ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #5 : อาเซียงปลุกจิตวิญญาณ

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 63


    8/10/61 อัพนิยาย

    18/12/61 รีไรท์

    ...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...

     

    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ตอน อาเซียงปลุกจิตวิญญาณ


    เวลาดึกสงัดภายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ โฉมงามหอบร่างอันอิดโรยออกจากศาลากลางน้ำเพื่อคืนสู่ห้องของตน โดยทิ้งร่างของชายที่กลายเป็นสามีให้หลับสบายบนเตียงนอนนุ่ม หลังจากลิ้มรสปีติแห่งการร่วมสัมพันธ์จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง


    "หลินเอ๋อ..." ไม่ทันที่นางจะปิดประตูห้องเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ เพราะชุดเก่าเปรอะคราบเหงื่อไคลจนเปียกชุ่มไปหมด พลันยินเสียงเยือกเย็นจนยากจะคาดเดาความปรารถนาเรียกชื่อของนาง ทำเอาทั้งร่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว


    หญิงสาวหันกลับไปโดยไว "ชะ...ชิง"


    "อยู่ในร่างนี้ เจ้ากล้าเรียกข้าด้วยชื่อมนุษย์ชั้นต่ำนั่นอีกหรือ" เสียงเดิมกล่าวขึ้น พร้อมแผ่ออร่าแห่งการฆ่าฟันออกมามิหยุดหย่อน


    "ข้ามิกล้าเจ้าค่ะ นายหญิง" คุณหนูเมิ่งผู้สูงศักดิ์แห่งหมู่ตึกลึกลับ กลับยอมย่อตัวคารวะอย่างหวาดหวั่น พลางทิ้งสายตามองต่ำไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ


    "ฮึ...มิกล้า ปากบอกไม่ ทว่าจิตใจกลับร่านราคะจริต ประพฤติผิดจารีต โดยลอบสมสู่กับเหยื่อแสนบริสุทธิ์ของข้าได้ นี่นับว่ามิกล้างั้นหรือ" เจ้าของเสียงเย็นปรากฏกายภายใต้แสงจันทร์ ตวาดลั่นแสดงอาการโกรธเกี้ยวจนยากจะระงับได้ "หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้นมากนักหรือ จนยอมพลีกายให้มันเชยชม เจ้าควรจะรู้ไว้ในโลกนี้ผู้ชายไม่มีดีสักคน"


    "แต่อาเซียงเป็นคนดีนะเจ้าค่ะ" คุณหนูเมิ่งเงยหน้าขึ้นรีบแย้งเพื่อออกหน้าแทนชายคนรัก ทำให้นายหญิงเห็นสิ่งที่ควรจะมีบนใบหน้านั่นหายไปหมดสิ้น


    เผียะ!...

    "ร่วมรักกับมันยังไม่พ้นหนึ่งราตรี เจ้าก็ว่ามันเป็นคนดีงั้นหรือ แค่มันมีพลังปราณหยางเพียงน้อยนิดช่วยทุเลาบาดแผลบนหน้าให้บางเบาลงเท่านั้น และที่สำคัญมันก็ต้องตายกลายอาหารของข้าอยู่ดี" ฝ่ามือเรียวงามของนายหญิงกระทบเรือนแก้มบอบบาง จนชอกช้ำเป็นจ้ำเขียวด้วยเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด พลางครุ่นคิดในใจว่า


    พลังปราณหยางของเจ้าหนุ่มนี่กล้าแข็งนัก ถึงขนาดขจัดพิษร้ายที่กัดกินใบหน้าของนางให้หายได้ ช่างเป็นเหยื่อที่ข้าเฝ้ารอมานานแสนนาน


    "รู้...เจ้าค่ะ แต่ข้าก็รักเขาเข้าแล้ว" หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความเจ็บที่แก้มนวลรวดร้าวจนยากจะขยับปาก แต่นางก็ยังฝืนทนกล่าวอีกว่า "อาเซียงยังไม่ผ่านการปลุกจิตวิญญาณ ถึงนายหญิงจะกินเข้าไปก็มิอาจช่วยเพิ่มพลังอันใดได้หรอกเจ้าคะ"


    นายหญิงกัดฟันข่มความโกรธา "รักรึ รักอันใดกันอย่าพูดให้ขำหน่อยเลย เจ้าจะรู้จักความรักไปดีกว่าข้าได้เช่นไร ผู้ชายร้ายเล่ห์พันธุ์นั้น ยังไงมันก็เลวเหมือนกันหมด คอยดูสิพอเช้าวันรุ่งขึ้น มันก็จะทิ้งเจ้าไปหาความสุขหญิงคนอื่น แล้วอีกอย่างที่ข้าควรจะได้ลองลิ้มชิมรสชาติเนื้อชายบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ก็เป็นเพราะเจ้า เขาจึงหมดประโยชน์สำหรับข้า"


    "ไม่...เจ้าค่ะ เขายังมีประโยชน์อยู่" หญิงสาวแผดเสียงคัดค้านด้วยความตั้งใจทั้งหมด


    ครั้นเห็นถึงความหนักแน่นของคุณหนูเมิ่ง นายหญิงถึงเลิกคิ้วปั้นหน้าสงสัย "มีประโยชน์อันใดกัน"


