ แต่เขากลับหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ หนำซ้ำส่งคนออกติดตามหากว่าสิบวันแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย


    ตลอดสิบวันมานี้ ท่านหญิงเฝิงคอยดูแลสวนส้มและกระท่อมน้อย รอคอยชายหนุ่มกลับมาอย่างใจจดจ่อ ถึงไม่จะไม่เรียกว่าดูแลได้สมบูรณ์แบบดังเจ้าของสวน แต่ก็ล้วนทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจจริง ซึ่งเป็นการยากยิ่งสำหรับท่านหญิงสูงศักดิ์


    ระหว่างที่อาเซียงไม่อยู่ ปิงปิงช่วยดูแลหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานเรือน งานสวนงานไร่ ไม่เว้นแม้แต่การค้าขาย ทำให้หลายวันมานี้ นางมีประสบการณ์ในการเป็นแม่บ้านแม่เรือนอยู่ไม่น้อย บางครั้งยังฝึกสอยตะเข็บเย็บชายเสื้อที่ชำรุดหลุดรุ่ยของอาเซียงให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม วันแล้ววันเล่าจนแล้วเสร็จทุกตัว แถมยังตัดเย็บเสื้อผ้าแพรไหมไว้รออาเซียงหลายสิบชุดด้วยกัน


    ด้านท่านอ๋องเฝิงเองมีข้อราชการต้องสะสางที่ตำหนักทุกวัน จึงมิอาจมาพักเป็นเพื่อนธิดา แต่ก็คอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนนางทุกวัน พลันต้องรู้สึกสงสารนางเป็นอย่างมาก แถมยังโมโหอาเซียงที่หายตัวไปไร้ร่องรอย ปล่อยให้ธิดาตนเฝ้ารอคอยจนไม่ยอมกินยอมนอน


    ทว่าบ่อยครั้ง ผู้เป็นพ่อก็แอบยิ้มเล็กๆ เมื่อแอบเห็นกิริยาท่าทีที่ทำตัวเป็นหญิงมากขึ้นจากเหตุการณ์นี้ จนท่านอ๋องเฝิงไม่รู้จะโกรธหรือพอใจชายหนุ่มดี ที่เป็นเหตุให้ปิงปิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้


    ท่านอ๋องก็ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ครั้นเห็นหยาดน้ำตาของลูกสาวไหลรินลงคราใด หัวใจของเขาจวนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในครานั้น จึงสั่งให้ทหารออกติดตามหาอาเซียงไปทั่วทุกสารทิศ ถึงขนาดตั้งรางวัลกว่า 200 ตำลึงทองให้กับคนที่หาตัวชายหนุ่มพบ และหากมีข่าวคราวหรือเบาะแสเกี่ยวกับอาเซียงอันน่าเชื่อถือ ก็ยังมีรางวัลให้อีก 20 ตำลึงทองอีกเช่นกัน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไร้ข่าวคราวและยังค้นหาตัวอาเซียงไม่พบ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกเดือน


    ณ หมู่ตึกลึกลับ สาวงามแรกรุ่นอีกผู้หนึ่งก็กำลังครุ่นคิดถึงชายหนุ่มคนเดียวกันกับท่านหญิงเฝิง พร้อมกับเป่าขลุ่ยหยกคู่ใจในศาลากลางน้ำอยู่ด้วย ท่วงทำนองของเพลงขลุ่ยคล้ายถ่ายทอดความรู้สึกถวิลหาคนรักคลอเสียงสายลมที่พัดสายน้ำจนกระเพื่อมไหว ไม่ใช่ใครอื่น นางคือคุณหนูเมิ่งแห่งหมู่ตึกลึกลับ เมิ่งหลินหลิน ผู้ที่พรากครั้งแรกของอาเซียงไปนั่นเอง


