คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Promise in memory - Chapter 01
01
กลับมาครั้งนี้…จะรุกแล้วนะ
ตอนเช้า
“หนูมินนี่ถ้าไม่รีบเราจะสายเอานะคะ” เสียงของมิกกี้พี่ชายที่เกิดก่อนฉันเพียงแค่หนึ่งนาทีตะโกนดังเข้ามาภายในบ้าน คาดว่าตอนนี้มิกกี้น่าจะเตรียมตัวเสร็จและอยู่ที่รถเรียบร้อยแล้ว
ส่วนหนูมินนี่ที่ว่านี่ก็คือฉันเอง อันที่จริงชื่อฉันคือมินนี่เมาส์หรือเรียกสั้นๆคือมินนี่ แต่ก็มีมิกกี้นี่ล่ะมี่ชอบเรียกฉันว่าหนูมินนี่ ดูมีความมุ้งมิ้งน่ารักที่ช่างขัดกับตัวของมิกกี้หรือเกิน ฉันกับมิกกี้เมาส์เราเป็นฝาแฝดกันมิกกี้เป็นแฝดพี่ที่เกิดก่อนฉันเพียงแค่หนึ่งนาทีส่วนเรื่องหน้าตาบองเราสองคนที่ไม่ค่อยเหมือนกันเหมือนฝาแฝดคู่อื่นเพราะเป็นฝาแฝดไข่คนละใบ นอกจากนี้ก็ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่งชื่อแท็ดดี้แบร์ปัจจุบันนี้เรียนอยู่มอปลาย เป็นคนนิสัยค่อนข้างจะออกห้าวๆถึงแม้ยัยนั่นจะไม่แสดงด้านนี้ออกมาให้ครอบครัวเห็นแต่ฉันก็รู้จักนิสัยของพี่น้องฉันดี
แต่ถึงจะรู้จักดีฉันก็ไม่ค่อยอยากจะไปสุงสิงด้วยซักเท่าไหร่หรอก -_-
“มาแล้วก็ขึ้นรถเลยค่ะ วันนี้เรามีเรียนเช้านะคะอย่าลืม”
ฉันเดินลงมาที่โรงจอดที่บ้านโดยที่ไม่ลืมล็อกบ้านให้เรียบร้อยเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน พ่อแม่ก็ไปทำงานส่วนแท็ดดี้ก็ไปเรียนได้ซักพักแล้ว พอทุกอย่างเรียบร้อยฉันก็เดินไปขึ้นรถที่มิกกี้สตาร์จและเข้าไปนั่งรอเรียบร้อย
“ในบ้านเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ?” มิกกี้เอ่ยถามหลังจากที่ฉันขขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว
“อืม” จบคำนั้นมิกกี้ก็เลี้ยวรถออกจากบ้านทันที ส่วนรั้วเดี๋ยวคนรับใช้มาถึงก็จัดการปิดเอง คือครอบครัวเราค่อนข้างจะมีฐานะ ไม่ได้รวยมากขนาดมหาเศรษฐีแต่ก็ไม่ได้จน คงจะประมาณไม่ได้มีมากขนาดโปรดเงินทิ้งๆขว้างได้แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ดีกินดี เพราะมิกกี้เองก็เป็นเน็ตไอดอลแถมมีงานถ่ายแบบติดต่อมาบ่อยๆแน่นอนว่าเจ้าบ้านี่ต้องรับอยู่แล้วชอบอยู่หน้ากล้องจะตายไป
“หนูมินนี่ยังโกรธพี่อยู่หรอคะ?”
เสียงของมิกกี้ดังขึ้นขัดความคิดของฉัน ทำให้ฉันที่กำลังมองไปนอกกระจกรถและหันกลับมามองหน้ามิกกี้พร้อมกับกรอกตาอย่างเบื่อหน่ายเนื่องจากมิกกี้เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้ว!
และเรื่องที่ว่าก็คือเรื่องที่มิกกี้ส่งชื่อฉันลงไปสมัครประกวดดาวเดือนพร้อมตนเอง แล้วยังไงล่ะ? มิกกี้น่ะชนะอยู่แล้วเพราะหน้าตาหล่อเหลาสมเป็นเน็ตไอดอลที่บางทีก็ถ่ายแบบ แถมความสามารถก็เยอะอีกตางหาก เล่นเต้นบีบอยในงานประกวดขนาดนั้น แต่ฉันเนี่ยสิที่ไม่น่าชนะแต่ก็ดันชนะได้เป็นดาวคณะคู่เดือนคณะอย่างมิกกี้
ซึ่งฉันไม่ได้อยากเป็นเลย!!
