คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อาเซียงกับอรุณรุ่งที่กุ้ยหยาง
11/09/61 อัพนิยาย
16/12/61 รีไรท์
...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...
"ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ
ตอน อาเซียงกับอรุณรุ่งที่กุ้ยหยาง
ยามอรุณรุ่งเวลาเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ แสงแรกของดวงตะวัน พลันโผล่พ้นขอบขุนเขาสูงตระหง่าน ฉาบสายน้ำไหลฉ่ำเย็นทอประกายเป็นสีทอง ก่อนจะส่องต้องแมกไม้นานาพันธุ์ ที่ชูประชันช่อดอกไสวให้คลี่กลีบเบ่งบาน มองคราใดก็ปานอยู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หาใช่โลกมนุษย์อย่างที่เป็นไม่
ดินแดนอันห่างไกลแห่งนี้คือ กุ้ยหยาง หัวเมืองทางใต้สุดแผ่นดินต้าเทียน ห่างไปจากเมืองฉางซา อันเป็นเมืองใหญ่ในแดนใต้กว่า 40 ลี้
ปีที่ 14 แห่งรัชสมัยของเทียนหลงฮ่องเต้ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข เส้นทางการค้าขายชายแดน กับชนเผ่าจามและชนเผ่าม่าน ได้รับการบุกเบิกใหม่ ทำให้เมืองกุ้ยหยางยามนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่ากาลก่อนมากนัก
ด้วยบรรยากาศที่รื่นรมย์ อุดมสมบูรณ์จากหมู่มลพฤกษานาพันธุ์ ได้รังสรรค์ทิวทัศน์ทางธรรมชาติขึ้นมา ล้วนแล้วแต่วิจิตรละลานตา จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไกลไปทั่วแผ่นดิน
ไม่ว่าจะเป็นเนินมังกรหมอบ ทะเลสาบหงส์ร่อน และที่แน่นอนย่อมรวมถึงสวนดอกท้อล่อภมร ทั้งหมดคือสถานที่ท่องเที่ยวชมทิวทัศน์จุดสำคัญ ซึ่งนักเดินทางต้องแวะชม
เมืองกุ้ยหยาง ยังขึ้นชื่อลือชาในเรื่องหญิงงามสะท้านแผ่นดิน เพราะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระสนมเอก ในรัชกาลก่อน ผู้มีสิริโฉมงามกว่าหญิงใดในแผ่นดินต้าเทียนอีกด้วย
เหล่าชายชาตรี คหบดี พ่อค้าวานิช บัณฑิต ขุนนาง ไม่เว้นแม้แต่ชาวยุทธ์ ล้วนต่างเดินทางมาท่องเที่ยว ที่เมืองกุ้ยหยางไม่ขาดสาย
จุดหมายปลายทางของชนทุกผู้ มุ่งสู่แหล่งร้านย่านตลาดการค้า ณ ใจกลางเมือง ซึ่งวันนี้ดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ
สาเหตุเพราะผู้คนมากมาย จากทุกสารทิศต่างมุ่งตรงมายังหอหลี่ชุน อันเป็นหอสังสรรค์ของเหล่านักเดินทาง ทุกยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งหญิงและชาย ซึ่งกำลังเฝ้ารอการปรากฏกาย ของใครสักคนอยู่ในตอนนี้
ทว่าความจริงแล้ว หอหลี่ชุนเป็นเพียงจุดหมายรองเท่านั้น เพราะสถานที่สำคัญอันดับหนึ่ง ได้ตั้งตระหง่านดูเด่นเป็นสง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม
นั่นคือ ตำหนักเฝิงหยางอ๋อง ที่มีป้ายทองพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้สองป้าย ประดับเด่นหราอยู่หน้าตำหนัก
ป้ายทองทั้งสอง จารึกคำทางด้านซ้ายและด้านขวา มีเนื้อหาความว่า หงส์ดรุณแดนทักษิณ และ โผผินเทียมสวรรค์ ตามลำดับ
