ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DIAMETER - {Krisyeol|Kaihun|Taobaek}

    ลำดับตอนที่ #5 : 04 - Ignore

    • อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 57


    red .baron




     Diameter.

    “KrisYeol TaoBaek KaiHun”

     

     

    [ 4 ]

     

    I

     

    Ignore 

     

     

     

     




     

     

    แบคฮยอนกำลังรอคนตัวสูงคนเดิมให้กลับมานั่งที่เดิม แบคฮยอนรู้ดีว่าจื่อเทาจะต้องมาแน่ๆ มานั่งที่เดิมตรงเก้าอี้ตัวเดิมที่มุมเดิม ..มุมเดิมที่พวกเขามักจะนั่งด้วยกัน ถึงแม้ในคราวนี้จะมีอะไรที่แตกต่างออกไป แต่ถึงแบบนั้นแบคฮยอนก็ยังมั่นใจว่าใครคนนั้นจะมา เพราะทุกครั้งที่เขาเป็นคนเอ่ยปากขอแทบจะไม่มีครั้งไหนเลยที่ฮวังจื่อเทาคนนั้นจะปฏิเสธ 

     

     

     

    และคำขอครั้งนี้จื่อเทาก็จะไม่ปฏิเสธ .. แบคฮยอนรู้ 

     



     

     

    รู้ดีว่าเทาจะมา..




     

     

     

    นั่นเพราะเขาเป็นคนขอให้ออกมาเจอ

    โดยที่จื่อเทาไม่รู้เลย..






    ว่าวันนี้เป็นวันที่แบคฮยอนจะมาเพื่อทำหน้าที่เพื่อนที่ดีให้โอเซฮุนเท่านั้นเอง

     

     








     

    “ จื่อเทาเป็นคนยังไงหรอ? ”  เพื่อนตัวขาวที่นั่งเงียบเป็นเพื่อนกันมาพักใหญ่ๆเอ่ยถามพร้อมกับคลี่ยิ้มดูดีอย่างที่ชอบทำ ผิวขาวยังคนสุขภาพดีกับรูปร่างที่รับกันกับหน้าตายิ่งทำให้โอเซฮุนสมกับตำแหน่งเดือนมหาลัยที่ทุกคนให้ความสนใจและปลาบปลื้มอย่างยิ่งเข้าไปอีก ถึงเจ้าของประโยคคำถามจะเป็นคนสำคัญในใจของหลายๆคนหรือหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยลบเลือนความรู้สึกปวดหนึบอกข้างซ้ายของพยอนแบคฮยอนในตอนนี้ไปได้เลย 

     




     

    “ พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงออก.. ยิ้มยาก ”  แกว่งช้อนกาแฟในมือไปมาอย่างคนมีอะไรในใจ ซึงมันก็ถูกแล้วที่จะพูดว่าในใจแบคฮยอนตอนนี้มีแต่เรื่องที่ชวนให้ปวดหัว และมันน่าเศร้ายิ่งกว่าที่เรื่องราวเหล่านั้นดันเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวของเขาไปเสียหมด 



     

     

    “ แค่นี้เองเหรอ? ” แบคฮยอนเลือกที่จะยิ้มเจื่อนๆแทนคำตอบยามที่เซฮุนเท้าคางมองตรงมาที่เขาเพื่อหาคำตอบที่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนไม่มีคำตอบให้โอเซฮุนหรอก เพียงแต่ว่าแบคฮยอนไม่อยากนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ไม่อยากคิดถึงวันเก่าๆที่คอยแต่ทำให้หัวใจสั่นไหวและเดินผิดทางที่ตัวเองได้เลือกไปแล้วเอาในตอนนี้ 



     

    “ เดี๋ยวรู้จักแล้วเซฮุนก็เรียนรู้กันไปเองนั่นแหละ นายจะมาพึ่งความคิดเห็นของคนที่สามอย.. ” ประโยคคำตอบยาวๆที่ยังพูดไม่ทันจบถูกลบทิ้งไปจากสมองของคนตัวเล็กไปในทันทีที่เห็นใครบางคนเดินเข้ามา จื่อเทาในชุดนักศึกษากับทรงผมยุ่งๆไม่ต่างจากรังนก ไหนจะดวงตาคมคู่นั้นที่ดูอิดโรยยิ่งกว่าเก่า ยิ่งกว่าครั้งสุดท้ายที่แบคฮยอนเห็นเสียอีก ดูเหมือนว่าพอไม่มีเขาแล้วฮวังจื่อเทาจะยิ่งปล่อยปละละเลยตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม




     

    “ มารอนานหรือยัง? ” ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนตัวสูงที่พวกเขารออยู่คนนั้นเดินมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่  รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้กลิ่นกลิ่นน้ำหอมที่เขาเป็นคนเลือกให้เองฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศนั่นแหละ กลิ่นน้ำหอมที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขาอุ่นใจทุกครั้ง



     

    “ ไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็นานพอที่คนตัวเตี้ยแถวๆนี้จะเคี้ยวน้ำแข็งเล่นไปสองสามก้อนแล้วล่ะ ”  ไม่ใช่แบคฮยอนที่ตอบ แต่เป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ของแบคฮยอนที่ตอบแทนเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเล็กของตนไม่ยอมปริปากพูดอะไร แถมด้วยการถองศอกเพื่อเรียกสติคนที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาไปอีกหนึ่งที 



     

    “ ขอโทษที เมื่อคืนดึกไปหน่อยวันนี้เลยน็อก ” ท่าทีสบายๆของคนตัวสูงทำให้แบคฮยอนรู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าเก่า อึดอัดใจอย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะเวลาที่ดวงตาคมๆคู่นั้นเหลือบมองผ่านเมนูเครื่องดื่มที่กางอยู่ตรงหน้ามาที่เขา 



     

    “ อา.. งั้นเหรอ ถ้าแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ใช่ไหมแบคฮยอน ”  เซฮุนที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนหันซ้ายหันขวาส่งยิ้มให้ทั้งสองฝ่ายโดยหวังว่าจะช่วยทำให้บรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้จางหายไปบ้าง รอยยิ้มของเดือนคณะสัตวแพทย์ที่สร้างความหมายให้กับคนสองคนในมุมที่ต่างกัน 



