คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อาเซียงกับสิบหกหุนครึ่งและอีกหนึ่งเชียะ
1/10/61 อัพนิยาย
23/03/62 รีไรท์
...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...
"ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ
ตอน อาเซียงกับสิบหกหุนครึ่งและอีกหนึ่งเชียะ
"ให้ตายสิเจ้าค่ะ คุณหนูไปเก็บเอาร่างผู้ชายคนนี้มาจากที่ไหนกัน"
เสียงหนึ่งแว่วเข้าหูมา ทำให้อาเซียงรู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง
แม้จะยังรู้สึกมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง แถมยังรู้สึกปวดร้าวไปทั่วแผ่นหลัง จนอยากจะตายหนีความเจ็บปวดไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงพูดคุยกัน เขาจึงทำทีไม่มีสติต่อไป
"เอาเถอะน่าชิงเอ๋อ ฝากดูแลเขาด้วยแล้วกัน" คู่สนทนาอีกคนสั่งด้วยเสียงกังวานใส
"เจ้าค่ะ" ถึงจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่สาวใช้ที่มีนามว่า ชิงเอ๋อ ก็มิกล้าขัดคำสั่งผู้เป็นนาย
ชิงเอ๋อรีบเข้ามา ตรวจดูสภาพของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะจับร่างชายหนุ่มพลิกขึ้นมา
สาวใช้ต้องลอบตระหนก เพราะอาการบาดเจ็บบนร่างนี้ หาใช่บาดแผลสำหรับผู้ที่ยังไม่ปลุกจิตวิญญาณยุทธ์จะมีได้ "น่าแปลกนักเจ้าคะ ไม่ปรากฏร่องรอยของพลังวิญญาณ แต่กลับมีอาการบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ได้อย่างไรกัน"
"ฝ่ามือขยี้ใจ..." หญิงสาวที่ปดบังใบหน้าด้วยผ้าลูกไม้เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ นางแน่ใจในทันทีว่า ต้องเป็นฝ่ามือขยี้ใจอย่างที่คิดเอาไว้
จากสภาพบาดแผล ที่ยะเยือกด้วยไอเย็น ทว่ารอบข้างบาดแผลทั่วร่างกลับระอุด้วยไอร้อนครุกรุ่น
มันกระตุ้นให้กระแสพลังหยาง ในกายชายหนุ่มไหลเวียนรุนแรง ยากจะควบคุม ซ้ำร้ายหากรักษามิทันการ มีหวังเจ้าของร่างต้องคลุ้งคลั่ง และเลือดออก 9 ทวารจนตายเป็นแน่
แม้หญิงสาวขบคิดอยู่นาน กลับคาดเดาถึงมิได้ว่า ชายหนุ่มใบหน้าแสนธรรมดา ถึงจะมีกายากำยำลำสันสมบูรณ์ ทว่ายังไม่ผ่านการปลุกจิตวิญญาณ ถึงหาญกล้าไปมีเรื่องกับสำนักหัตถ์เทวะได้เช่นไร
"มิผิดแน่ แต่น่าจะไม่ใช่ฝีมือของไอ้โจรเฒ่าตัณหากลับนั่นนะเจ้าค่ะ" ชิงเอ๋อวิเคราะห์เสริมความหนักแน่นของผู้เป็นนาย
อีกทั้งนางหาญกล้าเรียกยอดฝีมือแห่งยุคด้วยสมญานามเช่นนั้นได้ ก็ด้วยเคยมีความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกันมาก่อน
เช่นเดียวกันกับคุณหนูของนางก็พยักหน้ารับ ด้วยแววตาเย็นฉา พร้อมคลื่นน้ำตาคลอปริมริมหางตา ทว่าไร้คนสังเกตเห็นแล้วกล่าวว่า