ทันทีที่สลักประตูพ้นพันธนาการ บานประตูตำหนักแง้มเปิดออก พร้อมกับเสียงฝีเท้าของยอดอาชา ควบกระทบพื้นถนนเป็นจังหวะถี่กระชั้น เสียงนั้นสั่นสะท้านหัวใจของคนที่ได้ยิน คล้ายทำให้พวกเขาปรับจังหวะการหายใจคล้อยตาม
"ท่านหญิงเฝิงมาแล้ว ท่านหญิงเฝิงมาแล้ว" เสียงของใครมิอาจทราบได้ แต่ก็สยบเสียงทุกเสียงที่ดังเซ็งแซ่ให้เงียบกริบลง แล้วทุกสายตาต่างหันมองไปในทางเดียวกันทันที
ณ มุมถนนไกลริบๆ ค่อยปรากฏสาวงามวัยแรกรุ่น กำลังควบอาชาฝีเท้าดี ในชุดผ้าไหมสีขาวสะอาดตา ทว่ารัดกุมจนเผยสัดส่วนอันน่าทะนุถนอม
ผิวขาวประดุจไข่ปอกของนาง พลันเปล่งประกายต้องแสงรุ่งอรุณ กลิ่นกายหอมกรุ่นอุ่นไอ เมื่อพระพายพัดโชยมา ผมยาวสลวยสวยงาม มิต่างจากแพรพรรณอันเลอค่า ยิ่งยามชม้อยตาแล ยิ่งหยาดเยิ้มหวานล้ำ
ทุกสัดส่วน ล้วนถูกจัดวางให้เหมาะกับรูปร่างอรชรอ่อนแอ้น แม้นคราฝีเท้าม้ากระทบพื้น ทรวงอกเต่งตึงต่างพร้อมใจกระเพื่อมขึ้นลงพองาม เป็นจังหวะเดียวกัน ประหนึ่งกำลังท้าทายให้ทุกสายตา ได้ขับเน้นจินตนาการของแต่ละคนให้กระเจิดกระเจิง
ที่แท้แล้ว เป้าหมายของการมาเมืองกุ้ยหยาง ก็คือการเฝ้ารอชื่นชมยลโฉมของสาวงามผู้นี้นี่เอง
เพียงนางควบม้าผ่าน คนทุกผู้ทุกนาม ต่างถอยกายไปยืนแถวอยู่ข้างทาง เพื่อโฉมสะคราญได้เดินทางอย่างสะดวก
ยิ่งไปก็นั้น หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลายแทบจะหยุดหายใจในทันที เวลาที่นางเฉียดเข้ามากรายใกล้อีกด้วย
หญิงสาวผู้นี้ เป็นที่รู้จักในนามท่านหญิงเฝิงหรือเฝิงปิงปิง ธิดาคนรองของท่านอ๋องตำหนักใต้ เฝิงหยางอ๋อง ราชนิกูลที่ถูกลืมแห่งต้าเทียน
แม้ท่านอ๋องเฝิง จะมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยในยุทธภพ ยิ่งมีเกียรติยศปรากฏในราชสำนักนานัปการ แต่ตระกูลเฝิงกลับไม่เป็นที่คบค้าสมาคมของราชนิกุลชั้นสูงตระกูลอื่นๆ มากนัก
ด้วยเดิมที เฝิงหยางอ๋องเป็นเพียงจอมยุทธ์ภูตธรรมดา ทว่ากลับมีพลังวิญญาณสายอสุราอย่างหงส์อัคคี ทั้งได้ทำความดีความชอบแก่บ้านเมือง ในการปราบปรามกบฏหวงไท่ซือ
องค์อดีตฮ่องเต้ จึงทรงสถาปนาเป็นอ๋องตำหนักใต้ และให้เสกสมรสกับองค์หญิงหลงหนิง ราชธิดาลำดับที่ 1 ของพระองค์
ทว่าแทนที่อ๋องเฝิงหยาง จะได้รับการยอมรับจากเหล่าเชื้อพระวงศ์ กลับยิ่งทำให้เหล่าราชนิกูลสายอื่นๆ เกิดความริษยา และเริ่มตีตัวออกห่างมากยิ่งขึ้น
ท่านอ๋องเฝิงในวัยหนุ่มแน่น มิอาจทนต่อสายตาดูแคลนเหล่านั้นได้ จึงถวายฎีกาย้ายตนเองไปรับราชการ ในตำแหน่งเจ้าเมืองกุ้ยหยาง ณ บ้านเกิดอันห่างไกล เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย และสายตาเย้ยหยันของผู้คนในเมืองหลวงตราบปัจจุบัน
หลังจากท่านหญิงเฝิง ได้ควบอาชา ผ่านพ้นย่านใจกลางเมือง มาถึงประตูเมืองด้านทิศใต้
หญิงงามพลันรังสายบังเหียน หยุดม้าคู่ใจ เพื่อทอดสายตามองทางสามแยกอย่างพิเคราะห์