    "ตอนนี้ที่เมืองฉางซากำลังจัดพิธีปลุกจิตวิญญาณอยู่เจ้าค่ะ" คุณหนูเมิ่งออกความเห็นบ้าง เพราะนางรู้มาว่า เมืองฉางซากำลังจัดพิธีปลุกจิตวิญญาณ โดยเหล่านักพรตผู้มีตบะแก่กล้าแห่งอารามเทียมสวรรค์ 


    โดยผู้ที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ขอแค่เพียงยินดีจ่ายค่าลงทะเบียน ด้วยสิ่งของล้ำค่าหายากจากทั่วแผ่นดินต้าเทียนเท่านั้น ถึงจะได้รับการปลุกจิตวิญญาณ และเป็นที่รู้ชัดว่า จิตวิญญาณที่ปลุกขึ้นโดยนักพรตอารามเทียมสวรรค์นั้น มีพลังแก่กล้าเพียงใด


    "อ๋อ! นั่นสินะ ช่างประจวบเหมาะเสียจริง หากมันผ่านการปลุกจิตวิญญาณ ก็จะมีรสชาติดีกว่าเดิมไม่น้อย เจ้าคงอยากจะเดิมพันตัวมันกับข้างั้นล่ะสิ แต่จงรู้ไว้ว่า ถ้ามันปลุกจิตวิญญาณได้สำเร็จแล้วกลับมาหาเจ้า มันก็ควรค่าที่จะเป็นเหยื่อบูชาความรักอันโอชะ ทว่าถ้ามันไม่กลับมา มันก็ยิ่งต้องสมควรตายที่บังอาจทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจของเจ้าสินะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า"


    นายหญิงระเบิดเสียงหัวเราอย่างพอใจ พลางคิดในใจว่า หากตนได้กินเนื้อของชายผู้นี้แล้วจะเพิ่มพูนพลังวิญญาณมากขึ้นอย่างมหาศาลสักเท่าใด


    หญิงงามผู้เป็นนาย เอื้อมมือมาลูบแก้มงามที่บอบช้ำของหญิงสาวด้วยความอ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วปลดปล่อยวงแหวนวิญญาณสีแดง แผ่รัศมีเย็นยะเยือกที่มีเพียงวงเดียวออกมา ทำให้รอยฟกช้ำบนใบหน้าของคุณหนูเมิ่งพลันหายเป็นปลิดทิ้ง แล้วจึงกล่าวเสริมอีก "ดูเจ้าจะรักเขามากกว่าใครที่ผ่านเลยสินะ แต่เขาก็คงไม่ต่างจากชายคนอื่นของเจ้านักหรอก เช่นนั้นเจ้าก็จัดการเรื่องนี้โดยเร็วเถอะ"


    "เจ้าค่ะนายหญิง" คุณหนูเมิ่งลอบยิ้มอย่างโล่งอกที่ต่อชีวิตของชายคนรักเอาไว้ได้ จากนั้นจึงมอบกรานอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะได้ 


    นั่นเป็นเพราะทั้งความเคารพในตัวของนายหญิง และกริ่งเกรงจนต้องศิโรราบ ด้วยมีภาพของหญิงงาม รูปโฉมสะคราญไม่น้อยกว่าเทพธิดานางฟ้าอีกคนหนึ่ง ในชุดผ้าไหมยาวสลวยยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง พร้อมกับพวงหางฟู่ฟ่องเป็นยองใยทั้งเก้าที่ด้านหลัง กำลังโบกสะบัดไปมาอย่างพอใจ ภายใต้จันทร์ฉายแสงนวลชวนมอง


    รุ่งเช้าของวันใหม่ ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย เพราะอ่อนเพลียจากกิจกรรมโต้รุ่งกับแม่นางเมิ่ง แต่ตอนนี้กลับพบว่า ตนเองได้นอนแผ่หราใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ผูกเจ้าม้าสีขาวท่าทางคุ้นตาไว้ข้างๆ ศาลาร้างริมทาง พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง แทนที่จะอยู่กับแม่นางเมิ่ง ณ ศาลากลางน้ำของหมู่ตึกลึกลับ


    เมื่อเปิดอ่านจดหมาย ชายหนุ่มก็พบเนื้อความที่เขียนถึงตนเองว่า


    ...ถึงอาเซียง ลิขิตสวรรค์นั้นยากฝ่าฝืน หากมีวาสนาต่อกันย่อมได้พบพาน กระนั้นข้าจึงมิอาจรั้งเจ้าไว้ได้ ด้วยบุรุษย่อมต้องนึกถึงอนาคตของตนเป็นสำคัญ ข้านั้นได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไว้ในหอผ้า และมอบเจ้าหยกราตรี ม้าคู่ใจของข้าให้เจ้าแล้ว ต่อจากนี้เจ้าต้องเดินทางไปยังเมืองฉางซา ที่ห่างออกไปสิบลี้ เพื่อเข้าพิธีปลุกจิตวิญญาณในวันสุดท้าย โดยใช้เลือดจิ้งจอกเก้าหางหนึ่งขวดในห่อผ้าเป็นค่าลงทะเบียน ซึ่งหากเจ้ามีพรสวรรค์ จนเป็นที่ถูกตาต้องใจของหนึ่งในยอดฝีมือของสันักวิญญาณยุทธ์ในยุทธภพอย่าง 1 อาราม 3 นิกาย 5 สำนัก  7 หมู่ตึกหรือ 9 ตระกูล จนพวกเขารับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ได้ ข้าคงจะดีใจไม่น้อย สุดท้ายนี้ หวังว่าเจ้าคงมิลืมค่ำคืนของสองเรา...

