คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter13 - กลิ่นโลหิตฟั่นเฟือน ( Faint Smell of Blood ) (2) (120%)
“ข้านับถือลางสังหรณ์ของเจ้าจริงๆ กรีเซด้า” ชายร่างยักษ์พูด เขากับพรรคพวกตอนนี้ล้อมหมู่บ้านมาเลก้าไว้ทั้งหมด
“เจ้าเรียกมันว่าลางสังหรณ์? ไม่ล่ะ ข้าขอเรียกว่า ‘การคาดเดาอย่างมีหลักการ’ จะดีกว่า” หญิงสาวในเสื้อกั๊กพูดเนือยๆ “เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ เสบียงอาหารพวกนี้ที่มีมากมายก็เพราะต้องเก็บสะสมไว้ให้ใครสักคนหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่แน่นอนต้องไม่ใช่ลอร์ดปิแอร์แน่ๆ หมู่บ้านนี้ไม่เคยคิดจะทำดีอะไรกับ ท่าน ผู้นั้นด้วยซ้ำ”
“งั้นก็อย่ารีรออะไรอีกเลย” ร็อดดริกหันไปสั่งการพวกโจร “พี่น้องทั้งหลาย จงอย่าได้ถอยหนี ฆ่ามันให้หมด ! เผาอย่าให้เหลือ ! ปล้นมันให้สิ้น !”
เสียงโห่ร้องดังมาถึงพวกเราสามคนที่วิ่งจากหมู่บ้านมาที่ค่ายของลุงพอล ที่นั่นเราเห็นทุกคนหยิบอาวุธเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว
“ศัตรูเป็นพวกไหนกัน?” แรกนัสตรงเข้าไปถามชายชราที่ถือหนังสือหนาๆเล่มหนึ่งอยู่
“น่าจะเป็นพวกโจรภูเขา” คำตอบสั้นๆออกมาจากปากของผู้อาวุโสทำให้พวกเราสามคนต้องตื่นตัวกันมากขึ้นเมื่อรับรู้ว่าต้องเจอกับสิ่งใด แต่ลุงพอลก็ถามพวกเรากลับเหมือนกันว่า “อ้าว ! สาวน้อยชุดแดงไปไหนเสียแล้วล่ะ?”
“ผมให้เธอซ่อนตัวอยู่ในบ้านของฮาโรลด์ครับ” ผมตอบ
“อย่างนั้นก็ดี” ลุงพอลตัดบท “เตรียมตัวรับศึก! ปกป้องหมู่บ้านนี้ไว้ให้ได้ มื้อหน้าเรากินไม่อั้น!!”
เสียงชาวบ้านร้องโห่เฮดังลั่นด้วยคำปลุกใจที่ฟังดูแปลกประหลาดกว่าทั่วไปออกมาจากปากผู้อาวุโสของเรานั้น
อีกด้านหนึ่ง หนุ่มสาวสองคนหลบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์
“นี่ร็อดดริก ข้าว่าพวกนั้นอาจจะเป็น...”เป็นหญิงสาวที่กล่าวขึ้นก่อนเมื่อมองค่ายพวกนั้นผ่านกล้องส่องทางไกล เมื่อชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆรับกล้องไปส่องดูก็มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันใด ความเครียดของเขามันกดดันขนาดหนักจนหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆอดหวาดหวั่นไม่ได้
“พวกเอสปาด้า... ก็ดี! ข้าจะได้ปิดบัญชีกับพวกลูกสุนัขของเจ้าริกาโด้นั่น” พูดจบเขาก็สั่งให้เหล่าโจรทั้งหลายโจมตีทันที
เมื่อเห็นพวกโจรโผล่มาจากแนวป่าก็ไม่รอช้า แรกนัสนำกำลังชาวบ้านนับได้ร้อยเศษเข้าปะทะที่ชายป่าโดยทันที ทว่าระหว่างที่เรากำลังจดจ่อกับการต่อสู้ที่แนวป่า ผมก็เห็นแสงสีแดงของเปลวเพลิงถูกจุดขึ้นจากทางทิศที่ตั้งของหมู่บ้านมาเลก้า
“หมู่บ้านถูกโจมตี ขอคำสั่งด้วยครับ!” โฮแกนดูร้อนใจเป็นพิเศษเมื่อคิดถึงพ่อของตนที่ยังคงอยู่ที่หมู่บ้านนั่น
“เจ้ากับเพทริกส์ไปตั้งรับที่หมู่บ้านได้เลย เทรสเจ้าจงไปสนับสนุนแนวรบของแรกนัส อีริคเจ้าคอยตั้งรับที่ค่าย ข้าจะออกไปเล่นศึกกับพวกมันสักเล็กน้อย” ลุงพอลพูด คำพูดของเขาสร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่ฟัง เอ... ยกเว้นผมคนหนึ่งแล้วกันนะ
“ลุงพอล อย่าหักโหมมากนะครับ” ผมกล่าวทิ้งท้ายซึ่งก็ได้รับคำตอบมาจากเขาเป็นคทาในมือที่โบกขึ้นสูงแล้วยิงเส้นแสงไปยังแนวปะทะด้านหน้า เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผมก็สะกิดโฮแกนนำกองกำลังชาวบ้านร้อยกว่าคนออกวิ่งไปยังทิศทางของหมู่บ้านโดยทันที
“เพทริกส์ ท่านผู้อาวุโสท่านนั้นก็อายุมากแล้ว จะต้านทานพวกโจรไหวรึ” โฮแกนถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งผมก็ได้แต่หัวเราะ
“อย่าห่วงไปเลย ท่านได้ชื่อว่าเป็นมือซ้ายของท่านพ่อตั้งแต่สิบปีที่แล้ว....”