     

    “ อ่อ ไม่เป็นไรหรอก.. เออ  นี่โอเซฮุน เซฮุนเดือนคณะแพทย์ จริงๆจื่อเทาน่าจะรู้จักนายตั้งแต่ตอนประกวดเดือนมหาลัยแล้วนี่ ฮะฮะ ” แบคฮยอนอยากจะตีตัวเองหลายๆรอบที่ดันหัวเราะฝืดๆแบบนั้นออกไป แต่จากเท่าที่ดูแล้วการลงโทษคงไม่จำเป็นเท่าไหร่ รอยยิ้มจางๆที่มุมปากของคนตัวสูงกับมือที่ยื่นออกไปจับกันของคนสองคน จริงๆแล้วถึงไม่มีเขา การที่คนอย่างโอเซฮุนจะเข้าหามนุษย์กึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างจื่อเทาก็คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่หรอกมั้ง 





     

    “ เซฮุนใช่ไหมที่นายอยากให้รู้จัก? ” ประโยคสั้นๆกับน้ำเสียงเรียบๆทำให้แบคฮยอนไม่กล้าหันไปสบตากับจื่อเทาตรงๆ คนตัวเล็กเลือกที่จะยิ้มจนตาปิดแล้วพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบ 


     


    “ จื่อเทานี่ดูไม่เหมือนตอนประกวดเดือนเลยนะ ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมาหรือเปล่า ตานายไม่ต่างจากแพนด้าเลย ”  เป็นเซฮุนอีกครั้งที่เริ่มต้นบทสนทนาใหม่ รอยยิ้มสดใสกับเสียงหัวเราะที่เสริมให้บทสนธนายิ่งดูเป็นธรรมชาตินั่นทำให้หัวใจดวงน้อยๆของพยอนแบคฮยอนไหววูบ 





    “ ช่วงนี้ชีวิตยุ่งๆล่ะมั้ง ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองหรอก ”  จื่อเทาตอบกลับก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มในที่สุดหลังจากที่เลือกอยู่นานสองนาน 


     



    “ งั้นเหรอ บางทีนายอาจจะต้องการคนดูแลก็ได้นะ ”  แบคฮยอนหลุบตาลงต่ำ เขารู้ดีว่าความหมายที่เพื่อนของตนสื่อมันหมายถึงอะไร อยากจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้ ที่ทำได้ก็คงมีแต่นั่งอยู่ตรงนี้ ทำใจให้ชินชาและพยายามที่จะทำตัวเป็นปกติ

     


    “ คงงั้นมั้ง ถ้ามีใครสนใจจะดูแลนะ ”  

     

     

    ซ่า!!

    ทันทีที่พูดจบของเหลวสีน้ำตาลนวลในแก้วเซรามิคบนถาดของพนักงานเสิร์ฟก็ไหลเปรอะไปตามเสื้อนักศึกษาสีขาวและท่อนแขนที่ฮวังจื่อเทายกขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง ไอร้อนของกาแฟแก้วนั้นม้วนตัวในอากาศยามที่มันสัมผัสกับอุณหภูมิที่อตกต่างภายนอกแก้วใบนั้น จังหวะที่ไม่มีใครคาดคิดความโชคร้ายก็มาถึงฮวังจื่อเทาโดยที่ไม่รู้ตัว 

     



     

    “ คงต้องเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่โอเซฮุนแล้วล่ะ ”  เสียงทุ้มเข้มระคนไม่พอใจของใครอีกคนดังขึ้น ในมือของเขามีแก้วเซรามิคที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้มันยังอยู่บนถาดเสิร์ฟ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคำตอบของที่มาของกาแฟร้อนๆที่เปรอะไปทั่วทั้งเสื้อของฮวังจื่อเทาได้อย่างดี เรียกได้ว่าจับได้คาหนังคาเขาและเขาคนนั้นก็ดูเหมือนไม่คิดที่จะกลบเกลื่อนหลักฐานที่มีอยู่คามือแม้แต่สักนิดเดียว 




     

    ขณะที่ทุกอย่างกำลังเข้าสู่การชุลมุน ก็เป็นเซฮุนอีกเช่นเคยที่ตั้งสติได้ก่อน น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ตะโกนออกไปเรียกให้คนทั้งร้านเพ่งความสนใจมาที่พวกเขาแทบจะในทันที

     





















     

     

    “ ทำบ้าอะไร คิมจงอิน!!!! ” 







     

    _ _ _

     

     

     

     

     

     

     

    “ นี่ชานยอล กินข้าวเสร็จแล้วไปนอนดูดาวกันเถอะ ”  ชินเยชะโงกหัวมาถามน้องชายตัวดีที่กำลังนอนเอื่อยอยู่บนโซฟาสีครีมกลางห้องสูทสองฟลอร์ ห้องส่วนตัวของเธอที่อยู่บนชั้นบนสุดของคอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ในเครือตระกูลปาร์ค 

     

    “ พี่จะอวดดาดฟ้าดูดาวที่พ่อทำให้พิเศษใช่ไหมล่ะ? ”

    คำตอบยั่วโมโห ไหนจะท่าทีที่นอนอืดสบายใจแล้วปล่อยให้เธอทำอาหารเย็นให้กินนี่อีก มันช่างน่าหงุดหงิดเกินจะทนไหว ท้ายที่สุดปาร์คชินเยก็อดไม่ได้ที่จะฟาดมือลงไปกลางหน้าผากของน้องชายตัวโข่งจอมยุ่งที่เอาแต่นอนกินบ้านกินเมืองเป็นการสั่งสอน



     

    “ อย่ามารู้ทัน เหอะ ไม่เกี่ยวเลยแค่อยากจะพาไปย้อนบรรยากาศสมัยเด็กเถอะ..” 