    รอเจ้าใต้แสงจันทร์ เมิ่งหลินหลิน


    อ่า...นอกจากปิงปิงแล้ว ก็มีหลินหลินที่ดีกับข้า ดีล่ะเสร็จเรื่องนี้แล้ว ข้าจะกลับไปรับนางมาอยู่ที่กุ้ยหยางด้วยกัน


    ความคิดที่หนักแน่น ได้ฝังลึกลงในความรู้สึกของชายหนุ่ม ขณะกำลังขึ้นควบม้าบ่ายหน้าสู่เมืองฉางซาอย่างรวดเร็ว


    ฉางซา เมืองใหญ่ที่สุดในแดนใต้ มั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติ อันมีอยู่ดาษดื่นและคับคั่งด้วยผู้คนอยู่อาศัยหลายหมื่นครัวเรือน 


    ยังไม่รวมนักเดินทาง และชาวยุทธที่แวะเวียนมาท่องเที่ยวชมความงดงามของทิวทัศน์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ภูเขา พืชพันธุ์ไม้ ล้วนสวยดังภาพเขียนของจิตรกรเอกแห่งยุคก็มิปาน ก่อนจะผ่านทางไปยังเมืองกุ้ยหยางต่อไป


    อาเซียงควบเจ้าหยกราตรีโดยมิหยุดพัก จนกระทั่งมาถึงเมืองฉางซาในเวลาจวนเที่ยง เลี่ยงไม่ได้ต้องหาข้าวปลาอาหารรองเท้าประทังหิว 


    เขาตระหนักดีว่า ความหิวนั้นเป็นศัตรูที่ร้ายกาจแค่ไหน เพราะในโลกเก่าของเขาการเป็นกวี ก็มิต่างจากหนอนหนังสือไส้แห้ง และยิ่งมาที่โลกใหม่ทั้งที ต้องกินให้อิ่มและหาความสุขให้มากที่สุด สมกับคำกล่าวที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เพราะเมื่อท้องหิวขึ้นมา จะคิดหรือทำอะไรก็ยากยิ่ง ที่จะประสบความสำเร็จ 


    จากนั้นชายหนุ่มจึงหยุดม้า และมุ่งหน้าสู่โรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองทันที


    "เสี่ยวเอ้อ...ไก่ย่างสี่ตัว ซาลาเปาสามเข่ง เหล้านารีแดงอีกสองชั่ง" อาเซียงหัวเราะร่าหลังสั่งเสร็จ เขาอยากจะลองสั่งอาหาร เหมือนจอมยุทธ์ในภาพยนตร์กำลังภายใน ที่เคยชมดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะหากอยู่ที่กระท่อมของเขาได้ดื่มแต่น้ำส้มคั้นเท่านั้น


    "ได้ครับคุณชาย โปรดรอสักครู่" ใช้เวลารอไม่นาน เสี่ยวเอ๋อของโรงเตี๊ยม ก็นำอาหารที่ต้องการยกมาให้ถึงที่ 


    กลิ่นหอมหวนของไก่ย่างตัวอ้วนและซาลาเปาร้อนๆ ครุกรุ่นแสดงถึงการปรุงสุกสดใหม่ ส่วนสุรานารีแดงเล่า หอมคละคลุ้งเตะจมูก จนแทบจะกลืนทั้งไหลงคอให้ได้


    "อ่า...เหล้าดี เหล้าดี" ทันทีที่ยกไหเหล้ากระดกลงคอ ลิ้มสัมผัสอันบาดลึกของรสเหล้าเคล้าลำคอจนซาบซ่านตามด้วยกลิ่นหอมหวนชวนดื่มอีกอึก


    "เหล้าดี เหล้าดี ดีจริงจริง" เสียงปริศนาเอ่ยขึ้น พร้อมร่างของชายชราในชุดยาจก กำลังนั่งกระดกเหล้านารีแดงอีกไหของอาเซียงอยู่กับพื้นโรงเตี๊ยม โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม


    ชายหนุ่มมิรู้เลยว่า อาวุโสผู้นี้เป็นใครมาจากไหน แต่ดูท่าทีและลักษณะเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาจึงเชื้อเชิญให้ร่วมโต๊ะ


    "หากผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ผู้เยาว์ขอเชิญท่านร่วมดื่มกินด้วยกัน" อาเซียงผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายร่วมรับประทานอาหาร หรือสั่งอาหารเพิ่มโดยมิต้องเกรงใจ ซึ่งชายชราตอบรับโดยทันที ก็ลาภปากมาเองถึงที่ มีหรือที่ยาจกอย่างเขาจะปล่อยให้มันหลุดลอย


