ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #4 : อาเซียงกับบรรยากาศใต้แสงจันทร์

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 63


    6/10/61 อัพนิยาย

     23/03/62 รีไรท์

    ...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...

     

    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ตอน อาเซียงกับบรรยากาศใต้แสงจันทร์


    หลังจากชิงเอ๋อยกอาหารเย็น มาให้กับอาเซียงเรียบร้อย นางได้ขอตัวไปดูแลคุณหนูเมิ่งตามปกติดังเช่นทุกวัน 


    แตกต่างเพียงวันนี้ นางได้บอกกับชายหนุ่มว่า เขาไม่ควรออกไปนอกห้องนอนในยามดึกดื่นค่ำคืน 


    ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามีพระจันทร์ทอแสงสีทองฟองโต อวดโฉมส่องสว่างกระจ่างฟากฟ้ายามราตรี อันเหมาะกับการนั่งชมจันทร์ยิ่งนักน่ะหรือ


    กระนั้นชายหนุ่มก็มิอาจหักใจทำตามได้ เขายังออกมาชมพระจันทร์ ณ เรือนพักกลางน้ำของหมู่ตึกลึกลับจนได้ แล้วเผลอฮำเพลงในโลกเก่าของตนขึ้นมาด้วย


    "แสงจันทร์กระจ่าง ส่องนำทางสัญจร คิดถึงนางฟ้าอรชร ป่านนี้นางนอนหลับแล้วหรือยัง..."


    ยังร้องมิทันจบเพลง เขาก็ได้ยินเสียงคุณหนูเมิ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง อาเซียงจึงรีบหันไปยิ้มแหยๆ ให้นางทันที 


    "หากนางฟ้าในเพลง นั้นหมายถึงข้าล่ะก็ นางยังมิหลับหรอก"


    "เอ่อ...คือว่า" อาเซียงแทบจะบุ้ยใบ้และเงียบเสียงไป 


    ให้ตายเถอะ นางมาโดยมิบอกกล่าว ไหนเลยข้าจะตั้งตัวทันได้


    ครั้นเห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นาน หญิงสาวจึงเริ่มบทสนทนาทันที "มิรู้ว่า คุณชายชอบร้องเพลงยามชมจันทร์ด้วยหรือ แต่ฟังจากคำร้องและทำนอง คงมิใช่เพลงของชาวเรากระมัง"


    "เป็นบทเพลงของชนเผ่าไต แม่นางช่างมีความรอบรู้ด้านบทเพลง และดนตรีมิน้อย นับถือ นับถือ" ชายหนุ่มเอ่ยชมด้วยความจริงใจ แค่ฟังเพียงสองท่อนยังพิเคราะห์ได้เช่นนี้ นับว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีที่หาตัวจับยาก จากนั้นจึงผายมือเอ่ยชวน  "หากไม่รังเกียจ เชิญแม่นางร่วมเล่นขลุ่ยหยกคลอเพลงนี้กับข้าได้หรือไม่" 


    "เผ่าไต" มิใช่ชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยในป่าเขาอันไกลโพ้นทางทิศใต้ของต้าเทียนหรอกหรือ ถึงจะสงสัยในเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่คุณหนูเมิ่งยังพยักหน้ารับคำทันที


    บทเพลงอันไพเราะถูกขับขานเคล้าเสียงขลุ่ยหยก แม้จะเป็นครั้งแรกที่บรรเลงร่วมกัน ทว่าเสียงขับร้องของอาเซียงและเสียงขลุ่ยครวญของแม่นางเมิ่ง กลับประสานเข้ากันเป็นบทเพลงและท่องทำนองอันหนึ่งอันเดียวกัน จากท่อนแรกจนกระทั่งถึงท่อนสุดท้าย ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันอิ่มเอม


    คล้ายดนตรีจะเชื่อมความรู้สึกของทั้งสองคนเข้าด้วยกัน หญิงสาวลดขลุ่ยหยกลงพลางแย้มยิ้มและชื่นชมบทเพลงไม่ขาดปาก แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยถึงชื่อเพลงที่ขับขานเมื่อสักครู่ "ไพเราะนัก ช่างไพเราะยิ่งนัก มิทราบว่าบทเพลงนี้ชื่อว่าอะไร"


    "เพลงแสงจันทร์"  อาเซียงพูดไปยิ้มไป เมื่อนึกถึงภาพของตนเองในสมัยเด็ก ที่ชอบขี่หลังควายลุยท้องนา แล้วเอาวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องโปรดมาแนบหู รอฟังเพลงนี้อย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะเสริมว่า "เป็นเพลงเพื่อชีวิตที่ยอดเยี่ยมและประทับใจของข้าไม่รู้ลืม"


