ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DIAMETER - {Krisyeol|Kaihun|Taobaek}

    ลำดับตอนที่ #6 : 05 - Loser

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 57


     

     









     

     Diameter.

    “KrisYeol TaoBaek KaiHun”

     

     

    [ 4 ]

     





    L

     

    Loser

     

     

     

     



     

     

    “ ถ้านายทำแผลเสร็จตอนนี้.. เวลาที่ฉันจะได้อยู่กับนายมันก็จะลดน้อยลงน่ะสิ.. ”

     

     

     

     

                ความเงียบก่อตัวขึ้นระหว่างคนสองคน เงียบและเต็มไปด้วยความสับสนราวกับว่าพื้นที่แคบๆเพียงช่วงแขนระหว่างคนทั้งคู่นั้นมีกำแพงสูงใหญ่ที่เกิดจากความรู้สึกภายในใจกั้นเอาไว้ กำแพงความรู้สึกที่อัดแน่นไปด้วยเหตุผลต่างๆนานาที่แบคฮยอนพยายามย้ำเตือนใส่หัวของตัวเองอยู่ตลอด ที่จริงแล้วฝ่ายที่สร้างกำแพงคงจะเป็นแค่พยอนแบคฮยอนฝ่ายเดียว คนตัวสูงอีกคนที่แบคฮยอนกั้นเอาไว้ที่ฝั่งนู่นมีแต่จะหาทางก้าวเข้ามาในกำแพงของเขาเสียด้วยซ้ำ กำแพงความรู้สึกที่แบคฮยอนคิดว่ามันแข็งแรงและไม่มีมีวันพังทลาย ในนาทีนี้แบคฮยอนเริ่มที่จะไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะทนทานไปได้อีกสักเท่าไหร่กัน  

     

     

     

     

                    ไม่มีใครพูดอะไรอีกต่อจากนั้น ตัวแบคฮยอนไม่อยากที่จะต้องตอบคำถามอะไรอีกจึงเลือกที่จะไม่พูดหรือโต้เถียงอะไรออกไป ขณะที่คนเจ็บอย่างจื่อเทาเลือกที่จะเงียบเพราะเขากลัว.. กลัวว่ายิ่งพูดอะไรออกไปคนตรงหน้าจะยิ่งกันเขาออกจากตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นฮวังจื่อเทาก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้อยู่ดี เขายังคงหวัง หวังว่าสัมผัสแผ่วเบาที่ปลอบประโลมบาดแผลของเขาอยู่ในตอนนี้จะแอบแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและความผูกพันที่ยังตัดกันไม่ขาดบ้างสักนิดก็ยังดี


     

    แบคฮยอนยังคงก้มหน้าก้มตาทำแผลให้กับจื่อเทาต่อไป คนตัวเล็กไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนเจ็บด้วยซ้ำ ไม่มองเพราะไม่อยากมอง ไม่มองเพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องมอง หรือไม่มองเพราะไม่กล้าที่จะมอง คุณหมอชั่วคราวอย่างเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับสายตาคมที่จับจ้องมา เขารู้ รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่แต่ที่ไม่รู้ก็คือ ความคิด แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าฮวังจื่อเทาคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่มองเขา แต่สำหรับตัวเขานั้น ทุกครั้งที่เขามองจื่อเทา ในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่วันที่เขาทั้งสองคนคบกันจนถึงวันนี้วันที่พวกเขาเลือกที่จะยุติความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันลงมันก็ยังคงเป็นความสงสัยแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยนไป 

     


     

    ความสงสัยที่ทำให้เขาอยากรู้ว่า..

