ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #2 : อาเซียงกับเซียงน้อย

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 63


    13/09/61 อัพนิยาย

    17/12/61 รีไรท์

    ...เจอคำผิดตรงไหน บอกด้วยจ้า...

     

    "ซือหม่าเซียง" ลิขิตสวรรค์พู่กันวิญญาณ

    ตอน อาเซียงกับเซียงน้อย


    "อ๊า...ให้ตายสิ นี่ใบหน้าของเราคงไม่ไปกวนอวัยวะเบื้องล่างของใครเข้าหรอกนะ" ชายหนุ่มหอบร่างอันถลอกปอกเปิกของตนเองลัดเลาะจากสวนดอกท้อ 


    เขาพึ่งหลบหนีจากหนึ่งชายหนึ่งหญิง ที่กำลังปะทะฝีปากอย่างดุเดือด จนเลยเข้าเขตสู่ใจกลางสวนส้มของตนเอง


    ใบหน้าของเขามอมแมม ทั้งเนื้อตัวด้านหน้าก็เต็มไปด้วยฝุ่นดินแห้งผาก ริมฝีปากเจ่อเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะมีรอยบาดแผลแดงสดที่มีเลือดยังไหลหยดซิบๆ อยู่ 


    สาเหตุเป็นเพราะหน้าของเขา ถูไถไปกับพื้นดินด้วยแรงปะทะ ส่วนแผ่นหลังมีเพียงรอยขีดข่วน เหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนั้น พลันปวดร้าวราวจะหักสะบั้นลงเสียเดี๋ยวนั้น


    อาเซียงหาได้ใส่ใจ เกี่ยวกับผู้ลงมือลงไม้กับตนเองจนได้รับบาดเจ็บไม่ เขาเพียงกำกระดาษแผ่นหนึ่งในกำมือไว้แน่น เหมือนไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้อ่านมัน หรือพบเห็นเนื้อความในนั้น 


    ก่อนจะทบทวนถ้อยความทั้งหมด จนจำขึ้นใจ จากนั้นจึงฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนทิ้งเสีย


    ...ชีพนี้มิจีรังดั่งเถาฮวา 

    ถึงคราเหมันต์พลันร่วงหล่น 

    หมื่นกลีบเกลื่อนธราดล 

    คล้ายร่างชนกล่นธุลี...


    หึๆ ตอนหนึ่งของบทกวีที่พึ่งแต่งเสร็จนี้ ช่างถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเราได้เหมาะเจาะยิ่งนัก ฟื้นจากความตายในร่างนี้ได้ไม่กี่เดือน เกือบต้องหวนกลับไปเป็นเพื่อนยมบาลอีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ


    อาเซียงครุ่นคิด ครั้นได้ยินเสียงท่านหญิงเฝิงดังใกล้เข้ามา เขาก็ต้องข่มอาการบาดเจ็บของตนทนสืบเท้าก้าวต่อไป ด้วยมิต้องการให้โฉมสะคราญต้องพบเห็นในสารรูปเวทนา จึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเข้าไปในสวนส้มเร็วขึ้นเรื่อยๆ


    ยิ่งเดินลึกไปเท่าใด เสียงของหญิงสาวก็ค่อยๆ เบาลง จนแล้วจนรอด เมื่อหมดแรงจะก้าวต่อ อาเซียงที่ถ่อสังขารอันรวดร้าว ก็ต้องทิ้งกายลงนอนแผ่หลาอยู่ริมลำห้วยใหญ่สายหนึ่ง


    "ซู่..." ชายหนุ่มเป่าปากอย่างโล่งใจ พลางลอบสมเพชตนเอง ที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะมัวสนใจในแต่งบทกวีจนไม่ทันระวังตัว ปล่อยให้ผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้


    คงตั้งแต่สามเดือนก่อนมั้ง เขาได้หลุดมาในโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองต้องตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆ แต่ก็อุตส่าห์รอดมาได้อย่างหวุดหวิดจนถึงตอนนี้


    ในใจของอาเซียงยามนี้พลันนึกขอบคุณท่านหญิงเฝิงมาก เพราะนางเป็นผู้ช่วยเหลือเขาครายากลำบาก ก่อนจะระลึกถึงเหตุการณ์อันโหดร้ายทารุณ จากการทดลองขององค์กรลึกลับในโลกเดิม ที่ตนได้หลวมตัวเข้าไปพัวพันด้วยจนใจ


    ภาพของตู้กระจกบานใสขนาดเท่าสระว่ายน้ำ เต็มไปด้วยน้ำทะเลแตกฟองอย่างบ้าคลั่ง บนผิวคลื่นกำลังม้วนเกลียวเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง


    ขณะร่างของตน ถูกตึงบนทุ่นกางเขนลอยปริ่มน้ำ โดยเบื้องล่างนั้นกลับมีประกายไฟฟ้าสว่างวาบ ทาทาบผิวน้ำดูเรืองรองส่องแสงจ้า