"น่าจะเป็นศิษย์ของมัน ทำร้ายผู้ไร้ทางสู้ได้เช่นนี้ มิใช่เพียงสืบทอดเพียงเคล็ดวิชาฝ่ามือ ทั้งยังถอดแบบความอำมหิตติดมาด้วย ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายยิ่งนัก" หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าวิตก เพราะเป็นเวลากว่า 7 ปี ที่นางและเหล่าพี่น้องต้องมีสภาพไม่ต่างจากภูติผี
และหลายคนต้องสิ้นชีพด้วยฝีมือของพวกมัน ซึ่งชายหนุ่มผู้นี้ ช่างมีชะตากรรมเดียวกันกับพวกนาง จึงให้คุณหนูเจ้าของหมู่ตึกรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มผู้นี้มากเป็นพิเศษ
"ไว้เป็นหน้าที่ของข้าเองเจ้าค่ะ" ชิงเอ๋อกล่าว ทว่าถูกคุณหนูตัดบทขึ้นมาทันที ทำให้นางต้องยอมถอยออกมา
"ตอนนี้พลังวิญญาณของเจ้าไม่แกร่งพอ ประคองร่างของเขาไปยังห้องสมุนไพร แล้วข้าจะจัดการเอง"
"คุณหนู นี่ท่านคงไม่..." เป็นชิงเอ๋อที่เอ่ยอย่างตกใจ ทว่าพอเห็นแววตาเป็นประกายของหญิงสาว ที่ลอบมองบางสิ่งอยู่กึ่งกลางลำตัวของเขากำลังชูชันได้ที่ ก็ต้องยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
ภายในห้องสมุนไพร แวดล้อมไปด้วยแมกไม้ที่มีสรรพคุณทางยาจำนวนมาก อีกทั้งมีขวดโหลแก้วแววใสบรรจุยาสมุนไพรแขนงต่างๆ วางเรียงรายตามชั้นวางทั่วทั้งห้อง ล้วนละลานจนนับไม่ถ้วน
สิ่งเหล่านี้ บอกถึงความเชี่ยวชาญและฝีมือการแพทย์ของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
"พี่ชายท่านนี้ได้สติแล้ว ก็ลุกขึ้นเถิด" แม้จะเพียงแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขา ก็มิอาจเล็ดรอดโสตประสาทของผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ไปได้
นางรู้ได้เช่นไรว่า ข้าแกล้งสลบอยู่ ไม่ได้ๆ ต้องแกล้งสลบต่อ อาเซียงนึกขึ้นในใจ เพราะเกรงว่าหากตื่นขึ้นมา แล้วต้องโดนอะไรบ้าง แต่ก็หวั่นใจว่า หากแกล้งสลบไว้ จะถูกทำมิดีมิร้ายอันใดหรือเปล่า
"หากมิยอมลุก ข้าจะตัดเจ้านี่ทิ้งซะ"
ครั้นเห็นชายหนุ่มยังอิดออด ไม่ยินยอมขยับกาย สายตาคมทรงเสน่ห์ของหญิงสาวจ้องมองไปยังส่วนแกร่งกึ่งกลางลำตัวของเขา
มือเรียวงามของนาง หมายจะคว้าจุดยุทธศาสตร์ไว้เต็มรัก ทว่าชายหนุ่มกลับค้านเสียงลั่นเสียก่อน
"ลุกแล้ว ข้าลุกแล้ว" อาเซียงรีบยืดกายขึ้นนั่ง ก่อนจะใช้มือหนึ่งรีบกุมเซียงน้อยที่ตื่นตัวให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวลงโดยไว
แล้วเมื่อเขามองสำรวจไปทั่วห้อง ก็พบว่า ตนเองนอนอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆ ปูด้วยสีขาวสะอาดตา ที่ปลายเตียงมีผู้หญิงภายใต้ผ้าคลุมหน้านั่งอยู่นางหนึ่ง
หลังจากคะเนด้วยสายตาแล้ว ทั้งรูปร่าง น้ำเสียง กิริยาท่าทาง แม่นางผู้นี้คงมีอายุไร่เรี่ยกับเขาและน่าจะเป็นคุณหนูที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อสักครู่เป็นแน่