แล้วพอเราสองพี่น้องได้เป็นเดือนและดาวของคณะนิเทศเรียบร้อยเมื่อพ่อและแม่รู้ข่าวคือดีใจมาก ดีใจมากจริงๆนะกับมิกกี้พวกท่านเฉยๆแต่กับฉันพวกท่านทั้งสองถึงกับกลับบ้านเร็วแล้วฉลองกันซะยกใหญ่ สงสัยจะดีใจมากที่ลูกสาวคนโตเริ่มมีสังคมกับเขาบ้างเมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย แต่คืนนั้นฉันก็ไม่ได้อยู่ฉลองด้วยหรอก พอถึงบ้านก็ขึ้นห้องเลย
แต่มันก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วถึงจะเคืองๆแต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร อันที่จริงฉันก็ไม่เคยโกรธมิกกี้หรอกนะ อย่ามากก็แค่เบื่อ รำคาญมาก มากจนอยากจะโยนมิกกี้ออกไปจากบ้านให้หายตัวไปซักอาทิตย์นึง…แค่นั้นจริงๆ
“ว่าไงคะตกลงว่าหนูมินนี่ยังไม่หายโกรธพี่?"
“ก็ปล่าว ไม่ได้โกรธ”
“พี่ไม่เชื่อค่ะ หนูมินนี่แทบไม่ยอมคุยกับพี่ชายคนนี้เลย แบบนี้คือโกรธชัวร์ๆ” แล้วปกติฉันพูดกับพี่เป็นต่อยหอยเลยหรือยังไง?!
คือปกติฉันก็ไม่ค่อยคุยกับมิกกี้อยู่แล้วเพราะถ้าพูดกับมิกกี้ไปมากๆแล้วมิกกี้จะชวนคุยต่อยาวประเภทกัดไม่ปล่อย ซึ่งนั่นมันน่ารำคาญมากสำหรับฉัน แน่นอนว่าฉันต้องแสดงอาการว่าโคตรรำคาญออกไปบ่อยๆอยู่แล้ว แต่มิกกี้ก็ไม่เคยสนหรอกถ้าไม่พูดออกไปตรงๆ
แต่ใครจะพูดกันเล่า…ถึงจะรำคาญแต่ยังไงก็พี่ชายมั้ย?
“มินไม่ได้โกรธพี่มิกหรอกเชื่อสิ” อยากจะยกนิ้วให้ตัวเองจริงๆที่สามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ แต่ถ้าไม่พูดก็ไม่จบ เชื่อเถอะว่ากลั้นใจพูดๆไปเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“โอ้…” มิกกี้พูดพึมพัมอะไรอยู่คนเดียว เป็นประโยคที่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดว่าอะไร แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรฉันไม่สนแค่เงียบได้ฉันก็พอใจแล้ว
จากนั้นมิกกี้ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยตลอดทางจนมาถึงมหา’ลัย รอจนเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่คณะเสร็จเรียบร้อยก็เปิดประตูลงไปพร้อมกับมิกกี้ แต่หมอนั่นที่เพิ่งลงมาจากรถสายตาจับจ้องไปที่ผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวยดีแต่ติดไปทางน่ารักๆแถมตัวเล็กด้วย เธอคนนั้นเองก็มองมาทางมิกกี้อย่างตกใจ ซักพักมิกกี้ก็ยกยิ้มขึ้นมา เพียงแค่นี้ฉันก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่ามิกกี้คิดอะไรอยู่ เห้อ เอาเถอะที่นายสบายใจเลยมิกกี้
ฉันกรอกตาและถอนหายใยออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเดินหนีเจ้าพี่บ้าที่ชอบเต๊าะสาวเข้าไปในตึกเนื่องจากวันนี้มีเรียนเช้า อยากจะสายเพราะมัวแต่ติดหญิงก็เอาเถอะ แล้วแต่พี่เลยพี่ชาย
ช่วงบ่าย
หลังจากที่จบการบรรยายของอาจารย์ฉันก็รีบเก็บหนังสือ เลกเชอร์ปากกาและอีกมากมายใสกระเป๋าเมินเสียงเรียกชื่อฉันต่างๆนาๆหรือแม้กระทั่งนักศึกษาในคลาสคนอื่นที่ทำท้าจะเข้ามาทักและตรงออกมาจากห้องทันที คือไม่ได้หยิ่งนะแค่ไม่ชอบเข้าสังคม
ส่วนมิกกี้หมอนั่นออกไปก่อนฉันอีก เก็บของตั้งแต่อาจารย์ยังอยู่ในห้องแต่พอออกไปเท่านั้นหล่ะลุกตามหลังอาจารย์ไปแทบจะทันที ก็เข้าใจนะว่ามีงานตอนบ่ายน่ะแต่จะรีบอะไรขนาดนั้นกัน? แต่มิกกี้ก็บอกฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าวันนี้มีงานถ่ายแบบ ทำให้วันนี้ฉันต้องนั่งแท็กซี่กลับเอง วันนี้เองก็มีเรียนแค่ช่วงเช้าหรือจะหาข้าวกินแล้วค่อยไปหาที่เงียบๆพักผ่อนแทนที่จะกลับบ้านเลยดีนะ?