    "เพลงเพื่อชีวิต มันคืออันใดกัน" คุณหนูเมิ่งทวนคำ แม้นนางจะฝึกฝนเพลงขลุ่ย และศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งดนตรีมาตั้งแต่วัยเยาว์ ยังมิเคยได้ยินคำว่าเพลงเพื่อชีวิตเลยสักครั้ง ไม่แปลกที่จะอดสงสัยมิได้


    "เอ่อ...เพลงเพื่อชีวิตก็คือ เพลงที่แต่งขึ้นจากชีวิตจริงๆ อย่างเพลงแสงจันทร์ ก็แต่งจากชีวิตจริงของข้าเอง" อาเซียงพลั้งปากพูดในสิ่งที่คนในโลกนี้ไม่รู้จักเล่นเอาทำตัวไม่ถูก แม้จะหาทางอธิบายจนเผลอแอบอ้างเป็นผลงานของตน ในใจก็ลอบขอโทษเจ้าขอเพลงตัวจริงด้วยความสำนึกผิด


    อาจารย์ไข่ ผมขอโทษจริงๆ อย่าว่าผมเลยนะ ผมแค่ไหลไปตามน้ำเท่านั้น


    "เช่นนั้นท่อนสุดท้ายที่บอกว่า...รอแสงสว่าง อรุณรุ่งรางมาเยือน ฝากใจไว้กับแสงดาวเดือน ขอให้มาเยือนเธอในนิทรา..." แม้จะร่วมบรรเลงเป็นครั้งแรก ทว่าคุณหนูเมิ่งกลับเข้าใจความหมายของชายหนุ่ม ที่ต้องการสื่อออกมาผ่านบทเพลงแสงจันทร์ "คุณชายจำต้องไปแล้วใช่หรือไม่"


    อาเซียงพยักหน้า คล้ายเขาจะเข้าใจความรู้สึกแม่นางเมิ่งในตอนนี้อยู่เช่นเดียวกัน


    "ท้องธาราย่อมมิอาจกักพญามังกร" หญิงสาวเปรยขึ้นด้วยแววตาหม่นเศร้า ก่อนจะถามเป็นนัยถึงบางสิ่งที่ชายหนุ่มเองก็คล้ายจะมีความรู้สึกต้องการเชกเช่นเดียวกันกับนางว่า "เช่นนั้น...พญามังกรพอจะสละเวลาลงเล่นท้องธาราสักครู่ได้หรือไม่"


    "หาคุณหนูมิรังเกียจ ข้าก็ยินดีช่วยเหลือ" อาเซียงเข้าใจในความหมายของคำพูดนี้ จึงปลดเปลื้องอาภรณ์ห่มกายของตนออกจนหมดสิ้น แม้ในใจจะรู้สึกผิดกับคุณหนูเฝิงอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อผู้มีพระคุณของเขาเอ่ยปากขอ เขาก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงตอบรับคำของแม่นางเมิ่ง หากจะผิดจารีตประเพณี แต่เพื่อช่วยชีวิตและรักษาบาดแผลบนใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า มันมิสำคัญกว่าหรอกหรือ


    "อะ..." ถึงจะประหม่าไปบ้าง แต่คุณหนูเมิ่งก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นยิ่งนัก กระนั้นหัวใจของนางพลันเต้นเร้าไม่เป็นจังหวะ เมื่อสายรัดเอวของนางถูกปลดออก แม้สัญชาตญาณของตนจะพร่ำบ่นให้รั้งสายรัดเอวเข้าที่ก็ตามที แต่เมื่อมือของชายชาตรีต้องผิวกาย นางก็ทำได้เพียงปล่อยมันไว้เช่นเดิม


    ผู้หนึ่งรู้สึกถึงความนุ่มเนียนแห่งอิสตรีจากผิวนวล อีกผู้หนึ่งรู้สึกถึงความกร้าวแกร่งแห่งชายชาตรีด้วยสัมผัสความสากกระด้าง 


    หญิงสาวทำได้เพียงหลุบตาพริ้ม ปล่อยกายตามรสสัมผัส ขณะชายหนุ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกของนางออกอย่างชำนิชำนาญ ก่อนเลื่อนมืออีกข้างที่โอบไหล่ ลงไปปลดเงื่อนผูกรั้งชุดเอี๊ยมสีฟ้าขาวที่รัดร่างท่อนบนให้คลายออก 