ใบหน้าหวานล้ำยกยิ้มชั่วครู่ คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางเรื่อง ที่ทำให้จิตใจเบิกบาน ก่อนจะควบมุ่งตรงไปทางขวาทันที
ไม่ช้าไม่นาน หลังจากอาชาฝีเท้าดีวิ่งเลียบริมลำธารสายหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงสวนดอกท้อขนาดใหญ่ ซึ่งกินพื้นที่เชิงเขาใกล้ๆ และเนินมังกรหมอบมากกว่า 10 ลี้ อันเป็นจุดหมายของการเดินทางของนาง
สวนดอกท้อ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไปทั้งจักรวรรดิต้าเทียน หรือที่รู้จักในชื่อ สวนดอกท้อล้อภมรนั่นเอง เพราะมีวิวทิวทัศน์งดงามงามตา ประดับประดาไปด้วยต้นท้อ จำนวนมากกว่าพันต้น
ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วยแล้ว กลีบดอกสีชมพูสดปลั่ง ต่างผลิบานสะพรั่ง อวดโฉมแก่สายตาชนทุกผู้ สมดั่งบทกวีของจางไห่ถัง ยอดปราชญ์แห่งยุคได้พรรณนาถึงเมืองกุ้ยหยางไว้
...แม้นหมื่นกลีบเถาฮวา เพียงแก้มโสภาองค์นารี...
ซึ่งพอถอดความแล้ว หมายถึง ความงดงามของดอกท้อนับหมื่น ยังเทียบความงามของเรือนแก้มหญิงสาว ชาวกุ้ยหยางแต่เพียงเท่านั้น
หลายคนถึงขนาดตีความ ด้วยเข้าใจผิดว่า กวีบทนี้ได้กล่าวถึงท่านหญิงเฝิง ทว่าแท้จริงแล้วเป็นการเปรียบเปรย ถึงสิริโฉมของพระสนมเอก ในรัชกาลก่อนต่างหาก
เมื่อเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว ท่านหญิงเฝิงพลันลงจากม้า แล้วจูงไปผูกไว้กับต้นไม้ขนาดย่อมๆ ต้นหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในสวนท้อด้วยท่าทีระแวดระวัง
แสงตะวันอ่อนๆ ยามสาย ทอประกายต้องกลีบดอกท้อสีชมพู ช่างขับเน้นสีสันให้ดูจรรโลงใจ
แสงสีทองส่องร่ำไร ได้ลอดผ่านเงาไม้ไปต้องกายชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งขีดเขียนบางสิ่ง ด้วยพู่กันอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าคราตา แม้นมิใกล้เคียงกับคำว่าหลอเหลาสักเท่าใดนัก ทว่ารูปร่างสมส่วนเยี้ยงชายชาตรี ดวงตาคมเข้มเป็นประกายลึกล้ำ ขนคิ้วดำขลับเรียบลับเรียงระดับเป็นระเบียบ
พิศมองเพียงเท่านี้ ก็พอจะเห็นถึงลักษณะเป็นคนเจ้าความคิด และมีปัญญา มิเป็นรองบัณฑิตผู้คงแก่เรียน ในสำนักปราชญ์ชั้นนำ นั่นเขาก็ดูมีเสน่ห์ชวนมองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เฝิงปิงปิงปลดปล่อยพลังวิญญาณ พริ้วกายแผ่วเบา จนอีกฝ่ายยากจะสัมผัสได้ ว่ามีผู้อื่นกำลังเข้ามาใกล้ตน
อนึ่งอาจเป็นเพราะหญิงสาว ใช้ทักษะจิตวิญญาณหงส์เพลิงสยายปีก ทักษะจากวงแหวนภูตลำดับที่ 2 ทำให้นางเคลื่อนกายมาหาเขาอย่างเงียบกริบ
โฉมงามยกยิ้มร่าด้วยรู้สึกพึงพอใจ ที่แอบเข้ามาใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ทว่าชายหนุ่ม กลับยังมิรู้สึกตัวอันใดเลย