สำหรับคนที่คิดว่าฉันเป็นเป็นพวกเก็บตัวเงียบจังตัวอยู่ในห้องอยู่แต่ในความมืดบอกเลยว่าคิดผิดมากๆ ฉันก็แค่ขี้รำคาญ ไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่าน ส่วนเรื่องเก็บตัว โอเค อาจจะเป็นนิดหน่อยช่วงเด็กๆแต่ตอนนี้หายแล้วแน่นอน แต่อาการโลกสูงยังอยู่นะ
“มินนี่!”
เสียงเรียกชื่อฉันพร้อมบุคคลที่ปรากฏตัวจากทางด้านหลังมาจับไหล่ของฉันไว้ทั้งสองข้างและยื่นหน้ามาให้เห็น ถึงฉันจะโลกสูง ถึงฉันจะหยิ่ง ถึงจะไร้เพื่อนยังไงแต่ก็ต้องมีพวกบ้าๆมาคอยสุงสิงบ้างล่ะน่า
“เลิกเล่นอะไรบ้าๆซักทีเถอะเจได”
เจไดหมอนี่เป็นนายแบบเช่นเดียวกับมิกกี้แต่ไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลหรอกนะ เขาเป็นคนที่มีหน้าตาที่น่ารักมากประกอบกับรูปร่าสูงโปร่งและความสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบแถมยังย้อมผมเป็นสีบลอนทอง ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ช่างส่งให้เขาดูน่ารักน่าหยิก คาแรคเตอร์เหมาะกับน้องชายสุดน่ารักที่สุด แถมหมอนี่ยังเป็นพวกบ้าอีกด้วย ที่ฉันมาสนิทสนมกับเจไดแบบนี้ได้ก็เพราะเขาตามติดเป็นเงาฉันมาตั้งแต่วันที่ประกวดดาวเดือนเสร็จ
จริงๆแล้วเจไดเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ลงประกวดด้วย แต่คือก็แพ้มิกกี้ไงและเพราะว่าแพ้เลยทำให้ไม่ชอบขี้หน้ามิกกี้อย่างรุนแรง แน่นอนว่ามิกกี้ไม่รู้เรื่องนี้หรอก อีกเรื่องคือฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่เขามาตีสนิทฉันแบบนี้ต้องการอะไร แต่ถึงจะยังไงฉันก็สลัดเขาไม่หลุดอยู่ดี -_-
“ฉันรู้มาว่าวันนี้เธอต้องกลับบ้านคนเดียวเนื่องจากไอ้มิกกี้ติดงาน” คือไม่ทราบว่ารู้ได้ยังไง
“แล้วยังไง?”
“เดี๋ยวฉันไปส่งไง แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะว่าฉันรู้ได้ยังไง ผู้จัดการบอกมา” เจไดพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาโอบไหล่ฉันไว้ ไอ้หมอนี่มันน่านักนะ -O-^ “ว่าไงมินนี่เธอจะยอมให้ฉันไปส่งมั้ย”
“มะ...”