    เสียงเพลงบางครั้งฟังเหมือนมีความรู้สึกโศกเศร้าปะปนอยู่ บางคราก็มีความรู้สึกยินดีแทรกเข้ามาสลับกัน อีกทั้งใบหน้าของนางพลันแดงระเรื่อ เมื่อมีความรู้สึกต้องการทางอารมณ์รักขึ้นมาทุกทีที่นึกถึงใบหน้าแสนธรรมดาของชายผู้นั้น ซึ่งแม้นจะใช้ขลุ่ยหยกเพื่อนเกลอเข้าช่วยเหลือ ก็ไม่อาจปลดเปลื้องความปรารถนาแห่งวัยสาวไปได้ ด้วยสัมผัสของมันไม่ละมุนละไมดั่งแท่งหยกกล้าแกร่งของชายคนรัก


    "อะ...อาเซียง" ปากสั่นเครือเรียกร้องชื่อของชายคนรักจนแห้งผาก ขณะบรรจงใช้ขลุ่ยหยกขับเคี่ยวจุดซ่อนเร้นประทังความปรารถนา ในใจโหยหาระลึกถึงค่ำคืนอันดูดดื่มท่ามกลางกลางแสงจันทรา ทว่าแท้จริงแล้วนางไม่ต้องการให้ชายหนุ่มจากไปเลย แต่เพื่อรักษาชีวิตของเขา จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเสนอความคิดเห็นดังกล่าวต่อนายหญิงของนางไปแบบนั้น เพราะหากอาเซียงยังอยู่ที่นี่ต่อ ก็มีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น


    นางเชื่อมั่นในความรักที่มีนางมีต่อเขา และแอบหวังอยู่ลึกๆ เหมือนกันว่า อาเซียงจะคิดเห็นเช่นเดียวกันกับนางด้วย ถึงแม้มิอาจเรียกร้องความรักจากชายที่พึ่งพานพบกัน เพราะจะมีชายใดเล่า จะเทใจรักให้หญิงสาว ผู้ยอมพลีกายถวายความบริสุทธิ์ให้แก่บุรุษ ที่พึ่งรู้จักกันเพียงแค่เจ็ดวันได้


    อนึ่ง ถึงแม้ชายหนุ่มไม่ทีท่าว่าจะแสดงอาการรังเกียจรังงอนอย่างใด แต่สำหรับคุณหนูเมิ่งแล้ว กลับยิ่งเกลียดชังอากัปกิริยาร่านราคะของตนอยู่ไม่น้อย นางแปลกใจเหลือเกินว่า ตนเองหน้าด้านหน้าทน ถึงขนาดกล้าเชื้อเชิญให้ผู้ชายมาเริงสวาทบนเรือนร่างตนอย่างหน้าไม่อายได้อย่างไรกัน


    แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าว กลับกลายเป็นเพียงม่านควันที่เกิดขึ้นแล้วค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงจิตปฏิพัทร์ต่อชายหนุ่มเพียงผู้เดียว จนถึงขั้นยอมติดตามอาเซียงไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวโดยมิปริปากบ่น ขอเพียงได้ใกล้ชิดกับชายคนรักเป็นพอ


    อาเซียงปานนี้ เจ้าจะเป็นเช่นใดบ้างหนอ


    หลินหลินนึกถึงคราวอิงแอบแนบสวาทกับอาเซียงคราใด หัวใจของนางสั่นระรัว ร่างกายร้อนรุ่มดังเพลิงผลาญ ช่องทางรักคล้ายไหวไปเองจนน่าตกใจ ความเสียวซ่านแล่นพล่านทั่วทั้งสรรพางค์ น้ำแห่งรักไหลอาบต้นขาจนนางต้องหยุดเป่าขลุ่ยและทรุดตัวลงกับพื้น พลางร่ำไห้คิดถึงชายผู้นั้นอยู่ทุกขณะจิต