    ปลาไหลไฟฟ้าขนาดเท่าเสาไฟฟ้าความยาวกว่า 20 เมตรนับร้อยตัว กำลังว่ายเวียนวนไปมาอยู่ใต้ทุ่นกางเขน ดวงตาแดงฉานปานโลหิตของมันแสดงออกถึงความดุร้ายและบ้าคลั่ง


    ไม่ถึงชั่วอึดใจ พวกมันทุกตัวล้วนอ้าปากง้างขากรรไกรจนสุด เพื่อรุมขยำร่างของเขาอย่างเมามัน 


    โชคยังดีที่พวกมันได้หากัดกินชิ้นเนื้อของเขาไม่ แต่ต่างพร้อมใจกันปล่อยกระแสไฟฟ้า ให้ไหลสู่ร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างกายของเขาค่อยๆ ดำคล้ำขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นเนื้อไหม้ครุกรุ่นรุนแรงปะปนกับกลิ่นไอน้ำเดือด


    ณ เวลานั้น ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนทั้งร่างกายบางเบาจนสามารถลอยได้อย่างปริศนา และคิดเพียงว่า ตอนนั้นตนเองได้ตายไปแล้ว ทว่าวิญญาณกลับถูกแสงสว่างสีขาวจ้านำทางมาสู่อีกร่างหนึ่ง ที่นอนสิ้นลมกลางสวนส้มในอีกโลกไปเสียได้


    ถึงจะในใจรับรู้เหมือนตนเองเพียงฝันไปก็ตามที แต่ใบหน้างดงามราวเทพธิดา กำลังเปื้อนหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าของหญิงนางหนึ่ง ซึ่งกำลังจะจุมพิตอำลาลงกลางหน้าผากของร่างใหม่ 


    นางพลันสิ้นลมหายใจด้วยสาเหตุใดก็มิอาจทราบได้ กลับทำให้เขากลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์อีกครั้ง คล้ายชีวิตของเขาต้องแลกกับลมหายใจสุดท้ายของหญิงงามผู้นั้น


    "อภัยให้แม่ด้วยเซียงเอ๋อ ลูกต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ..."


    แม้นจะได้ยินเพียงแผ่วเบา แต่เสียงดังกล่าวกลับดังก้องกังวานสะท้านหัวใจดวงน้อยๆ ของชายหนุ่มไม่รู้เลือน 


    อาเซียงรู้ทันทีว่า เจ้าของร่างใหม่ ชื่ออาเซียงเช่นเดียวกันกับเขา และร่างนี้คือลูกชายของหญิงนางนั้นเป็นแน่ และนางก็คือแม่ของเขาในโลกนี้เช่นกัน


    "ท่านแม่..." ชายหนุ่มฟื้นสติกลับมา ขณะที่ข้างกายมีร่างหญิงผู้นั้นนอนจมกองเลือดในสภาพเวทนา เพราะทั่วกายาของนางถูกลูกเกาทัณฑ์ปักคลุม คล้ายนุ่งห่มเสื้อคลุมขนเม่นก็ไม่ปาน 


    ใครกัน... ช่างมีจิตใจอำมหิต พรากชีวิตสองแม่ลูกให้ตกตายตามกันอย่างน่าอนาถแบบนี้ แต่เอาเถอะเมื่อผมกลับมาชีวิตใหม่ในร่างนี้ ก็ขอตอบแทนบุญคุณของสองแม่ลูก โดยการแก้แค้นให้ทั้งสองคนเอง


    เมื่อครุ่นคิด จิตใจของชายหนุุ่มรู้สึกปวดร้าวทรมานแสนสาหัส ความเคียดแค้นชิงชังอุบัติขึ้นในแววตา ในหัวมีความคิดเพียงอย่างเดียวคือ หาทางแก้แค้นกับผู้ที่กระทำพฤติกรรมผิดมนุษย์เช่นนี้ให้สาสม


    แม้รอบๆ จะมีร่องรอยของการต่อสู้อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ที่น่าแปลกใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ ของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบ ไม่มีการรื้อค้นข้าวของ หรือมีทรัพย์สินชิ้นใดสูญหายไปเลย นั่นย่อมแสดงว่า ทั้งคู่ถูกหมายหัวคร่าชีวิตเท่านั้น


    หลังจากฝังศพหญิงคนดังกล่าว พร้อมกับทรัพย์ทั้งหมด ไว้ที่ด้านหลังสวนส้มใกล้เชิงเขาอู่ไถแล้วเสร็จ โดยมิได้หยิบจับเครื่องประดับชิ้นอื่นใดติดมือไปเลย มีเพียงปิ่นหยกขาว สลักเสลาด้วยลวดลายมังกรดั้นเมฆตลอดทั้งอัน ที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ต้นเท่านั้น 


    จากนั้นอาเซียงไม่รีรอ เร่งศึกษาองค์ความรู้ต่างๆ จากสิ่งที่มีอยู่รอบตัว อาทิ หนังสือ ตำรา และฝึกสนทนากับเด็กๆ ในละแวกนั้น เพื่อให้เข้าใจภาษาของโลกนี้ให้เร็วที่สุด คราแรกลำบากจนเกือบถอดใจ แต่พอคิดถึงอนาคตในโลกนี้ มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น


