ตอนที่ 2 : Larry : จุดแตกร้าว
“...เมื่อไหร่ถึงจะกลับนะ” เสียงทุ้มหวานเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วขณะเหลือบมองนาฬิกาไม้ที่ถูกประดับไว้บนผนังสีขาวสะอาด หลังจากที่แยกกับคนตัวสูงภายในใจมันก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่จำได้มีเพียงภาพของเข็มนาฬิกาที่เดินวนรอบแล้วรอบเล่าเท่านั้นและคงไม่จำเป็นต้องสรรหาเหตุผลเพื่ออธิบายว่าเหตุใดจึงจ้องมองแต่ภาพนี้
เพียงเพราะเฝ้ารอ...
“นายไม่ได้ลืมวันนี้จริงๆ ใช่ไหม” คิ้วสองข้างที่เริ่มขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องมองโซฟาด้านข้างของตนเองอย่างเศร้าสร้อย มือเรียวที่กอบกุมมือถือเครื่องหนึ่งกุมรัดเข้าหากันแน่นด้วยความลังเล เพราะว่าใจหนึ่งก็อยากโทรไปหาให้คนตัวสูงรีบกลับมาเสียที แต่อีกใจก็กลัวจะต้องรับฟังคำกล่าวว่าแสนบาดใจ
จะโทรไปดีไหม...
จะโดนด่าหาว่าทำตัวน่ารำคาญอีกไหมนะ?
ไม่ว่าใครต่างก็มีความลังเลในใจ ลังเลว่าควรเลือกทางไหน...ตัวเลือกไหนคือตัวเลือกที่ถูกต้อง ต้องเดินไปทางไหนถึงจะเจอผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกัน คำถามมากมายล่องลอยอยู่เต็มหัวไปหมดแต่ถึงจะลังเลแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนต่างก็รู้คำตอบที่ตนต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตรู๊ด...ตรู๊ด...
ราวกับการกระทำทั้งหมดก้าวไปก่อนที่สติสัมปชัญญะจะตามทัน กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป นิ้วมือเรียวก็จัดการโทรหาอีกคนที่เฝ้ารอมาตลอดทั้งวันอย่างลืมตัว
“--...ฮัลโหล--” ยังไม่ทันจะกดตัดสายร่างบางก็ได้ยินเสียงตอบรับจากคนปลายทางเสียแล้ว คนตัวเล็กที่นั่งบนโซฟาหนังราคาแพงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจก่อนที่จะตัดสินใจพูดสิ่งที่ต้องการถามออกไป
“ฉันลูอิสเองนะ นายอยู่ไหนเหรอ” ลูอิสถามขึ้นด้วยความสงสัยแม้ว่าจะได้ยินเสียงดนตรีดังลั่นจนแทบไม่ได้ยินเสียงของร่างสูงเลยแม้แต่น้อยก็ตาม
“--ผับ...--” แฮร์รี่ที่ได้ยินตอบกลับไปสั้นๆ และเงียบหายไปเต้นกับหญิงสาวที่คลอเคลียอยู่ไม่ห่างกายต่อด้วยความสนุก
“นี่มันก็ดึกแล้วนะแฮช นายจะกลับมาเมื่อไหร่กัน” น้ำเสียงที่ถูกกดต่ำลงจนมองดูแล้วเหมือนพ่อที่กำลังตามลูกที่เอาแต่เถลไถลให้กลับบ้านช่างดูตลกเหลือเกินจนคนพูดเองแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียเดี๋ยวนั้น และเหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะอีกไม่นานเขาคงอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียเดี๋ยวนั้นจริงๆ
“--อึ่ก...แล้วมันเรื่องอะไรของนาย ลูอิส?--” คำถามที่ถูกยอกย้อนกลับมาพร้อมกับน้ำเสียงที่คุมสติไม่อยู่เนื่องจากฤทธิ์ของเหล้า ทำให้คนตัวเล็กที่ปลายสายกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะไม่รู้ว่าจะพูดตอบกลับไปอย่างไรดี
“เพราะฉันเป็นผู้จัดการของนายและตอนนี้นายก็เมามากแล้วนะ ถ้าเกิดไปทำเรื่องเสียหายจนเป็นข่าวอีกจะทำยังไงล่ะ” ลูอิสพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“--เหอะ น่ารำคาญว่ะ อึ่ก...ถ้าฉันจะกลับนายก็เห็นฉันที่บ้านเอง ไม่ต้องจุ้นจ้านให้มาก แค่นี้นะ--” เสียงทุ้มพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำใส่อีกคนอย่างไม่ไยดีก่อนจะตัดสายไป มือเรียวยกโทรศัพท์ออกจากหูตัวเองก่อนจะจ้องมองมันนิ่งๆ
ปึ่ก!!