    เพราะอะไรกันคนอย่างฮวังจื่อเทาถึงมารักคนอย่างเขา

     

     

     

     

    “ เสร็จแล้ว ”  พูดเสียงเบาแล้วค่อยๆละมือออกจากท่อนแขนที่ถูกโปะทับไปด้วยพลาสเตอร์สำหรับแผลน้ำร้อนลวกโดยเฉพาะ คิ้วเรียวขมวดมุ่นยามที่จ้องมองรอยแผลเหล่านั้น อดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกถึงตัวต้นเหตุของอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้า แบคฮยอนเข้าใจในมุมของคนขี้หวงอย่างคิมจงอินคนนั้นดี แต่สำหรับการกระทำครั้งนี้ คิมจงอินก็ถือว่าทำเกินไปจริงๆ เพราะมัวแต่คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้แบคฮยอนจึงไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองชะงักมือค้างอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่สำหรับจื่อเทาแล้วช่วงเวลาแสนสั้นนั้นก็เนิ่นนานพอที่จะคว้าเอาไว้ มือหนาดึงมือเรียวของคุณหมอจำเป็นมากุมไว้ ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นกระทันหันทำให้แบคฮยอนพยายามชักมือออกจากการเกาะกุมในทันที

     


     

    “ ปล่อย.. ”  พูดเบาๆพลางใช้มืออีกข้างช่วยแกะมือคนเจ็บที่กุมมือของเขาเอาไว้ออก 



     

    “ ไม่ปล่อยหรอก ” ปฏิเสธออกมาดื้อๆแถมยังกระชับมือที่กุมกันไว้ให้แน่นมากขึ้นอีก แบคฮยอนช้อนตามองคนเอาแต่ใจตรงหน้าด้วยสายตาไม่เข้าใจ แต่พอได้สบสายตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้วแบคฮยอนก็ลืมสิ่งที่คิดอยู่ไปจนหมดสิ้น ที่เคยคิดว่าจะใจแข็ง ที่เคยคิดว่าจะลืม พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยตวามเจ็บปวดของ ฮวังจื่อเทา ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักเก่า กำแพงที่เขาสร้างเอาไว้ก็พังทลายไม่เป็นชิ้นดี

     

     







     

    “ ไม่รักกันแล้วจริงๆเหรอ? ” 





     

     

    ขอได้ไหม? อย่าทำแบบนี้ อย่าใช้น้ำเสียงกับแววตาแบบนั้นมาทำให้เขาหวั่นไหว

    สิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว.. มันก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ใช่เหรอ? 

     





     

     

    สิ่งที่เขาคิดว่ามันดีแล้ว สิ่งที่เขาเลือกแล้ว

    เขาก็ไม่ควรจะมาหวั่นไหวหรือไขว้เขวง่ายๆกับอะไรแบบนี้ 

     




     

     

    ทั้งๆที่ตัดสินใจไปแล้ว

    แต่ทำไมหัวใจเจ้ากรรมถึงไม่ยอมรับเสียที 

     






     

     

     

    “ ไม่.. ”  

    ตอบออกไปโดยพยายามที่จะไม่คิดว่าคนรับฟังจะรู้สึกยังไง บิดข้อมือออกจากการเกาะกุมช้าๆเช่นเดียวกับที่พยายามจะปลดปล่อยตัวเองออกจากความรักที่มีให้ฮวังจื่อเทาเรื่อยมา ช้าๆ ค่อยๆแลหัวใจตัวเองช้าๆ เพื่อคืนความรักที่เคยมีให้กันกลับไป ก้มหน้าซ่อนความอ่อนแอที่เขารู้ตัวดีว่าในตอนนี้มันฉายชัดอยู่ในดวงตาแน่ๆถึงแม้จะรู้ดีว่าจื่อเทาไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าเขาพยายามที่จะซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ รู้ดี แต่ก็ยังจะทำ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ขาดูไม่อ่อนแออย่างที่ควรจะเป็น

     

     







     

    “ ฉันไม่ได้รักนายแล้ว.. ” 

    กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วพูดออกไปช้าๆชัดๆอีกครั้งด้วยประโยคที่ดูจะบาดลึกกว่าเดิม พยายามมองตรงไปที่คนตรงหน้าโดยไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนไหวภายในออกมา มันช่างยากเหลือเกินแต่ถึงแบบนั้นแบคฮยอนก็ยังพยายาม 