“ถึงตอนนี้จะผ่านมากี่ปีก็ตาม ผมก็ยังยอมรับว่าท่านร้ายกาจที่สุดในเอสปาด้าอยู่ดี”
เสียงระเบิดดังตูมตามดังมาจากด้านของค่ายเอสปาด้า แต่ผมก็ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เมื่อถึงหมู่บ้านมาเลก้าแล้วก็สั่งให้กองกำลังแบ่งไปเฝ้าลาดตระเวนรอบหมู่บ้านทันที
“เพทริกส์ เสียงระเบิดที่ค่ายนั่น...”
“ไม่ต้องห่วง นั่นฝีมือของท่านลุงแน่ๆ” ผมพูดตัดบท “ไปดูที่บ้านของพ่อนายกันเถอะ”
พวกเราวิ่งตามทางถนนมาจนถึงบ้านที่เกิดเพลิงไหม้ โชคดีที่มันเป็นบ้านร้างที่ไร้ผู้คนเข้าไปอาศัย จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย เมื่อผมลองตรวจสอบรอบๆบ้านหลังนี้ก็พบว่าไม่มีวี่แววของพวกโจรอยู่เลย
“ไปไหนกันหมดนะ” ผมทรุดนั่งลงใช้ความคิด เผาบ้านเรียกความสนใจให้วิ่งมา แล้วจะยกเข้าไปตีที่ค่าย...
ไม่ๆ ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ อย่างนั้นพวกมันรู้ดีว่าจะเสียเปรียบเกินไป... ผมคิด
แต่มันก็เป็นแค่โจรนี่ ก็ไม่น่าจะคิดอะไรได้มาก นอกจากปล้นทรัพย์ ... ผมคิดต่อไป
นั่นสิ ถ้าจะปล้นค่ายไม่ปล้นหมู่บ้านไปเลยล่ะ?
เดี๋ยวนะ ปล้นหมู่บ้าน...
พวกเรามาที่หมู่บ้าน...
“ทุกคน ! ระวังตัวกันด้วย พวกมันล้อมเราไว้หมดแล้ว !” ผมตะเบ็งไปสุดเสียง พริบตานั้นร่างในชุดผ้าเก่าๆหลายสิบคนก็ปรากฏตัวมาจากแนวป่ารอบตัว นับได้ประมาณสามสิบคน
“แบ่งกันคนละครึ่ง” ผมหันไปบอกโฮแกน ซึ่งเขาก็รับคำอย่างว่าง่าย เขาหยิบหน้าไม้คู่ใจมากราดกระสุนใส่พวกมันติดๆกันสามนัดรวด จนพวกมันถอยร่นไม่เป็นขบวน เมื่อนั้นเองที่ผมได้จังหวะ ทันทีหอกสีฟ้าครามปรากฏในมือผม ผมก็พุ่งทะยานใส่โจรคนหนึ่งที่กำลังถอยหนีลูกธนู เมื่อเจอการโจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวย่อมไม่อาจป้องกันตัวได้โดยทันท่วงที และนั่นก็เปิดโอกาสให้ผมเสือกหอกเข้าไปตรงสะเอว
คาดไม่ถึงมันกลับว่องไวชักดาบเข้าป้องกันได้ ใบดาบทรงโค้งแบบที่โจรภูเขาชอบใช้กันถูกพวกมันชักออกมาถือทีละเล่มสองเล่มบ้าง แต่ที่ผมประหลาดใจก็คือมีบางคนที่มีชุดเกราะใส่ นี่พวกมันใจกล้าขนาดไปปล้นกองทัพจักรวรรดิ์ด้วยรึนี่?