    "เจ้านับเป็นบุรุษหนุ่มใจคอเปิดเผย ที่หาได้ยากยิ่ง มามา ข้าขอดื่มให้เจ้า" ยาจกชราเอ่ย แล้วกระดกเหล้าไปใหญ่ลงคอภายในอึกเดียว 


    ในใจลอบชื่นชมชายหนุ่มที่ใสซื่อ อีกทั้งชอบนิสัยใจคอ ที่กล้าบิ่นของอีกฝ่ายด้วย เพราะขนาดไม่รู้จักมักคุ้น หรือทราบถึงฐานะที่แท้จริงของตน กลับยอมให้ขอทานเนื้อตัวมอมแมม ได้ร่วมโต๊ะอาหารอย่างไม่ตะขวิดตะขวงใจ


    "ผู้เยาว์ขอดื่มคารวะท่านเช่นกัน" อาเซียงก็ไม่น้อยหน้า แม้มิชำนาญการร่ำสุรานารีแดง แต่ในฐานะกวีจากต่างโลก ที่แทบจะเรียกนอนแช่เครื่องดองของเมาตั้งแต่ก้าวเข้าสู่อาชีพนี้ จนได้สมญาหนอนสุรา  เมื่อมันมาอยู่หน้าเขา เหล้าในโลกนี้จึงมิต่างอะไรกับน้ำเปล่าไปโดยปริยาย


    "ข้าชักจะชอบเจ้าแล้วสิ ดื่มกับผู้รู้ใจ แม้นพันไหก็ไม่เมา" ยาจกชราร้องสั่งเพิ่ม "เสี่ยวเอ้อขอนารีแดงอีกสิบชั่ง"


    "เอาเป็ดตุ๋น ไก่ย่างอย่างละห้าตัว" อาเซียงเองก็มิยอมน้อยหน้า


    ทั้งสองร่ำสุรากันถูกคอ จนหมดเหล้านารีแดงไปหลายชั่ง อาหารหมดหลายจาน ไก่ย่างเป็ดตุ๋นไม่ต่ำกว่าอย่างสิบตัว แม้นส่วนใหญ่จะเป็นขอทานชราจัดการทั้งหมดจนเกลี้ยง 


    จากช่วงเวลาเลยเที่ยงวัน ผ่านผันสู่บ่ายคล้อย ทว่าสมองน้อยๆ ของอาเซียง กลับมิได้รับรู้ถึงเรื่องนี้เลย


    "ผู้อาวุโสคอแข็งยิ่งนัก นับว่าผู้น้อยได้เปิดหูเปิดแล้ว ว่าแต่ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่า สถานที่ที่จัดพิธีปลุกวิญญาณอยู่ที่ใด" ชายหนุ่มวางไหเหล้าที่พึ่งดื่มหมดหมาดๆ ลงบนโต๊ะ


    "ใกล้ใกล้ะกับโรงเตี๊ยมนี่เอง ห่างไปไม่ถึงสามช่วงถนน ที่เจ้าถามแบบนี้ คงจะมาปลุกจิตวิญญาณกับเขาด้วยล่ะสิ" ขอทานชราพ่นกระดูกไก่ที่ร่อนเนื้อจนหมดออกมา แล้วกล่าวอีกว่า "แต่นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว เจ้ามัวนั่งกินนั่งดื่มอยู่นี่ พิธีปลุกจิตวิญญาณที่จัตุรัสใจกลางเมือง มิเลิกลาก่อนเจ้าไปเข้าร่วมหรอกหรือ..."


    "หา...บะ บ่ายแล้ว ข้าลืมดูเวลาไปเสียสนิท" อาเซียงดวงตาเบิกโพง นี่เขาเกือบลืมจุดประสงค์หลักที่มายังเมืองฉางซาไปเสียได้ หากมิได้ผู้อาวุโสท่านนี้เตือนสติแล้วล่ะก็ คงเกือบทำให้คุณหนูเมิ่งผิดหวังแล้ว จากนั้นเขาจึงควักถุงเงินจากห่อผ้ามอบให้ชายชรา "เช่นนั้นรบกวนผู้อาวุโสใช้เงินนี้จ่ายค่าอาหารทั้งหมดด้วย และช่วยดูเจ้าหยกราตรีแทนข้าสักครู่ได้หรือไม่"


    "ได้ได้ เจ้าไปเถอะ ม้านั่นข้าจะดูให้ ส่วนเงินนี่ข้าจะฝืนใจช่วยใช้ให้ก่อน ก็แล้วกัน" ยาจกเฒ่าโบกมือปัดๆ คล้ายจะไล่ชายหนุ่มไปให้ไกลหูไกลตาเสียอย่างนั้น


    "ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ผู้เยาว์ขอตัว" อาเซียงสร่างจากอาการกำลังเมาได้ที่พลันได้สติ จึงผสานมือพลางโค้งคำนับหนึ่งครั้ง แล้ววิ่งแจ้นไปยังสถานที่จัดพิธีปลุกจิตวิญญาณโดยไว


    ณ จัตุรัสใจกลางเมืองฉางซา ผู้คนหลายหมื่นกำลังชื่นชมความงดงาม และพรสวรรค์ของหญิงสาวนางหนึ่งที่ควรจะเป็นคนสุดท้ายกำลังเดินลงมาจากเวที 