     







     

     

    “ เราเลิกกันแล้ว.. เป็นแค่เพื่อนแค่คนรู้จัก อย่าลืมสิ

     ที่มาวันนี้.. ฉันก็แค่มาดูแลตามประสาพี่ชายเท่านั้น ” 







     

     

     

     

     

     

     

     

    “ จำได้ไหม? .. ว่าที่น้องชาย ”

     

     





     

     

    _ _ _

     





     

     

            แบคฮยอนเดินจากไปแล้ว ทิ้งเขาเอาไว้ลำพังในห้องนี้อีกครั้ง ความเงียบและอ้างว้างที่รายล้อมรอบกายทำให้จื่อเทาอยากไปให้พ้นๆจากห้องนี้ ร่างสูงเดินลากเท้าอย่างคนหมดอาลัยตายยากไปเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวปล่อยให้น้ำเย็นๆชะโลมไปทั่วทั้งตัวเผื่อว่ามันจะช่วยเรียกให้สติและความอดทนของเขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าแม้แต่สายน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องเลวร้ายไหลผ่านตัวเขาไปเร็วขึ้นเลย ทุบตีผนังปูนและก่นด่าโชคชะตาอย่างที่ไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ แยกไม่ออกหรอกว่าความเปียกชื้นบนใบหน้านั้นเป็นเพราะน้ำจากฝักบัวหรือน้ำตาที่ไหลออกมาจากความรู้สึกของเขากันแน่ ท้ายที่สุดคนตัวสูงก็ทรุดตัวลงนั่งกับมุมห้องน้ำ ร้องไห้อย่างคนที่ไม่เคยร้องน้ำตาที่ไม่เคยปล่อยมันออกมาตอนนี้ไหลอาบแก้มจนเขารู้สึกถึงอุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างน้ำตาและน้ำจากฝักบัว มันอาจจะดูโง่และงี่เง่าที่ลูกผู้ชายอย่างเขาต้องมานั่งร้องไห้เพียงเพราะเรื่องความรักแบบนี้ แต่ถ้าหากการร้องไห้ให้ความรักเป็นเรื่องงี่เง่า แล้วมันต้องเป็นการร้องไห้ให้กับเรื่องแบบไหนกันล่ะถึงจะดูสมเหตุสมผลพอที่จะต้องร้องไห้เสียน้ำตา ว่ากันตามตรงแล้ว อะไรก็ตามที่ทำให้เราเสียน้ำตาได้ สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากรากฐานเดียวกันทั้งนั้น ความรู้สึกเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ก่อเกิดจากรากฐานที่ชื่อว่าความสัมพันธ์ไม่ใช่หรือ? และเพราะแบบนั้นจื่อเทาจึงคิดว่ามันคุ้ม มันคุ้มแล้วที่จะเสียน้ำตาให้กับการเลือกเดินจากไปของพยอนแบคฮยอน

     



     

           ฮวังจื่อเทายังคงร้องไห้อยู่แบบนั้น ร้องไห้จนไม่ได้รับรู้ว่าท้องฟ้าเบื้องบนก็กำลังร้องไห้ไปกับเขาเช่นกัน สายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เสียงฝนกระทบกับพื้นดินอาจจะดังจนรบกวนสมาธิใครหลายๆคนแต่มันก็ไม่ดังเท่ากับเสียงฝีเท่าของเขาเองในเวลานี้ แบคฮยอนรู้สึกแบบนั้น ยิ่งย่างก้าวห่างออกมาจากหอพักที่จื่อเทาอยู่มากเท่าไหร่เขาก็รู้สึดว่าเสียงฝีเห้าของตัวเองกับน้ำหนักของมันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย มันหนักอึ้งและหนักหนาเหมือนกันกับการตัดสินใจของเขา เสียงเพลงๆเดิมที่ยังคงเล่นวนต่อไปเรื่อยๆในหูฟังอันเก่าที่เขาทั้งรักและห่วงแหนยิ่งทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินในการเดินตามทางที่เขาเลือกแล้ว