     

    “  นี่ปาร์คชินเย..โตๆกันแล้วนะ ”  ชานยอลมองตอบพี่สาวพร้อมกับขมวดคิ้วคล้ายจะล้อเลียน แต่เมื่อเห็นคนเป็นพี่ยกมือขึ้นขู่จะฟาดอีกหนปาร์คชานยอลก็รีบยกหมอนอิงขึ้นมาเป็นโล่ป้องกันดักทางไว้ก่อน ปาร์คคนพี่จึงจำใจลดมือลงในที่สุด



     

    “ เพื่อนเล่นหรือไง? ก็อย่างน้อยทำตอนที่ยังมีโอกาสดีกว่ามาอยากทำตอนที่ไม่มีโอกาสอีกแล้วไง ” พูดทีเล่นทีจริงมาถึงจุดนี้เจอประโยคนี้เข้าไปปาร์คคนน้องก็ถึงกับพูดไม่ออก สมองสั่งให้กรอกลับคำพูดที่เตรียมเอาไว้แล้วไม่ต้องเล่นมันออกมาอีก ชานยอลรู้ดีว่าคำว่า ’โอกาส’  ที่พี่สาวของเขาพูดหมายถึงอะไร พี่สาวของเขากำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และนั่นหมายถึงว่าพี่ของเขาก็จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง และบทบาทความสำคัญของคนเป็นน้องอย่างเขาก็คงลดน้อยลงตามไปด้วย



     

    “ ว่าไง เงียบทำไมล่ะ? ”  ชินเยแย่งหมอนอิงออกจากมือน้องชายตัวโตได้ในที่สุด แต่แทนที่จะดีใจความเงียบที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้กับคนที่ชื่อปาร์คชานยอลได้ก็ทำให้เธอถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

     

     

    “ เปล่า ไม่มีอะไร ไม่ได้เงียบนะเนี่ย นี่ใช้ความคิดพูดแทนอยู่ ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มทะเล้นประจำตัวไปให้พี่สาวคนเดียวของเขาก่อนจะได้รับระเบิดหมอนอิงกระแขกเข้ากลางหน้าเป็นรางวัลจากความปราณีของพี่สาวสุดที่รักของปาร์คชานยอลนั่นเอง



     

    “ สรุปจะไปไหม? ” 



     

    “ ไปสิ ”  รอยยิ้มที่ชินเยที่ส่งมาให้ทำให้หัวใจของชานยอลอบอวลไปด้วยความสุข ขณะที่ลึกๆภายในใจหัวใจของเขาที่เกือบจะหายดีจากรอยแผลเก่าก็เริ่มทำลายตัวเองอีกครั้ง อย่างช้าๆ.. 

     

     




     

     

             “ เจ๋งใช่ไหมล่ะ ดาดฟ้าส่วนตัวน่ะ ” ปาร์คชินเยพูดขึ้นขณะที่ยืดแขนสองข้างขึ้นจนสุดก่อนจะเลื่อนมือสองข้างมาประกบกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ หญิงสาวขยับยุกยิกซ้ายทีขวาทีราวกับว่ากำลังหามุมดีๆที่จะใช้เก็บดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้าในเวลานี้ใส่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่น 

     

     

    “ เห็นไหมล่ะ สุดท้ายก็ลากผมมานี่เพราะจะมาอวดดาดฟ้า.. ” 

     

     

    “ เงียบไปเลย! ”  เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลพูดไม่ทันจบก็ถูกพี่สาวของเขาตัดบทเสียก่อน ในครั้งนี้คงจะเป็นโชคดีของปาร์คชานยอลที่ไม่ถูกปาร์คคนพี่ลงไม้ลงมืออะไร หรืออาจจะเป็นเพราะชานยอลเลือกที่จะหยุดพูดตามที่พี่สาวของเขาสั่งด้วยล่ะมั้ง 

     


     

    “ ตลกดีนะ ว่าไหม? สมัยก่อนพี่ยังฝันจะเป็นนักบินอวกาศอยู่เลย ตอนนี้เผลอแป๊ปเดียวก็กำลังจะมีครอบครัวแล้ว ”  ชานยอลไม่รู้หรอกว่าคนพูดพูดออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าความรู้สึกที่ค่อยๆบั่นทอนหัวใจของเขาในตอนนี้มันคืออะไร 


     

     

    “ พี่น่ะ.. ไม่ได้โตขึ้นเลย ”  ชานยอลละสายตาจากการเฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของพี่สาวเพียงคนเดียวของตนแล้วเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านบนแทน 

     

     

    “ ถ้าพี่ไม่โต เราก็ยังต้องเป็นน้องชายที่น่ารักของพี่อยู่สิ นี่มันใช่แบบนั้นแล้วที่ไหน เดี๋ยวนี้นะความน่ารักของปาร์คชานยอลมันแปรผกผันกับอายุ ”  ปาร์คชินเยย่นจมูกอย่างหงุดหงิดเมื่อถูกน้องชายตัวดีแขวะเข้าให้ จะว่าหงุดหงิดก็คงไม่เชิงต้องเรียกว่าจี้ใจดำเสียมากกว่า ตัวชินเยเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองโตขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่มานอนมองดูท้องฟ้ากับน้องชายของเธอสักเท่าไหร่นัก ถึงภายนอกเธอจะดูเหมือนคนที่เก่งไปหมดทุกด้านแต่ชินเยรู้ตัวเองดีว่าลึกๆลงไปข้างในนั้น ตัวเธอยังคงเป็นคนช่างฝัน คนช่างโลเลเหมือนปาร์คชินเยคนเก่าอยู่เหมือนเดิม และอีกสิ่งที่ไม่เคยจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนก็คือ ความห่วงใยและความรักความผูกพันที่เธอมีให้น้องชายร่วมสายเลือดคนนี้ 

     

     