    การกระทำต่างๆ ของคุณหนูเมิ่งถูกแอบมองจากสายตาของนายหญิง แม้หลายวันมานี้ นางจะมีท่าทีที่แปลกออกไป เพราะไม่เรียกหญิงสาวมาปรนนิบัติเหมือนอย่างเคย เนื่องจากต้องซ่อนเร้นอาการบาดเจ็บสาหัสจากการทำร้ายของชายชราปริศนา ที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนถึงสองคน โดยผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายขอทานและใช้จิตวิญญาณไม้พลองสุดร้ายกาจ อีกผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายนักพรตและใช้จิตวิญญาณหมัดขัดแย้งที่แปลกประหลาดยิ่ง ซึ่งเกิดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอนที่กำลังออกล่าเหยื่อแถวหมู่บ้านชาวประมงแถบชานเมืองฉางซา ทั้งสองคนได้เข้ามาขัดขวางและชิงตัวผู้ชายบริสุทธิ์นับสิบคนให้รอดพ้นเงื้อมมือของนางไปได้


    นายหญิงจึงต้องเร้นกาย ยอมหลบลี้หนีการไล่ล่าของยอดฝีมือมาพักฝืนอาการบาดเจ็บในหมู่ตึกลึกลับ โดยไม่บอกกับหลินเอ๋อให้ล่วงรู้ ด้วยกลัวว่า หญิงสาวจะหนีไป จนอาจก่อให้เกิดอันตรายกับนางได้


    ตลอดเวลากว่าสิบห้าปีที่ผ่านมา สายสัมพันธ์ทั้งสองคนดูคลุมเคลือ บางครั้งดูคล้ายนายกับบ่าว บางคราวก็เหมือนมารดากับบุตรี และบางทีอาจเป็นเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง แต่นายหญิงเลี่ยงที่แสดงความอ่อนโยนต่อคุณหนูเมิ่ง โดยเลือกที่จะคอยดูแลและเฝ้ามองหลินเอ๋ออยู่ห่างๆ แทน


    แม้ต่อหน้าจะวางท่าทางเกรี้ยวกราด แต่ในใจส่วนลึกรู้สึกเวทนาหญิงสาวอย่างมาก เมื่อมองคุณหนูเมิ่งคราใด พลันอดนึกถึงภาพตนเองคราเป็นสาวแรกรุ่นมิได้ ด้วยเพราะการอาบน้ำร้อนมาก่อนหน้า นายหญิงจึงเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคุณเมิ่งตอนนี้ได้เป็นอย่างดี


    แต่อย่างไรเสีย นางก็ไม่ต้องการให้หญิงสาวต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักดังเช่นนางในอดีต จึงจำเป็นต้องกำจัดอาเซียงเสียให้พ้นทาง ซึ่งนอกจากจะทำเพื่อตัวหญิงสาวแล้ว ตัวนางเองจะได้เหยื่อแสนอร่อยสำหรับฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่ถูกศัตรูผู้เก่งกาจทำร้ายมา ทว่านี่ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนกลับไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มจะหวนกลับ นายหญิงจึงต้องเก็บงำอาการบาดเจ็บและความกระหายในพลังวิญญาณของอาเซียงเอาไว้ก่อน


    ณ โรงเตี๊ยมโม่เยี่ยไหล ในเมืองฉางซา หลังจากผ่านจากพิธีปลุกจิตวิญญาณมาร่วมเดือน อาเซียงทำได้เพียงเดินลอยชายเตร่ไปเตร่มาในเมืองฉางซา อาศัยทำงานในแปลงผักกาดจากเช้าจรดเที่ยง เพียงเพื่อหารายได้แค่เล็กน้อย พอจะซื้อเหล้าดื่มในช่วงบ่ายของวัน 