     

     






     

    Wise men say only fools rush in

    But I can't help falling in love with you



     

    Shall I stay

    Would it be a sin

    If I can't help falling in love with you

     





     

     

                    ท้ายที่สุดน้ำตาไหลที่เขาทนเก็บเอาไว้ก็ไหลออกมาช้าๆ ม่านน้ำตาทำให้ภาพที่เขามองเห็นพร่ามัวไปหมดและเพราะทุกอย่างดูพร่ามัว โสตประสาทของเขาจึงทำงานได้ดีขึ้นกว่าที่ควร โน๊ตเปียโนและถ้อยคำแต่ละคำฝังลึกลงไปในหัวใจที่บอบช้ำของเขา เพลงเพลงเดียวกันแต่ฟังด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน และเพราะความรู้สึกเหล่านั้นความหมายของเพลงจึงแปรเปลี่ยนไป แบคฮยอนยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงความหมายของเพลงนี้เมื่อครั้งที่เขาฟังมันอย่างมีความสุข และความรู้สึกนั้นมันช่างแตกต่างจากตอนนี้เหลือเกิน เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไปอย่างที่ควรเป็นเช่นเดียวกับน้ำตาของพยอนแบคฮยอนที่ยังคงไหลออกมายามที่เขาฟังเพลงโปรดเพลงเดิมของคนรักเก่าด้วยความตั้งใจ 

     

     

     

    Like a river flows surely to the sea

    Darling so it goes

    Some things are meant to be

     


     

    สัมผัสอบอุ่นเมื่อครู่ยังคงอยู่ เขายังจำวินาทีที่จื่อเทาดึงมือเขาไปกุมได้ดี ยังจำความอุ่นของฝ่ามือและผิวสัมผัสที่แสนคุ้นเคยได้ เช่นเดียวกันกับที่เขาจำวันที่เขาเดินจับมือกับฮวังจื่อเทาเป็นครั้งแรก

    ฝ่ามือที่เขาจำได้ไม่มีวันลืม.. 

     



     

     

    Take my hand, take my whole life too

    For I can't help falling in love with you

     

     

     

     

    มือของเขาที่จับอยู่กับมือที่แสนอบอุ่นของฮวังจื่อเทา.. 

    อ้อมกอดที่เขารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ถูกโอบกอด..

    สายตาที่จื่อเทาใช้มองเขาคนเดียว.. 

     

     

     

     

    Like a river flows surely to the sea

    Darling so it goes

    Some things are meant to be

     







     

    ถูกแล้ว

    ทุกสิ่งล้วนแต่ดำเนินไปตามอย่างที่มันควรจะเป็น..

    ความรักเองก็เช่นกัน






     

     

    แต่ความรักของเขากับจื่อเทา..

    จากนี้ไป.. มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

     

     




     



     

    Take my hand, take my whole life too..

     


     

     

     

    มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง

    เขาสองคนไม่ควรปล่อยให้มันไปไกลมากกว่านี้

     






     

     

    เพราะฉะนั้น..

    มันจึงถูกต้องแล้ว

    ที่เขาเป็นคนเลือกที่จะปล่อยมือจากฮวังจื่อเทาเอง

     

     






     

     

     

    For I can't help falling in love with you

    For I can't help falling in love with you

     

     









     

     

    มันผิด.. ที่พวกเขารักกันตั้งแต่แรก

    หรือมันผิดที่พ่อกับแม่ของพวกเขามารักกันทีหลังกันแน่นะ..