"อา..." จวบจวนที่จะเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายเป็นการทักทายด้วยความคุ้นชิน พลันมีเสียงของบางสิ่ง แหวกอากาศจากทางเบื้องหลัง มันกำลังเคลื่อนเข้ามาข้างลำตัวนางอย่างรวดเร็ว
ท่านหญิงเฝิงพลันพลิ้วกาย เบี่ยงหลบได้ทันท่วงที ด้วยสัญชาตญาณ ทว่าเพียงหลบหลีกได้พ้น ก็ตระหนักว่า ตนกระทำผิดพลาดแล้ว
ด้วยเป้าหมายของสิ่งนั้น ซึ่งถูกซัดจากด้านหลังของนางหาใช่ตัวนางแต่แรก หากแต่เป็นชายหนุ่ม ผู้กำลังจรดปลายพู่กัน เพื่อจบบทกลอน ที่พึ่งแต่งเสร็จต่างหาก
แม้นางจะต้องการ แก้ไขสถานการณ์เบื้องหน้า ทว่าก็ไม่ทันการเสียแล้ว
อั๊ก...
เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อสิ่งนั้นกระทบเข้ากลางหลังของชายหนุ่ม ขณะนั่งแต่งบทกวี ทำให้เขาลอยกระเด็นกระดอน ไปนอนหน้าคว่ำจูบพื้นดิน ห่างจากตำแหน่งเดิมออกไปกว่า 3 ก้าว
ความเจ็บปวด ได้โลดแล่นไปทั่วสรรพางค์ ยังดีที่เขามีร่างกายกำยำ ด้วยกร่ำงานหนักในสวนส้มมาหลายปี ทำให้ถึงจะล้มกลิ้งสิ้นความสง่า ทว่าก็มีเพียงแผลถลอกภายนอกเท่านั้น
"ฮะ ฮะ ฮ่า..." เสียงหัวเราะราวพบเจอเรื่องตลกขบขันดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของชายหนุ่มอีกคน
หากดูจากการเคลื่อนกาย และท่าทางท่วงทีที่สง่างามเขาแล้ว ต้องยอมรับว่า ผู้มาใหม่มีฐานะ และพลังฝีมือไม่ต่ำตมแน่นอน
"เจ้าทำอะไรน่ะ" ท่านหญิงเฝิงร้องถามด้วยความไม่สบอารมณ์ ขณะเคลื่อนกายเข้าไปประคองร่างชายหนุ่ม ที่ฝืนหยัดตัวลุกขึ้น พลางมองร่องรอยบริเวณด้านเสื้อเสื้อ ซึ้งขาดเป็นรูรูปฝ่ามือครบทั้ง 5 นิ้ว
นางมองใบหน้าเจ็บปวด ของชายหนุ่มด้วยความเวทนา เหตุเพราะรอยฝ่ามือบนกายชายหนุ่มผู้ถูกกระทำ แผ่พลังวิญญาณที่อ่อนนุ่ม ทว่าแกร่งกร้าวออกมาในคราวเดียว
มิคาดว่า ฝ่ามือดังกล่าวถูกซัดออกมาทางด้านหลัง จากระยะทางห่างไกลไปไม่น้อย หากไม่ใช่ใช้ทักษะจิตวิญญาณ ไหนเลยจะทำได้ถึงเพียงนี้
กระนั้น กลับทำให้ได้รับบาดเจ็บภายใน ถึงขั้นเลือดลมไหลเวียนติดขัด เห็นได้ชัดว่า ฝีมือการควบคุมพลังดูชำนาญ กะประมาณพลังวิญญาณซัดออกไป ได้พอดิบพอดี
ความสามารถเช่นนี้ ไม่ต่ำกว่าระดับนักรบภูตเป็นแน่ แต่ดูจากอายุอานามเจ้าของฝ่ามือ มิน่าเกินวัยเบญเพส
ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ แต่งกายด้วยชุดฝ้าไหมปักดิ้นทอง ลวดลายพยัคฆ์เหิน ที่เข็มขัดเงินรัดเอว มีจี้หยกรูปกิเลนเลอค่าห้อยอยู่ชิ้นหนึ่ง
"กำแหงนัก นี่ถึงขนาดทำร้ายคนกลางวันแสกๆ มิกลัวอาญาบ้านเมืองหรืออย่างไร" หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกลับ แววตาโกรธาเผยออกมาเด่นชัด ทว่าใบหน้าของนาง ก็ยังคงงดงามดังเดิม
แต่บุรุษตรงหน้า กลับตะโกนลั่นด้วยความโมโห โดยมิสนหน้าอินทร์หน้าพรหม "เป็นเพียงผู้ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า รุกล้ำมาในที่พักผ่อนของข้า ย่อมต้องสั่งสอนให้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไยต้องกลัว..."