เสียงโทรศัพท์คู่ใจที่ถูกขว้างใส่กำแพงอย่างไม่ไยดีกระแทกเข้ากับผนังห้องและร่วงหล่นลงสู่พื้นด้วยสภาพยับเยินบ่งบอกถึงความแรงที่เขวี้ยงมันออกมาได้เป็นอย่างดี ร่างโปร่งเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะกระทืบเท้าใส่ลงบนพื้นรัวเพื่อผ่อนคลายอารมณ์โกรธที่อัดอั้นมาตลอดทั้งวัน
ใช่แล้ว...เขาไม่ใช่คนใจเย็นหรือเป็นคนที่ไม่เคยโกรธอะไรใคร ยิ่งถ้าพูดถึงความเอาแต่ใจแล้วเขาอาจมีมากกว่าคนหัวหยิกนั่นเสียอีกแต่ทุกครั้งเขาก็พยายามกดมันลึกลงไปในใจ...เพียงเพราะไม่อยากแสดงมันออกมาให้อีกคนรู้สึกแย่เหมือนที่เขากำลังรู้สึก!!
“ฉันก็รำคาญตัวเองเหมือนกัน” คำพูดพร่ำบ่นเล็ดรอดออกมาตามไรฟัน มือเรียวสวยบีบเข้าหากันแน่นเพื่อระงับความไม่พอใจเอาไว้
รำคาญทั้งร่างกาย หัวใจ หรือแม้กระทั่ง...ความคิด
ทำไมเขาต้องมาหัวเสียเพราะคนแบบนั้นด้วย...
ทำไมจึงต้องเอาแต่เฝ้ามองนาฬิกา รอคนที่ไม่เคยคิดจะกลับมาราวกับคนเสียสติ…
ทำไมถึงต้องรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อรู้ว่าอีกคนอยู่กับคนอื่น...
ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับวันนี้นักหนา...ทั้งที่มันก็ควรเป็นแค่เพียงวันธรรมดาเพียงวันหนึ่ง...
แต่ทุกคำถามย่อมมีคำตอบในตัวของมันเองเสมอ...
คำตอบเหล่านั้นง่ายมากมันไม่มีอะไรที่สำคัญเลย...นอกจากความรู้สึกห่วงกับอยากให้อีกคนรีบกลับมา แต่ช่างน่าเศร้าที่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านี้ไม่อาจจะส่งไปถึงได้อีกต่อไป... บางทีอาจจะตั้งแต่ตอนนั้นที่เสียงของเขาเริ่มส่งไปไม่ถึง
.
.
‘ลูอิส!!’ น้ำเสียงใสเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มผมหยิกร้องเรียกเด็กอีกคนที่มีอายุมากกว่าตนอย่างสนิทสนม
‘อ้าว แฮร์รี่’ เจ้าของชื่อที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่กับพื้นเงยขึ้นมามองเล็กน้อยก่อนจะเรียกชื่ออีกคนพร้อมกับฉายรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเนียนใส
‘ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ ทุกคนกำลังรอนายอยู่นะ’
ทุกคนกำลังรอผม...