อาเซียงรีบเอามือเท้าขอบเตียง เพื่อจะดันกายลุกขึ้นยืน ทว่าจู่ๆ แผ่นหลังพลันเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว แล้วเปลี่ยนเป็นชาไปทั้งร่าง ไม่สามารถขยับกายได้อีก ทว่าเซียงน้อยของเขาที่ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัว กลับแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุอีกครั้ง
นะ...นี่ ร่างกายเราเป็นอะไรไปน่ะ ทำไมคล้ายอาการอัมพาตแบบเฉียบพลันขึ้นมาได้ แต่น้องชายของเรากลับตื่นตัวอย่างลิงโลด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"พี่ชายมิต้องกังวลไป" คุณหนูปริศนาเอ่ยขึ้น ปนขบขันเล็กน้อย
"เอิ่ม..." อาเซียงแทบเหงื่อตก ปากบุ้ยใบ้พูดไม่ออก แต่จะไม่ให้เขากังวลได้เช่นใด ให้นางลองเป็นอัมพาตทั้งตัว แต่จุดซ่อนเร้นกลับลุกโด่เด่นสง่าจนยากแก้ไข เรื่องนี้ชักจะประหลาดเกินไปแล้ว
"ท่านมีชื่อแซ่ว่าอะไร ทำไมถึงมานอนหมดสติที่ริมน้ำได้ล่ะ" หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คลายบรรยากาศมึนตึงลงได้บ้าง
"เรียนผู้มีคุณ ข้ามีชื่อเพียงพยางค์เดียวว่า เซียง ส่วนแซ่นั้นข้าเองก็ไม่รู้ เนื่องจาก..." อาเซียงได้เล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่ตอนที่โดนทำร้ายจนหมดสติ และไหลไปตามกระแสน้ำจนมาถึงริมทะเลสาบ รวมถึงตอนที่แอบดูหญิงงามอาบน้ำ แล้วมาฟื้นที่ห้องแห่งนี้โดยละเอียด
หลังเล่าจบ หญิงสาวพลันหัวเราะทำลายความเงียบกริบ แล้วกล่าวว่า "แท้จริงแล้ว พี่ชายเป็นพวกโจรปล้นสวาท ที่ชอบถ้ำมองหญิงสาวอาบน้ำเองหรอกหรือ"
"หา..." อาเซียงทำท่าทีจะโต้แย้งข้อสรุปของหญิงสาว ที่เหมือนจะแทงใจดำเขาอยู่ไม่น้อย ทว่าหากเป็นสถานการณ์ตอนนี้จะให้แย้งออกไปอย่างไร เพราะผู้ที่เป็นโจรปล้นสวาทมิใช่นางเองหรอกหรือ ส่วนผู้ที่จะถูกปล้นสวาทน่าจะเป็นเขามากกว่า
ชายหนุ่มลอบเป่าปากดังซูดและกลืนน้ำลายหลายอึก เมื่อพบว่าอีกฝ่ายแสร้งถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนาม กลับใช้นิ้วเรียวงามลูบไล้เรือนร่างของเขาไปมาอย่างสนุกมือ
สมองอันชาญฉลาดของชายหนุ่มคิดทบทวน เพื่อหาทางคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้า จึงแก้ต่างไปว่า "แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่โจรปล้นสวาทหรอกนะ ข้าเป็นเพียงคนดูแลสวนส้มเท่านั้น"
ทุกคำที่ออกจากปากของอาเซียง ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงแท้ แต่เหมือนร่างกายจะทรยศคำพูดของเขาจนหมดสิ้น คำพูดก่อนหน้าของอาเซียง จึงกลับกลายเป็นเพียงเล่ห์ลิ้นปลิ้นปล้อนในความคิดของหญิงสาวเท่านั้น
"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ช่างเจรจาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ" คุณหนูภายใต้ผ้าคลุมเปรยขึ้นด้วยความพอใจ เมื่อเหลือบเห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบนร่างกลางลำตัวของชายหนุ่ม จึงลงมือสำรวจเจ้าสิ่งนั้นทุกซอกทุกมุม
