คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #53 : สมบัติมรดกโลกในเกาหลี
สมบัติมรดกโลกในเกาหลี
สมบัติทางวัฒนธรรมของเกาหลีในบัญชีมรดกทางวัฒนธรรมของโลกโดยองค์การยูเนสโก
แหล่งประวัติศาสตร์ในเขตเกียงชู (Gyeongju) และสวนแท่นหินที่โกชาง (Gochang) ฮวาซุน (Hwasun) และ กังฮวา (Ganghwa Dolmen) ได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกทางวัฒนธรรมของโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อคราวประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 24 ที่เมือง แคร์นส์ (Cairns) ประเทศออสเตรเลียซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนถึงวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2000 ต่อจากวัดบุลกุกซา (Bulguksa Temple) ถ้ำซอกกูรัม (Soekguran Grotto) อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine) แท่นพิมพ์ไม้ ตริปิทาก้า โคเรียน่า- พระไตรปิฎกของเกาหลี- (Tripitaka Koreana) ที่วัดแฮอินซา (Haeinsa Temple) และสิ่งก่อสร้างต่างในปี 1995 และหมู่พระราชวังชางด็อกกุง (Changdeokgung Palace Complex) และป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress) ที่ซูวอนในปี 1997 ปัจจุบันเกาหลีมีสมบัติทางวัฒนธรรม 7 แห่งในบัญชีมรดกทางวัฒนธรรมของโลกกำหนดโดยองค์การยูเนสโก
ชางด็อกกุง-พระราชวังแห่งคุณความดีอันลือนาม (Changdeokgung, the Palace of Illustrious Virtue)
ชางด็อกกุงถูกสร้างขึ้นในปีที่ 5 แห่งรัชสมัยของกษัตริย์แตจอง (Taejong) แห่งราชวงศ์โชซอนติดกับพระราชวังเกียงบ็อกกุงราชวังหลักของราชวงศ์
หมู่ราชวังของชางด็อกกุงซึ่งได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดีแบ่งเป็นส่วนบริหาร ส่วนพักอาศัย และอุทยานทางด้านหลัง (Huwon) บริเวณที่เป็นส่วนบริหารนั้นรวมเอาประตูดอนฮวามุน (Donhwamun Gate) เข้าไว้ด้วยซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในหมู่ราชวังอินชองเชิน (Injeongjeon) ซึ่งใช้เป็นท้องพระโรงและซอนชองเชิน (Soenjeongjeon) โถงสำหรับบริหาร
ส่วนที่เป็นที่พักอาศัยนั้นรวมถึง ฮุยชองดัง (Huijeongdang) และแทโชเชิน (Daejojeon) ห้องบรรทมของกษัตริย์และพระชายา โรงครัวหลวง ห้องพยาบาลและส่วนต่อเนื่องอื่นๆ ฮูวอนอุทยานด้านหลังอันลือชื่อ กับพลับพลาที่สง่างามอีกมากมาย ห้องเก็บหนังสือของราชสำนักกับห้องสมุดและสระบัวอันร่มรื่น
ชางด็อกกุงกลืนเข้ากับทัศนียภาพด้านหลังได้เป็นอย่างดีซึ่งเป็นพื้นที่ลาดเนินเขาและหมู่แมกไม้อันเขียวขจี ด้วยความที่ได้เปรียบในด้านสิ่งแวดล้อมท้องพระโรงที่โอ่อ่า พลับพลาและอุทยานฮูวอน (Huwon)ได้มีการวางตำแหน่งให้เป็นสัดส่วนได้อย่างยอดเยี่ยมซึ่งทำให้เป็นไข่มุกแห่งสถาปัตยกรรมของราชวังและทิวทัศน์ของอุทยาน
อุทยาน (Huwon) ประดับประดาด้วยต้นไม้มีค่า บางต้นมีอายุถึง 300 ปี จึงทำให้เป็นตัวแทนแห่งสรวงสวรรค์ของสวนเกาหลี กษัตริย์และราชนิกูลพร้อมทั้งข้าราชสำนักต่างชื่นชอบที่จะมาพักผ่อนและหาความสำราญที่อุทยานแห่งนี้
อารามหลวงจองเมียว (Jongmyo Royal Shrine)
