ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DIAMETER - {Krisyeol|Kaihun|Taobaek}

    ลำดับตอนที่ #4 : 03 - Triangle

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 56


    red .baron









     Diameter.

    “KrisYeol TaoBaek KaiHun”

     

     

    [ 2 ]

     

    T

     

    Triangle 

     

     

     












     

                  ยอมรับ.. ว่าแบคฮยอนไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามที่ตัวเองตอบตกลงคำขอของเพื่อนไป โอเซฮุนเพื่อนตัวสูงผู้มีรูปร่างผอมบาง ผิวขาวเนียนกับนัยตาแฝงไปด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ อีกทั้งฐานะเพื่อนสนิทที่พ่วงมาเป็นตำแหน่งต่อท้าย หากจะให้พูดปฏิเสธก็คงจะดูใจร้ายเกินไป และตัวเขาเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปปฏิเสธคำขอของเซฮุนได้ ทุกวันนี้ตัวเขากับฮวังจื่อเทาก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักกันเท่านั้น ในเมื่อเป็นเขาเองที่ตัดสินใจ ในเมื่อเขาเลือกแล้วที่จะตัดความสัมพันธ์ เลือกแล้วที่จะปล่อยให้คนตัวสูงคนนั้นเดินไปตามทางของตัวเอง เขาก็ไม่มีสิทธ์ที่จะไปทักท้วงอะไรอีก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว.. บางสิ่งบางอย่างยังคงอยู่ในความรู้สึกของเขาไม่ยอมจางหายไปก็ตาม

     



     

    “ เฮ้อ.. ”  คว้าโทรศัพท์ออกมา สไลด์หน้าจอปลดล็อคแล้วถอนหายใจ รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างพยายามหยุดเขาไม่ให้ทำมันได้สำเร็จ พยายามจะหาเหตุผลอื่นที่เป็นไปได้แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพบแต่ความเห็นแก่ตัวเท่านั้นที่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากกดโทรศัพท์ต่อ ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดพยายามที่จะไล่ความเห็นแก่ตัวเหล่านั้นไปแต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งพบว่าความรู้สึกนั้นมาจากหัวใจของเขาเอง 


     



     

    “ อย่างี่เง่าน่า.. ”  บ่นตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดใจเปิดเข้ากล่องข้อความที่ว่างเปล่า กดเบอร์โทรศัพท์ที่จำได้ขึ้นใจก่อนจะเลื่อนไปพิมพ์ข้อความ 


     



     

    ‘ สวัสดี ‘  พิมพ์เสร็จก็พ่นลมหายใจพรืด ลบมันทิ้งแทบจะทันที 

      



     

    พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นเพียงความเคยชิน มันเป็นความเคยชินที่จะใช้อำนาจความเป็นคนรักแสดงความหึงหวงและความเป็นเจ้าของ บอกตัวเองว่าต้องให้เวลาตัวเองลบล้างความเคยชินเหล่านั้นออกไปจากใจและทำหน้าที่ของเพื่อนที่ดี

     



     

           แบคฮยอนยังจำได้ดีในตอนที่โอเซฮุนเอ่ยปากขอ ความรู้สึกโหวงเหวงภายในช่องท้องกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำให้ตัวเขาชะงักไปนานพอสมควร แม้ในท้ายที่สุดแล้ว เขาจะตัดสินใจตอบตกลงออกไปก็เถอะ รอยยิ้มกับแววตาดีใจของโอเซฮุนในวินาทีที่เขาตอบตกลงนั้น มันยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่หายไปไหน 


     

    รอยยิ้มที่ทำให้เขาหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก..