    แบคฮยอนได้แต่พึมพำเสียงเบากับท้องฟ้าสีหม่น







     

    _ _ _





     

     

     

     

     

     

     



     

     

     

     

    _ _ _

     

     

     

     

     

     

     

    “  พี่เป็นท้องฟ้าของผมนะอี้ฟาน.. ”

     

    “ นายก็เป็นทะเลของพี่เหมือนกันชานยอล.. ”


     

     

     

     

     

               จู่ๆก็นึกถึงบทสนทนาที่เคยมีร่วมกับใครอีกคนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ปาร์คชานยอลชอบท้องฟ้า ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน จะมีเมฆครึ้มหรือในวันที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างเช่นวันนี้ ชานยอลก็ยังชอบมันอยู่ดี แตกต่างกับชินเยพี่สาวของเขา ปาร์คชินเยชอบดวงดาว หญิงสาวคนสำคัญของเขาชอบเพียงแต่ท้องฟ้าในยามกลางคืนเท่านั้น ชินเยเคยบอกไว้ว่าแสงแดดในตอนเช้าและตอนกลางวันมันเจิดจ้าเกินไปสำหรับเธอ แต่สำหรับชานยอล เขากลับคิดว่าเพราะสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ท้องฟ้าสวยงาม 


     

             เหมือนกันกับอู๋อี้ฟาน ผู้ชายตัวสูงที่มีทั้งความอบอุ่นอ่อนโยนและโรแมนติกอย่างที่ไม่น่าจะเป็น เขาเคยพูดเอาไว้ว่าอี้ฟานเหมือนท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าที่ชื่อว่าอี้ฟานนั้นแตกต่างกับท้องฟ้าที่ชานยอลชอบแหงนมอง อี้ฟานไม่ต้องการอะไรที่เข้ามาเติมแต่งหรือเพิ่มพูนให้เขาดูดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่อี้ฟานเป็นผู้ชายที่รวบรวมสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ที่ตัวเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าจะหาข้อติสักข้าของผู้ชายคนนี้ ก็คงเป็นเรื่องสูบบุหรี่ ชานยอลไม่เข้าใจหรอกว่าการอัดควันเข้าไปในปอดมันดีอย่างไร แต่ผู้ชายคนนั้นก็ชื่นชอบที่จะทำมันเหลือเกิน 

     



     

    “  ท้องฟ้า.. งั้นเหรอ ”   นึกสมเพชตัวเองอยู่ลึกๆที่ปล่อยให้เรื่องของคนๆนี้กลับเข้ามาในหัวได้อีก ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองทำใจได้นานแล้วแต่เขาก็ยังวกกลับมาคิดเรื่องของคริสอีกจนได้ อยากจะโทษว่าความอ่อนแอที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้เป็นเพราะอี้ฟานที่เดินกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง แต่ชานยอลก็รู้ดีว่าลึกๆแล้วเขาก็ดีใจที่ได้เห็นอู๋อี้ฟานอีกครั้ง ..แม้จะไม่ใช้ในสถานะเดิมก็ตาม

     


     

    “ นายก็เป็นทะเลของพี่เหมือนกันชานยอล.. ”   ประโยคๆนั้นวนกลับเข้ามาอีกครั้ง ดวงตากลมโตที่ทอดมองหยดน้ำฝนที่ไหลลงตามกระจกเพราะแรงโน้มถ่วงหม่นแสงราวกับแสงเทียนที่ใกล้จะดับ คำพูดของใครคนนั้นยังคงวนซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขาเหมือนกับเทปที่กรอกลับไปกลับมา ชานยอลอยากจะหายขาดจากความทรงจำเก่าๆและความคิดถึงที่มีให้กับคนรักเก่าของเขาผู้ที่เป็นคนรักปัจจุบันของพี่สาวของเขาเองสักที แต่ดูเหมือนการทำแบบนั้นมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย จะมีสักกี่คนที่รู้จริงๆว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาต้องทนทุกข์ทรมานยามที่คิดถึงสิ่งเหล่านั้นมากขนาดไหน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจริงๆแล้วเบื้องหลังรอยยิ้มที่เขามีมันเต็มไปด้วยรอยน้ำตา .. ไม่มีใครรู้ และชานยอลเองก็ไม่อยากให้ใครรู้เช่นกัน ความอ่อนแอของคนที่ตัดสินใจจะเข้มแข็ง ไม่ควรให้ใครมารับรู้ทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวชานยอลเอง เขาก็ไม่อยากที่จะรับรู้มันเช่นกัน ความอ่อนแอของตัวเอง