"อ้า...ช่างเป็นส่วนของร่างกาย ที่สมบูรณ์และแข็งแกร่งยิ่งนัก"
หญิงสาวนิ่งและครุ่นคิดว่า ทั้งแต่ตนได้ศึกษาตำราแพทย์มาก็มาก ทั้งตำราสรีระศาสตร์ก็แตกฉาน ทว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของขนาดความเป็นชายสิบหกหุนครึ่ง ส่วนความยาวก็หนึ่งเชียะไม่เกินไม่ขาด นางเองก็พึ่งมีโอกาสพานพบเป็นหนแรก
"เอ่อ..." อาเซียงบิดตัวเอียงอาย ด้วยการที่หญิงสาวได้วิเคราะห์สรรพางค์ของตนแบบแนบสนิทชิดใกล้ แทบจะหายใจรดต้นคอ ดูแล้วคงไม่เหมาะนัก
ถึงแม้ชายหนุ่มจะเคยมีประสบการณ์อย่างว่า กับเพศตรงข้ามมาบ้างแล้วในโลกเก่าก็ตามที แต่พอมาโลกใหม่กลับถูกหญิงสาวไล่ต้อนจนมุมแบบนี้ เหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาก็ว่าได้
"คุณชายช่างเป็นคนซื่อนัก ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าจะบอกอะไรให้สักอย่าง..." หญิงสาวขยับกายเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ ก่อนจะแสร้งเปลื้องเสื้อนอกจนหลุดลุ่ย เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มนิ่มนุ่มที่แทบจะแนบชิดใบหน้าของเขา ก่อนจะกระซิบคำพูดหนึ่งที่ทำให้อาเซียงได้แต่อ้าปากค้าง รูขุมขนทั้งร่างหลั่งเหงื่อเย็นยะเยือกออกมาจนชุ่มกาย
บะ...บ้าน่า วิธีปลดปล่อยพลังหยางงั้นหรือ...ตายล่ะ นี่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเสีย...เป็นครั้งแรกที่มาโลกนี้หรอกนะ
ชายหนุ่มขบคิดไม่ทันจะเห็นหนทางออก นิ้วมืออันเรียวงามของหญิงสาว พลันพลิ้วไหวไปตามร่างกายของเขาจนเกิดความร้อนผ่าวไปหมด
อาเซียงเริ่มรู้สึกว่า ภายในร่างมีพลังบางอย่างทะลวงจุดต่างๆ ตั้งแต่จุดตันเถียนล่างบริเวณท้องน้อย เคลื่อนคล้อยผ่านจุดตันเถียนกลางบริเวณหัวใจ แล้วจึงไหลสู่จุดตันเถียนบนบริเวณหน้าผากเหนือหว่างคิ้ว กระแสพลังดังกล่าวหมุนเวียนเปลี่ยนผันในจุดทั้ง 3 เป็นวงรอบ อนึ่งเหมือนจะไม่มีวันหยุดนิ่ง
"แมะ...แม่นาง โปะ...โปรด เมะ...เมตตา ดัวะ...ด้วย เถอะ...เถิด" อาเซียงโอดครวญไม่เป็นภาษาออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงกระเซ่าสั่นเครือ เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เริ่มกระจายจากจุดตันเถียนทั้ง 3 ลามไปทั่วแผ่นหลัง ทว่าเพื่อการรักษาอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มแล้ว หญิงสาวหาได้หยุดตามคำร้องขอไม่
"คงเป็นไปมิได้ หากจะเมตตายิ่งกว่านี้ เห็นทีคงต้องปลิดชีพคุณชายทิ้งเท่านั้น" คุณหนูเมิ่งยื่นคำขาด เล่นเอาอาเซียงได้แต่หน้าถอดสี และร้องโอดโอยอย่างน่าเวทนา
"ม่าย..."