     


     

               คงเป็นเพราะในตอนนี้โอเซฮุนไม่มีใคร และฮวังจื่อเทาเองก็ไม่มีเขาอยู่ข้างๆอีกต่อไป โอเซฮุนเป็นคนน่ารัก อีกทั้งคนตัวขาวคนนั้นยังเป็นถึงเดือนคณะสัตวแพทย์ แตกต่างกับตัวเขาแบคฮยอนคนที่ไม่มีอะไรเลย คนที่ไม่สมควรได้เดินเคียงข้างคนอย่างฮวังจื่อเทามาตั้งแต่แรก โลกของเราคงไม่มีทางหนีพ้นสัจจะธรรมที่ว่าดาวย่อมคู่กับดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ต่อให้ฝืนตัวลงมาอยู่กับก้อนดินอย่างเขา ในท้ายที่สุดท้ายแล้วสักวันหนึ่งดวงดาวดวงนั้นก็ต้องกลับขึ้นไปบนฟากฟ้าเช่นเดิม และวันนั้นก็คงเป็นวันเดียวกับวันนี้

     



     

     

    ถึงจะบอกตัวเองซ้ำๆแบบนั้นแต่เขาก็ยังคงกลัว
    แบคฮยอนกำลังกลัว .. กลัวการสูญเสียคนๆนึงที่ตอนนี้เป็นแค่คนรู้จักกัน    



     

     

     


     

    อ่อนแอจนอยากจะร้องไห้.. แต่รู้ดีว่าน้ำตาไม่ช่วยอะไรจึงได้เก็บมันไว้ในใจแบบนั้น

     






     

    “ รับปากเขาแล้วก็ต้องทำให้ได้สิ ”  พูดกับตัวเองเป็นครั้งที่สอง ไถตัวลงพิงกับเบาะโซฟาตัวเก่า สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำให้หงุดหงิดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วตัดสินใจพิมพ์อีกครั้ง 

     





     

    ‘ สวัสดี ‘  - B.

     

    เป็นครั้งแรกที่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตอบข้อความ ถ้าเป็นเมื่อก่อนแบคฮยอนแทบจะนับวินาทีรอว่าเมื่อไหร่คนตัวสูงคนนั้นจะตอบกลับข้อความของเขา แต่ในคราวนี้มันช่างน่าตลกที่เขาเอาแต่ภาวนาให้ใครคนนั้นไม่ตอบข้อความ 





     

    ‘ สวัสดี.. กินข้าวรึยัง? ‘ - T.  ดูเหมือนความหวังของเขาจะพังไม่เป็นท่า อยากจะทุบเจ้าของข้อความทีกำลังอ่านอยู่แรงๆสักที เวลาที่ไม่ต้องการให้ตอบกลับตอบเร็ว ไม่ว่าจะในสถานะอะไร ฮวังจื่อเทาก็ยังคงเป็นคนที่ทำตัวน่าโมโหกับพยอนแบคฮยอนตลอดเวลา 






     

     ‘ ยัง นายกินหรือยัง? ‘ - B.  ลืมเรื่องที่ตัวเองจะถามไปซะเฉยๆ ความเคยชินดูเหมือนจะทำงานไวกว่าความคิดในเวลานี้ อยากจะตีมือตัวเองที่กดส่งข้อความนั้นออกไปไวเหลือเกิน 


     



     

    ‘ ยังเลย ‘ - T.  แค่เพียงอึดใจเดียวอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา ทั้งๆที่อยากรีบๆพูดเรื่องที่ต้องการรู้ให้มันจบๆแต่ดูเหมือนในเวลานี้บทสนทนาระหว่างเขากับใครคนนั้นจะยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ แบคฮยอนคงทนไม่ไหวแน่ๆถ้ายังปล่อยให้หัวใจและความเคยชินทำงานต่อไปแบบนี้ 

     




     



     

    ไม่อยากจะพิมพ์ตอบกลับไปอย่างที่ชอบทำ.. 

    ไม่อยากเอ่ยปากว่าไปกินด้วยกันไหม.. 







     

    ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น .. 

    เขาควรจะรีบๆจบบทสนทนานี้โดยเร็วที่สุด

     



     





     

    ‘ หาอะไรกินด้วย.. อาทิตย์หน้ามีวันไหนว่างบ้างหรือเปล่า? ’ - B. 

     





     

    ‘ วันพุธ มีอะไรหรือเปล่า? ‘ - T.

     








     

    เม้มปากอย่างที่ชอบทำเวลาประหม่า รวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วตอบข้อความนั้นกลับไป

     

     

    ‘ จะชวนไปร้านกาแฟ .. มีคนอยากให้รู้จัก ’  - B.