    “ ผมเป็นเด็กไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ”  คนที่โดนพาดพิงเลิกคิ้วแล้วยิ้มขำ ชานยอลหันกลับมามองพี่สาวของตนอีกครั้งก่อนจะพบว่าชินเยเองก็กำลังมองมาที่เขาอยู่เช่นกัน ดวงตากลมโตที่ทั้งสองคนได้รับต่อมาจากแม่นั้นดูเหมือนจะเป็นของขวัญที่แม่ของพวกเขาให้เอาไว้ติดตัว อวัยวะที่ดึงดูดความสนใจของคนรอบตัวให้หันมามองเพราะความสวยงามของมัน ดวงตาของคนสองคนที่เหมือนกันราวกับถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนใครต่อใครก็มักจะทักเสมอว่าพวกเขาสองคนหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันจนเหมือนฝาแฝด ชานยอลกับชินเยเองก็ไม่เคยปฏิเสธความจริงในข้อนั้น พวกเขาสองคนทั้งๆที่อายุห่างกันถึงสองปีแต่ก็หน้าตาคล้ายกันจนน่าตกใจ แต่ทางด้านบุคลิคและลักษณะนิสัยแล้วพี่น้องคู่นี้กับแตกต่างและโดดเด่นในด้านที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่ชานยอลพยายามมองให้ลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น เขาอยากรู้ว่าพี่สาวของเขากำลังคิดอะไร กำลังกังวลอยู่กับอะไร และรู้สึกอย่างไรในการเป็นปาร์คชินเย ครั้งนี้เองก็เช่นกัน แต่ในทุกๆครั้งสิ่งที่ชานยอลพบก็จะมีเพียงเงาของตัวเขาเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตาคู่นั้นเท่านั้น หลังจากที่เงียบกันไปอย่างไร้สาเหตุเสียหลายอึดใจ ชินเยก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนอีกครั้ง

    “ รู้เอาไว้นะชานยอล.. สำหรับพี่..  ”  







     

    “ เล่าให้ฟังหน่อย.. ว่าพี่เจอเขาได้ยังไง คู่หมั้นของพี่น่ะ ”  

     

     

     

    แต่ในคราวนี้ไม่ทันที่ปาร์คชินเยจะพูดจนจบประโยค ชานยอลก็เอ่ยปากขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ผิดวิสัยคนที่เคยเป็นคนโดนตัดบทอย่างที่มักจะเป็นในทุกๆครั้ง มิหนำซ้ำคำถามของชานยอลยังทำให้ชินเยเป็นฝ่ายตกอยู่ในสถาวะพูดตะกุกตะกักอย่างที่ไม่ควรเป็นอีกด้วย

     

     

    “ จะ.. จะ อยากรู้ ไปทำไมล่ะหา? ”  ใบหน้าขึ้นสีกับท่าทีประหม่าของพี่สาวทำให้ชานยอลหัวเราะออกมา ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นลูกสาวคนโตของตระกูลปาร์คเกิดอาการแบบนี้

     

     

    “ เล่ามาเถอะน่า.. ผมอยากรู้ ”   

     

     

    “ อยากให้เล่าจริงๆเหรอ? นี่วางแผนจะเอาไปล้อทีหลังใช่ไหม! ” 

     

     

    “ เห้ย ผมเปล่านะ นี่อยากฟังจริงๆเลยมาขอให้เล่าให้ฟังนี่ไง พี่ก็รีบๆเล่าสิก่อนเราสองคนจะหนาวตายบนดาดฟ้าส่วนตัวของพี่เนี่ย ”  เมื่อเห็นน้องชายตัวดีถึงกับเอ่ยปากเร่งอีกระลอกในที่สุดชินเยก็ต้องยอมเล่าจนได้ คงเป็นความโชคร้ายของปาร์คชินเยที่เลือกทอดสายตามองท้องฟ้าในเวลาที่เธอเริ่มเล่าเรื่องการพบกันครั้งแรกของเธอกับคริสว่าที่คู่หมั้นและสามีในอนาคต เพราะแบบนั้นหญิงสาวจึงไม่ได้รับรู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอีกคู่หนึ่งที่กำลังมองมาที่เธอนั้นมันไหววูบตามความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของ เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่ได้รับรู้ว่ารอยยิ้มที่มักจะอยู่บนใบหน้าของน้องชายเพียงคนเดียวของเธอเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 

     


     

    “ วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกลงมาในวันที่ไม่ควรจะตกวันหนึ่งเลยล่ะ.. ”  ชินเยเริ่มเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในความมืดที่ยังพอมีแสงไฟร่ำไรชานยอลเห็นว่ารอยยิ้มเล็กๆแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าสวยเฉี่ยวของพี่สาวของเขา 

     

     

    “ พี่พกร่มหรือเปล่.. โอ้ย! อย่าหยิกสิชินเย! ”  ดูเหมือนจะแก้ไม่หายต่อให้จะโดนพี่สาวคนนี้ลงโทษสักเท่าไหร่ชานยอลก็ยังลดความไวของคำพูดที่ตัวเองเอ่ยปากออกไปไม่ได้เลย 

     


     

    “ ไม่ได้พก! ถามมากๆจะไม่เล่าแล้วนะ ”

     

     

    “ แก่แล้วก็อย่าพึ่งขี้ใจน้อยสิ.. เล่าต่อเถอะน่า ผมอยากฟัง ” 

     

     

    “ งั้นก็นอนเงียบๆแล้วฟังสิ ” ชินเยค้อนวงโตไปยังน้องชายตัวดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้แล้วหญิงสาวจึงเริ่มเอ่ยปากเล่าต่อ 


     

    “ ก็เพราะไม่ได้พกร่มนี่ล่ะ ถึงไปเจอกับคริสเข้า.. ”  หญิงสาวเหม่อมองออกไปบนฟ้ายามราตรีอย่างไร้จุดหมาย พ่นลมใจแผ่วๆแล้วพูดต่อ “ ตอนนั้นพี่กำลังรอคุณอาหลี่ขับรถมารับอยู่ที่ป้ายรถเมล์ข้างทาง นัดลูกค้าไปคุยงานนอกสถานที่น่ะ เสร็จก่อนเวลาที่นัดคุณอาเอาไว้ไม่พอ ฝนก็ดันตกลงมา ” 



     

    ปาร์คชานยอลพยายามจินตนาการภาพตามที่พี่สาวของเขาเล่าอยู่ในหัว ภาพเหล่านั้นไหลลื่นต่อเนื่องจนมาสะดุดตรงที่พี่สาวของเขาพูเว่าคนตัวสูงที่เขาเคยรู้จักดีคนนั้นเข้ามาได้อย่างไร 



     

    “ เหมือนฉากที่พระเอกในนิยายรักเจอนางเอกนั่นแหละ คริสเดินเข้ามากับร่มในมือ ยื่นร่มให้พี่แล้วบอกว่า.. ” 


     

     