‘ฉันควรไปจริงๆ งั้นเหรอ แล้วพ่อกับแม่ฉันล่ะ’ ลูอิสก้มหน้าต่ำลงพลางจ้องมองพื้นดินแสนสกปรกอย่างลังเล
หลังจากที่พบกับแฮร์รี่ในวันนั้น เด็กหนุ่มเจ้าของทรงผมหยิกก็พาเขาไปหลบความหนาวที่บ้านตัวเองอย่างไม่รังเกียจและพ่อแม่ของอีกฝ่ายก็ดูใจดีมากๆ ถึงขนาดยื่นข้อเสนอจะออกเงินค่าทุนการศึกษาให้เขาก่อน...แต่ถ้าหากเขารับเงินก้อนนี้เขาก็จำต้องไปอยู่ในการอุปการะของพ่อแม่แฮร์รี่จนกว่าจะเรียนจบและใช้เงินคืนทั้งหมด
‘แต่การที่นายไปอยู่กับฉันก็ไม่ได้หมายถึงนายทิ้งพวกเขาไป นายกลับมาเยี่ยมที่นี่ได้เสมอแค่นายต้องไปอาศัยอยู่อีกที่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น เพื่ออนาคตของนายไง เมื่อนายเรียนจบมีงานทำ นายก็ค่อยกลับมารับพวกเขาก็ได้’ แฮร์รี่พูดโน้มน้าวคนตรงหน้าอย่างเต็มที่และแน่นอนเขาจะไม่มีทางให้อีกคนปฏิเสธข้อเสนอของพ่อแม่เขาเป็นแน่ ตั้งแต่ที่จำความได้เขาก็ต้องอยู่คนเดียวมาตลอดเพราะพ่อแม่ก็มักทำงานยุ่งตลอดเวลา พี่น้องก็ไม่มีดังนั้นครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เพื่อนสักคนมาคลายเหงา
‘แต่นายโอเคเหรอที่ฉันจะไปเป็นภาระครอบครัวนาย’ ลูอิสที่ยังคงลังเลพูดออกมาเสียงแผ่วด้วยความไม่มั่นใจ ถึงจะบอกแค่ให้ยืมเงินแต่ก็ถือว่าเขาไปเป็นตัวภาระอยู่ดี
‘แน่ใจสิ!! ฉันไม่เคยคิดว่านายเป็นภาระเลย ฉันอยากให้นายมาอยู่ด้วยกันจริงๆ นะ มาด้วยกันเถอะ’ คนตัวเล็กกว่าเอื้อมมือมาจับข้อมือบางของคนที่นั่งกอดเข่าตัวเองนิ่งที่พื้นก่อนจะออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา
อยากให้มาอยู่ด้วยกัน...
‘เร็วเข้า... ไปบอกพ่อกับแม่ แล้วจะได้ออกไปเล่นด้วยกัน!!’
ตอนนั้นตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดภายในใจถึงรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด เพียงแค่คำเชิญชวน...เพียงแค่รอยยิ้มกว้างที่อีกฝ่ายมอบให้ กลับทำให้ทุกสิ่งในตัวเขาเหมือนกับต้องมนต์สะกด ขาสองข้างค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาก่อนจะก้าวตามคนตัวเล็กที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำไป ดวงตากลมโตสีฟ้าสวยจับจ้องแผ่นหลังเล็กพร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
บางทีผมอาจจะได้พบแสงสว่างของผมแล้วก็ได้...
ตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้สิ่งที่เข้าใจเป็นอย่างแรกคือโลกนี้ไม่ใช่ที่สำหรับเขา โลกใบนี้ยินดีต้อนรับทุกคนแต่ยกเว้นเขา... ตัวเขานั้นคือบุคคลผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงที่จะคิดอะไรหรือแม้แต่หวังสิ่งใด แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหม
อยากจะลองคิดว่าเขาเป็นที่ต้องการของใครสักคนเหมือนกัน..
คิดว่าต่อไปนี้คงจะได้พบความสุขเหมือนกับเด็กคนอื่นบ้าง..
คิดว่าคงได้เจอแต่เรื่องน่าสนุกไม่เว้นวัน นับจากนี้..
คิดว่าจะได้มีเพื่อนเหมือนกับเด็กคนอื่นบ้างแล้ว..
และทุกอย่างคงจะเป็นไปตามที่เด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งคิด หากเพียงแค่ว่าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งความฝัน เป็นโลกที่เหมือนดั่งความคิดของเขา...เพราะสุดท้ายแล้วความเป็นจริงที่ว่าโลกใบนี้มันไม่เคยมีอะไรแน่นอนก็ไม่เคยเปลี่ยน
ใช่...ไม่เคยเลย
.
.