หนุ่มหล่อพูดไม่ทันจบความ ก็ต้องยืนแน่นิ่งงงงัน ตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นเร้าสั่นระรัว ลมหายใจกระเส่าไม่เป็นจังหวะ
ครั้นพบเห็นว่า หญิงสาวที่ผินหลังให้เมื่อครู่ ดูงามทั้งใบหน้าและทรวดทรงองค์เอว ที่พร้อมจะกระชากหัวใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้ทุกเมื่อ
เนื่องจาก เขาเป็นบุตรชายคนโตของขุนพลใหญ่ ถูกเลี้ยงดูตามใจตั้งแต่เด็ก ยิ่งได้รับความเมตตาจากยอดฝีมือแห่งยุครับเป็นศิษย์เพียงคนเดียว ผนวกกับความฮึกเหิมย่ามใจ
ทั้งยังมีใบหน้าสง่างาม จนสามารถพิชิตใจสาวงามเกือบทั่วแผ่นดิน มามากมาย ทว่าโฉมสะคราญตรงหน้า ทำให้หญิงสาวที่เคยผ่านเข้ามา หมดค่าไปในบัดดล
แม้เขาจะฝึกฝนพลังวิญญาณ และครอบครองวงแหวนภูตถึง 4 วง จนทำให้มีชื่อเสียงในยุทธภพไม่น้อย
ทว่าความสามารถดังกล่าว ก็ยังเป็นรองความเชี่ยวชาญด้านอิสตรี ส่งผลให้เพียงแค่เหลือบมองบริเวณหน้าอก บั้นเอว สะโพกของสาวงามตรงหน้า ต้องลอบซับน้ำลายด้วยแขนเสื้อ เพื่อกลบเกลื่อนความละอายทันที
แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน งดงามเสียยิ่งกว่าเทพธิดาฉางเอ๋อ ส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นอีกเล่า อะไรจะปานนี้
หนุ่มหล่อเพียงลอบคิดในใจ มิกล้าเอ่ยออกมา
"บังอาจนัก เจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงขนาดจ้องหน้าข้าตรงตรงเชียวหรือ" เป็นธรรมดาของหญิงงามที่ต้องตวาดเสียงเข้ม เมื่อต้องเจอเหตุการณ์เบื้องหน้า ถึงแม้นจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มผู้นี้อยู่ไม่น้อย แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย
"ข้าน้อยฉีลิ่วหลาง บุตรชายของแม่ทัพฉีหลี่หลาง ศิษย์เอกของเจ้าสำนักหยูฟู่เหริน ไม่ทราบว่าแม่นาง..." วาจาฉะฉานของชายหนุ่มตอบกลับ ล้วนแสดงถึงความภาคภูมิใจเอ่อล้น
เพียงเขาแจ้งชื่อแซ่ว่า เป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูล กอปรกับเป็นศิษย์เอกของอาวุโสหยูฟู่เหริน เจ้าสำนักหัตถ์หยกเทวะ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ด้วยมีพลังวิญญาณถึงระดับแม่ทัพภูติด้วยแล้ว หญิงสาวที่ได้รับฟังคารมคมคายดังกล่าว คงทอดสะพานสวาทให้ชวนพาพวกนางถึงสรวงสวรรค์ทุกครั้งได้ไม่ยาก
ไม่ทันที่เฝิงปิงปิงจะเอ่ยปาก ฉีลิ่วหลางเหมือนพลันนึกอะไรบางอย่างออก เขาเบิกตากลมๆ เป็นประกาย ยกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวต่อทันที