     


     

    “  ดูหนังกันไหมชานยอล? ”  เสียงชินเยที่เอ่ยถามมาจากด้านหลังได้ยินดังนั้นชานยอลจึงรีบหันกลับไปพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างที่ติดจะทำ รอยยิ้มที่ชานยอลซักซ้อมกับตัวเองในกระจกเงาเป็นพันๆครั้ง ยิ้มให้ได้ไม่ว่าจะไม่อยากยิ้มแค่ไหนก็ตาม นั่นคือคำที่ชานยอลพูดกับตัวเองเสมอ 



     

    “ ดูหนังเรื่องอะไรล่ะ? ”  ถามกลับไปขณะที่ลุกขึ้นยืน สะบัดหัวน้อยเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินไปหาพี่สาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองกล่องซีดีมากมายที่วางอยู่รอบตัว 


     

    “ ไม่รู้สิ.. ”  ชินเยตอบพร้อมกับถอนหายใจหนักๆ 


     

    “  ไม่เอาเอเลี่ยน ”  ชานยอลรีบคว้ากล่องซีดีที่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาไม่โปรดปรานในมือพี่สาวของเขาและรอบๆตัวมากอดไว้ เมื่อเห็นพี่สาวจ้องมองกล่องเหล่านั้นพร้อมด้วยท่าทีครุ่นคิด 


     

    “  ปอดแหก คนบ้าอะไรก็ไม่รู้เลิกฝันจะเป็นนักบินอวกาศเพราะกลัวเอเลี่ยน ”  ปาร์คชินเยบ่นกระปอดกระแปดพ่อนจะมองหาหนังเรื่องใหม่ 


     

    “  ก็มันน่าขยะแขยง.. ”  พูดเพียงแค่นั้นก็ถูกพี่สาวหันมาย่นจมูกใส่ “ งั้นก็หนังรักล่ะสิ ”  ได้ยินเสียงขุ่นๆของปาร์คชินเยว่าดังนั้น น้องชายตัวโตก็ยิ้มกว้าง ชานยอลชะเง้อมองหนังที่พี่สาวของตนถือในมือด้วยความสนอกสนใจ


     

    ’ 50 First Dates‘  ชานยอลอ่านชื่อที่ติดอยู่บนฝากล่องทวนในหัว คิดย้อนไปไม่นานนักก็คิดออก เขาเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน หนังรักคอมเมดี้ที่ดูเหมือนจะตลกและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ความจริงแล้วหนังเรื่องนี้กับแสดงให้เห็นถึงความโชคร้ายของผู้หญิงคนนึงที่มีความทรงจำอยู่เพียงหนึ่งวัน พอเธอนอนหลับและลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยผ่านเขามา เธอก็จะลืมมันไปทั้งหมด 

     

     

    “ จะดูเรื่องนี้เหรอ? ”  ชานยอลถามเสียงเบา 

    “ อื้อ ”   ปาร์คชินเยตอบกลับพร้อมกับแกะกล่องออกแล้วใส่แผ่นซีดีเข้าไปในเครื่องเล่น เมื่อเห็นพี่สาวตัดสินใจเลือกแล้วชานยอลก็ได้แต่เดินตามหญิงสาวผู้แสนจะเอาแต่ใจมานั่งจุมปุ๊กที่โซฟา

     



     