    “ ผมให้.. ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ใช้มันแทนผมด้วย ”  ชินเยหันไปมองคนพูดในทันที เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของเธอ แต่มันเป็นเสียงของคนที่นอนอยู่ข้างๆเธอตอนนี้ต่างหาก หญิงสาวทวนคำในหัวตัวเองอีกครั้งแล้วเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

     


     

    “ นายรู้ได้ยังไง? ”  เจ้าของประโยคก่อนหน้านี้ชะงักไปในทันทีที่ได้ยินพี่สาวของเขาถามคำถามนี้ออกมา อันที่จริงแล้วชานยอลไม่รู้หรอกว่าใครคนนั้นพูดอะไรกับพี่สาวของเขาในวันที่พวกเขาพบกันในวันแรก สิ่งที่ชายหนุ่มพึ่งพูดไปนั้นมันคือประโยคที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาต่างหาก ความทรงจำในวันฝนซา ความทรงจำในวันแรกที่เขาพบกับใครคนนั้นของพี่สาวของเขา แปลกดี.. ที่การพบกันทั้งของเขากับของชินเยนั้นแทบไม่ต่างกันเลย มันแปลกและไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ในเวลานี้ชานยอลก็ต้องปล่อยใจให้ลืมสิ่งที่ขุ่นเคืองใจในตอนนี้ไปก่อน เพราะรับความสงสัยที่แผ่ออกมาเป็นรังสีกดดันจากพี่สาวคนเดียวของเขาไม่ไหว 



     

    “ ก็แค่พูดตามบทพูดในหนังที่เคยดูมาน่า ”  แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ อดหวั่นใจไม่ได้เลยว่าพี่สาวของเขาจะจับได้หรือเปล่า แต่ชานยอลก็ได้แต่หวังว่าวิชาลักไก่ของเขายังคงใช้ได้ผลกับพี่สาวของเขาอยู่เหมือนเดิม


     

    “ ยังไม่เลิกอีกเหรอ? ไอ่โรคดูหนังรักแบบล้างผลาญน่ะ ”  ดูเหมือนว่าการเฉไฉเบี่ยงเรื่องของเขายังคงทำงานได้ดี แต่พอนึกถึงอาการที่ปาร์คชินเยเรียกว่าเป็นโรคประจำตัวของเขาแล้วชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มที่แสนสดใสก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ 


     

    “ ยังหรอก ไม่อยากหายด้วย ผมชอบของผมนี่น่า ”  พูดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ชานยอลเป็นคนที่ชอบดูหนังมาก มากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะหนังรัก ไม่ว่าจะเป็นหนังรักดราม่าหรือหนังรักโรแมนติกชานยอลก็ชอบดูทั้งหมด นึกแล้วก็ดีใขที่ตัวเองมีโรคนี้เป็นโรคประจำตัว เพราะพี่สาวของเขาดูไม่เอะใจเลยว่าคำตอบก่อนหน้านี้ของเขานั้นจริงหรือเท็จกันแน่ 


     

    “ นั่นสินะ นายมันหัวดื้ออยู่แล้วนี่ ถ้าเลือกอะไรแล้วไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ให้ใครมาโน้มน้าวก็ไม่ได้ผลนี่ ใช่ไหมคุณหนูปาร์คคนเล็ก ”  


     

    “ ใครจะเหมือนพี่ล่ะ ทั้งๆที่เลือกไปแล้วก็ยังมาลังเลโลเลคิดซ้ำไปซ้ำมาอีก ”  เมื่อได้โอกาสย้อน ชานยอลก็เล่นงานจุดอ่อนเพียงไม่กี่ข้อของพี่สาวผู้แสนสมบูรณ์แบบของเขาในทันที หญิงสาวที่กลายเป็นเป้าหมายโดยไม่รู้ตัวหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินดังนั้น ชินเยมองค้อนชานยอลตามประสาผู้หญิงก่อนจะถอนหายใจยาวๆออกมา 


     

    “ มันเป็นข้อเสียไม่กี่อย่างที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หายของพี่ .. อืม จะว่าไปมันก็มีเท่านี้แหละวันแรกที่พี่เจอเขา  ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่านั้น แต่รู้สึกว่าพอหลังจากวันนั้นก็เหมือนจะได้เจอกันบ่อยขึ้นนะ ” 


     

    “ งั้นเหรอ.. ผมว่าพี่ขี้เกียจเล่าแล้วมากกว่า ”  รอยยิ้มที่เคยสดใสหม่นลงยามที่ได้ยินคำว่าเขาในประโยคคำตอบยาวๆของพี่สาวของตน แต่ถึงแบบนั้นชานยอลก็ยังคงยิ้มเพื่อให้คนรอบตัวของเขาไม่เป็นห่วง 


     

    “ เปล่า.. มันมีแค่นี้จริงๆ ”  พอพูดเสร็จชินเยก็หันมาสบตาชานยอลด้วยสายตาจริงจังจนชานยอลถึงกับสงสัย ก่อนที่พี่สาวของเขาจะพูดขึ้นว่า..

     

     

     

     

    “ นี่ชานยอล.. ”

     

      
     

    “ ครับ? ”

     

     

     



     

     

     

     

     

    “ สำหรับพี่.. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือจะมีอะไรเปลี่ยนไปนายจำไว้นะ..
    สำหรับพี่ ‘ครอบครัว’ มาก่อนเสมอ ”














     

     

     

    “ เพราะมันเป็นรักแรกและรักเดียวที่แท้จริงของพี่..  ”

     











     

    พ่อ.. แม่ แล้วก็ตัวนายนั่นแหละชานยอล..