    ดูเหมือนสวรรค์ยังเป็นใจอยู่บ้าง เมื่อเขาพอเรียนรู้ได้สักพักหนึ่ง ก็เกิดเข้าใจอย่างง่ายดาย คล้ายสมองของตนทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้เองจนน่าประหลาดใจ


    อาเซียงเพียงแค่หยิบจับตำรับตำราขึ้นมา แล้วเปิดอ่านไปเพียงรอบเดียว ก็รู้ลึกซึ้งถึงเนื้อหาสาระโดยละเอียดแล้ว จนเผลอคิดว่า นี่สินะสกิลของตัวเอกในนิยายต่างโลกที่เขาเคยอ่าน


    ชายหนุ่มตระหนักดีว่า ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นในโลกใหม่ต้องดำเนินต่อไปเช่นใด เพราะสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเรียนรู้ภาษาอยู่ นั้นคือการใช้ความรู้จากโลกเก่าเอาชีวิตรอด และต้องไม่ด่วนตายก่อนเวลาอันควรนั่นเอง 


    เขาในตอนนี้ต้องเร่งฝึกปรือพลังวิญญาณ อันเป็นพลังรูปแบบหนึ่ง ที่ไหลเวียนภายในร่างของสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์ สัตว์ และพืชพันธุ์ต่างๆ ในโลกใหม่แห่งนี้


    ตำราสรรพศาสตร์แขนงต่างๆ ล้วนกล่าวตรงกันว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีพลังวิญญาณสถิต แต่ทุกชีวิตหาได้สามารถฝึกฝน และช่วงใช้มันได้อย่างใจนึกไม่ เพราะผู้มีพลังวิญญาณถึงขั้นฝึกฝนได้ ย่อมเป็นเพียงผู้ถูกเลือกโดยจิตวิญญาณเท่านั้น


    จิตวิญญาณในโลกนี้มีหลายรูปแบบ จากตำราที่อาเซียงเคยศึกษาแบ่งออกเป็น 6 สายหลักๆ ได้แก่ ศาสตรา กายา อสุรา พฤกษา เครื่องมือ นับเป็นจิตวิญญาณ 5 สายนั้นพบได้ทั่วไป แล้วยังมีจิตวิญญาณที่หายากอยู่ คือจิตวิญญาณเทวา


    จิตวิญญาณจะเกิดมา พร้อมกับร่างกายของมนุษย์ สืบทอดผ่านทางสายเลือด โดยคนทั่วไปจะสืบทอดจิตวิญญาณจากบิดา หรือมารดามาเพียงจิตวิญญาณเดียวเท่านั้น 


    เมื่อเด็กชายและหญิงมีอายุระหว่าง 7-15 ปี ถือว่าเป็นช่วงอายุที่มีพลังวิญญาณสมดุลที่สุด ควรเข้ารับการปลุกจิตวิญญาณจากอารามเทียมสวรรค์ ซึ่งทำให้รู้ว่า แต่ละคนมีจิตวิญญาณประเภทใด และมีพลังวิญญาณแรกเริ่มที่ระดับไหน เพื่อจะได้พัฒนาศักยภาพของตนตามมรรคา อันถูกต้องเหมาะสมต่อไป


    ระดับพลังวิญญาณแรกเริ่มของมนุษย์มีตั้งแต่ ขั้น 1 ถึง ขั้น 10 หากมีพลังอยู่ในขั้นที่ 10 จะเรียกว่า มีพลังวิญญาณแรกเริ่มเต็มขั้น นั้นหมายถึงการฝึกฝนจิตวิญญาณของคนผู้นั้น จะก้าวหน้าเร็วขึ้นและมีศักยภาพมากขึ้นอีก 10 เท่าตัวนั่นเอง


    หลังจากปลุกจิตวิญญาณได้เรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณทุกคนจะได้ชื่อว่าเป็น "จอมยุทธ์ภูต" ซึ่งแต่ละคนต้องเฟ้นหาวงแหวนวิญญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่า วงแหวนภูตที่เหมาะสมกับจิตวิญญาณของตนเอง 


    วงแหวนภูตช่วยเพิ่มพูนทักษะวิญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการเข้าสังกัดหรือเข้าสำนักต่างๆ ที่มีทางการฝึกฝนเหมาะสมกับตนเอง รวมถึงยังได้ฝึกฝนวรยุทธ์วิญญาณของสำนักนั้นๆ ด้วย


    ระดับของพลังวิญญาณของมนุษย์นั้น แบ่งออกเป็น 9 ระดับ คือ ฝึกยุทธ์ มหายุทธ์ จอมยุทธ์ นักรบ ขุนพล แม่ทัพ จอมปราชญ์ ราชัน และจักรพรรดิ 