    ครั้นตกเย็นก็เร้นกายนอนพักผ่อนในพงหญ้าข้างทางบ้าง ตามวัดร้างบ้านร้างบ้าง อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งแน่นอน จนชาวเมืองฉางซาต่างขนานนามเขาว่า อาเซียงเที่ยงดี นั่นเป็นเพราะเขาจะเริ่มทำงานได้ดีตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเท่านั้น แต่หลังจากเวลาเที่ยงวันเป็นต้นไป พอน้ำเมาได้เข้าปาก เขาก็จะกลายเป็นคนละคนโดยทันที


    วันนี้ก็เป็นดังเช่นวันวานที่ผ่านไป ชายหนุ่มที่เคยมีรูปร่างกำยำ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แม้ใบหน้าค่าตาจะไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวชาวบ้านร้านตลาดมองตามด้วยสายตาเป็นประกาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงชายขี้เหล้าไม่เอาไหน ร่างกายซูบผอมสิ้นความสง่า แถมมีสีหน้าไร้อนาคตอีกด้วย


    งานประจำของเขายามนี้ คือการใส่ปุ๋ยแปลงผักกาดของเถ้าแก่โม่ หรือที่ชาวเมืองรู้จักกันดีในนาม โม่ลู่คัง เจ้าของโรงเตี๊ยมที่เขาเคยนั่งดื่มกินอาหารเลิศรสอย่างสบายใจในวันแรกที่มาถึงเมืองฉางซา ทว่าปุ๋ยที่เขาต้องนำไปใส่กลับเป็นอุจจาระของลูกค้าที่ขับถ่ายในห้องสุขาของโรงเตี๊ยมนั่นเอง


    แม้จะมีกลิ่นไม่จรุงใจนัก แต่พอทำไปสักพักจึงเริ่มชาชินกับมัน ถึงขนาดตั้งชื่อให้เจ้าก้อนเหลืองอ๋อยที่เห็นหน้ากันทุกวันว่า ทองคำมนุษย์ ส่วนกลิ่นของมันนั่นเล่า เขาเรียกอย่างไพเราะว่า หอมหมื่นลี้ ซึ่งพอฟังดูแล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้นมามิน้อยเลย แต่นั่นกลับไม่ทำให้หลงลืมความอับอายของโชคชะตาได้เล่นตลกกับเขา ในวันเข้าพิธีปลุกวิญญาณไปได้เลย


    พู่กันงั้นหรือ แม้นเป็นจิตวิญญาณประเภทเครื่องมือที่ไม่เคยมีใครคิดว่า มันจะมีอยู่จริงๆ ด้วยซ้ำ ทว่าครานี้มันกลับมาอยู่ในมือของข้า ถึงจะมีพลังวิญญาณเต็มขั้นแล้วไง ได้จิตวิญญาณประเภทเครื่องมืออาทิ เคียว คาด จอบ เสียม มีด พร้า ก็ว่าไปอย่าง กลับมามีชีวิตเช่นนี้สู้ตายไปให้จบๆ คงจะดีซะกว่า ชีวิตของข้าในโลกนี้ ช่างอาภัพอับจนนัก มิต่างไปจากโลกเดิมเลยแม้แต่น้อย


    ชายหนุ่มในชุดมอซอผู้หนึ่งครุ่นคิด ขณะลิ้มรสสุรากลิ่นหอมกรุ่นจรุงใจจากไหในมือของตนจนเกือบหมดเพื่อดับทุกข์ในใจ เพราะตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ แทนที่จะได้ดิบได้ดีจากความสามารถด้านอื่นๆ อันจำเป็นต่อการดำรงชีพในโลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ ทักษะพลังวิญญาณ ทว่าเขากลับหลีกหนีความสามารถด้านกานต์กวีไปมิได้


    "จะเป็นโลกนี้ หรือโลกไหน ไยสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งข้าถึงเพียงนี้"


    "ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า เป็นสวรรค์งั้นหรือที่กลั่นแกล้งเจ้า" เสียงหนึ่งหัวเราะลั่น ขณะขี่ม้าเข้ามาใกล้ๆ อาเซียง