“มินนี่จ๊ะ!” ฉันกำลังจะตอบคำถามของเจไดต้องหยุดชะงักเพราะมีผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามา จะไม่อะไรเลยนะถ้าเธอคนนั้นไม่ได้เรียกชื่อฉันน่ะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะอยู่คณะเดียวกันนะ เรียนคลาสเดียวกันเลยล่ะ “อ้าว ดีจ๊ะเจได มากับมินนี่หรอ? ว่าแต่สองคนรู้จักกันด้วยหรอฉันไม่เห็นรู้เลย”
“เอ้าดรีม ดีครับ พอดีว่าเราเห็นมินนี่เดินอยู่คนเดียวเลยมาทักน่ะ นี่ก็กำลังจะไปแล้ว” เจไดว่าพลางรีบเอามือที่เคยพาดอยู่บนบ่าฉันลงพร้อมกับยิ้มหวานให้อีกฝ่าย แหม...รีบเชียวนะ ขอเดาว่ายัยผู้หญิงที่ชื่อดรีมอะไรนี่คงจะเป็นเด็กที่หมอนี่ขั้วอยู่ไม่ก็กำลังจีบ
เห็นน่ารักๆไม่มีพิษมีภัยแบบนี้แต่จริงๆแล้วก็ร้ายไม่ใช่เล่นหรอก
“เป็นแบบนี้นี่เอง” ดรีมพึมพัมพร้อมพยักหน้าลงช้าๆอย่างหน้ารัก
“ว่าแต่เธอเรียกฉันทำไม?”
“อ๋ออออ คือฉันจะบอกว่างานกลุ่มที่อาจารย์สั่งถ้าเธอไม่มีกลุ่มจะมาเข้ากลุ่มเดียวกับฉันก็ได้นะจ๊ะ กลุ่มเราขาดอยู่อีกหนึ่งคนพอดีเลยดี”
“ไม่ล่ะขอบใจ ฉันจะอยู่กลุ่มเดียวกับมิกกี้”
ปกติเวลาอาจารย์สั่งงานที่ต้องทำเป็นกลุ่มฉันก็จะติดสอยห้อยตามมิกกี้ไปอยู่ด้วยในกลุ่ม ภายในกลุ่มก็จะมีพวกเพื่อนๆของมิกกี้ซึ่งพวกเขารู้และทำใจได้กับนิสัยของฉันแล้วจึงไม่มีปัญหา อันที่จริงก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ถ้าเป็นมิกกี้ก็จะไม่มีใครว่าอะไรหรอก
“เอางั้นหรอ?”
“เอาน่าดรีม มินนี่พูดแบบนั้นแสดงว่าตัดสินใจไปแล้วเธอลองไปหาเพื่อนคนอื่นก็ได้นี่ ฉันเชื่อว่าจะต้องมีอีกหลายคนที่อยากอยู่กลุ่มเดียวกับคนที่ทั้งสวยทั้งเก่งอย่างเธอ”
“แหม ไม่ต้องมาแกล้งยอกันหรอกน่า” ดรีมพวดด้วยท่าทีเขินอายนิดๆ ถ้าจะจีบกันขนาดนี้เตรียมเปิดห้องไว้เลยไหม? เพราะดูแล้วไม่น่ารอดจากเนื้อมือของเจไดไปได้
“พูดจริงๆ ว่าแต่ดรีมมีธุระอะไรที่ไหนอีกมั้ย? เราจะชวนไปกินข้าว” ต่อจากกินข้าวแล้วไปกินอะไรต่อล่ะ อย่าคิดว่าไม่รู้นะถึงแม้จะรู้จักกันมาไม่นานและไม่ได้สนิทกันมากมายขนาดนั้นแต่ฉันก็รู้สันดาร…เอ้ย! นิสัยของเจไดดี ถึงจะดูกล่าวหาไปหน่อยแต่เชื่อเถอะว่าหมอนี่นิสัยเป็นแบบนี่จริงๆ
“ไปสิๆ เพื่อนฉันแยกย้ายกันไปหมดแล้วเลยว่างพอดี ว่าแต่แล้วมินนี่ล่ะไปด้วยกันมั้ย”
“ไม่ดีกว่า ฉันอยากรีบกลับบ้านแล้ว”
“งั้นเราไปกับเถอะดรีม ไปก่อนนะมินนี่เจอกันพรุ่งนี้” เจไดว่าและโบกมือให้ฉันก่อนจะโอบไหล่ดรีมเดินไปอีกทาง ฉันเองก็จะเดินไปเรียกรถแท็กซี่แล้วถ้าไม่ติดว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นผู้หญิงที่ชื่อดรีมหันกลับมาแสยะยิ้มใส่ฉันโดยที่เจไดไม่ทันได้เห็น แต่พอหมอนั่นหันมาหาเธอก็กลับไปยิ้มหวานหยดย้อยเหมือนเดิม เพียงเท่านี้ฉันก็เข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้วล่ะคนสมัยนี้น่ากลัวชะมัด
หน้าไหว้หลังหลอกกันแบบสุดๆ!