    ความสวยที่เป็นเอกลักษณ์ อันแสดงถึงความมั่นใจในรูปร่างของตน เห็นชัดจากการแต่งกายรัดรูป เปิดเนินอกอวบอิ่มให้เด่นสลวย และโชว์แขนขาเรียวบางขาวสะอ้านปานไข่ปอกให้ทุกคนได้ชื่นชม


    "บัวแก้วเก้ากลีบผกา หาได้ยากยิ่ง แต่ก็มีอยู่จริงจริง สินะ หนึ่งจิตวิญญาณสายพฤกษาในตำนาน" หนึ่งในเจ้าสำนักทั้งหลายเปรยขึ้น ทำให้ทุกคนมองตามร่างหญิงสาวผู้นั่นแบบไม่วางตา


    "ฮวาเซียนกู่ รูปก็งาม นามก็ไพเราะ หากเป๋าเอ๋อมีพรสวรรค์แบบนางได้ คงจะดีไม่น้อย" เจ้าสำนักเทพกระบี่พลางเปรียบเปรยหญิงสาวผู้นี้ กับหลานสาวของตนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน


    "หมู่ตึกหมื่นบุปผามีทายาทสืบทอดแล้ว" นักบวชชราที่นั่งข้างๆ ก็ออกมากล่าวอย่างชื่นชม


    ท่ามกลางเสียงชื่นชม กลับมีเสียงหนึ่งลอยลมมาทำลายบรรยากาศนั่นเสียสิ้น แต่ทว่าผู้ชมกลับไม่ได้สนใจไยดีเจ้าของเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อย


    "เดี๋ยวเดี๋ยว ท่านนักพรต รอก่อน รอข้าด้วย" อาเซียงวิ่งหอบแห้งมาที่โต๊ะลงทะเบียน พร้อมกับแจ้งชื่อและนำขวดบรรจุของล้ำค่าออกมาเป็นค่าลงทะเบียน "ข้าอาเซียงจากเมืองกุ้ยหยาง ส่วนนี่ก็เลือดของจิ้งจอกเก้าหาง"


    "จิ้งจอกเก้าหางรึ" นักพรตที่รับลงทะเบียนถึงกับชะงักงัน เมื่อกำลังจะหยิบขวดนั้นมาตรวจสอบ ทว่านักพรตเครายาวท่าทางขี้เล่นอีกท่านหนึ่ง กลับพลิ้วกายมาคว้าขวดเลือดจิ้งจอกเก้าหางไปดื่มแทน


    "เลือดดี สดดี นี่พ่อหนุ่มพอมีเลือดของจิ้งจอกเก้าหางเหลืออีกมั้ย" ผู้อาวุโสเครายาวแทบจะดูดขวดเลือดให้ละลายเสียตรงนั้น ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของนักพรตน้อยที่ไม่ทันการแล้ว


    "มะ...หมดกัน" อาเซียงแผดลั่นคล้ายจะโวยวาย ชายตามองขวดเลือดจิ้งจอกเก้าหาง ที่คุณหนูเมิ่งอุส่าห์มอบให้ใช้เป็นค่าลงทะเบียน แต่นักพรตชราที่ทำลายความฝันของเขากลับมุ่ยหน้ากลับ


    "หมดแล้วงั้นรึ ไม่สนุกเลย ไม่สนุกเลย" แม้จะแก่จนอายุปูนนี้ ทว่ากิริยาท่าทรกลับไม่ต่างจากเด็กทารก เป็นผลให้ชายหนุ่มเองก็โกรธไม่ลงและทำใจยอมรับกับทุกสิ่งทุกอย่างได้มากขึ้น


    "อาจารย์ทวดจิว แบบนี้พวกข้าก็แย่สิขอรับ" นักพรตผู้รับลงทะเบียนผสานมือคำรับ แต่ใบหน้ากลับบอกบุญไม่รับแทน


    "เอาน่า เอาน่า แล้วข้าจะบอกศิษย์หลานเจ้าสำนักเอง ลงบัญชีข้าไว้ก็แล้วกัน พวกเจ้ามีอะไรก็รีบไปทำซะ ข้าต้องไปดื่มเหล้ากับขอทานเฒ่าก่อนล่ะ" นักพรตเครายาวเหาะหายไปอีกครั้ง แต่คนที่ทำอะไรไม่ถูกกลับเป็นอาเซียงเพราะไม่รู้ว่า ตนเองจะได้เข้ารับการฝึก


    ชายหนุ่มปั้นหน้าเหรอหราหันซ้ายหันขวา แล้วถามออกไป "อาจารย์น้อย แล้วข้า..."