    แต่ละระดับจะสามารถดูดกลืน และครอบครองจำนวนวงแหวนวิญญาณเพิ่มขึ้นระดับละ 1 วงด้วย 


    ถึงอย่างนั้นยังมีระดับเทวะอยู่อีกหนึ่งระดับ ที่ข้อมูลยังเป็นปริศนาอยู่


    การจะเลื่อนระดับพลังวิญญาณขอตนให้สูงขึ้น ต้องอาศัยการขัดเกลาฝีมือยุทธ์ พร้อมกับการฝึกฝนสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ จนแกร่งกล้าทัดเทียมภูติวิญญาณที่ตนต้องการ 


    จากนั้นจำเป็นต้องสังหารภูติวิญญาณ เพื่อดูดกลืนวงแหวนภูตของภูตวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกระบวนการดูดกลืนนี้ เรียกว่า "หลอมวิญญาณ"


    แต่สำหรับผู้ดีมีตระกูลและผู้มั่งมีทั้งหลาย มีทางลัดในการช่วยหาวงแหวนภูตได้ง่ายขึ้น โดยจ้างวานจอมยุทธ์ภูตผู้มากฝีมือจากที่ต่างๆ มาช่วยล่าภูตวิญญาณที่ตนต้องการ ซึ่งกลุ่มจอมยุทธ์ภูติรับจ้างได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ และเพียงพอให้จัดหายุทธภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตน เพื่อการล่าภูตวิญญาณระดับสูงยิ่งขึ้นไปอีก


    ทว่าการหลอมวิญญาณแต่ละครั้ง ต้องอาศัยร่างกายและจิตใจ หากผิดพลาดเพียงนิดเดียว อย่างเบาอาจแค่บาดเจ็บภายใน 


    หากการหลอมวิญญาณล้มเหลว วงแหวนภูติวิญญาณจะสูญสลายไปทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ อย่างหนักอาจถึงขั้นทำให้ร่างกายร้อนรนจนระเบิดพลังวิญญาณออกมาทางทวารทั้ง 9 แล้วเสียชีวิตเพราะพลังวิญญาณย้อนกลับ


    ส่วนระดับพลังของภูตวิญญาณนั้น มีความแตกต่างจากมนุษย์อยู่มาก เพราะภูตแต่ละตนต้องอาศัยการบ่มเพาะพลังเป็นช่วงอายุ เริ่มจากช่วงสิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี และล้านปี โดยจะมีวงแหวนวิญญาณแต่ละช่วงปีเป็นสีขาว สีเหลือง สีเขียว สีคราม สีม่วงและสีแดง และสีดำตามลำดับ


    วงแหวนของภูติวิญญาณจะปรากฏออกมา เวลาพวกมันจะจู่โจมเท่านั้น ซึ่งคาดเดาไม่ได้เลยว่า จอมยุทธ์ภูตผู้ล่าจะพบเจอเข้ากับภูตวิญญาณช่วงอายุใด ซึ่งนั่นคือความเสี่ยงที่ต้องแลกเพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศ 


    แต่หากศึกษาค้นคว้ามากพอ พวกเขามีฐานข้อมูลในการวิเคราะห์หาช่วงอายุของภูติวิญญาณจากขนาด สีสัน หรือออร่าวิญญาณ โดยความรู้มากมายเหล่านี้มีอยู่ในสำนักวิญญาณยุทธ์ ซึ่งย่อมมีแนวทางแตกต่างกันออดไป


    ช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้วงแหวนภูตมีค่าเกินคณานับ เพราะยิ่งภูตวิญญาณมีช่วงอายุสูงขึ้น ยิ่งมีระดับพลังวิญญาณ และความแข็งแกร่งสูงล้ำ 


    ทว่ากลับยิ่งให้ผลลัพธ์ ในการดูดกลืนวงแหวนภูติอันมหาศาล อย่างคาดไม่ถึง 


    กล่าวกันว่า มีภูติวิญญาณบางชนิดที่ช่วงอายุหมื่นปีขึ้นไปบางตน สามารถพูดภาษามนุษย์ได้


    ปัจจุบันเป็นเวลากว่าสามเดือนแล้ว ที่เขามายังโลกนี้ อาเซียงยังไม่มีแม้แต่โอกาส ในการเข้ารับการปลุกจิตวิญญาณของตนเลย 


    ถึงอายุของเจ้าของร่างนี้ก็เลยวัย 15 หนาวมายาวนานมากแล้ว เนื่องด้วยไม่บ่อยครั้งนัก ที่เหล่านักพรตจากอารามเทียมสวรรค์ จะแวะเวียนมาประกอบพิธีปลุกจิตวิญญาณให้ผู้สนใจ ณ เมืองห่างไกลในแดนใต้อย่างเมืองกุ้ยหยาง 


    ดังนั้นผู้ต้องการปลุกจิตวิญญาณส่วนใหญ่ จึงล้วนเดินทางไปยังเมืองหลวง ไม่ก็หัวเมืองใหญ่ที่มีการจัดพิธีปีละครั้งเท่านั้น