"ผิดนัก ผิดนัก ข้าช่างผิดนัก ผิดที่มีตาหามีแววไม่ ผิดที่ตะลึงในงามดั่งเทพธิดาของท่านหญิง อิสตรีผู้เลิศโฉมแห่งกุ้ยหยาง ณ เวลานี้ จะเป็นใครไปเสียได้นอกจาก... ท่านหญิงเฝิงปิงปิง ใช่หรือไม่"
เฝิงปิงปิงนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อทราบว่า บุรุษผู้นี้คือ ฉีลิ่วหลาง จอมยุทธ์ภูติหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง มีชื่อเสียงไม่เป็นรองใคร ฉายาฝ่ามือขยี้หัวใจ ศิษย์เอกของสำนักหัตถ์หยกเทวะ
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร และผู้ครอบครองจิตวิญญาณฝ่ามือพิชิตฟ้า ซึ่งเป็นจิตวิญาณสายกายาอันกล้าแกร่งอีกสายหนึ่ง ทำให้มีชื่อเสียงทั่วจักรวรรดิต้าเทียนในระยะเวลาอันสั้น
ทว่านางมิทราบมาก่อนเลยว่า ที่แท้เขาเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพฉีหลี่หลาง ขุนพลคู่ราชบัลลังก์องค์ฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน
ครอบครัวของปิงปิง เป็นถึงเชื้อพระวงศ์แห่งต้าเทียน ย่อมต้องพบปะผู้มากฝีมือจากยุทธภพ และขุนนางข้าราชสำนักอยู่บ่อยครั้ง
ถึงไม่พอใจกับพฤติกรรมของชายหนุ่มผู้นี้ ที่กล้าทำร้ายคนของนาง แต่ก็ต้องข่มใจระงับโทสะเอาไว้ก่อน
แม้ฝีมือของปิงปิงมิเป็นรอง แต่จะให้นางทำอย่างใดได้เล่า หากก่อเรื่องให้ลุกลามใหญ่โต มิพ้นท่านพ่อและครอบครัวของนางต้องพลอยเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเป็นแน่
"ที่จริงแล้ว เป็นคุณชายฉีเองหรอกหรือ แล้วอยู่ดีดี ไยทำร้ายสหายของข้า หรือจวนขุนพลฉีและสำนักหัตถ์หยกเทวะ มิเคยเห็นตำหนักอ๋องทักษิณและเฝิงหยางอ๋องอยู่ในสายตา จึงคิดจะรังแกกันได้ง่ายดายเช่นนี้" หญิงงามละสายตาจากชายหนุ่มผู้บาดเจ็บ แล้วจึงหันหน้าส่งสายตาดุคาดคั้นคำตอบจากอีกฝ่าย ทว่าการกระทำนั้น กลับทำให้บังเอิญเหลือบเห็นเนินอกอวบอิ่มของนาง ยกตัวเด่นขับเน้นรูปร่าง และขนาดดูงดงามไร้ที่ติ
ฉีลิ่วหลางขบคิดตามถ้อยคำ และมิทันตั้งใจมองใบหน้าโกรธาของอีกฝ่าย ก็ต้องลอบกลืนน้ำลายกลั้วคอหลายอึก ภายในหัวพลันปั่นป่วน คล้ายพลังวิญญาณกำลังพุ่งพล่านจนต้องสงบใจเข้าควบคุม
เป็นจริงดังหญิงสาวกล่าว ขุมกำลังตำหนักท่ายอ๋องเฝิงมิอาจดูแคลน ทั้งฝีมือของเจ้าตำหนักนั่นเล่า เทียบเท่าหรืออาจสูงกว่าอาจารย์ของตนก็เป็นได้ บุตรชายขุนพลเอกเช่นเขา คงได้แต่จำยอมขอโทษอย่างจริงใจเท่านั้น จึงพอจะยุติเรื่องราวนี้ได้