    "เฮ่ย! กุ้ยหยางเซียง ลงทะเบียนด้วยเลือดจิ้งจอกเก้าหาง" เสียงนักพรตหนุ่มถอนหายใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วจึงขานชื่อผู้ลงทะเบียนคนสุดท้าย


    เสียงดังกล่าวเรียกความสนใจได้ไม่น้อย เพราะไม่บ่อยนัก ที่จะมีคนเอาชื่อเมืองมาตั้งเป็นแซ่ และเลือดจิ้งจอกเก้าหางก็นับเป็นของล้ำค่าหายากอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน นั่นทำให้หลายต่อคนลอบวิเคราะห์ถึงความเป็นมาของผู้ลงทะเบียนคนสุดท้ายออกรสออกชาติ


    ว่าเขาเป็นทายาทขุนนางใหญ่บ้างล่ะ เป็นลูกผู้ดีมีตระกูลบ้างล่ะ หรือแม้กระทั้งเป็นองค์ชายที่เกิดจากสนมลับบ้างล่ะ เล่นเอาคนที่ถูกเอ่ยชื่อทำตัวไม่ถูก เพราะต้องคอยหลบสายตาของผู้ชมที่กำลังจะลุกจากที่นั่ง แต่ต้องหย่อนก้นเข้าที่เดิม เพื่อชมการปลุกวิญญาณของเขาเป็นคนสุดท้าย


    "คุณชายท่านนี้โชคดีที่มาทันเวลา ท่านจะได้รับการปลุกจิตวิญญาณเป็นคนสุดท้าย ปล่อยตัวตามสบายเถิด" นักพรตหนุ่มอีกคนกล่าว แล้วผายมือเชื้อเชิญอาเซียงขึ้นไปยังประรำพิธีปลุกจิตวิญญาณ จากนั้นนักพรตอาวุโสผู้หนึ่งที่รออยู่ ก็ปลดปล่อยจิตวิญญาณของตนทันที


    คันฉ่องสีเงินแวววาว สลักเสลาลวยลายเมฆาปรากฏขึ้นเหนือร่างของนักพรตอาวุโส พร้อมกับวงแหวนวิญญาณทั้งหก เรืองรองขึ้นมาจากฝ่าเท้าและเลื่อนขึ้นมาถึงกระหม่อมจึงหายไป อาเซียงเห็นเช่นนั้นถึงกลับตะลึง หากพิเคราะห์แล้วในวงแหวนวิญญาณทั้งหมดจะรู้ว่าเป็นวงแหวนร้อยปีสามวง วงแหวนพันปีหนึ่งวงและมีอยู่วงหนึ่งเปล่งแสงสีม่วงลึกล้ำเกินจินตนาการ


    ระดับจอมปราชญ์ มิหนำซ้ำนักพรตอาวุโสผู้นี้ ยังมีวงแหวนวิญญาณหมื่นปีไว้ครอบครองอีกด้วย อารามเทียมสวรรค์ช่างยิ่งใหญ่ และทรงอิทธิพลยิ่งนัก หากข้าได้เข้าสังกัดคงจะดีไม่น้อย


    อาเซียงครุ่นคิดในใจ ด้วยการล่าภูตวิญญาณที่บ่มเพาะพลังถึงพันปีสำหรับสำนักอื่นๆ ก็ถือว่ายากแล้ว แต่เพียงนักพรตผู้นี้ กลับมีวงแหวนหมื่นที่ยากได้ ถึง 3 วง ย่อมแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจของอารามได้ชัดเจน


    จากนั้นนักพรตอาวุโส พลันสร้างดวงแก้วผลึกปรากฏกลางอากาศออกมา ให้ลอยคว้างรายล้อมรอบตัวของชายหนุ่ม แล้วจึงชี้นำจิตวิญญาณ ที่หลับใหลในกายเขาให้ตื่นขึ้น


    ไม่นานนัก แก้วผลึกก็เริ่มส่องแสงทอประกายเจิดจรัสขึ้นดวงหนึ่ง ซึ่งได้แต่เพิ่มขนาดของแก้วผลึกและความสว่างจ้าจนตาพร่าเท่านั้น ไม่มีทีท่าว่าแก้วผลึกจะเพิ่มจำนวน เพียงแต่เรืองแสงสว่างมากขึ้นอีก  


    ทว่าแม้จะชี้นำสักเท่าใด กลับไม่ปรากฏจิตวิญญาณออกมาเลย คล้ายกับว่าจิตวิญญาณ ที่ซุกซ่อนไว้ของอาเซียงมีพลังมากมายเกินกว่านักพรตเพียงคนเดียวจะชี้นำได้


    เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เหล่านักพรตอาวุโสคนอื่นๆ ที่นั่งนิ่งบนเก้าอี้โดยรอบปะรำพิธีถึงกลับต้องประหลาดใจ 


    เมื่อเห็นว่าจิตวิญญาณของชายหนุ่มคนสุดท้าย ยังมิตื่นขึ้น จนนักพรตอีกสองคนต้องรีบมาผนึกพลัง เพื่อผสานการชี้นำจิตวิญญาณให้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน เพราะมิฉะนั้นแล้ว ไม่เพียงชายหนุ่มจะบาดเจ็บสาหัส นักพรตอาวุโสคนแรกต้องถูกพลังวิญญาณตีกลับจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตอีกด้วย


    จากหนึ่งคนเพิ่มเป็นสาม จากสามเพิ่มเป็นหก จากหกเพิ่มเป็นสิบ กินเวลาการชี้นำจิตวิญญาณนานจากบ่ายจนถึงเย็น 