    แค่เพียงกระตุกเบาๆ ตามที่เขาเคยผ่านการฝึกแก้ปมเงื่อนเชือกจากวิชาลูกเสือในโลกเดิมมา เอี๊ยมที่หุ้มร่างอันโสภาก็เด้งหลุดออกมาโดยไว ด้วยมันรัดรึงสัดส่วนอันเต่งตึงไว้อย่างแน่นหนานั่นเอง


    โฉมสะคราญวัยแรกรุ่นไร้ประสบการณ์ เพียงสนองตอบด้วยอาการเคอะเขิน คราเผชิญกับชายหนุ่มผู้เจนโลกปลุกเร้าให้นางคล้อยตาม


    "ดูผิวสินวลลอออ่อน   มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น" อาเซียงเผลออุทานด้วยความประทับใจ ชวนให้เขานึกถึงบทชมโฉมความงามของนางศกุนตลา นางในวรรณคดีโลกเก่าตอนหนึ่ง


    ผิวขาวนวลพิสุทธิ์ ขาวเสียจนดอกมะลิซ้อนดูดำสนิทไปเลยนั้น คงจะเป็นเช่นผิวกายของคุณหนูเมิ่งนี่กระมัง


    ผิวพรรณงดงามยิ่งรวมกับความอวบอิ่มขนาดล้นอุ้มมือของเขาตั้งเต้าท้าทาย ยอดอัตลักษณ์แห่งอิสตรีสีชมพูคู่งามเปลี่ยนเป็นสีแดงสดปลั่งดังชาดแต้มยามถูกปลุกเร้าอารมณ์ ยิ่งงดงามเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้


    คุณหนูเมิ่งรีบพลิกกายนอนตะแคงข้างเพื่ออำพรางร่างกาย เมื่อมิกล้าสู้สายตาอันร้อนเร้าของอาเซียง ทว่าเสียงหัวใจที่สั่นระรัวของนางพลันสงบลง พร้อมกับปรากฏแววตาจะยินดีและภูมิใจ เมื่อชายหนุ่มที่นางยินยอมมอบหัวใจให้ จ้องมองใบหน้าของนางอย่างหลงใหลได้ปลื้ม


    เมื่อหญิงงามนอนในท่าตะแคง สะโพกกลมกลึงก็แย่งชิงความโดดเด่นแห่งเรือนกายอันหมดจด ให้ท้าทายสายตาขึ้นมาทันที 


    อาเซียงเอื้อมมือข้างถนัดถนี่เคล้าคลึงเรือนกายได้รูปของคุณหนูเมิ่ง โดยบางครั้งยังบีบเคล้นอย่างเริงใจ จากนั้นจึงปลดปมที่ผูกรั้งเครื่องแต่งกายตัวบางชิ้นสุดท้ายให้คลายออก


    "อุ๊ย..." หญิงสาวได้แต่ร้องตกใจอย่างแผ่วเบา ด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้าทำให้มิอาจขัดขืนฝืนความต้องการของตน ก่อนจะก้มหน้าซบหมอนซ่อนความเขินอาย ครั้นสายตาของนางเหลือบเห็นชิ้นส่วน ที่ถูกปลดออกมา ชื่นชุ่มไปด้วยบางอย่าง ซึ่งนางก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน


    ในที่สุดร่างของคุณหนูเมิ่งก็ไร้อาภรณ์แพรพรรณ เฉกเช่นเดียวกันกับอาเซียง จะมีเพียงแต่ใบหน้าของนางเท่านั้นที่ยังอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนบาง  จากนั้นชายหนุ่มจึงพลิกร่างอันงดงามราวเทพเลขาให้นอนหงาย แล้วจึงสำรวจร่างกายบอบบางอย่างชื่นชม


    สองเนินกลมกลึงซึ่งมีขนาดเกินคาด อาจเป็นเพราะคุณหนูสวมเอี๊ยมตัวบางรัดแน่นตลอดมา ทำให้เมื่อพิจารณาจากภายนอกจึงแตกต่างจากที่เห็น ในยามนี้กลับชูช่อตั้งชันมิหวั่นสายตาหิวกระหาย


    หน้าท้องเกลี้ยงเกลาแบนราบเรียบ เอวคอดกิ่วบางเฉียบเพียงประกบมือก็ขับเน้นสะโพกผึ่งผายให้ท้าทายสายตา ทว่าสำหรับชายที่มาจากต่างโลกอย่างอาเซียง เลี่ยงไม่ได้ที่จะจดจ้องมองเนินเนื้อนวลงาม อันอยู่ระหว่างกึ่งกลางลำตัวอย่างตั้งใจ