    เป็นครั้งที่สองแล้วที่ชานยอลดูหนังเรื่องนี้ แต่ถึงแบบนั้นความสนุกของมันก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ชานยอลยังคงยิ้ม หัวเราะและซาบซึ้งไปกับบทสนทนาของทุกตัวละครในเรื่องนั้น แม้ลึกๆแล้วจะรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างหายไปก็ตาม บางอย่าง หรือบางคน.. ที่เคยนั่งดูหนังด้วยกันตลอดมา

     

     

     

     

    “ ทำไมนายถึงชอบดูหนังรักล่ะชานยอล? ”  ปาร์คคนพี่ที่เริ่มง่วงหาวหวอดก่อนจะหันไปถามน้องชายตัวโตที่เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นหมอนอิงให้เธอชั่วคราว ปาร์คชินเยจะง่วงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หนังก็สนุกอยู่หรอกแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่สไตล์ที่เธอชอบอยู่ดี 


     

    ‘ ทำไมพี่ถึงชอบดูหนังรักล่ะ? ‘  มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่เป็นคำถามเดียวกับที่ชานยอลเคยถามใครบางคน และแน่นอนว่าเขายังคงจดจำคำตอบที่คนตัวสูงคนนั้นตอบเขาได้เป็นอย่างดี 

     

     

    “ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าการที่เรามีคนที่เรารักอยู่ด้วยในตอนนี้มันสำคัญและมีค่าแค่ไหน..  ”   ชานยอลตอบแล้วยิ้มบางๆ คำตอบยาวๆที่เป็นคำตอบเดียวกับที่ชานยอลเคยได้รับจากใครคนนั้น ในตอนนั้นชานยอลไม่เข้าใจนักหรอกว่าคริสต้องการที่จะสื่อความหมายอะไร จนมาถึงตอนนี้ชานยอลก็ได้เข้าใจแล้วในที่สุดว่าทำไมคริสถึงตอบแบบนี้ 




     

    “ พูดอย่างกะนายมีแฟน.. ”  เสียงพี่สาวของเขาดูสะลึมสะลือเต็มที เมื่อเห็นดังนั้นชานยอลจึงลุกออกจากโซฟา จัดหมอนอิงมาหนุนรองคอแล้วเดินกลับไปเอาผ้าห่มมาคลุมให้พี่สาวขี้เซาของเขาได้หลับสบายยิ่งขึ้น 

     


    “ ไม่มีหรอก.. ตอนนี้ผมก็มีเหลือแค่พี่คนเดียวนี่ไง ”  ชานยอลพูดเสียงเบาขณะที่จ้องมองเสี้ยวหน้าที่คล้ายคลึงกันกับใบหน้าของตัวเองแล้วยิ้มอีกครั้ง 


     

    “ พี่น่ะ.. โชคดี รู้ตัวไหม? ”  พูดเสียงเบาขณะก้มหน้าลงซบกับหมอนอิงที่กอดแนบอก “ เขาต้องดูแลพี่ดีแน่ๆชินเย ”   บทสนทนาที่ดังออกมาจากเครื่องเสียงและภาพเคลื่อนไหวที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอไม่ได้ดึงดูดความสนใจของปาร์คชานยอลอีกต่อไป ภาพและเสียงของคริสที่อยู่ในความทรงจำของเขาต่างหากที่เรียกร้องความสนใจจากชานยอลไปจนหมด 







     

    “ นายก็เป็นทะเลของพี่เหมือนกันชานยอล.. ”


     

    “  ทำไมผมถึงเป็นทะเลล่ะ? ”  อี้ฟานในความทรงจำของชานยอลยกยิ้ม ดวงตาคู่นั้นสะท้อนภาพของปาร์คชานยอลที่กำลังจ้องมองมาอย่างต้องการคำตอบ 


     

    “  เพราะนายคือคนที่พี่จะไม่มีวันลืม.. เหมือนกับน้ำทะเลที่ไม่มีวันลืมวิธีซัดคลื่นเข้าฝั่งยังไงล่ะ ”  ชานยอลจำได้ว่าตัวเขากรอกตาด้วยความหมั่นไส้หลังจากได้ยินประโยคนี้ 