    จำนวนนักพรตอาวุโส ที่ผนึกพลังชี้นำจิตวิญญาณของอาเซียงขึ้นมาบนเวทีจำนวนสิบคนพอดี 


    เชกเช่นเดียวกันกับจำนวนแก้วผลึก ที่ส่องแสงเรือ งจนทำให้บริเวณดังกล่าวในเวลาพลบค่ำสว่างจ้า ประดุจเวลากลางวัน และท่ามกลางสายตาทอประกาย ราวพวกเขาได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ก็มิปาน


    "จำนวนแก้วผลึกวิญญาณที่เรืองแสงมัน... ไม่น่าเชื่อแล้ว" ชายชราหนึ่งในผู้ชมตกตะลึง แม้จะมีชีวิตอยู่จนปูนนี้ แต่ก็ยังไม่เคยด้วยตาตนเองเลยสักครั้ง และนี่เป็นหนแรก ที่เขาได้เห็นผู้ถือครองพลังวิญญาณเต็มขั้นตัวเป็นๆ


    "แก้วผลึกสะ...สิบดวง" หญิงกลางคนนางหนึ่ง ที่กำลังจะกระดกน้ำชาเข้าปาก แทบจะสำรอกออกมาเกือบทั้งหมด 


    นั่นทำให้ชายวัยเดียวกัน ที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกตื่นเต้น จนเผลอบีบถ้วยชาใบโปรดจนแหลกคามือ แล้วพูดขึ้นว่า "ระ...เรืองแสงทั้งหมดสิบดวง"


    "ขั้นสิบ เท่ากับว่าเขามีพลังวิญญาณแรกเริ่มเต็มขั้นสินะ" เสียงหญิงกลางคนคนเดิมกล่าวอีก และเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน ที่ร่วมชมพิธีปลุกจิตวิญญาณจนดังระงมไปทั่ว


    "นั่น! ดูที่จิตวิญญาณของเขาสิ" หญิงสาวในชุดผ้าไหมสูงศักดิ์ชี้นิ้วนำสายตาไปยังวัตถุหนึ่ง ที่กำลังลอยคว้างกลางมือขวาของชายหนุ่ม 


    รูปร่างของมัน เป็นแท่งตรงเรียวยาวมากกว่า 10 เชียะ ที่ปลายอีกด้านพลิ้วไหว คล้ายมีเส้นด้ายโบกสบัดตามแรงกระแสพลังวิญญาณ 


    เนื่องจากสายตาของผู้ชม ต่างพากันจดจ้องมองเพียงมือขวา ทำให้มือซ้ายของชายหนุ่มถูกละเลยและมองข้าม กระนั้นอาเซียงกับรู้สึกว่า มีกระแสพลังบางอย่างเสียดแทงที่มือซ้าย จนทำให้ชาคล้ายมีบางสิ่งบ้างอย่างกอดรัดมัดแน่นอยู่


    "ทวน...จิตวิญญาณสายศาสตราล่ะ" เสียงจากฝั่งผู้ชมดังขึ้นบ้าง 


    หากนั่นเป็นจิตวิญญาณทวนจริง ย่อมเป็นจิตวิญญาณยอดศาสตรา ที่มีพลังทะลุทะลวงขั้นสูง 


    นั่นก็อดคิดไม่ได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้อาจสามารถฝึกฝนตน จนอาจก้าวถึงตำแหน่งยอดแม่ทัพภูต ทวนวิญญาณกำราบพ่าย เฉกเช่นวีรบุรุษจ้าวจื่อหลงในอดีตได้เป็นแน่


    "ไม่ๆ หากเป็นจิตวิญญาณประเภทศาสตราจริง รูปลักษณ์แบบนั้นต้องเป็นง้าวแน่นอน" เสียงผู้ชมอีกด้านแทรกขึ้น ชวนให้ผู้ที่ได้ยินแอบนึกถึงยอดขุนศึกง้าววิญญาณสะท้านโลกา ที่เลื่องชื่อลือชาอย่างแม่ทัพหยวนฉางในอดีตขึ้นมา เพราะเขาก็มีจิตวิญญาณง้าวเชกเช่นเดียวกัน


    หากเป็นจริงดังว่า ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีจิตวิญญาณศาสตรา ที่มีอำนาจการตัดเฉือนอันคมกริบไว้ครอบครองแล้ว


    "โอ้! ไม่ใช่ทวน ไม่ใช่ง้าว แต่ต้องใช่แน่นอน และต้องเป็นสิ่งนั้น" ทันทีที่อีกเสียงร้องลั่น แทบจะทุกคนเพ่งมองเห็นวัตถุดังกล่าว ต่างเอ่ยปากเป็นเสียงเดียวด้วยความตกตะลึง  


    ทุกคนล้วนคิด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่า จิตวิญญาณของอาเซียงนั้นย่อมเป็น แส้อ่อน จิตวิญญาณประเภทศาสตรา ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในการควบคุมภูตวิญญาณเป็นแน่ เช่นนั้นอนาคตของชายหนุ่ม ย่อมเป็นยอดนักฝึกภูตวิญญาณได้อย่างไม่ยากเย็น


    เสียงทักท้วงของผู้ชมโดยรอบดังอื้ออึง จนเจ้าสำนักและประมุขพรรคเล็กๆ ต่างหมายมั่นปั้นมือจะโน้มน้าวชายหนุ่มให้เข้าร่วมกับพวกตนให้ได้ 