อารามหลวงจองเมียวสร้างขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ดวงพระวิญญาณแห่งบูรพกษัตริย์ของราชวงศ์โชซอน ณ ที่นี้กษัตริย์ และบรรดาพระราชวงศานุวงศ์จะมาทำการสักการะแด่บรรพบุรุษตามแบบลัทธิขงจื๊อ
อารามอันสง่างามแห่งนี้ซึ่งเป็นผลงานของสถาปัตยกรรมที่สวยงามอย่างเรียบง่ายนี้ได้รับความเห็นชอบให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันหาค่ามิได้และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโยองค์การยูเนสโกในปี 1995
อารามหลวงจองเมียวกอปรด้วยอารามชองเชิน (Jeongjeon) อันเป็นอารามหลัก อารามยองเนียงเชิน (Yeongnyeongjoen) อันเป็นอารามประกอบและสิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ ชองเชินอันมีระเบียบล้อมรอบได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอาคารที่ยาวที่สุดในเอเชีย มีแท่นบูชาพร้อมป้ายสถิตย์วิญญาณเพื่อระลึกถึงพระบารมีของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งปัจจุบันมีป้ายของกษัตริย์จำนวน 19 ป้าย และราชินี 30 ป้าย ยองเนียงเชินอันมีห้องจำนวน 16 ห้องนั้นเป็นที่ประดิษฐานป้ายสถิตวิญญาณของวงศานุวงศ์ชั้นรองจำนวน 15 ป้ายและพระราชินีกับพระสวามีอีก 17 ป้าย
จองเมียวสร้างขึ้นในปี 1394 โดยราชวงศ์โชซอนได้ย้ายเมืองหลวงจากแจซอง (Gaeseong) มายังฮานยาง (Hanyang) (กรุงโซลในปัจจุบัน) แต่ถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลองในช่วงที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นรุกรานในปี 1592 ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1604 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1608
เบอร์โทร: (02) 765-0195 |
ฮวาซอง-ป้อมปราการอันสง่างาม (Hwaseong, the Brilliant Fortress)
ฮวาซองเป็นป้อมปราการอันสง่างามที่ซูวอนจังหวัดเกียงจิ-โด (Gyeonggi-do) ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ปั้นจั่นเป็นครั้งแรกและการวิศวกรรมโยธาอันทันสมัยที่สุดในศตวรรษที่ 18 การก่อสร้างได้รับการวางแผนโดยกษัตริย์ชองโช (King Jeongjo) กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอนเมื่อคราวที่พระองค์ได้ย้ายพระศพของพระบิดาจากยังซูไปยังเขาฮวาซานในปี 1789
ตัวป้อมปราการทอดยาวไปตามที่ราบและไหล่เขาซึ่งน้อยนักที่จะได้เห็นป้อมลักษณะนี้ในประเทศข้างเคียงอย่างญี่ปุ่นและจีน ป้อมนี้ได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ในด้านการเมือง การค้าและการทหาร โดยได้รับอิทธิพลมาจากซิลฮัก (silhak) หรือ "การเรียนรู้ในเชิงปฏิบัติ"
ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ในสมัยนั้น ตัวป้อมได้รับการก่อสร้างโดยวิทยาการชั้นสูงและด้วยอุปกรณ์ก่อสร้างที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โครงสร้างถูกทำให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นโดยการผสมผสานเข้ากันของหิน อิฐ และไม้ ซึ่งรวมถึงระบบระบายน้ำ เชิงเทิน ช่องยิงปืนบนกำแพง และหอรบต่างๆ ตัวป้อมทอดยาวโอบล้อมตอนล่างของเมืองซูวอนเป็นวงรูปไข่มหึมากินความยาววัดได้ถึง