    อาเซียงพลันอดระลึกนึกถึง ช่วงเวลาอันแสนสงบสุขตลอดสามเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นลูกมือในสวนส้ม รวมถึงการได้เป็นสหายกับท่านหญิงเฝิงตั้งแต่วัยเยาว์ ก็นับเป็นวาสนาของเขาอยู่บ้าง 


    ปิงเอ๋อ นางไม่รังเกียจคนธรรมดาสามัญเช่นตน ทั้งยังช่วยเหลือตัวเขาในเรื่องต่างๆ ไม่น้อย และคอยอุดหนุนส้มจากสวนอยู่เป็นประจำอีกด้วย


    ชายหนุ่มจำได้ขึ้นใจว่า ครั้งหนึ่งนางเคยเสนอเขาให้ได้ทำงานในจวนอ๋องตำหนักใต้ แต่เขากลับปฏิเสธโอกาสทองอย่างนอบน้อม พร้อมแจ้งเหตุผลไปด้วยว่า เมื่อตนเกิดเป็นชายย่อมละลายใจนัก หากมิแสวงหาความก้าวหน้าด้วยตนเอง


    คำตอบนั้น ทำให้ท่านหญิงเฝิงประทับใจ และอ๋องเฝิงหยางลอบชื่มชมในความคิดสมชายชาตรี ถึงกับเสนอตัวให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ หากชายหนุ่มต้องการให้ช่วยเหลือในเรื่องใดๆ ก็ตามที 


    อาเซียงขอบคุณในความเมตตาดังกล่าว พร้อมบอกกับท่านอ๋องเฝิงว่า หากมีโอกาสอันเหมาะสม เขาคงต้องรบกวนท่านอ๋องแน่นอน ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการตัดสินใจขอยืมเงิน 50 ตำลึงทองจากท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องเฝิงกลับให้ยืม 500 ตำลึงทอง เพราะถูกใจในอุปนิสัยของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย


    อาเซียงได้ซื้อสวนส้มกว่า 50 ไร่ ของท่านผู้เฒ่าจางเหลียนที่กำลังประกาศขาย หลังมีข่าวลือเกี่ยวกับกลุ่มโจรร้ายบุกปล้นและฆ่าคนทิ้งด้านหลังสวนส้ม ทำให้ผู้เฒ่าจางคิดหาทุนไปเปิดโรงเตี๊ยมให้ลูกชายและย้ายไปอยู่เมืองเซียงหยาง


    ด้วยเหตุนั้น อาเซียงจึงรับช่วงดูแลสวนส้มระหว่างรอโอกาสเหมาะๆ ในการปลุกจิตวิญญาณของตน


    ครุ่นคิดได้เพียงเท่านี้ อาเซียงพลันฟื้นสติขึ้นมาได้อย่างฉับพลันและพบว่า ตนเองเกยกองสนมและสาหร่ายลอยคอตามกระแสน้ำจากลำธาร จนมาถึงเว้งน้ำกว้างใหญ่ของทะเลสาบหงส์ร่อน


    ชายหนุ่มตะเกียกตะกายว่ายเข้าสู่ฝั่งเพื่อพักผ่อน จนผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม แล้วหามุมเหมาะๆ เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายและผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งสนิท


    "ตรงนี้แหละ ลับตาคนแล้ว"  อาเซียงค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตนออกผึ่งแดด และย่างกายลงไปในทะเลสาบอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


    ไม่บ่อยครั้งนัก มักมีชาวประมงมาจับปลาแถวนี้ ไม่ก็มีคู่รักหนุ่มสาวที่อาจจะนัดแนะพบกันอยู่เนื่องๆ 


    "เฮ่อ...หากใครมาพบเข้า คงเข้าใจผิดว่าเราเป็นพวกวิตรถารแน่ คงต้องว่ายออกไปให้ไปไกลกว่านี้ซะแล้ว"


    พอออกจากฝั่งน้ำ เขาว่ายมาถึงเวิ้งน้ำห่างฝั่งอยู่มากโข อาเซียงพลันนึกถึงเพลง ที่ตนเคยร้องเล่นในสมัยเป็นเด็กขึ้นมาได้ โดยเนื้อร้องท่อนประทับใจเหมือนจะร้องว่า


    "ชาละวันกุมภีล์ จระเข้แสนดีลงเล่นธารา มีเมียหนึ่งคน นวลน้องหน้ามนวันนี้ไม่มา..."