‘อย่ามาแตะต้องของของฉัน!!’ เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบห้าปีร้องตะโกนกร้าวก่อนจะผลักเด็กอีกคนที่ตัวเท่าๆ กันอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มคะมำลงไป
‘ฉันแค่จะใช้คอมหาข้อมูลทำรายงานนะแฮซ’ คิ้วสีน้ำตาลอ่อนขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความเจ็บจากการถูกผลักกระแทกตัวลงไปที่พื้นพร้อมกับพูดอธิบายให้อีกคนเข้าใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย
‘นายจะใช้ก็ไปหาซื้อเองสิ!! นี่มันของของฉัน นายไม่มีสิทธิ์!!’ น้ำเสียงที่กระแทกและดุดันยังคงประกาศกร้าวออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองร่างบางที่ล้มลงไปด้วยสายตาวิบวับเหมือนกับว่ากำลังจะมีบางอย่างระเบิดออกมา
‘เดี๋ยวๆ พวกลูกทะเลาะอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างบนเชียว’ หญิงสาววัยกลางคนเดินลงมาจากบันไดชั้นสองของบ้านก่อนจะตื่นตกใจที่เห็นลูกบุญธรรมอีกคนล้มกลิ้งลงไปกับพื้น เมื่อได้สติหญิงสาวก็รีบวิ่งลงมาดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว
‘แฮร์รี่ ทำไมลูกไปผลักพี่เขาแบบนั้น’ หญิงสาวเข้าไปพยุงคนที่ล้มลงไปก่อนจะทำการสำรวจทั่วตัวของลูอิสและเมื่อพบว่าไม่มีบาดแผลฟกช้ำที่ไหนจึงหันมาถามเจ้าตัวการอีกคนด้วยน้ำเสียงเข้ม
‘ใคร? ที่ผมจำได้คือผมเป็นลูกคนเดียวนะ หึ..แต่ถ้าแม่อยากให้ผมนับคนนอกเป็นพี่น้องด้วยก็ตามใจนะแต่ก็คงได้แค่ชื่อ...’ ริมฝีปากหนาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ ดวงเนตรสีเขียววาววับจ้องมองอีกคนที่กำลังถูกแม่ตนกอดปลอบด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
‘นี่แฮร์รี่!! ทำไมลูกถึงพูดแบบนั้นออกมา รีบขอโทษพี่เขาเลยนะ’
‘ไม่!! แม่นั่นแหละ เดี๋ยวนี้อะไรก็เอาแต่ว่าผม!! ตั้งแต่มีไอ้หมอนี่เข้ามา...ทั้งพ่อกับแม่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทำไมไม่สนใจผมบ้าง!!’ คำพูดมากมายถูกพรั่งพรูออกมาอย่างเหลืออด ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงพร้อมกับฟันที่ขบเข้าหากันเพื่อระบายอารมณ์จนเกิดเป็นเสียงดังอยู่ไม่ขาด มือสองข้างกุมเข้าหากันแน่นด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปหมด
หัวใจของเด็กที่ได้รับความรักมาตลอดกำลังถูกกัดกินด้วยคำว่าริษยา... ทั้งที่คนที่เคยได้รับความสนใจมาตลอดมีเพียงเขาแต่หลังจากที่ได้เพื่อนใหม่มาอยู่ด้วย ความรักที่ได้รับกลับถูกแบ่งครึ่งออก...ไม่สิ สำหรับความคิดของเขาอาจจะถูกตัดไปมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
‘หรือต้องให้ผมไปเป็นเด็กข้างถนน พวกคุณถึงจะสนใจผม!! ถึงจะเวทนาผมบ้าง!!’
เพี๊ยะ!!
เสียงฝ่ามือเรียวของผู้เป็นแม่ที่กระทบเข้ากับใบหน้าเนียนของเด็กหนุ่มทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เจ้าของผมสีน้ำตาลหยิกหันมามองผู้เป็นแม่ตัวเองด้วยดวงตาที่เริ่มมีหยาดน้ำใสมาเอ่อคลอ
‘แม่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!! ผมเกลียด…ผมเกลียดบ้านนี้ที่สุด!!’ ทันทีที่พูดจบขาสองข้างก็รีบวิ่งกลับขึ้นห้องตัวเองไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกเกลียดชังในตัวผู้ขออาศัยยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ความรู้สึกแง่ลบมากมายถูกฝังรากลึกในหัวใจ
‘...’ ลูอิสจ้องมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังของคนที่วิ่งขึ้นห้องไปกับหญิงสาวที่ตัวเองเรียกว่าแม่บุญธรรมสลับกันไปมา
‘ไอ้ลูกโง่...แกเป็นลูกแม่นะ...ฮึก...แม่จะรักแกน้อยลงได้ยังไง’ เสียงของผู้เป็นแม่ที่พูดออกมาสั่นเครือด้วยแรงสะอื้นจนน่ากลัว
เพราะผมเหรอ...
ผมทำให้พวกเขาต้องทะเลาะกัน...