เวลาล่วงไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าได้ใช้เทคนิคนิ้วอันพลิ้วไหว และพลังวิญญาณอันมหัศจรรย์จากการมุ่งมั่นฝึกปรือการเคลื่อนไหวของนิ้วทั้งสิบ ด้วยการฝึกฝนบรรเลงเพลงขลุ่ยมาตั้งแต่จำความได้
นางใช้ความสามารถข้างต้น เยียวยาชายหนุ่มด้วยการชี้นำร่างกาย เพื่อปลดปล่อยพลังปราณหยาง ที่คั่งค้างออกมาในรูปของเหงื่อไคล ผ่านทางรูขุมขนทั่วทั้งร่างกายได้บางส่วนเท่านั้น
"เป็นเช่นใดบาง" หญิงสาวเอ่ยปากถาม พลางใช้น้ำสมุนไพรชำระล้างครายไคลที่ไหลอาบนิ้ว หลังจากทำให้ชายหนุ่มขับพลังหยางส่วนเกินได้สำเร็จ
"สะ...เสียว เอ่อ...สบายขึ้นมาก" อาเซียงยิ้มแหยๆ เขารู้สึกตัวเดี๋ยวนั่นเองว่า ร่างกายที่คล้ายจะเป็นอัมพาตสามารถเคลื่อนไหวได้บางแล้ว
"งั้นก็ดี เจ้านอนพักผ่อนเถอะ แผลที่หลังทายาสักเจ็ดวันคงดีขึ้น" หญิงสาวนำยาสำหรับทาแผลฟกช้ำทาบริเวณแผ่นหลังของชายหนุ่ม เพื่อระงับความเจ็บปวด แล้วจึงกล่าวอีกว่า "แต่อาการบาดเจ็บภายในของเจ้า คงต้องอาศัยการร่วมรักกับผู้หญิงสักคน ถึงจะหายสนิทได้"
"ร่วมรัก..." อาเซียงเปรยขึ้นด้วยความฉงนในใจพลางคิดว่า มันเป็นการรักษาจริงๆ และมีการรักษาแบบนี้ด้วยงั้นหรือ ก่อนจะหันไปสบตากับหญิงสาว เพื่อกล่าวคำขอบคุณ แต่ก็อดจะถามชื่อเสียงเรียงนามของหญิงสาวไม่ได้ "ข้าขอทราบชื่อแซ่ของแม่นางได้หรือไม่ จะได้จดจำไว้เพื่อตอบแทนพระคุณที่ช่วยเหลือ"
"เมื่อพบเจอกันโดยบังเอิญ ก็ย่อมถือว่ามีวาสนาร่วมกัน เช่นนั้นก็เรียกข้าว่าแม่นางเมิ่งเถอะ ส่วนเจ้าก็รีบพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะให้ชิงเอ๋อมาดูแลเอง" หญิงสาวเลี่ยงที่จะบอกชื่อแซ่เต็มๆ พลางจัดยาสำหรับทาแผลไว้สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมด 7 ชุดไว้ให้เรียบร้อย จึงเดินออกจากห้องสมุนไพรไป โดยนางไม่รู้เลยว่าระหว่างจัดเตรียมยา ตนได้ถูกอาเซียงลอบเห็นสิ่งที่ปกปิดไว้บนใบหน้าเสียแล้ว
ชายหนุ่มอาศัยในหมู่ตึกลึกลับเป็นเวลากว่า 7 วันแล้ว ซึ่งอาการบาดเจ็บที่หลังจากฝ่ามือขยี้ใจ ได้รับการรักษาจากคุณหนูเมิ่งจนทุเลาขึ้นมาก แต่กลับมีผลข้างเคียงบางอย่าง ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจคือเจ้าเซียงน้อยของเขานั้น มันดูจะเพิ่มขนาดและความยาวขึ้นจนสะดุดตา แถมอารมณ์วัยหนุ่มของเขาก็ยังคึกคักเป็นพิเศษอีกด้วย
ตลอดเวลาที่รักษาตัว อาเซียงก็มิได้มัวอยู่เฉย ช่วยหาบน้ำ ผ่าฟื้น ล้างถ้วยล้างชามและทำงานทุกอย่างโดยมิปริปากบ่น เสมือนเป็นการออกกำลังขจัดความคิดฟุ้งซ่านไปในตัว เพราะจากที่เคยเรียนวิชาสุขศึกษาในโลกเก่าของเขาสอนว่า หากมีอารมณ์กำหนัดต้องออกกำลังกายให้มากๆ หรือมิใช่
แต่แล้วความรู้สึกดังกล่าวกลับไม่ลดลงเลย แถมยังเพิ่มพูนจนยากจะควบคุมไว้เสียอีก แต่นั่นก็ทำให้เขาคุ้นเคยกับชิงเอ๋อมากขึ้นตามลำดับ จนได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากสาวใช้คนนี้มากขึ้นด้วย