     

     







     

    กลัว.. นึกกลัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนกำลังกลัวคำตอบที่จะได้รับ กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย คนตัวเล็กโยนโทรศัพท์ไปบนโซฟาราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่ไม่น่ามีไว้ครอบครอง ก้มลงกอดเข่าซุกหน้าอยู่อย่างนั้นและได้แต่หวังว่าจะไม่มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในเวลานี้ 

     


     

     

    ครืด! เสียงสั่งสะเทือนของโทรศัพท์มือถือบนโซฟาตัวเล็กทำให้แบคฮยอนหลุบตามองพื้นอย่างคนที่ผิดหวัง คว้ามันกลับเข้ามาในมือแล้วเปิดอ่านอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก



     

     

    พยายามบอกตัวเองในใจว่าอีกฝ่ายคงตอบตกลงกลับมา บอกตัวเองว่าอย่าเสียใจหรือมีอาการอะไรหลังจากได้อ่านข้อความนั้น แต่ดูเหมือนว่า จะบอกตัวเองเท่าไหร่ก็ช่วยไม่ได้เลยเมื่อได้อ่านข้อความนั้นจนจบ ข้อความสั้นๆที่ดูเหมือนจะส่งผลให้หัวใจดวงน้อยๆสั่นไหว เหมือนกับการปาก้อนหินลงในน้ำ แม้จะเป็นก้อนหินเล็กๆแต่มันก็ยังสร้างคลื่นน้ำที่กระจายตัวเป็นวงกว้าง ข้อความสั้นๆที่สั่นคลอนกำแพงที่เขาสร้างขึ้นจนอ่อนยวบยาบ




     






     

    ‘ อยากให้ไปเหรอ? ’  - T.  

     








     

     

    ทำไมต้องถาม.. ทำไมต้องทำเหมือนว่าความรู้สึกความต้องการของเขาเป็นสิ่งสำคัญ
    ทำไมต้องทำให้เขาคิดมาก ทำไมต้องทำให้เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่เรื่อย..

     






     

    แล้วถ้าพยอนแบคฮยอนตอบว่า  ‘ ไม่อยาก ‘ จะทำให้ฮวังจื่อเทาไม่ไปได้งั้นเหรอ? 




     




     

    อย่าทำแบบนี้เลย .. ตอนนี้เราเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น..  ได้โปรด.. อย่าทำให้เขาต้องผิดคำพูดของตัวเองเลย.. 

     

     

     

     

     

    ‘ อือ.. เจอกันที่ร้านกาแฟที่เดิมวันพุธนะ ’ - B.

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - - - 

     

     

     

     


     

    “ เลิกตามได้แล้ว ไม่มีที่ไปหรือไงถึงมาเดินตามอยู่ได้ ”  เซฮุนพูดขึ้นโดยไม่หันไปมอง รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเดินตามเขามาตั้งแต่ออกจากร้านกาแฟร้านประจำแล้ว คนผิวเข้มที่เคยเป็นรักเก่าของโอเซฮุนคนนั้นยังคงมาวนเวียนวุ่นวายกับตัวเขาอยู่เรื่อยๆ 



     


     

    “ ... ”  อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถาม มีเพียงร่มสีดำที่เคลื่อนมาบังสายฝนที่กำลังตกประปรอยให้กับเขาเท่านั้นแทนคำตอบ เซฮุนกำหมัดเมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย 



     

     

    “ ต้องการอะไร? ” สุดท้ายเซฮุนก็ต้องเป็นฝ่ายหันกลับไปหา ใบหน้าที่มักจะนิ่งเฉยฉายแววหงุดหงิดเต็มที่ ความหงุดหงิดนั้นดูเบาบางลงเมื่อมาจากคนตัวผอมบางอย่างเซฮุนยิ่งในเวลาเสื้อนักศึกษาที่เริ่มเปียกชื้นแนบติดตัวจากการเดินฝ่าฝนเมื่อครู่ยิ่งทำให้โอเซฮุนดูตัวเล็กและไม่น่ากลัวอย่างที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่ยืนยันได้ว่าคนตัวบางคนนี้กำลังไม่สบอารมณ์แน่ๆก็คือดวงตารีเรียวมองจ้องเขม็งไปยังใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง


     

     

    “ จะเดินไปส่ง ”  ในที่สุดคนผิวเข้มก็เปิดปากพูด ประโยคสั้นห้วนตามประสาคนเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ 



     

     

    “ มีขา เดินเองได้ ไม่ต้องการรถรับส่ง ” ว่าแล้วก็สาวเท้าเร็วๆออกจากรัศมีร่มสีดำคันใหญ่ แต่ทว่าก้าวขาได้ไม่ทันไรก็โดนใครอีกคนคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน 

     

     


    “ ปล่อย! ”  หันกลับไปตวาดพลางสะบัดแขนออก อดแปลกใจไม่ได้ที่อีกคนยอมปล่อยอย่างว่าง่าย แต่ไม่ทันที่จะได้เดินต่อก็ถูกคนรักเก่าคนนั้นดึงตัวเข้าสู่วงแขนแกร่ง อ้อมแขนอบอุ่นที่เซฮุนไม่ต้องการ 

     



     

    “ ปล่อย ”  ผลักอีกฝ่ายออกโดยไม่สนใจอะไร พยายามก้าวเดินให้เร็วที่สุดแต่ถึงแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงวิ่งตามมาอยู่ดี 

     




     

    “ จะตามมาทำไม บอกให้ไปให้พ้นไง คิมจงอินนายไม่เข้าใจภาษาคนเหรอ?! ”  เพิ่มระดับเสียงขึ้นตามความโมโห สายฝนยิ่งนานยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เซฮุนเองก็อยากจะวิ่งกลับไปให้ถึงหอพักใจจะขาดติดตรงที่คนน่ารำคาญคนนั้นยังคงเดินตามเขาเป็นเงาอยู่แบบนี้เนี่ยแหละ อยากจะไปให้พ้นๆ ไม่อยากจะเห็นหน้าคนๆนี้อีก แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ยอมให้เขามีความสุขได้ง่ายๆ 

     



     

    “ ฝนตก ให้ฉันไปส่งเถอะน่า ”  เสียงทุ้มพูดขึ้นอีกครั้งพลางเดินมาใกล้ ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่เซฮุนก็ยิ่งถอยหนีมากขึ้นเท่านั้น 




     

     

    “ ไม่จำเป็น ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ไปให้พ้นหน้าฉัน ”  

     

     

    “ นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ให้ฉันไป? ”  


     





     

    “ แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมายุ่งวุ่นวายกับฉัน? ”  ถามแล้วกระตุกยิ้ม ในเมื่อถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรที่จะไล่ เซฮุนก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคิมจงอินมีสิทธ์อะไรถึงมาไล่ตามเขาอยู่แบบนี้

     




     

    “ สิทธิ์ของแฟนไง ” 

     







    “ หึ เราไม่ใช่แฟนกันแล้วไค เมื่อไหร่นายจะจำสักทีว่าเราจบกันไปแล้ว ” 
    พูดจบก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่คิดจะกลับไปมองคู่สนทนาอีก 

     

     






     

    โอเซฮุนไม่ต้องการกลับไปเป็นทาสรองรับอารมณ์ของคิมจงอินอีกแล้ว 




     

    สองปีที่ผ่านมามันเกินพอสำหรับทุกอย่าง

    ความรักที่โอเซฮุนมีให้คนผิวเข้มคนนั้นก็เช่นกัน..

     





     

     

    มันเหือดแห้งไปพร้อมๆกับน้ำตาของเขาในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาหมดแล้ว..