    พอร้องซ้ำไปมากว่าสองรอบ ชายหนุ่มจึงดำผุดดำว่ายท่ามกลางสายน้ำอย่างเพลิดเพลิน จนเผลอล่วงล้ำสู่น่านน้ำปริศนา


    "ไอ้หยา!..." อาเซียงลอบอุทานขึ้นในใจ เพราะห่างไปไมถึงสามช่วงตัว มีหญิงสาววัยแรกรุ่น เปลือยกายเล่นน้ำในทะเลสาบหงส์ร่อนอย่างสำราญใจ 


    เมื่อเห็นผมดำขลับยาวสลวยสวยงาม จนถึงกลางแผ่นหลัง ใบหน้าราวหยกหิมะกระจ่างใสไร้รอยริ้ว คิ้วโก่งโค้งรับกับดวงตา ริมฝีปากระเรื่อแดงไม่แพ้ชาดแต้ม ยามแย้มสลวลช่างดูทรงเสน่ห์ ต้นคอระหง ทรวงทรงกลมกลึงตั้งแต่หัวไหล่จนถึงเนินอก ล้วนงดงามดั่งเทพเลขา


    ชายหนุ่มแทบจะหยุดหายใจ ในหัวโปร่งโล่งไร้ความกังวลใดๆ  ทว่าสายตาไม่อาจหยุดมองปลายยอดประทุมถันอมชมพู ที่อยู่บนเนื้อนวลอันเต่งตึงได้


    คะเนจากระยะนี้ คงกะประมาณด้วยสายตาได้ว่า มันมีขนาดได้ไม่ต่ำกว่า 36 นิ้วเป็นแน่ แค่มองเพียงท่อนบน ก็มิอาจทนละสายตาจากท่อนล่างที่สายน้ำอำพรางไว้


    ชายหนุ่มหักใจดำน้ำเข้าไปใกล้หญิงสาวมากเดิม เพราะหากมิคว้าโอกาสนี้ไว้ ก็ประหนึ่งทิ้งภาพวาดของยอดจิตรกรให้หมดคุณค่าไปโดยปริยาย เมื่อมิมีผู้ใดหมายชื่นชมผลงานอันวิจิตร ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก


    แม้นในระดับลึก น้ำในทะเลสาบหงส์ร่อนยังใสสะอาดจนมองเห็นเช่นปกติ แต่เมื่อกวาดสายตามองไปข้างหน้า ดวงตาทั้งสองประสบกับ หน้าท้องอันแบนราบทาทาบผิวน้ำอย่างชัดเจน


    เอวคอดกิ่วพลิ้วรับกับสะโพกผายงอนได้รูปทรง ยิ่งเนินเนื้อสีชมพูที่อำพรางด้านล่างแพรไหมสีนิล เรียงเส้นแพรพรรณเป็นระเบียบเรียบราบกับพื้นที่สามเหลี่ยมเหนือบริเวณต้นขา


    ยิ่งพอไล่สายตาขึ้นด้านบนกลับพบเจอเรือนร่างขาวสะอาด ที่กำลังใช้มือเรียงงาม ปิดบังประทุมถันทั้งสองข้างอย่างเอียงอาย ซึ่งยามนี้ชายหนุ่มมิมีความคิด ที่จะชื่มชมความงามเหล่านั้นเสียแล้ว


    แม้หญิงสาวจะง่วนกับการค้นหาบางสิ่ง ทว่าประสาทสัมผัสของนางก็เฉียบคม ประกอบกับมองเห็นบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาจากใต้ผิวน้ำ จึงเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ตนกำลังตามหาอยู่พอดี


    "ขึ้นมาอาหลง เจ้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ" เสียงใสร้องเรียกหาบางสิ่ง ซึ่งนั้นน่าจะเป็นชื่อของอะไรสักอย่างที่นางกำลังตามหาอยู่เป็นแน่


    ทว่านานสองนานกลับไร้วี่แววของเจ้าของชื่อ สาวงามจึงปลดปล่อยทักษะจิตวิญญาณกระบี่ของตนเข้ารุกไล่ ตามการเคลื่อนไหวของเจ้าสิ่งนั้นใต้ผิวน้ำ เพียงชั่วครู่ก็ต้อนเป้าหมายเข้าตาจนได้สำเร็จ


    "อ่า..." อาเซียงจะหาทางออกอย่างใดได้เล่า ความผิดของตนรู้ซึ้งอยู่เต็มอก ครั้นจะลอบดำน้ำหลบหนีให้รอดพ้นคมกระบี่ มิสู้ยอมจำนนดีกว่าดิ้นรนไปจนตายมิใช่หรือ


    ชายหนุ่มค่อยๆ โผหัวแหวกผืนน้ำเข้ามาใกล้จุดที่หญิงสาวเหินกระบี่รออยู่ "ชะช้าก่อนแม่นาง โปรดยั้งมือก่อน อาหลงคืออันใดกัน ข้ามิรู้ด้วยหรอก"


    หญิงงามได้ยินและเห็นหน้าชายหนุ่มแทบหัวร้อนฉ่า ทั้งรู้สึกโกรธาและอับอายยิ่ง เมื่อสิ่งสงวนบนเรือนกาย ได้ถูกชายหนุ่มเห็นทุกซอกทุกมุมจนถ้วนทั่ว 


    จะชั่วดีนางก็เป็นหญิงพรหมจรรย์ แม้จะปิดบังเรือนกายด้วยมือทั้งสองสักปานใด ขนาดของมันใช่ว่าจะปกปิดให้มิดชิดได้