บางทีเขากลับรู้สึกว่า ชิงเอ๋อมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นพิเศษ จนเผลอมองชิงเอ๋อด้วยแววตาคิดไม่ซื่ออยู่บ้าง บางครั้งต้องข่มความรู้สึกนั้นไว้ใต้ส่วนลึกของจิตใจ เพื่อไม่ให้พรั่งพรูออกมาทำร้ายผู้มีพระคุณ
วันนี้เองก็เป็นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา หลังจากทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเห็นชิงเอ๋อว่างอยู่เช่นกัน จึงได้เข้าไปถามข้อสงสัยที่คาใจของตนเอง
"อาชิง ใบหน้าของคุณหนู..." อาเซียงยังพูดไม่ทันจะจบความ ก็ถูกหญิงสาวคู่สนทนาเอ็ดเสียงเข้ม
"นี่เจ้า..." ถึงจะไม่รู้ว่า ชายหนุ่มจะมีความรู้สึกเช่นไร หรือมีท่าทีอย่างไร หลังจากเห็นบางสิ่งบนใบหน้าของคุณหนู ก็อดหวั่นใจมิได้ว่า บุรุษผู้นี้ก็คงจะมิแตกต่างจากผู้ชายอื่นๆ ทั่วไป แต่นางก็ยังข่มใจถามออกไป "เห็นมันแล้วหรือ"
"ใช่...ข้าเห็นและรู้สึกเห็นใจคุณหนูยิ่งนัก ใบหน้าเป็นประหนึ่งชีวิตของผู้หญิงแท้แท้ แต่นางกลับต้องทุกข์ทรมานเกินคณา จิตใจของนางช่างเข้มแข็งยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก" อาเซียงพลางนึกชื่นชมในจิตใจของคุณหนูผู้มีพระคุณอยู่ไม่น้อย
"เจ้าช่างมีน้ำใจประเสริฐ ข้าเองมิควรปิดบังเจ้า ใบหน้าของคุณหนูถูกทำลาย เพราะเชื้อร้ายจากหนอนพิษเสพสังวาส" เมื่อพิเคราะห์เห็นถึงความไร้เดียงสาของชายหนุ่ม สาวใช้จึงบอกโดยมิได้อำพรางแต่อย่างใด ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
"เช่นนั้น หลุมฝังศพมากมายที่อยู่นอกกระท่อม ก็คือ..." อาเซียงพลันนั่งนิ่งค้าง คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน แล้วครุ่นคิดว่า
โลกใบนี้มีอะไรให้เรียนรู้ มากกว่าในตำราเสียจริง เพราะขนาดพิษร้าย ที่คิดว่าจะเพียงในนิยายกำลังภายใน ก็มีจริงเสียด้วย หนอนพิษเสพสังวาส คงมีฤทธิ์เหมือนกับยาเสียสาวในโลกเดิมของเขา แตกต่างเพียงผลข้างเคียงที่รุนแรงยิ่งกว่า คือหากมิได้ร่วมรัก จักถูกพิษร้ายทำลายใบหน้า จนกลายสภาพเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง สำหรับหญิงสาวนางหนึ่ง ที่ต้องพบเจอชะตากรรม คงทุกข์ทรมานเหลือคณา
"เป็นหลุมศพของเหล่าพี่น้องที่ปลิดชีพ ดีกว่าอยู่แบบตายทั้งเป็น ทำให้หมู่ตึกนี้จึงเหลือเพียงข้ากับคุณหนูเท่านั้น" ชิงเอ๋อกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย ทว่าแววตาของนางพลันปรากฏความแค้นเคืองจนเห็นได้ชัด
หยูฟู่เหรินผู้นี้ ช่างมีจิตใจโหดเหี้ยมนัก เป็นผู้ดีจอมปลอมโดยแท้ ลงมือได้แม้กระทั่งกับเหล่าสตรีไร้เดียงสา ทว่าในเรื่องเล่านี้มีอย่างหนึ่งที่เป็นความสัตย์จริงอยู่ประการหนึ่งคือ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ความเด็ดเดี่ยวของอิสตรีมิอาจดูแคลนได้ แต่ในเรื่องเล่าเหล่านั้นยังมีข้อพิรุษอีกอย่าง หากทุกคนโดนพิษหมด แล้วไฉนสาวใช้ตรงหน้ายังมีใบหน้าเป็นปกติอยู่เล่า