    ผิดกลับเหล่ายอดฝีมือ จากสำนักวิญญาณยุทธ์ชื่อดังของยุทธภพท่านอื่นๆ ที่ยังนั่งนิ่งไม่แสดงอากัปกิริยาใดๆ ออกมาเลย


    กระทั่งแววตาของท่านเหล่านั้น ฉายประกายลึกลับ เมื่อแท่งวัตถุเรียวยาวดังกล่าว ค่อยๆ หดสั้นลงเรื่อยๆ จนเหลือขนาดไม่ยาวไปกว่าครึ่งเชียะ แล้วรูปลักษณ์แท้จริงของมันพลันปรากฏชัดต่อสายตาคนทุกผู้ ส่งผลให้จินตนาการของพวกเขาทั้งหลายล้วนพังทลายลงสิ้น


    "พู่กันล่ะ เป็นพู่กัน จิตวิญญาณประเภทเครื่องมือที่ไม่นึกว่าจะมีอยู่จริงนั่นน่ะหรือ" หนึ่งในนักพรตผู้ทำพิธีปลุกจิตวิญญาณกล่าวออกมา ด้วยความประหลาดใจ


    ผู้คนจำนวนมากที่ตั้งหน้าตั้งตารอชมว่า จิตวิญญาณของชายหนุ่มคนสุดท้าย ที่ต้องใช้พลังของนักพรตกว่าสิบคน ในการชี้นำจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นจะออกมาในรูปลักษณ์ใด  


    จนท้ายที่สุดแล้ว ตัวเขาก็กลายเป็นเพียงหัวข้อเรื่องตลกขบขำ อันตามมาด้วยเสียงหัวเราะลั่น ไปทั่วอาณาบริเวณเวทีกลางเมืองฉางซาเท่านั้น


    "เฮ่ย! พู่กันก็มีเอาไว้เขียนอักษร ไม่ก็วาดยันต์ปัดรังควาญแต่เพียงเท่านั้น" นักพรตเครายาว อาวุโสอีกผู้หนึ่งของหอกรุ่นกำยาน แห่งอารามเทียมสวรรค์กล่าว ขณะลูบเคราสีเทาอย่างเบามือ ก่อนจะพลิ้วกายจากที่นั่งไปอย่างไม่สนใจใยดีเป็นคนแรก


    "หากยอมเต็มใจมาเป็นคนจดบัญชี ไม่ก็เป็นคนคัดลอกตำราในสังกัดของข้า ก็พอจะเมตตารับไว้สักครั้ง ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า" ผู้อาวุโสแห่งดอยหลอมดาราของสำนักเมฆาครามว่า แล้วเหินกระบี่จากไปเช่นกัน


    "ฮะ ฮ่า ฮ่า แม้จะมีพลังวิญญาณแรกเริ่มเต็มขั้น แต่จิตวิญญาณกลับเป็นเพียงพู่กันงั้นหรือ น่าเวทนานัก" เสียงหนึ่งจากเหล่าอาวุโสแห่งสำนักดาบเทพเจ้าหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะเหาะขึ้นดาบวิญญาณแล้วเร้นกายหายไปอีกคน


    "มีพรสวรรค์ ทว่าไร้คุณสมบัติ ที่จะเป็นจอมยุทธ์ภูต ก็แค่ขยะไร้ค่าเท่านั้น" สตรีเลอโฉมงามนางหนึ่งปักปิ่นดอกท้อที่มวยผมกล่าวขึ้น แล้วร่างเลือนหายไปท่ามกลางกลีบดอกท้อโปรยปราย ประหนึ่งสายฝนสีชมพู ซึ่งนางจะเป็นใครไปมิได้นอกจากเจ้าตึกดอกท้อแห่งหมู่ตึกหมื่นบุปผานั่นเอง


    ครั้นเห็นยอดฝีมือจากสำนักใหญ่ๆ จากไปทีละคน เจ้าสำนักและประมุขพรรคอื่นๆ และผู้ชมทั้งหลายต่างทยอยออกจากบริเวณนี้จนหมด เหลือเพียงชายหนุ่มที่ยืนตาค้างมองจิตวิญญาณของตนอยู่กลางเวทีเท่านั้น


    พลังวิญญาณแรกเริ่มเต็มขั้น

    จิตวิญญาณพู่กัน

    แค่ขยะ...

    คนไร้ค่า...

    น่าเวทนา...


    เสียงปริศนา ดังขึ้นในหัวของอาเซียงอยู่เป็นระยะ แล้วตัวเขาเอง ต้องทรุดตัวลงคุกเข่าแน่นิ่งบนเวทีปลุกจิตวิญญาณ ในใจครุ่นคิดจะแทรกกายหลบลี้หนีจากความอับอายที่ตนได้รับ


    ยิ่งคิดยิ่งเห็นภาพของตน อยู่ท่ามกลางสีหน้าแววตาดูหมิ่น และเสียงหัวเราะเย้ยหยันเยียดหยามของเหล่ายอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ ตลอดจนเหล่าผู้คนที่มาร่วมชมการปลุกจิตวิญญาณในเมืองฉางซาอีกนับไม่ถ้วน อาเซียงยิ่งอยากหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้



    ++++++++++++++++++++++++++++




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×