    ยิ่งกว่านั้นตามจารีตประเพณีโบราณ นางย่อมควรแต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้ ไม่ก็ปลิดชีวิตเขาทิ้งเสียให้สิ้น ถึงจะล้างมลทินครั้งนี้ได้


    ครั้นเหลือบมองบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า แม้นใบหน้ามิได้หล่อเหลาชวนมอง ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับเปล่งประกายคล้ายแววตาของผู้มีสติปัญญา พอให้คาดเดาถึงร่างกาย คงจะกำยำ ยิ่งดูงามสง่า ช่างชวนให้เกิดเสน่หาและหลงใหลได้ปลื้มยิ่งนัก


    สาวงามหวนขบคิดถึงความบริสุทธิ์ของวัยสาวที่ราวมลายสิ้น ด้วยนางเฝ้าฝันใฝ่ถวิล รักนวลสงวนตัวตามโอวาทของบุพการี หากจะรักษาชื่อเสียงของตนคงมิพ้นออกเรือนไปกับเขาหากอีกฝ่ายมิยินยอมก็ยากจะฝืนใจ ทว่านางก็มิอาจไว้ชีวิตเขาได้ กระนั้นจึงลองสอบถามความสมัครใจดูเสียก่อน


    "เจ้าจะยอมตาย หรือกะ...กลายเป็นสะ...สามีของข้า" เสียงใสสั่นเครือ หญิงสาวมิใช่กลัวเกรง แต่ทั้งโกรธและอับอาย เมื่อสิ่งกั้นกลางระหว่างนางและชายหนุ่ม มีเพียงผิวน้ำสดใสราวแผ่นกระจกที่ปกปิดเรือนร่าง นั่นมิเท่ากับอวดสัดส่วนโค้งเว้า ที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เฝ้าฝัน ในคืนวันวิวาห์ร่วมเรียงเคียงหมอนหรอกหรือ


    "..." อาเซียงอ้าปากค้างพูดไม่ออก จะให้เขาตอบอะไรออกไปได้กันล่ะ เมื่อจิตวิญญาณร่างกระบี่กลีบเหมยคมกริบทั้งเก้าเล่ม ลอยจ่อคอหอยในระยะประชิด 


    ชายหนุ่มทำได้เพียง ปิดปากสงบคำ ประหนึ่งมีน้ำท่วมปาก เพราะยากจะคิดหาเหตุผลร้อยพันมาแก้ต่างข้างตนได้ 


    ยิ่งในโลกนี้ด้วยแล้ว การจะประหัตประหารใครสักคน ก็มิใช่เรื่องยากเย็น ด้วยจอมยุทธ์ภูตสังหารกันไม่เว้นวัน 


    ยิ่งกว่านั้น เรื่องล่วงล้ำความบริสุทธิ์ระหว่างหญิงชาย มีเพียงโทษคือความตายจึงนับว่าสมควรแล้ว


    สาวงามเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย คล้ายมิยอมรับคำของนาง บิ่งพลางโมโห ด้วยพาลคิดว่า ชายหนุ่มตรงหน้ามิได้มีเสน่หา หรือมิได้คิดรับผิดชอบในตัวของนางเลยอย่างนั้นหรือ


    "เจ้าผู้ชายน่าไม่อาย แต่งก็ไม่แต่ง แถมยังคิดจะขโมยอาหลงไปอีก เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ หากมิเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ" โฉมสะคราญตวาดเสียงกดดัน เมื่อมิอาจปล่อยอีกฝ่ายให้รอดชีวิตไปได้ ก็คงต้องลงมือปลิดชีพทิ้งไป 


    ทว่าการฆ่าให้ตกตาย ฟังดูโหดร้ายทารุณจนเกินไปนัก แม้นจักทำลายดวงตาคู่งามนั้นคงมิเหมาะ เห็นควรตัดลิ้นที่อาจใช้เที่ยวโพนทะนา ถึงเหตุการณ์ในครานี้ น่าจะเป็นการดีที่สุด


    ชายหนุ่มปลงใจแล้วว่า ตนต้องโดนสังหารทิ้งแน่นอน ครั้นจะทอดอาลัยครวญคร่ำร่ำร้องขอชีวิต ก็คร้านจะคิดพูดเพ้อเจ้อเรื่อยไป จึงพร้อมใจยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี


    อ้า...นี่มิใช่ข้า ต้องอำลาโลกอีกครั้งเร็วถึงเพียงนี้ แล้วหรอกนะ


    เมื่อกำลังจะลงคมกระบี่ ดวงตากลมคมขำของโฉมงามพลันเห็นอากัปกิริยาพิรุธของชายหนุ่ม เพราะพอเขาโผล่ขึ้นมา เหมือนมือทั้งสองของเขากำลังซุกซ่อนปกปิดสิ่งใดที่อยู่กึ่งกลางลำตัว


    ครั้นแลมองพบขนเงางาม ที่ดูคล้ายคลึงกับหางของงูวารีหงอนโลหิต สัตว์เลี้ยงแสนรักของนาง ที่ถูกซุกซ่อนอำพลางตัวอยู่ด้านหลังชายหนุ่มเบื้องหน้าเข้าเสียก่อน