     

     

     












     

     

    _ _ _

     

     

     

     

     

            เซฮุนสาวเท้าเร็วๆไปตามทางเดินในสวนสาธารณะใหญ่ประจำมหาลัย มองซ้ายมองขวาหาที่ๆดูสงบและรมรื่นที่สุด ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังม้านั่งที่อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ ยกแขนขึ้นซับเหงื่อด้วยความรำคาญ ความหงุดหงิดในใจยังคงครุกกรุ่นไม่จางหายไปไหน นี่ผ่านมาสามชั่วโมงแล้วหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ร้านกาแฟขึ้น ฟ้ามืดจนแสงไฟตามเสาไฟข้างทางต้องเริ่มทำงานในที่สุด โอเซฮุนถอนหายใจหนักหน่วงอย่างคนที่มีอะไรรบกวนใจ แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไรมากกว่านั้นก็มีแก้วกาแฟสีขาวถูกยื่นมาให้ตรงหน้าเสียก่อน 


     

     

    “ มาทำไม? ” ไม่ต้องเงยหน้ามองคนตัวขาวก็รู้ว่าใครที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้ว่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคนๆนั้นที่คอยตามรังควาญเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น 

     


     

    “ ซื้อกาแฟมาให้ ”  เสียงทุ้มเข้มตอบห้วนๆตามวิสัยของเจ้าตัว โอเซฮุนไม่อยากที่จะเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มนั้นเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่มีทางเรื่อง 


     

     

    “ ขอบคุณ ”  เซฮุนพูดออกไปเบาๆก่อนที่จะชันตัวลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วคว้าแก้วกาปฟในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ บรรจงเปิดฝาของมันออกช้าๆ ก้มหน้าลงใกล้ๆแก้วเพื่อสูดกลิ่นหอมของกาแฟที่แม้จะไม่ร้อนแล้วก็ตาม เงยหน้าขึ้นมองคิมจงอินที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มน้อยๆก่อนที่จะสะบัดข้อมือออกไปเต็มแรง

     

     







     

    ซ่า! 

     

               ของเหลวสีน้ำตาลเปรอะไปทั่วหน้าและไหล่ของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมสีดำลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงเพราะน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ดวงหน้าที่มักจะตีสีหน้าเฉยชาฉาบไปด้วยความตกใจ จงอินไม่คิดว่าเซฮุนจะกล้าทำแบบนี้ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเซฮุนจะหันมาต่อกรกับเขา ถึงแม้การกระทำในหลายๆครั้งหลังๆที่ผ่านมานี้เซฮุนจะเริ่มพยศและสู้คนบ้างแล้วก็ตาม แต่คิมจงอินก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าโอเซฮุนจะทำแบบนี้กับเขา 

     

     

     






     

    “ นี่.. สำหรับจื่อเทา สำหรับสิ่งที่นายทำลงไปวันนี้ ” 

     












     

    ป้อก! 


     

             พูดเสร็จก็ปาแก้วพลาสติกที่อยู่ในมือใส่หน้าคนตัวสูงที่ยืนเปียกอยู่เต็มแรง ก่อนที่จะพูดประโยคสุดท้ายแล้วหันกายเดินจากไป

     

















     

     

    “ และนี่.. สำหรับการไม่เข้าใจหน้าที่ของแฟนเก่า ”  







     

     

     

     

     

     

        เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คิมจงอินเงียบไปชั่วอึดใจ ต้องยอมรับเลยว่าโอเซฮุนใจเด็ดมากที่กล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้ หากว่ากันตามตรงแล้วถ้าหากเป็นผู้ชายคนอื่นเจอแบบนี้เข้าไปคงถึงเวลาที่จะต้องยอมปล่อยให้โอเซฮุนเดินออกจากชีวิตอย่างจริงๆจังๆเสียที เรื่องมันคงง่ายกว่านี้มาก ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คิมจงอิน คงจะเป็นเพราะโอเซฮุนเป็นคนโชคร้ายเสียล่ะมั้ง โอเซฮุนคนโชคร้ายที่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมจงอิน โอเซฮุนเดือนคณะสัตวแพทย์ที่เดินเข้ามาเปลี่ยนโลกใบเก่าของเขา โอเซฮุนที่พาตัวเองเข้ามาเป็นศูนย์กลางในระบบสุริยะจักรวาลของคิมจงอินโดยไม่ทันรู้ตัว และเพราะโอเซฮุนเป็นคนโชคร้าย คนโชคร้ายที่คิมจงอินจะไม่มีวันยอมปล่อยให้เดินจากเขาไปง่ายๆ ไม่มีทางหรอกที่คิมจงอินจะยอมสูญเสียศูนย์กลางของตัวไปง่ายๆแบบนี้ 

     

     

     

    “ ปล่อย! ”  วิ่งเพียงแค่รู้สึกถึงสายลมพัดผ่านคิมจงอินก็อยู่ใกล้พอที่จะคว้าแขนของโอเซฮุนแล้วดึงเอาไว้ ใบหน้าขาวนวลที่มักมีรอยแผลเล็กๆน้อยๆอยู่ประจำหันกลับมาตามแรงดึงพร้อมๆกับคำขับไล่ โอเซฮุนพูดออกไปโดยที่ไม่ต้องมองด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนที่ดึงรั้งเขาเอาไว้ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรมากกว่านั้นคนตัวบางก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมแขนของเจ้าของแรงบีบที่ข้อมือเมื่อครู่โดยไม่ทันตั้งตัว


     

    “ บอกให้ปล่อย! เดี๋ยวนี้โง่จนฟังภาษาคนไม่เข้าใจแล้วหรือยังไง! ” ถ้อยคำร้ายกาจที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของคนในอ้อมแขนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด แต่ถ้าหากจะถามว่าโอเซฮุนคนที่คิมจงอินเคยรู้จักเหมือนกับคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาในตอนนี้ไหมคิมจงอินก็ตอบได้เลยว่าไม่ และก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่เป็นคนทำให้เซฮุนคนเก่าเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ถึงจะคิดออกมาได้แบบนั้น ความรู้สึกในใจของจงอินก็ยังคงแย้งว่าตัวเขาไม่มีความผิดอะไรทั้งนั้นอยู่ดี มันก็เหมือนทุกครั้งที่เขาเกือบจะหลุดปากคำว่าขอโทษออกไปนั่นแหละ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงไม่เคยพูดมันออกไปสักครั้งเดียว

     

     

    “ หุบปากแล้วฟังซะ.. โอเซฮุน! ” 

    คิมจงอินเว้นจังหวะหายใจเล็กๆก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม

     

     

     

    “ ฉันไม่เข้าใจหรอกคำว่า ‘ แฟนเก่า ‘ น่ะ.. นั่นเพราะฉันไม่ได้เป็น และจะไม่มีวันเป็นตราบใดที่นายยังไม่มีใครคนใหม่ ”