    หลังจากชายชราต้องเดินทางไกลจากเมืองจี้เฉิงในแดนเหนือ มายังแถบชานเมืองฉางซาเพื่อไปทำธุระบ้างเรื่องที่ถูกขอร้องมาอยู่ร่วมเดือนแต่ยังไม่สำเร็จ ก่อนจะโยนน้ำเต้าใบโปรดที่ภายในอัดแน่นไปด้วยสุราหมักฝีมือของตนเองให้แก่ชายหนุ่ม "เช่นนั้นเจ้าก็ดื่มให้เมาจนตายไปข้างหนึ่งเลยดีมั้ย จะได้มิต้องอยู่เป็นภาระของใครอีกและคนรอความหวังจากเจ้าจะได้สิ้นหวังไปพร้อมๆ กัน แล้วเจ้าหยกราตรีก็จะกลายเป็นม้าคู่ใจของข้าตั้งแต่วันนี้เลย"


    ยิ่งพอเหลือบมองเห็นอาชาสีขาวพิสุทธิ์ที่เคยควบขี่ พลางคิดถึงใบหน้าของโฉมสะคราญที่มอบมันให้แก่เขา และหญิงสาวผู้งามปานเทพธิดาอีกผู้หนึ่ง ที่ค่อยเป็นห่วงเป็นใยและให้การสนับสนุนเขามาโดยตลอด ทำให้ชายหนุ่มได้สติและไม่เห็นประโยชน์ของการจมปลักกับสิ่งที่มิอาจแก้ไขมันได้ นอกเสียจากยอมรับในโชคชะตา แล้วนำพาชีวิตด้วยลิขิตแห่งการกระทำของตน


    "หือ..." อาเซียงแทบจะสร่างเมาในทันที มือซ้ายที่จับน้ำเต้าอยู่ จู่ๆ ก็ออกแรงบีบเคล้นจนมันแหลกละเอียดคามือ แม้นถ้อยคำที่ได้ยินจะไม่ไพเราะเสนาะโสตประสาท แต่ก็เป็นน้ำเสียงปรามาสที่เขาคุ้นเคยจึงตั้งใจฟังและครุ่นคิดตาม


    อ่า...ยังมีคนอีกสองคนคาดหวังในตัวของข้าอยู่ จะทำให้พวกนางผิดหวังไม่ได้


    นึกได้เช่นนั้น เขาจึงเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ทว่ากลับเห็นท่าทีและอากัปกิริยาไม่มั่นคงของอีกฝ่าย คล้ายกำลังเสียใจกับบางเรื่องอยู่ไม่น้อย ที่อาเซียงคิดได้ตอนนี้คือ ผู้อาวุโสคงจะรู้สึกสงสารเขาเป็นอย่างมาก จากการที่ได้เห็นสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน


    "ทำไมจะ...เจ้า" ชายชรารีบถลาลงจากม้าขาว เข้ามาดูชายหนุ่มใกล้ๆ แววตาแดงกล่ำคลอเบ้าด้วยหยาดน้ำใสๆ หัวใจดวงน้อยๆ ค่อยๆ แสดงความเวทนาออกมาทางสีหน้า ด้วยไม่คิดว่าอาเซียงจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ เพราะความที่ชายหนุ่มยึดติดกับคำพูดไร้สาระของคนอื่น จนยอมแพ้ต่อโชคชะตาทั้งๆ ที่ยังไขว่คว้าอนาคตได้ ทำให้เขาต้องตวาดบางสิ่งที่เหมือนจะเตือนสติอาเซียงออกมาดังลั่น แต่นั่นก็เล่นเอาชายหนุ่มกลับต้องลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกแทน


    "ทำไมเจ้าถึงทำลายน้ำเต้าของข้า... สุรารสเลิศเสียของหมด"



    +++++++++++++++++++++++++++++++




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×