ชายหนุ่มครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปว่า "แล้วชิงเอ๋อล่ะ หายจากอาการเหล่านั้นได้เช่นใดกัน ดูจากใบหน้าของเจ้าไม่ปรากฏมีแผลพิษอยู่มิใช่หรือ"
"อะ..." สาวใช้มิตอบอันใด นางเพียงหน้าแดงแฝงด้วยหยาดน้ำตาเม็ดใสๆ ได้คลอเบ้าเคล้าความรู้สึกขวยเขิน พลางแสร้งหันไปมองยังม้าตัวหนึ่งที่ผูกไว้ในคอก สัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวในละแวกนี้
ครั้นเห็นท่าทีดังกล่าว อาเซียงจึงลอบสำนึกผิดและกล่าวอภัยที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากเกินไป จึงหันมามุ่งสนใจในอาการของคุณหนูเจ้าของหมู่ตึกแทน
"เช่นนั้นอาการของคุณหนูไม่มีทางรักษาเลยหรือ" แม้มิใช่เรื่องที่ตนควรสอดรู้สอดเห็น แต่ชายหนุ่มอดเป็นห่วงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนไม่ได้จริงๆ
"มีเพียงการรวมหยินหยางเป็นหนึ่งเท่านั้น ที่จะรักษาอาการเหล่านี้ลงได้" ชิงเอ๋อซับน้ำตาครู่หนึ่ง แววตาของนางคล้ายจะมีความหวังปรากฏ ทว่าเหมือนมันมลายหมดสิ้นลงไปพร้อมๆ กัน พลางถอนหายใจ แล้วกล่าวต่ออีกว่า "เฮ่อ!...แต่จะมียอดบุรุษใดเล่าจะเสียสละตน เพื่อหญิงสาวนางหนึ่ง ที่มีชีวิตอันน่าอดสู ผู้ต้องทุกข์ทนกับใบหน้าอัปลักษณ์ และฟูมฟักพิษร้ายภายในตัวมานานหลายปีเช่นคุณหนู พี่เซียงก็ลองคิดดูในข้อนี้เอาเองเถิด"
อ่า ยอดบุรุษที่ว่า...นางคงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกนะ
"หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง" อาเซียงทวนคำของชิงเอ๋อ พลันลอบกลืนน้ำลายหลายอึก แม้จะยังสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะพลังหยินนั้นหมายถึงเพศหญิง ส่วนพลังหยางก็คือเพศชาย ส่วนการรวมพลังหยินหยางเป็นหนึ่งก็คือ...
คิดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นในหัวของชายหนุ่มก็พลันนึกถึงคำพูดของตนเองสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขามักจะพูดแซวเพื่อนผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ว่า มาเล่นจับคู่โครโมโซม X กับโครโมโซม Y กันมั้ย ขึ้นมาทันที
เอ๊...หากเป็นเช่นนั้นจริง ใบหน้าที่หายเป็นปกติของชิงเอ๋อ แล้วท่าทีที่นางลอบมองม้าตัวนั้นช่างน่าประหลาดใจนัก อย่าบอกนะว่า ระหว่างนางกับม้าตัวนั้น แบบว่ามี...
ชายหนุ่มนึกสงสัย พลางกลืนน้ำลายกลั้วคอเสียหลายอึก พยายามประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน พลันคาดเดาถึงเหตุผล ที่ชิงเอ๋อมีใบหน้ากลับมาเป็นปกติได้อย่างเดียวเท่านั้น
ทว่านั่นกลับเป็นสิ่งเขาเดาผิดไปไกลโขเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คุณหนูมีบุญคุณต่อเขา สมควรยิ่งที่ต้องตอบแทน
++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น