กลับมาสู่ปัจจุบัน
“มินนี่เมาส์”
เสียงเรียกชื่อที่มาพร้อมกับสัมผัสเบาๆที่ข้อมือราวกับบอกให้รอก่อน เมื่อฉันหยุดเดินและหันหน้ากลับไปมองเจ้าของมือที่วางอยู่บนข้อมือฉันก็พบกับเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา เจ้าของทรงผมสีน้ำตาลที่ยุ่งนิดๆแต่ก็ดูเซ็ททรงไว้อย่างดีสีน้ำตาลและดวงตาสีเดียวกัน ริมฝีปากหยักสีเข้มเหมือนคนสูบบุหรี่แต่ก็ดูสุขภาพดี ประกอบกับผิวขาวๆของเขา หุ่นและส่วนสูงที่มากกว่าร้อยแปดสิบแน่ๆ พูดได้เต็มปากเลยว่าเขาคนนี้หล่อมากๆ
ที่สำคัญแววตาแบบนี้ของเขา ฉันเคยเห็นมาก่อนแน่ๆมันช่างเหมือนกับแววตาของพี่โซนิคตอนเด็กๆเหลือเกิน
“คุณเรียกชื่อฉัน มีอะไรรึปล่าวคะ?” นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาคล้ายกับพี่โซนิคมากฉันจะไม่มีวันมาเสวนาและพูดจาน่าฟังแบบนี้เด็ดขาด
“จำพี่ได้ไหมครับ?”
“หือ?”
“สาวน้อยจำพี่ไม่ได้จริงๆงั้นรอ พี่นิคเองนะจำได้มั้ย”
จบคำนั้นฉันก็รู้สึกตัวชาไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างขึ้นอย่างไม่น่าชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริง ให้ตายเถอะ! ก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปีแล้วนะช่องทางการติดต่ออะไรก็ไม่มี พอจะหายตัวไปก็เล่นหายไปซะดื้อๆ พอจะกลับมาก็ง่ายๆแบบนี้เลยหรอ? หรือว่าหมอนี่จะเป็นพวกโรคจิตชอบแอบอ้าง
คงจะไม่ใช่เพราะเขาคนนี้คล้ายกับพี่โซนิคมาก อาจจะเป็นคนคนเดียวกันก็ได้นะ
พี่โซนิค(ใช่ไม่ใช่ยังไม่แต่ใจแต่ก็เรียกไปก่อน)ชวนฉันไปหาที่นั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าฉันไป เมื่อตัดสินใจไปแบบนั้นตอนนี้ฉันจึงอยู่บนรถสปร์อตสุดหรูของพี่โซนิคกับเจ้าตัวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟใกล้ๆมหา’ลัยที่เคยไปกับมิกกี้ ใช้เวลาไม่นานก็ถึง
“คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง จากที่ฉันจำได้ฉันไม่เคยบอกชื่อตัวเองกับพี่นิคเลย” ฉันเปิดประเด็ดถามเรื่องที่สงสัยออกไปเมื่อเข้ามานั่งในร้านและสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย
“สาวน้อยคงไม่รู้ตัวว่าตอนเด็กๆตัวเองดังขนาดไหน จะรู้ชื่อเธอมันคงไม่ยากเกินความสามารถของเด็กอายุสิบสี่หรอก อีกอย่างก่อนพี่จะกลับไทยพี่ให้คนไปสืบประวัติเธอมาหมดแล้ว”
ดัง? ทางด้านเสียๆหายๆสินะ
“สืบประวัติ! กลับไทย หมายความว่ายังไงกันอธิบายมาให้หมดเลยนะ” นี่ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะมีเอฟเฟคเสียงตบโต๊ะประกอบมาด้วย