    "อา...คุณหนูช่างงามยิ่ง" ชายหนุ่มหลุดปากชื่นชมคล้ายเสียงคราง ความต้องการทางด้านร่างกายสูงขึ้นเกินขีดจำกัดเมื่อขนาดของจุดดังกล่าว มิผิดไปจากที่เขาคะเนไว้และแลดูงดงามไร้ที่ติ


    "คะ..คนบ้า" แม่นางเมิ่งเพ่งมองตามสายตาของอาเซียงพลันขวยเขิน นางจึงพยายามจะบิดร่างอำพรางด้วยความเอียงอาย ทว่าชายหนุ่มหาได้รามือไม่


    "หากเป็นคนบ้าที่คุณหนูรัก ข้าก็ยินยอมพร้อมจะที่เป็น" อาเซียงเผลอพึมพำออกมาอย่างคนไร้สติ ความคิดของเขาในตอนนี้เหมือนจะด่ำดิ่งสู่ห้วงเสน่หาจนยากจะถอนตัวได้


    หญิงสาวได้แต่ร้องในใจไม่เป็นภาษา ทว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกของนางนั้นยิ่งภูมิใจในเรือนร่างของตน จนต้องแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มิให้อีกฝ่ายพบเห็น แล้วทั้งสองจึงปล่อยกายไปตามความต้องการของตนเอง


    ภายนอกเรือนพักกลางน้ำ ไอเย็นเคลื่อนเข้ามาคล้ายม่านหมอก บนผืนน้ำที่เคยราบเฉียบเรียบราบราวแผ่นกระจก กลับกระเพื่อมก่อเกลียวคลื่นคลั่ง คล้ายกำลังร่ายรำตามเงาของสองร่าง ที่สะท้อนแสงจันทร์เต็มดวง


    แตกต่างจากภายในเรือนพัก กลับร้อนเร่าจนไอเย็นและน้ำค้างยามกลางดึกยังต้องเร้นกายหายหน้า คราสองร่างหลอมรวมแนบชิดประหนึ่งเป็นกายเดียวกัน ที่นอนแผ่นบางยับยู่ บางแห่งฉีกขาดสื่อสัญญาณประท้วง ทว่าผู้ช่วงใช้มันกลับไม่ได้แยแสใส่ใจ


    เวลาล่วงไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุดกายแกร่งและร่างงามสิ้นแรงจนอ่อนล้า คุณหนูเมิ่งชะม้ายสายตามองชายที่พึ่งกลายเป็นสามี หลังจากอาการกระตุกถี่สั่นเกร็งทั้งหมดทั่วกายได้คลายออก นางพลันจูบหัวไหล่แกร่งและแผงอกของอาเซียงคืนบ้าง


    ชายหนุ่มหยุดกายพักหายใจ ปล่อยให้หญิงสาวกอดก่ายกายตนชั่วครู่ใหญ่ๆ จึงโน้มตัวลงไปดื่มด่ำกับริมฝีปากบางเฉียบของคุณหนูเมิ่ง นางเองก็คล้ายจะรู้งานจึงประสานต่อมรับรสตอบรับอย่างฉับไว 


    บัดนี้ในใจของหญิงสาวยอมรับอาเซียงเป็นคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเรียบร้อย เช่นนั้นนางจึงสนองตอบและมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับอาเซียงจนหมดสิ้นอีกครากว่าสามชั่วยาม


    มิว่าในยุคใดสมัยใดนี้ จารีตประเพณีระบุไว้ชัดเจน หากชายใดได้เห็นสรรพางค์เปลือยเปล่าของหญิงสาวเข้า เท่ากับว่าหญิงผู้นั้นมีมลทินประหนึ่งสิ้นพรหมจรรย์ไปแล้ว ไม่แคล้วต้องยอมเป็นภรรยาของชายผู้นั้นโดยสิทธิ์ขาด ย่อมมิอาจแต่งงานกับชายอื่นได้ และนับประสาอะไรกับคุณหนูเมิ่ง ที่ถูกอาเซียงสัมผัสทั่วถ้วนทุกส่วน นางล้วนกลายเป็นภรรยาของอาเซียงโดยปริยาย


    "หายเหนื่อยบ้างหรือไม่" อาเซียงปั้นยิ้มถามหญิงสาวในอ้อมแขนของตน


    "ยังจะถามเช่นนั้นอีกหรือ" แม่นางเมิ่งหยิกไหล่อาเซียงเพียงแผ่วเบา ดวงตาเงางามคู่นั้นราวสะกดให้เขาตกต้องสู่ห้วงภวังค์