     

     

     

     

    “ และฉันคิดว่านายฉลาดพอที่จะเข้าใจนะว่านายคงไม่มีโอกาสแบบนั้นแน่ๆ.. ”

     





     

     

     

    “ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามายุ่งกับนาย.. ฉัน.. คิมจงอินคนนี้แหละที่จะเป็นคนจัดการมันเอง

     

     

     

     

     

     

    _ _ _

     

     



     

     

                แบคฮยอนเดินวกไปวนมาเป็นวงกลมซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดซ้ำไปซ้ำมาว่าควรที่จะขึ้นไปดีไหม หลายครั้งที่กำกล่องปฐมพยาบาลในมือแน่นและอีกหลายครั้งที่เกือบจะปามันทิ้งไป คนตัวเล็กนึกโกรธตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมถึงยังเป็นห่วงใครคนนั้นอยู่เหมือนเดิม โกรธตัวเองที่ทำตามคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ไม่ได้ และโกรธตัวเองที่รู้สึกดีใจ ..ลึกๆแล้วแบคฮยอนก็อดดีใจไม่ได้ที่คิมจงอินแฟนเก่าขี้โมโหของเพื่อนเขาเข้ามาพังงานนัดพบของเพื่อนสนิทเขาเองแบบนั้น อดดีใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่ต้องทนอยู่ตรงนั้นนานกว่านั้นแม้แต่วินาทีเดียว ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดที่คนตัวสูงที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาในตอนนี้จะต้องเจ็บตัวแบบนั้นก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นพยอนแบคฮยอนก็ยังอดดีใจไม่ได้อยู่ดี ดีใจที่อย่างน้อยตัวเขาก็ยังไม่เสียฮวังจื่อเทาไปจริงๆในตอนนี้

     

     

    “ งี่เง่าชะมัด.. ”  พึมพำว่าตัวเองในอากาศ เพราะหลังจากทีความดีใจและโล่งใจเหล่านั้นเลือนหายไปความรู้สึกผิดก็เข้ามาแทนที่แทบจะทันที และเพราะเหตุนั้นแบคฮยอนถึงได้มายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าหอพักของฮวังจื่อเทาแฟนเก่าของเขากว่าสองชม.แบบนี้ 


     

    “ เข้า.. ไม่เข้า.. ควรจะเข้าไปดีหรือเปล่า ”  ถามใครไม่ได้แบคฮยอนก็ถามตัวเองเอาเสียดื้อๆทั้งๆที่ทำแบบนี้มาไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้งแล้วก็ตาม ท้ายที่สุดแบคฮยอนก็ถอนหายใจออกมาอย่างคนคิดไม่ตกเพราะครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มยังคงตัดสินใจไม่ได้เหมือนเคย คนคิดมากยกแขนสองข้างขึ้นกอดตัวเองเพื่อช่วยคลายความหนาว พระอาทิตย์ก็ตกดินไปได้สักพักแล้วในตอนนี้จึงมีเพียงสายลมและละอองความเย็นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศรอบตัวของเขาเท่านั้น อีกทั้งอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆยิ่งทำให้ขีดจำกัดของร่างกายของเขาลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ถึงแม้จะมีปัจจัยหลายอย่างที่ดูเหมือนจะเร่งรัดให้แบคฮยอนต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดเร็วยิ่งขึ้น แต่ถึงแบบนั้นแบคฮยอนก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มไม่มั่นใจพอที่จะก้าวเข้าไปยังห้องๆนั้นหรือแม้กระทั่งในทางกลับกันจะให้หันหลังเดินจากไปแบคฮยอนก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน.. 

     

     

     

    - -

     


     

    “ จนได้สินะ.. ”  ท้ายที่สุดคนขี้กังวลอย่างพยอนแบคฮยอนก็ลากตัวเองขึ้นมายังห้องพักของคนรักเก่าของตัวเองจนได้ เงื้อมือขึ้นเตรียมจะเคาะแต่สุดท้ายก็ลดมือลงอย่างไร้สาเหตุ แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเขากำลังกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างการเจอหน้ากันตรงๆหรือการเข้าไปพบกับกลิ่นอายความทรงจำของคนสองคนที่อยู่ในห้องๆนี้ หัวใจของเขามันช่างอ่อนแอเสียจริง ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลงยามที่กล่าวโทษตัวเองในใจ ซึ่งโชคร้ายที่มันเป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูตรงหน้าของเขาเปิดออกเองโดยปราศจากการพยายามของเขา 

     

     

    “ .... ”  เพียงสบตาแววสีดำสนิทของคนที่ยืนประจันหน้าด้วยในตอนนี้ ความใจกล้าที่แบคฮยอนสั่งสมมาตั้งแต่ตอนอยู่ข้างล่างก็ระเหิดหายไปในอากาศรอบตัวเขาจนหมดสิ้น มีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ไม่มีใครปริปากอะไรทั้งนั้น สำหรับแบคฮยอนแล้วชั่ววินาทีที่เขาได้สบตากับฮวังจื่อเทานั้นมันช่างยาวนานเหลือเกิน

     

     

     

    “ จะเข้ามาก่อนไหม? ” 

    นั่นถือเป็นคำเชิญหรือเปล่าแบคฮยอนไม่รู้.. แต่สิ่งที่เขารู้ในตอนนี้คือแผลที่จื่อเทาได้รับมาจากการกระทำของคิมจงอินนั้นไม่ใช่แค่บาดแผลเล็กๆอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลย

     

     

     

    “ ยืนอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง? ” เสียงทุ้มๆที่แสนจะคุ้นเคยเอ่ยถามขณะที่แบคฮยอนเริ่มลงมือปฐมพยาบาลให้กับคนรักเก่าของตัวเองอย่างตั้งใจ และอาจจะเป็นเพราะตั้งใจเกินไปจนทำให้แบคฮยอนไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบคำถามของจื่อเทา จนเจ้าตัวต้องถามซ้ำอีกรอบ
     

     