‘...’ ลูอิสที่ยืนนิ่งมาสักพักตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปดูอาการของอีกคน มือเรียวเล็กผลักประตูห้องนอนของเขากับแฮร์รี่เข้าไปช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่มืดสนิทและมองเพ่งหาคนอีกคน
‘ฮึก...อึก...ฮึ่ก’ เสียงสะอื้นเป็นระยะทำให้การตามหาตัวอีกคนไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก ดวงตากลมโตสอดส่องทั่วห้องมืดสลัวก่อนจะไปสะดุดกับผมหยิกยุ่งที่มุมห้อง เท้าเรียวก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังกอดเข่าตัวเองร้องไห้ตัวสั่นเทิ้ม
‘แฮร์รี่...’ ริมฝีปากเรียวได้รูปเอื้อนเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
‘อย่ามาเรียกชื่อฉัน!!’ คนที่กำลังกอดตัวเองร้องไห้เมื่อจำน้ำเสียงของคนที่เรียกตนได้ก็ตะคอกไล่ออกไปอย่างหัวเสีย ความรู้สึกที่โกรธเกลียดมีมากมายเพิ่มขึ้นทุกวินาที เพิ่มขึ้นจนไม่อยากจะเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย
‘แฮร์รี่...อึ่ก...’ ร่างบางยังคงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่สนใจเสียงตะคอกนั้น เสียแต่น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาเริ่มเปลี่ยนไปจากตอนแรกซึ่งแฮร์รี่ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งนี้เช่นกัน
‘แฮร์รี่...อึก..ฉ...ฉัน ขอโทษนะ’
‘ขอโทษ...’
‘หุบปาก!! ฉันไม่อยากฟัง!! นายจะมาขอโทษเพื่ออะไร? เพราะกลัวจะอยู่ที่นี่ไม่ได้กลัวจะไม่มีที่ซุกหัวนอนงั้นเหรอ ถึงนายจะขอโทษฉันมากแค่ไหนฉันก็ยังเกลียด!! เกลียด...ไม่ว่าจะตอนนี้ ตอนไหนหรือตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสิ่งที่ฉันจะมอบให้นายก็มีแค่ความเกลียดเท่านั้น!!’ ราวกับเส้นสติขาดผึงทันทีที่ได้ยินคำขอโทษนั้นอารมณ์ทั้งหมดก็พุ่งสูงขึ้น เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาก่อนจะผลักคนอายุมากกว่าอย่างแรงจนอีกฝ่ายลงไปล้มกลิ้งเป็นรอบที่สองของวัน
‘ฉันเกลียดนายที่สุด!! อยากให้ฉันให้อภัยไหมล่ะ...ถ้าอยากได้การให้อภัยจากฉันก็ออกไป ออกไปจากบ้านนี้..ออกไปจากชีวิตฉัน!!’
‘ฮึก...ขอโทษ...ฉ..ฉันขอโทษ’ ร่างเล็กที่ล้มลงไปนั่งกับพื้นยังคงพร่ำพูดคำเดิมออกมาไม่หยุด ดวงตากลมโตสีฟ้าขุ่นจ้องคนที่มองตัวเองด้วยแววตาววโรจน์กลับไปโดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าเช่นไรอยู่
‘อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ ฉันเกลียดนาย...นายเอาความรักของพ่อแม่ไปจากฉัน นายแย่งพวกเขาไปจากฉัน..’ เจ้าของดวงตาสีเขียวสดพูดขึ้นก่อนจะเสียงแผ่วลงในตอนท้าย ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวหันหนีเพื่อหลบสายตาคู่นั้นของอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าซีดที่จ้องมองมาอย่างสั่นไหวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน...หยาดน้ำใสไหลอาบแก้มสองข้างของคนที่เอ่ยคำว่าขอโทษจนชื้นไปหมด
‘ฉันขอโทษ...ฮึ่ก ฉันไม่ได้ตั้งใจ...’
ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายต้องร้องไห้
ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายต้องทะเลาะกับคนสำคัญ
ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด...
เพราะหากอีกฝ่ายไม่ยินดีกับการที่เขาอยู่ที่นี่ทุกอย่างจะมีความหมายอะไร...ถ้าหากทำให้คนสำคัญเพียงคนเดียวเกลียดการมีอยู่ของเขาทุกอย่างจะเหลืออะไร
ไม่ชอบเลย...ไม่อยากเลย...อย่าไล่ฉันไปได้ไหม
‘ขอร้อง..อย่าเกลียดฉันเลยแฮร์รี่...ฮึก..ฉันแค่อยากอยู่กับนายเท่านั้น..อึก..ฮือ’
ได้โปรดเถอะ...คนสำคัญเพียงคนเดียวของฉัน
อยากผลักไสให้ฉันไปจากนายเลย...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แรกๆก็ดี หลังๆนี่ผลักเหมือนพี่เค้าเป็นตุ๊กตาล้มลุก
ยัยลูของป้า อดทนนะลูก TvT
ป้าเป็นกำลังใจให้ทั้งลูทั้งไรท์เลยยย