"ข้าต้องขออภัยท่านหญิงด้วย" ชายหนุ่มประสานมือลู่สายตามองต่ำ แล้วโค้งกายขออภัยด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วกล่าวว่า "ข้ามิทราบมาก่อนว่า บุรุษนั่นเป็นสหายของท่านหญิง เพียงเขารุกล้ำสวนดอกท้อล่อภมร ที่ข้าชอบมาพักผ่อน เลยพลั้งมือล่วงเกินไป นี่หากทราบก่อนว่า เป็นสหายของท่านหญิงเฝิง ลิ่วหลางไหนเลยจะหาญกล้ากระทำหยาบคายเช่นนี้"
คุณชายฉีตอบกลับด้วยวาจาสุภาพ ใบหน้าท่าทีล้วนเสแสร้งแสดงออกถึงความจริงใจ ทว่าในใจพลันเกิดความโกรธเกี้ยวชายหนุ่มใบหน้าแสนธรรมดาคนนั้นเสียจริง
หากมิใช้เพราะโฉมงามผู้นี้แล้วล่ะก็ คนอย่างเขาไม่ซัดมันเพิ่มสักสองฝ่ามือ ก็มินับว่า สมฉายาฝ่ามือขยี้หัวใจก็แปลกแล้ว
"ฮึ...สวนท้อนี้มิใช่ของผู้หนึ่งผู้ใด ใครจะมาพักผ่อนหย่อนใจก็ย่อมได้" หญิงงามแค่นเสียงแสดงความไม่พอใจ
ทว่า เมื่อเห็นอีกฝ่ายสำนึกผิดเพื่อขออภัย จึงไม่รู้จะทำเช่นไรได้อีก ครั้นหันหน้ากลับมาดูอีกคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ด้านหลังก็ไร้ร่างของชายหนุ่มผู้นั้นเสียแล้ว
"เอ้า! เขาไปไหนเสียแล้ว" เฝิงปิงปิงชะเง้อมองหาหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อกี้นางยังเห็นหลังของเขาไวๆ ทว่าบัดนี้กลับเร้นกายหายตัวไปที่ใดก็มิอาจรู้ได้
คุณชายลิ่วหลางที่ยืนสงบนิ่ง คล้ายครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ ก่อนจะผายมือไปยังสวนส้ม ที่อยู่ไม่ใกล้ไกลจากสวนดอกท้อไปทางทิศตะวันออกมากนัก "หากท่านหญิงจะมองหาเจ้าหนุ่มนั่น เขาได้เดินหายไปทางนั้นตั้งนานแล้ว"
"แล้วทำไมเจ้าไม่..." หญิงสาวโฉมงามกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียว เปลวเพลิงไม่ทราบที่มาพลันปะทุออกจากฝ่าเท้า บดขยี้พื้นถนนที่ปูพื้นด้วยแผ่นศิลาหนาเตอะกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วนางพลันพลิ้วกายตามไป ขณะปากก็เรียกหาชายหนุ่มผู้หนึ่งดังระงม
"อาเซียง อาเซียง เจ้าอยู่ไหน รีบออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
++++++++++++++++++++
จากใจดวงน้อยๆ ของไรท์
หากผิดพลาดเรื่องภาษาประการใด รบกวนผู้รู้ช่วยให้คำแนะนำด้วยครับ
ไรท์ลองลงตอนเดียวก่อนนะครับ หากผลตอบรับออกมาดีคงทยอยลงตอนอื่นๆ ต่อ
ถ้าดูแล้วไม่รอด คงต้องหยุดแต่งแนวนี้
ปล.โครงเรื่องที่วางเอาไว้อาจจะติดเรท 18+
แล้วจะมีรีดเดอร์ในเว็บเด็กดีอ่านกันบ้างมั้ยเนี่ย
ความคิดเห็น