    จากนั้นนางจึงเผลอปลดผ้าคลุมหน้าผืนบางออก พลันปรากฏใบหน้างดงามเกินบรรยาย เปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ ราวกับว่าพิษร้ายที่เคยสะสมไว้ ได้ถูกชำระล้างออกเรียบร้อย อีกทั้งอาการปวดร้าวที่แผ่นหลังของอาเซียงก็พลันหายเป็นปลิดทิ้งแล้วเช่นกัน


    "คุณหนูใบหน้าของท่าน..." ชายหนุ่มตะลึงงันครู่หนึ่ง แววตาคมทอประกายคลายกำลังพบเจอเรื่องที่ทำให้หัวใจสั่นระรัว 


    แม้อาเซียงจะเคยจินตนาการถึงวงพักตร์ภายใต้ผ้าคลุมผืนบางอยู่ ทว่าในความคิดนั้นมิอาจเทียบเคียงเศษเสี้ยวแห่งธุลีของความเป็นจริงเบื้องหน้าได้เลย


    "มีอันใดงั้นหรือ ใบหน้าข้ามีอันใดกัน" คุณหนูเมิ่งเอียงอาย ผินหน้าเลี่ยงหลบพลางใช้มือสองข้างปิดบังอำพรางเรือนกายของตนพัลวัน


    "เจ้าช่างสวยยิ่งนัก" อาเซียงคว้าร่างบางสู่อ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะโน้มกายลงจูบเรือนแก้ม ที่ควรจะมีบาดแผลจากพิษร้ายอย่างอ่อนโยน แววตาสุขุมปนเศร้าเคล้าน้ำตา จดจองมองใบหน้าของหญิงงามด้วยความรู้สึกถวิลหา


    "ยะ...อย่าพึ่ง" คุณหนูเมิ่งพยายามใช้มือดันกายของอาเซียงห่างออกไป ทว่าไร้ผล


    "อย่าพึ่งอันใดกัน" แม้จะรู้ดี อาเซียงกลับแกล้งถามออกไปเช่นนั้น


     น้ำเสียงกระเซ่าของนางเอ่ยอย่างแผ่วเบา "มะ...ไม่มีอะไร"


    "ไม่มีอะไรกันได้เช่นไร ก็พึ่งมีไปแล้วหรือมิใช่" อาเซียงลูบไล้เคล้าคลึงไปตามเรือนกายอันเปลือยเปล่าของคุณหนูเมิ่ง นางแต่ร้องครวญด้วยจิตพิสวาท ก่อนที่ชายหนุ่มจะถามอีกว่า "เมื่อครู่...พอใจบ้างรึไม่..."


    จะให้หญิงสาวตอบอย่างไรออกไปได้  ถึงนางมิได้รับการอบรมตั้งแต่เยาว์วัย กระนั้นก็ยังรู้การใดควร การใดมิควรอยู่บ้าง นางจึงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งเอียงอายบิดกายแก้เขิน พาลทุบมือใส่ชายหนุ่ม ครั้นอาเซียงเห็นอีกฝ่ายมิยอมตอบให้ชัดเจน จึงหยอกเย้าเข้าไปอีก "หากมิตอบ แสดงว่าเมื่อครู่ มิพอใจใช่หรือไม่ เช่นนั้นต่อไปคงมิกล้าแล้ว"


    "ปะ...เปล่า มิใช่ไม่พอใจ..." หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม แล้วจึงซุกใบหน้าขวยเขินแนบแผ่นอกกร้านแกร่งของชายหนุ่ม ร่างอ่อนนุ่มนิ่ม หอมกรุ่นของวัยสาวเบียดเข้ามาแนบชิด ก่อนจะกระซิบเข้าข้างหูว่า "พอใจยิ่ง"


    แท้จริงแล้ว เมื่อพิเคราะห์จากท่าทีของคุณหนูเมิ่ง อาเซียงก็ทราบโดยทันที เพียงต้องการได้ยินจากปากของนางสักนิด เพราะเมื่อฟังแล้วราวกับเขาได้พิชิตทั้งใต้หล้า ยิ่งออกจากปากของหญิงงามที่เทียบเท่าท่านหญิงเฝิงด้วยแล้ว เขาเองแทบจะไม่เคยคิดนึกฝันถึงมันเลยแม้แต่น้อย



    ++++++++++++++


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×