เบอร์โทร: (031) 228-2716 |
วัดบุลกุกซาและคูหาซอกกูรัม (Bulguksa Temple and Seokguram Grotto)
บุลกุกซาเป็นวิหารแห่งดินแดนพระพุทธศาสนาตั้งอยู่กลางพื้นที่ลาดของภูเขาโตฮัมซานในเมืองเกียงชูจังหวัดเกียวซังบุค-โด
เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลกษัตริย์เกียงด็อกแห่งอาณาจักรซิลลาและเสร็จสมบูรณ์ในปี 774 โดยการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีคิม แท -ซอง (Prime Minister Kim Dae-seong)
วัดบุลกุกซารวมเอาประกายแห่งสถาปัตยกรรมชั้นครูและศาสตร์แห่งอาณาจักรซิลลาในศตวรรษที่ 8 ในบรรดาสถาปัตยกรรมชิ้นเอกต่างๆนั้น โซกกาตับ (Seokgatap) และทาโบตับ (Dabotap) เป็นที่เด่นสะดุดตาที่สุดเพื่อเป็นการอุทิศให้แก่องค์พระศากยมุนีและพระ พุทธรัตนะ (พระพุทธแห่งศฤงคารอันเหลือล้น) เจดีย์ 2 องค์นี้เป็นตัวแทนของพระพุทธซึ่งสถิตย์อยู่ในวิหารเป็นอุทาหรณ์แห่งวัตถุประสงค์ของชาวซิลลาในอันที่จะรวบรวมความเป็นเลิศของพุทธศาสนาไว้ในโลกา
คูหาซอกกูรัมซ่อนตัวอยู่ในเนินลาดทางทิสตะวันออกของยอดเขาโตฮัมซานเป็นกุฏิอันศักดิ์สิทธิ์ของวัดบุลกุกซาสร้างขึ้นโดยคิมแท-ซอง กุฏิหินแกรนิตเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาในพระศาสนา วิชาการด้านสถาปัตยกรรมรังสรรค์ด้วยฝีมืออันหมดจดของชาวซิลลา
คูหาซอกกูรัมประกอบด้วยห้องพักคอยซึ่งมีรูปแกะสลักนูนของ 8 เทพผู้พิทักษ์ และวัชรภานี (Vajrapani) 2 องค์ ตามทางเดินสั้นๆนั้น มีสลักเสลารูปเทวกษัตริย์ 4 พระองค์ประดับไว้และศาลาทรงกลมตอนกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานพระศากยมุนีทัธคัตกตา (Shakyamuni Tathagata) (องค์อวตารแห่งความเป็นจริง) ตามส่วนล่างของกำแพงรูปวงกลมมีรูปแกะสลักนูนขององค์พระอวโลกิเตศวร สาวกทั้งสิบ มันชุศรี (Manjusri) สักการะเทวนัม (Sakradevanam) อินทรา (Indra) มหาพราหมณ์ (Mahabrahmandah) และสามันตะภัทร (Samantabhadra) ที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณระดับสายตามีช่องเจาะกำแพงไว้ 10 ช่อง แต่ละช่องเป็นที่ตั้งบูชาพระโพธิสัตว์
องค์พระประธานประดิษฐานอยู่ใต้หลังคาโค้งมีพระโอษฐ์ยิ้มด้วยพระเมตตาอย่างเยือกเย็น ทำให้เห็นถึงความเป็นเลิศของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดผ่านทางการแกะสลักหินเป็นเสมือนหนึ่งพระพุทธเจ้ากำลังทรงเทศนาอยู่ในทุกขณะ ทรงสั่งสอนเกี่ยวกับความดีของมนุษย์ที่ติดตัวมาด้วยสันดาน
เบอร์โทร: (054) 746-9912 |
แหล่งประวัติศาสตร์เกียงชู (Gyeongju Historic Areas)
เกียงชูและบริเวณใกล้เคียงได้เล่าเรื่องราวและแสดงร่องรอยทางวัฒนธรรมแห่งความรุ่งโรจน์ซึ่งเบ่งบานและเสื่อมถอยในยุคอาณาจักรซิลลา (57 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 935) ทางตอนใต้ของเมืองและบริเวณโดยรอบมีหลุมฝังศพของพระราชวงศ์หลายแห่งและสิ่งหลงเหลืออยู่ของพุทธศาสนาซึ่งทำให้ได้เห็นสุดยอดแห่งความงดงามของศิลปะและวัฒนธรรม