    “ แบคฮยอน.. ยืนอยู่ตรงนั้นนานหรือยัง? ” ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ถามปากเปล่าเท่านั้น จื่อเทายังชักแขนข้างที่แบคฮยอนสาละวนอยู่กับการทำแผลให้หลบเพื่อเรียกร้องความสนใจอีกด้วย และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีทีเดียว


     

    “ ไม่นานหรอก.. ยื่นแขนมาสิ อยู่แบบนี้แล้วจะทำแผลเสร็จได้ยังไง ”  คนถูกถามตอบกลับโดยไม่ยอมมองใบหน้าคมคายของเจ้าของคำถามแม้แต่นิด 
     

     

    “ ไม่ต้องทำแล้ว.. ”  เสียงของจื่อเทาเบากว่าทุกครั้งที่เขาได้ยิน แบคฮยอนพยายามที่จะไม่เงยหน้าขึ้นจากกล่องปฐมพยาบาลเพื่อรับรู้ว่าสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขามันเป็นยังไง เพราะแบคฮยอนรู้ดี รู้ดีว่าตัวเขาจะใจอ่อน แบคฮยอนจึงก้มหน้าอยู่แบบนั้นเพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขารอดพ้นจากสิ่งที่จื่อเทากำลังจะร้องขอไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม 

     


     

    “ ส่งแขนมา ”  หลังจากเงียบกันไปสักพัก คุณหมอจำเป็นก็ยอมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนในที่สุด แต่ดูเหมือนการขอความร่วมมือจากคนไข้รายนี้จะไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้เสียแล้ว 

     


     

    “ ฮวังจื่อเทา.. ให้ฉันทำแผลให้เสร็จก่อนได้ไหม? ”  


     

     

    “ ไม่.. ”

     

     

     

    “ จื่อเทา.. ”

    “ ไม่.. ” คนตัวสูงยังคงยืนยันคำเดิม แบคฮยอนถอนหายใจด้วยความหนักอกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

     

     

    “ จื่อเทา.. ให้ฉันทำแผลให้เถอะ ”

     

     

     

     

     

     

    “ ไม่.. ”

     

     

    “ ทำไมล่ะ? ” แบคฮยอนมองคนเจ็บด้วยความไม่เข้าใจ ตัวเขามาถึงที่นี่ก็เพื่อจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือกันแบบนี้ เขาจะทำหน้าที่ของเขาเสร็จได้ยังไงกัน คิดได้เพียงเท่านั้นแบคฮยอนก็ต้องตกใจกับคำตอบของฮวังจื่อเทาที่ขัดจังหวะการคิดของเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

     

     




     

     

     

    “ ถ้านายทำแผลเสร็จตอนนี้.. เวลาที่ฉันจะได้อยู่กับนายมันก็จะลดน้อยลงน่ะสิ.. ”

     

     

     






     

    _ _ _

     

     

     

     

             ปาร์คชินเยลงจากดาดฟ้าไปแล้ว ทิ้งให้ชานยอลผู้เป็นน้องอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบกับท้องฟ้าและดวงดาวยามค่ำคืน ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังท้องฟ้าไกลแสนไกล ชายหนุ่มยกมือขึ้นคว้าดวงดาวที่ดูเหมือนลอยอยู่บนฟากฟ้าห่างจากตัวเขาเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น ก่อนที่จะลดมือลงมาแล้วคลายมือออกพบแต่ความว่างเปล่า 

     

     

     

    “ ถึงจะดูใกล้แค่ไหน.. แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังอยู่ไกลเกินที่จะเอื้อมมือไปถึงสินะ ”

     

     



     

     

    “ เหมือนผมกับพี่เลย.. ว่าไหมอี้ฟาน? ” 

    ชานยอลกระซิบเสียงเบาก่อนจะดึงสายสร้อยสีเงินที่รอยกระดุมโลหะเม็ดเก่าเม็ดหนึ่งเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จ้องมองมันอยู่แบบนั้นก่อนจะระบายยิ้มบางๆออกมา

     

    “ แต่ผมว่าพี่อยู่ถูกที่แล้วล่ะครั้งนี้..  ” 

    ชานยอลก้มมองวัตถุสีเงินในมืออีกครั้งก่อนที่จะเริ่มพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ประโยคสุดท้ายนั้นแผ่วเบาจนแทบจะกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบที่เลือนหายไปในสายลม

    ประโยคสุดท้ายที่ปาร์คชานยอลพูดขึ้นก่อนที่จะขว้างสายสร้อยที่ถือไว้ในมือออกไปจนสุดแรง

     

     

     

     

     

     

     

    “ เพราะอยู่ตรงนั้นผมคงขอร้องให้พี่กลับมาหาผมไม่ได้อีก..  ”


     





     

    TBC



     

     

     

     

     

     

     

     




     

     

    100%
    15 Jan 14 -1 20% หายหน้าไปนานเลยแวะมาเท่านี้ก่อนนะคะ เดี่ยวจะมาต่อให้อีกค่ะ
    ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังด้วยนะคะ

    16 Jan 14 -2 50% ต้องขอโทษจริงๆที่มาอัพให้ทีละนิดทีละนิด ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายนิดหน่อยค่ะ
    แต่ยังไงจะพยายามอัพให้ครบร้อยไวๆนะคะ ส่วนตอนต่อไปก็รบกวนช่วยรอกันหน่อยนะคะ
    อาจจะนาน แต่ยังไงก็มาแน่ค่ะ :)

    17 Jan 14 -3 100% ต่อให้จนครบแล้วนะคะ สำหรับตอนหน้าคงต้องรอกันสักนิดค่ะ
    แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ 


    - ขอบคุณจริงๆที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหน และ
    พลับอ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ ขอขอบคุณจริงๆสำหรับทั้งกำลังใจและคำติชม
    เป็นแรงใจที่ดีมากๆเลยล่ะค่ะ 

    พลับจะพยายามให้มากกว่านี้นะคะ 
    ขอบคุณมากค่ะ

    :)






     

     

    /ฝากแฮชแท็กนี้ด้วยนะคะ
    พลับไล่อ่านไล่เฟฟในทวิตอยู่เหมือนกันนะคะ 

    #ดอมท
      @Wolinr

    คุยกันได้นะคะ (:





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×