“วันสุดท้ายก่อนพี่จะบินกลับอังกฤษพี่รอสาวน้อยอยู่ที่สนามเด็กเล่น รอจนเกือบค่ำแต่เธอก็ไม่มาจนได้เวลาที่พี่ต้องไปสนามบินแล้ว เบอร์สาวน้อยพี่ก็ไม่มีบ้านอยู่ตรงไหนพี่ก็ไม่รู้เพราะสาวน้อยไม่เคยพาพี่ไปที่บ้านเลย” ก็จริงของเขา ฉันไม่เคยพาพี่โซนิคไปที่บ้านเลยมีแต่พี่เขานี่ล่ะที่ชอบลากฉันไปที่บ้านเขา และวันนั้นฉันก็ดันกลับบ้านช้า... “ที่พี่ไม่ได้บอกสาวน้อยไว้ก่อนหน้านี้ว่าพี่จะต้องกลับอังกฤษเร็วขึ้นก็เพราะพี่เองก็เพิ่งจะรู้เรื่องวันนั้นเหมือนกัน พอรู้เรื่องพี่ก็รีบไปรอเธอเลยนะสาวน้อย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอ”
“…”
“ตอนนี้พี่เรียนจบแล้วและก็จะกลับมาอยู่ที่ไทยเป็นหลัก ส่วนเรื่องสืบประวัติพี่ให้เลขาไปหามาได้ซักพักแล้วล่ะ”
“คือ…ฉันขอโทษ พอดีวันนั้นฉันติดเรียนพิเศษแบบกระทันหันก็เลย...” ฉันพูดอย่างรู้สึกผิด ตอนนี้ฉันเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าคนคนนี้คือพี่โซนิคจริงๆ อันที่จริงตอนเด็กฉันก็ไม่น่าเล่นตัวแล้วบอกๆชื่อบอกเบอร์ช่องทางการติดต่อให้กับพี่โซนิคไปซะ
“สาวน้อยไม่ผิดไม่ต้องขอโทษหรอก อันที่จริงสาวน้อยก็คิดถึงพี่ใช่มั้ยล่ะ นั่นไงหลักฐาน” พี่โซนิคชี้มาตรงคอของฉันจนฉันต้องรีบเอามือไปกำสร้อยคอเอาไว้ อันที่จริงมันคือแหวนที่พี่โซนิคให้ตอนเด็กๆเห็นว่าเป็นของสำคัญ แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กใส่ไม่ได้หรอกเลยหาสร้อยมาคล้องเอาไว้แล้วสวมติดตัวตลอดเวลา
“หึ หน้าแดงนะเรา” พูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก คิดว่าหล่อหรือยังไงกัน (ก็หล่อไง)
“เออ ว่าแต่พี่ก็หาประวัติฉันได้แล้วทำไมพี่ไม่ติดต่อมา?”
“พี่ติดสัญญากับแม่เอาไว้น่ะว่าจะไม่นอกลู่นอกทางจนกว่าจะเรียนจบ เพราะนอนเด็กพี่ก็แสบใช่เล่นเหมือนกันพอตอนขึ้นมหา’ลัยแม่พี่มาขอร้องก็เลยตกลงไป”
“แสดงว่าตอนนี้พี่เรียนจบ ทำงานแล้ว?”
“อืม พี่คิดถึงสาวน้อยมากเลยนะนี่พี่เพิ่งจะถึงไทยเมื่อวานนี้เอง วันนี้พี่ก็รีบตรงมาหาเราที่มหา’ลัยเลย”
“หรอ? แล้วยังไง พี่ต้องการจะบอกอะไรรึปล่าว”
“พี่ก็แค่คิดถึงเรา” ฉันกำลังดีใจ…ฉันรู้ตัวฉันดีว่ารู้สึกยังไง เห็นภายนอกฉันนิ่งๆเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่ว่าฉันกำลังดีใจมากๆที่ได้เจอพี่โซนิคอีกครั้ง คนที่อยากเจอมาตลอด แต่ว่าพอได้เจอกันอีกครั้งแล้วฉันกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
“พี่ไปส่ง” พี่โซนิคพูดหลังจากที่เราสองคนออกมาจากร้านกาแฟ หลังจากที่คุยเรื่องสำคัญๆกันเสร็จพี่โซนิคก็ชวนฉันคุยเรื่องทั่วไปอย่างเช่นความเป็นอยู่ในช่วงที่ผ่านมา
“ไม่เป็นไรฉันกลับเองได้ พี่นิคกลับไปพักผ่อนเถอะไม่เหนื่อยหรือยังไง?”
“เป็นห่วงพี่หรอ?”
“…” ฉันไม่ตอบแต่เม้มปากอย่างไม่รู้จะตอบยังไงดี ก็จะให้ตอบยังไงล่ะ? เป็นห่วงงั้นหรอ ฝันเหอะ
“ให้พี่ไปส่งเถอะนะ กลับมาครั้งนี้ถ้าไม่รีบทำคะแนนเดี๋ยวโดนมหาคาบไปกิน”
หา!? ที่พูดนี่หมายความว่ายังไงไม่ทราบ?
ความคิดเห็น