     

    “  น้ำเน่าชะมัด ”  นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็หลับตาช้าๆ

     

     

     

     




     

     

    “  แล้วทำไมพี่ถึงลืมผมล่ะ.. อี้ฟาน ” 

     

     

     

     

     

     

     



     

     

    _ _ _

     

     

     

     



     

     

    “  คิดว่านายเป็นใครกันถึงมีสิทธิ์มาสั่งฉัน? ”  เซฮุนที่หยุดดิ้นไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดที่รัดตัวเขาเอาไว้แน่น สายตาที่คนในอ้อมแขนมองมาเป็นสายตาที่คิมจงอินอ่านไม่ออก มันช่างแตกต่างจากทุกครั้งที่โอเซฮุนมองเขา 

     




    “ บอกไปแล้วว่า แฟน ”  คำตอบโง่ๆคำตอบเดิมที่คิมจงอินหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งเป็นเหมือนกับมีดที่เฉือนเส้นความอดทนของโอเซฮุนให้ขาดสะบั้นลงในที่สุดพร้อมๆกับสายฝนที่ค่อยๆสาดเทลงมาจากท้องฟ้า เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เริ่มเปียกปอนแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่ในเวลานี้หยุดการกระทำเหล่านั้นได้เลย

     


     

    “  ไม่ใช่อีกต่อไปแล้วคิมจงอิน ”  เซฮุนย่ำเท้าเต็มแรงลงบนเท้าของคิมจงอินจนอีกฝ่ายร้องโอดโอย คนตัวบางอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมในที่สุด ถอยห่างออกมาสองสามก้าวก่อนจะตะโกนออกไปแข่งกับสายฝน 


     

     

    “ พอได้แล้ว หยุดทำตัวโง่ๆแบบนี้สักที! ”  เซฮุนตะโกนพลางหอบหายใจ สายฝนที่โรยตัวลงมาเป็นม่านบังตาจนคนที่กำลังพูดไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของคนฟังได้อย่างชัดเจน แต่ต่อให้เห็นก็ใช่ว่าโอเซฮุนในตอนนี้จะสนใจ สำหรับโอเซฮุนแล้ว ระหว่างเขากับจงอินถือว่าไม่มีอะไรค้างคาระหว่างกันอีกต่อไป โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาหยิบยื่นให้ คิมจงอินก็ไม่เคยที่จะใส่ใจมันเลยสักครั้ง พอมาในวันนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้วสำหรับทุกอย่าง 

     

     

    “  ฉันกำลังจะเป็นแฟนกับฮวังจื่อเทา! รู้แล้วก็จำใส่หัวไว้ เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว! ”   ไม่รู้หรอกว่าจงอินจะคิดยังไงกับคำพูดเหล่านี้ แต่อย่างน้อยเซฮุนก็หวังว่ามันจะช่วยให้จงอินปล่อยวสงเรื่องเขาได้บ้างสักนิดก็ยังดี แม้ลึกๆในใจร่างบางก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้ว่าผลที่ออกมาจะกลับตาลปัตร แต่ถึงแบบนั้นโอเซฮุนก็พูดประโยคสุดท้ายออกไปอยู่ 








     

     

     

    “  อ้อ! อีกอย่าง ถ้านายยังมีปัญหา.. 

    ถ้านายยังอยากใช้สิทธิจอมปลอมของคำว่าแฟนที่นายคิดขึ้นมาเองต่อไปล่ะก็นะ ”

     

     

     

     

     

     

    “  ก็หาวิธีไปแย่งฉันกลับมาเองแล้วกัน.. ถ้านายมีปัญญาพอที่จะทำน่ะนะ.. ”


















     

     

     

     

     

     

     

    TBC





    #ดอมท

    - มาต่อจนครบร้อยแล้วนะคะ :)
    ขอบคุณที่ติดตามฟิคเรื่องนี้ค่ะ




     

    red .baron
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×