     

     





     

     

    - - -

     

     

     

     

     

     

    “ ชานยอล ช่วยพี่เลือกหน่อยสิ ” ปาร์คชินเยเอ่ยปากเรียกพลางกวักมือเรียกชานยอลที่นั่งเงียบอยู่ตรงโซฟา ในมือของหญิงสาวเต็มไปด้วยชุดเดรสสีขาวนวลหรือไม่ก็สีครีมสว่าง ชานยอลเดินไปหาพี่สาวอย่างว่าง่าย รับชุดเดรสพวกนั้นมาถือไว้แล้วปล่อยให้ปาร์คชินเยเลือกต่ออีกสองสามชุด ถึงแม้พี่สาวจะบอกให้เขามาช่วยเลือกท้ายที่สุดแล้วคนที่เลือกก็ยังคงเป็นชินเยเองอยู่ดี
     


     

     

    “ ทำไมไม่เอาตัวนั้นไปด้วยล่ะชินเย? ”  ชานยอลท้วงขึ้นมาหลังจากยืนไร้ประโยชน์อยู่นาน ยื่นมือไปคว้าข้อมือของพี่สาวไว้เมื่อเห็นพี่สาวแขวนชุดเดรสยาวกรอมเข่าประดับด้วยมุกและผ้าลูกไม้กลับเข้าราวหลังจากที่จ้องมองมันอยู่นาน 



     

     

    “ มันจะหวานไปหรือเปล่าชานยอล? ”  ชินเยตอบด้วยสีหน้าลังเลใจ นานๆทีชานยอลจะได้เห็นพี่สาวผู้แสนจะสมบูรณ์แบบของเขาดูกังวลแบบนี้ ชินเยไม่ใช่คนใจโลเล ออกจะเป็นคนเฉียบขาดเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าอะไรที่หญิงสาวตัดสินใจเลือกแล้ว ปาร์คชินเยก็จะไม่เปลี่ยนใจ เพราะแบบนั้นเวลาได้เห็นพี่สาวของเขาลังเลในการเลือกอะไรสักอย่างปาร์คชานยอลก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้





     

    “ ไม่ตลกนะชานยอล! ”  ชินเยว่าด้วยสีหน้ายับยู่ 




     

    “ โอเค ล้อเล่นน่า ยังไม่ทันแก่ก็ขี้หงุดหงิดซะแล้ว เอาไปด้วยเถอะน่า พี่ใส่แล้วคงสวย ” ชานยอลหลบฝ่ามือพิฆาตของพี่สาวเป็นพัลวัน ก่อนจะคว้าชุดเดรสที่พี่สาวของเขาทำท่าจะแขวนกลับเข้าราวส่งไปให้ชินเยถืออีกครั้ง 

     





    “ ถ้าใส่แล้วไม่สวย เงินเดือนเดือนหน้าจะหักออกครึ่งหนึ่ง ” 



     

    “ งั้นถ้าใส่แล้วสวยพี่ต้องเพิ่มให้ผมอีกเท่าหนึ่ง  ”



     

    “ ตกลง! หึ ปาร์คชานยอล นายคิดว่าเซ้นท์เรื่องแฟชั่นนายดีแค่ไหนเชียว  ”







     

    “ ดีไม่ดีไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าลองตัวที่ผมเลือกตัวแรกนะครับ คุณพี่สาว ”  ตัวเขากับปาร์คชินเยยังคงเถียงกันเหมือนสมัยที่พวกเขายังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังคงยิ้มและหัวเราะด้วยกันอย่างที่เป็นมาในอดีต นอกจากแม่แล้ว ปาร์คชินเยก็คือผู้หญิงที่ปาร์คชานยอลรักมากที่สุด  

     

     

     

     





     

    และเพราะแบบนั้นชานยอลจึงไม่คิดจะทำให้พี่สาวของเขาเสียใจ

    แม้ว่าลึกๆข้างในหัวใจของเขามันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    ยามที่เห็นคนสองคนนั้นยืนอยู่ด้วยกันข้างหน้ากระจก 

      

     




     

          คริสอยู่ในชุดสูทสีเทาขลิบขอบด้วยผ้าสีดำ เข้าคู่กันดีกับปาร์คชินเยในชุดเดรสที่เขาเลือกให้ ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก เหมือนภาพสโลว์โมชั่นยามที่คริสจูงมือปาร์คคนพี่มาตรงหน้าเขา ดูเหมือนชินเยจะพูดอะไรบางอย่าง ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าพี่สาวพูดอะไรออกมา ในหัวของชานยอลตอนนี้มีเพียงเสียงหัวใจของเขาที่กำลังร้องไห้ปานจะขาดใจเท่านั้น





     


    ร้องไห้ให้กับตัวเองในใจ แม้ใบหน้าของเขากำลังยิ้มแย้มให้คนที่เขารักทั้งสองคน

    คนที่เขารักทั้งสองคนที่กำลังจะหมั้นหมายและแต่งงานกันเร็วๆนี้..