แหล่งประวัติศาสตร์เกียงชู ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขานัมซานและทรัพย์สมบัติทางวัฒนธรรมเป็นแหล่งรวมแห่งตัวอย่างอันเด่นชัดของพุทธศาสนาในเกาหลีในรูปแบบของการแกะสลัก ภาพนูน เจดีย์ และซากปรักหักพังของวิหารและพระราชวังในระหว่างศตวรรษที่ 7 ถึง 10
แนวทิวเขานัมซาน (Mt. Namsan Belt)
ก่อนที่พุทธศาสนาจะเผยแพร่เข้ามาสู่อาณาจักรซิลลานั้นทิวเขานัมซานแห่งเมืองเกียงชูได้รับแรงศรัทธาให้เป็นหนึ่งในห้าของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเกาหลี โดยการเผยแพร่ของพุทธศาสนาภูเขาแห่งนี้ได้กลายมาเป็นตัวแทนของพระสุเมรุ ภูเขาแห่งสวรรค์ในดินแดนแห่งพุทธศาสนา
แนวโวลซอง (Wolseong Belt)
ณ ที่แห่งนี้คือป่าเยริม (Gyerim Woods) เป็นที่เล่าขานต่อกันมาว่าเป็นสถานที่เกิดของ คิม อัล-จิ (Kim Al-ji) ผู้เป็นต้นสกุลคิม ผู้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์เกือบทุกพระองค์ของอาณาจักรซิลลา สถานที่สำคัญของทิวเขาแห่งนี้คืออิมแฮชอน (Imhaejeon)
สถานที่ปรักหักพังของปราสาทชั้นรองซึ่งได้มีงานจัดเลี้ยงต่างๆของราชสำนักเป็นประจำซึ่งจัดขึ้นบริเวณรอบๆ สระน้ำที่ได้รับการ ตกแต่งอย่างสวยงามและ หอเชิมซองแท (Cheomseongdae)
อันเป็นหอดูดาวที่เก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออก
แนวฮวางยองซา (Hwangyeongsa Belt)
สถานที่ตั้งวิหารฮวางยองซา (Hwangyeongsa) และบุนฮวางซา (Bunhwangsa) ซึ่งสื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสง่างามของวิหารโบราณของเกาหลีได้ในชั่วขณะหนึ่ง
แนวซันซอง (Sanseong Belt)
ซันซอง (Sanseong) (หมายถึงเขาป้อมปราการ) ทิวเขาที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ป้อม เมียงฮวาลซันซอง (Myeonghwalsanseong Fortress) มีการประมาณการว่าได้ก่อสร้างในศตวรรษที่ 4 ก่อสร้างด้วยวิธีการที่ทันสมัยในขณะนั้นซึ่งต่อมาได้สืบทอดต่อไปยังญี่ปุ่น
แนวอุทยานตูมูลี (Tumuli Park Belt)
จากมหาสุสานของราชวงศ์ซิลลาและเนินหลุมศพของบรรดาขุนนางได้มีการขุดค้นมหาสมบัติที่ยังคงถูกฝังอยู่กันอย่างกว้างขวางรวมถึงมงกุฎทองคำ จิตรกรรมภาพเขียนของเชินมาโด (Cheonmado) และพลอยสีฟ้า (ไพฑูรย์) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของวัฒนธรรมของซิลลา
แท่นพิมพ์พระไตรปิฎกของเกาหลี (ตริปิตาก้า โคเรียน่า) ที่วัดแฮอินซาและห้องเก็บแท่นพิมพ์ไม้ (Tripitaka Koreana Woodlbocks at Haeinsa Temple and its Depositories)
แฮอินซาวิหารแห่งพระสมาธิอันล้ำลึกดุจดั่งนทีไกลนั้นอิงแอบอยู่ตรงทางขึ้นของอุทยานแห่งชาติเขากายาซาน (Gayasan National Mountains) เมืองฮับชอน (Hapcheon) จังหวัดเกียงซังนัม-โด
(Gyeongsangnam-do Province) ซึ่งสร้างโดยซูเนือง (Suneung) และอิชอง (Ijeong) ในปี 802 ในสมัยอาณาจักรซิลลา กษัตริย์แตโช (King Taejo) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์กอร์เยวได้กำหนดให้เป็นวิหารแห่งแผ่นดิน ปัจจุบันมีวิหารราย 75 วิหารและกุฎิ 14 แห่งกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณโดยรอบ
เมื่อชาติตกอยู่ภายใต้การรุกรานของชาวมงโกลในปลายรัชสมัยราชวงศ์กอร์เยวนั้น กษัตริย์โกชอง (King Gojong) ได้เสด็จลี้ภัยไปประทับที่เกาะกังฮวาโด (Ganghwado Island) ในปี 1230 ณ เกาะแห่งนี้พระองค์ได้ทรงรับสั่งให้มีการจารึกพระไตรปิฎกบนแผ่นไม้ อย่างสุดกำลังโดยหวังอาศัยอำนาจอันวิเศษแห่งพุทธศาสนาช่วยปัดเป่าภัยจากการรุกรานของชาวมงโกล การนี้ใช้เวลาถึง 16 ปีจากปี 1236 ถึง 1251 แท่นพิมพ์นี้ในครั้งแรกถูกเก็บไว้ในวัดซอนวอนซา (Seonwonsa Temple) บนเกาะกังฮวาโด และถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บที่วัดจิซอนซา (Jicheonsa Temple) และเคลื่อนย้ายอีกครั้งไปที่วัดแฮอินซาทำให้เป็นแหล่งแห่งศาสนาเพื่อความสันติสุขแห่งชาติและความสมบูรณ์พูนสุขนับแต่นั้นมา
ในบริเวณวัดแฮอินซามีห้องเก็บของใหญ่ 2 ห้องและห้องเล็กอีก 2 ห้องหนึ่งในห้องใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้คือห้องซูดาราจาง (Sudarajang) ห้องแห่งพระสูตรและห้องเบิบโบชอน (Beopbojeon) ทางทิศเหนืออีกห้องหนึ่งเป็นห้องแห่งพระธรรม แต่ละห้องมี ด้านหน้ากว้าง
พระไตรปิฎกแห่งเกาหลีประกอบด้วยแท่นพิมพ์ไม้ 81,258 แท่น เป็นที่รู้จักกันในเกาหลีในชื่อ ปัลมัน แทจังเกียง (Palman Daejanggyeong) (การเก็บรวบรวมพระคัมภีร์แห่งพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่จำนวนแปดหมื่นแผ่น) เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่ปรากฏว่ามีร่อยรอยของความผิดพลาดหรือตกหล่นใดๆเลยไม่ว่าจะเป็นแผ่นไหนๆ ก็ตาม เพื่อป้องกันแมลง การผุพัง การเสื่อมของกรอบ การแตกร้าว และความชื้น เนื้อไม้ได้รับการทำนุบำรุงก่อนมาเป็นเวลาหลายปีโดยกระบวนการพิเศษ ได้ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติแห่งชาติลำดับที่ 32
สำหรับไม้ที่ใช้เป็นแท่นพิมพ์นั้นได้มีการนำไม้นานาชนิดมาใช้รวมถึงไม้เบิร์ชซึ่งมีอยู่อย่างล้นเหลือบนเกาะแก่งต่างๆที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลด้านใต้ ได้มีการนำไม้มาผ่านกระบวนการอย่างเข้มงวดทำให้ทนต่อฝนฟ้าอากาศและการผุกร่อน โดยในขั้นแรกจะนำไม้มาแช่น้ำทะลสักสองสามปีจากนั้นก็นำมานึ่งเพื่อสลายยางไม้แล้วนำมาผึ่งในที่ร่มและผึ่งลมอีกเป็นเวลาหลายปี พอพื้นผิวของไม้ราบเรียบแล้วจึงเริ่มงานประดิษฐ์ด้วยการเขียนและแกะสลักซึ่งใช้เวลาประมาณ 16 ปี
จากปี 1236 ขุมทรัพย์แห่งแท่นไม้ดังกล่าวนั้นได้ถูกส่งมอบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันในสภาพที่สมบูรณ์ พิสูจน์ให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความสำเร็จของศาสตร์การพิมพ์ของเกาหลีในยุคกลาง โดยนัยแห่งความเที่ยงตรง ความงดงามของตัวอักษร ความเชี่ยวชาญในการแกะสลัก และปริมาณ ทำให้พระไตรปิฎกเกาหลีเป็นทรัพย์อันประมาณค่ามิได้เป็นชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกของพุทธวินัยในตัวอักษรจีน
แท่นไม้พระไตรปิฎกเกาหลีและห้องเก็บได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1995
เบอร์โทร: (055) 933-8637 |
แหล่งสวนแท่นหินตั้งที่โกชาง ฮวาซุน และกังฮวา (Gochang, Hwasun and Ganghwa Dolmen Sites)