    "นะ...นั่นเจ้า มือของเจ้ากุมอะไรไว้ปล่อยมันเดี๋ยวนี้นะ เอามันมาให้ข้า" สาวงามตัวร้อนผ่าว เรือนแก้มขาวๆ พลันแดงแจ๋ ก่อนจะร้องตกใจ เมื่อเห็นอาเซียงในสภาพชุดแรกเกิด ใกล้ๆ กับจุดที่นางกำลังไล่ตามหางูวารีหงอนโลหิตอยู่ ทำให้ร่างของทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือคว้า แต่เมื่อมองท่าทีของทั้งสองคน คล้ายคู่รักกำลังยื้อแย่งบางสิ่ง ที่อยู่ใต้น้ำกันพัลวัน


    "ดะ...เดี๋ยว แม่นาง ไม่นะ นี่ทะ...ท่านจะทำอะไรเซียงน้อยของข้า" อาเซียงตกใจสุดขีด ยิ่งพยายามจะร้องขัดขวาง กลับถูกมือเรียวๆ ของหญิงสาวร่างงดงามคว้าหมับเข้ากลางลำตัวของเขาทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวติด ซึ่งทำให้ชายหนุ่มบิดตัวงอเป็นกุ้ง


    ในหัวของนางพลางคิดถึงคำสั่งสอนของท่านปู่ นี่คงเป็นการพิชิตจุดยุทธศาสตร์ของศัตรู ที่ท่านปูของนางเคยสอนนางไว้เป็นแน่ แม้ไม่คิดว่าจะนำมาใช้กับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา ก็ไม่นับว่าเปล่าประโยชน์แล้ว


    "ปล่อยมันนะเดี่ยวนี้ นี่เจ้ากล้ามาขโมยอสรพิษของข้างั้นหรือ" สาวงามโวย โดยมิรู้ตัวเลยว่า ตนเองกำลังอวดความสาวบนเรือนกาย ให้ชายหนุ่มจ้องมองเต็มสองตา เมื่อมือที่ควรใช้ปิดบังบางสิ่ง เปลี่ยนมายื้อแย่งเซียงน้อยอยูพัลวัน เนินอกอวบอั๋นของโฉมงามล้วนขยับตาม การยื้อแย่งเป็นจังหวะหนึ่งเดียวกัน


    อาเซียงเป่าปาก พลางกลืนน้ำลายกลั้วคอหลายอึก สีหน้าของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ก่อนจะตอบไป "อู๊ยๆ มะ...แม่นางใหญ่ไม่ใช่เล่น ไม่ใช่นะ นี่มันไม่ใช่อสรพิษของเจ้าหรอกนะ แต่เป็นเซียงน้อยของลับของข้าต่างหากล่ะ ดะ...ได้โปรดปล่อยมือจากมันเสียเถอะนะ ข้าขอร้อง อู๊ย...อู๊ย..."


    โฉมงามตกใจจนประหม่า เผลอลูบไล้เซียงน้อยของชายหนุ่มไปมาอย่างเบามืออยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งเพราะยังคิดว่าสิ่งนั้นเป็น งูวารีหงอนโลหิตแสนรักของตน แต่พอรู้ความจริง ใบหน้าของหญิงงามเหมือนจะระเรื่อแดงด้วยความเขินอาย "ว้าย! ขะ...ของละ...ลับของเจ้างั้นหรือ มันคงไม่ใช่..."


    "อู๊ย...ใช่อย่างที่เจ้าคิดเลยล่ะ" อาเซียงไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจนจบ เขารีบพยักหน้ารัวๆ เป็นนัยว่า ที่นางกำลังคิดนั้นถูกต้องแล้ว 


    ทว่าสายตาของชายหนุ่ม ไม่วายลอบมองดูร่างอวบอั๋น ที่มีเนินเนื้อขาวนวลของสาวเจ้ากระเพื่อมไปมา แล้วนางพลันเร้นกายหายไป 


    อาเซียงยังรู้สึกประหลาดใจยิ่งว่า เขารอดจากเคราะห์กรรมนี้ได้อย่างไรกัน ก่อนจะเหม่อมองทั่วสรรพางค์ร่างกาย แล้วหันมองซ้ายแลขวา เมื่อมิรู้ว่า ตนเองกำลังอยู่ตรงไหนของทะเลสาบหงส์ร่อนกันแน่


    ชายหนุ่มเหมือนร่างกายเริ่มผ่อนคลาย หลังจากสาวงามปริศนาพลันผละมือจากเซียงน้อย แล้วปล่อยชายหนุ่มตัวแข็งเป็นหินราวตกอยู่ในสถานะอัมพาต ทิ้งกายจมดิ่งลงกลางสายน้ำ พร้อมๆ กับสติสัมปชัญญะของเขาคล้ายจะดับวูบลง



    ++++++++++++++++++++++++++++




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×