    ในตอนนี้ชานยอลคงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง
    ความพ่ายแพ้ของคนที่ลืมไม่เก่ง


    และคงต้องแบกรับโทษทัณฑ์ของการโกหกใจตัวเองมาตลอดสองปีอีกด้วย..








     

    " น้องชานยอลครับ ชินเยอยากไปกินอาหารจีน พี่ไม่รู้ว่าชานยอลจะโอเคหรือเปล่า? " อยากจะนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆก็ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เห็นใจ เหมือนสิ่งที่เขาเจอมากว่าชั่วโมงมันยังไม่สาสมกับสิ่งที่เขาทำ ชานยอลนั่งก้มหน้าถกเถียงกับตัวเองอยู่ตั้งนานจนกระทั่งเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้า แม้ไม่อยากเงยหน้าขึ้นไปมองแค่ไหนก็ต้องทำ แม้คำถามจะทำร้ายจิตใจให้บอบช้ำมากมายเท่าไหร่ก็ควรที่จะตอบ แม้สรรพนามที่เปลี่ยนไปจะเหินห่างแค่ไหนก็ต้องยอมรับมัน






     







    คงต้องยอมรับจริงๆแล้วว่า อู๋อี้ฟาน ของเขาได้จากไปแล้วตั้งแต่สองปีก่อน 
    เพราะไม่มีทางเลยที่อู๋อี้ฟานคนนั้นจะพูดจากับเขาแบบนี้








    และไม่มีทางเลยเหมือนกันที่ปาร์คชานยอลคนนั้นจะพูดกับอู๋อี้ฟานคนนั้นแบบนี้เช่นกัน










    ในเมื่ออีกฝ่ายวางตัวเป็นพี่เขยของเขาได้ดีขนาดนี้ 
    แล้วทำไมเขาจะทำตัวเป็นน้องสะใภ้ที่ดีบ้างไม่ได้.. 









    " ได้ครับ ผมไม่มีปัญหาหรอก คุณคริสตามใจพี่ชินเยเถอะครับ  "











    " ตัวผมก็เป็นแค่น้องชายของพี่ชินเยเท่านั้นเอง
    ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้ครับ "

















     










    TBC
     


    #ดอมท
    @Wolinr 

    x ผิดคำพูดอีกแล้ว
    จะไปอัพเรื่องนู้นก่อนดันเผลอตัวพิมพ์เรื่องนี้จนเสร็จ
    เอาเป็นว่ายังไงก็ขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีมาให้นะคะ +

     

    แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ :)









    ปล. ฝากฟิค ' เทาแบค'  คอมเมดี้เรื่องยาว ฟิครักใสๆไม่หนักไม่หน่วงด้วยนะคะ




    {TAOBAEK} MADAM MANDARIN+








     

    ฮวังจื่อเทาเป็นเจ้าของไร่ส้มแมนดารินบนเกาะเชจู

    เผลอได้เสียกับพยอนแบคฮยอนลูกคนหาปลา จนในที่สุดต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกัน


    เมื่อชีวิตคู่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรัก


    หัวใจสองดวงนี้จะสื่อถึงกันได้หรือเปล่า?
    ในเมื่อความรักครั้งนี้ยังมีอุปสรรคที่ชื่อโอเซฮุนเจ๊ใหญ่นายหน้าค้าส้ม

    ไหนจะอีกทั้ง เสี่ยคริสเจ้าของตลาดปลาบนเกาะเชจูผู้เป็นศัตรูหัวใจ.


    #มาดามแมนดาริน





    @Wolinr




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×