สวนแท่นหินตั้งขนาดมหึมาคืออนุสรณ์เกี่ยวกับการปลงศพซึ่งมีมากมายในทวีปเอเชีย ยุโรป และอัฟริกาเหนือ เกาหลีนั้นมีสวนหินตั้งจำนวนมากที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในโลกมีคุณค่ามหาศาลทางโบราณคดีเพรียบพร้อมไปด้วยความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ผู้สร้างมันขึ้นมาและระบบสังคมและการปกครอง ความเชื่อและพิธีสักการะ ศิลปะพิธีการเฉลิมฉลองต่างๆ และความลี้ลับอื่นๆ
สวนแท่นหินตั้งที่โกชาง ฮวาซุนและกังฮวา มีหินตั้งหนาแน่นที่สุดและหลายหลากกันออกไปในเกาหลี ผู้คนจะประหลาดใจไม่เพียงแต่จะมีจำนวนเท่าใดเท่านั้นแต่ยังในเรื่องของความหลากหลายด้วย
แบบโต๊ะเป็นที่รู้กันในแบบภาคเหนือ แบบโก-บอร์ด (Go-board type) ทางภาคใต้ แบบหินเทินและอื่นๆ บริเวณสวนหินเหล่านี้ยังคงไว้ซึ่งหลักฐานให้พิสูจน์ว่ามีการขุดหินมาได้อย่างไร ขนย้ายและยกขึ้นได้อย่างไร และแบบหินต่างๆกันไปรากฏทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชียได้อย่างไร
สวนแท่นหินตั้งได้ถูกสร้างขึ้นในเกาหลี 1000 ปีก่อนคริสตกาลจนกระทั่งช่วงต้นสหัสวรรษแรก มันมีขึ้นตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์โบราณแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและท้องถิ่น
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของสวนแท่นหินตั้ง รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของเกาหลีจึงได้กำหนดให้พื้นที่สวนแท่นหินเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์หรืออนุสาวรีย์ส่วนภูมิภาคและได้ดำเนินการสำรวจทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศอย่างถูกต้องและแน่นอนกับการขุดค้นทางวิทยาศาสตร์
สวนแท่นหินที่โกชาง (Gochang Dolmen Site (
สวนแท่นหินชุงนิม-รี (Jungnim-ri) เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและน่าทึ่งที่สุด อยู่กลางหมู่บ้านแมซาน (Maesan Village) แท่น หินส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับสูง 15-50 เมตรขึ้นไปตามเชิงเขาทางใต้ของหมู่บ้าน แท่นหินที่เทินอยู่สูงระหว่าง 1 เมตรถึง
วิธีการเดินทาง: โดยรถโดยสารประจำทางไปยังชุงนิม (Jungnim) หรือเขตอาซาน (Asan area) ขึ้นที่สถานีขนส่งโกชาง (Gochang Bus Terminal) ลงรถที่ชุงนิม-รี (รถออกวันละ 5 เที่ยว ใช้เวลา 20 นาที) |
สวนแท่นหินที่ฮวาซุน (Hwasun Dolmen Site (
เหมือนกับที่พบที่สวนแท่นหินแห่งโกชาง สวนหินในเขตนี้มีกระจัดกระจายอยู่ตางลาดเนินไปตามแม่น้ำจิซอกกัง หลายแห่งที่นี่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าที่พบในโกชาง กลุ่มฮโยซาน-ริ (Hyosan-ri group) มีแท่นหินประมาณ 158 แท่นและกลุ่มแทซิน-ริ (Daesin-ri group) มีประมาณ 129 แท่น
สวนแท่นหินที่กังฮวา (Ganghwa Dolmen Site (
สวนแท่นหินแห่งนี้ทอดยาวไปตามทางลาดของภูเขาบนเกาะกังฮวา แท่นหินดูคล้ายว่าจะตั้งอยู่สูงกว่าที่พบในบริเวณสองแห่งก่อนหน้านี้และดูเหมือนว่าจะสร้างก่อนเป็นเวลานานกว่ามาก
วิธีการเดินทาง: โดยรถประจำทางไปยังบูกุน-รี (Bugeun-ri) จากสถานีขนส่งกังฮวา (Ganghwa Bus Terminal) |
ความคิดเห็น