มันกู่ร้องครั้งหนึ่งก็กระโจนเข้าใส่ผม ดาบในมือฟาดฟันมาด้านหน้าทื่อๆแต่เต็มไปด้วยพละกำลัง ย่อมไม่อาจรับมือได้โดยง่าย ผมเลือกที่จะสะบัดปลายหอกเบี่ยงทิศทางไปด้านข้าง แรงปะทะถ่ายทอดมาตามด้ามของหอกจนผมต้องกัดฟันแทงสวนออกไป
อาวุธที่ปลดปล่อยไปแล้วไม่อาจเรียกกลับคืนโดยง่าย โจรผู้นั้นเมื่อโจมตีพลาดพลั้งก็มิอาจป้องกันคมหอกได้จึงถูกเสียบหน้าอกเสียชีวิตไป
พวกโจรคนอื่นๆเมื่อเห็นสหายร่วมกินดื่มของมันเพลี่ยงพล้ำก็บุกเข้ามากันทีละสี่ห้าคน เสียงอาวุธกระทบกันดังเคร้งคร้างกังวานเหมือนเสียงดนตรีแห่งการต่อสู้ เพลงอาวุธของพวกมันสอดประสานเข้ากันได้ดีจนเหมือนได้รับการฝึกฝนมา ย่อมไม่ใช่วิสัยปกติของพวกโจรภูเขา
“เปล่งสัมผัสไออาย!!” ผมตะโกนแล้วปักหอกลงกับพื้น ไอเย็นแผ่ไปรอบทิศทางของหอกอย่างรวดเร็ว ความเย็นของมันทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณชะงักงันไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นพวกมันก็จะต้องรับมือกับความหนาวเย็นที่กัดกินประสาทจนทำให้การสั่งการเชื่องช้าลงเรื่อยๆ
พวกมันเมื่อเจอกระบวนท่านี้เข้าไปก็ยืนชะงักงันกันทั้งกลุ่ม เมื่อได้โอกาสก็ไม่รอช้าสืบเท้าสองครั้งบรรลุถึงร่างโจรผู้หนึ่งสะบัดหอกอีกสองเพลงก็ตัดศรีษะมันผู้นั้น หากยังมิพอหอกในมือวกไปทะลวงช่องท้องของพวกมันอีกคนหนึ่ง สะบัดเบาๆอีกครั้งศรีษะของมันก็ปลิวตามสหายของมันไป ทว่ามันมิได้หยุดแค่นั้น
หอกในมือยิ่งได้ดื่มด่ำเลือดเหมือนมันยิ่งร่าเริง ทุกท่วงท่าที่เคยร่ายรำติดขัดในตอนเช้ากลับไหลลื่นเป็นธรรมชาติท่ามกลางวงล้อมของศัตรู คราใดที่หอกสะบัดไปย่อมเรียกเลือดแลชีวิตของผู้เป็นศัตรูของผู้สืบทอดแห่งมันได้ทั้งสิ้น หยาดโลหิตกระเซ็นไปทั่วพร้อมทั้งบาดแผลนับร้อยบนร่างไร้ชีวิตนับสิบของพวกโจรที่นอนเรียงรายรอบตัวผม
ผมรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยู่รอบตัวผมในตอนนี้ แม้ในตอนนี้ยามปกติบรรยากาศมันชวนให้รู้สึกสยดสยองจนอยากจะนำอาหารกลางวันกลับมากินใหม่ก็ตามที แต่กลิ่นโลหิตที่ฟุ้งไปในอากาศตอนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกระปรี้กระเปร่ามากกว่าจะทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียน
“ทะ... ท่านเพทริกส์” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังผม สัญชาติญาณการต่อสู้ของผมทำงานอย่างรวดเร็วโดยการสั่งการให้ผมวาดหอกไปด้านหลัง หากแต่ผมยั้งมือทันก่อนจะบั่นคอชาวบ้านผู้หนึ่ง ร่างของเขาสั่นไปทั้งตัวจนในที่สุดก็ทรุดลง
“อ่าว... พับเพียบซะแล้วสิ ผมขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ว่าแต่เรียกผมทำไมล่ะ?” ผมปล่อยให้หอกคู่ใจจมลงสู่ผืนดินแล้วนั่งตรงหน้าเขา
“ท่านผู้อาวุโสสั่งให้ท่านกลับไปที่ค่ายโดยเร็ว เนื่องจากพวกมันล้อมเราไว้ทั้งสี่ด้าน” เขากล่าวรายงานทั้งๆที่หน้าซีด ผมเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆเขาก็สะดุ้งครั้งหนึ่ง
“โฮแกน นายพาพวกเรากลับค่ายเดี๋ยวนี้เลย” ผมหันไปสั่งเพื่อนร่วมรบของผม แต่เขาก็ถามกลับด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ผมจะแวะไปดูพ่อนายซักหน่อย”
จากบ้านหลังนั้นเลี้ยวหนึ่งโค้งก็ถึงบ้านฮาโรลด์พอดี แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดวิ่งก็คือ...
“กล้ามากนะที่มาหลอกพวกข้า” หญิงสาวในชุดเสื้อกั๊กสีเทาหม่นตะคอกใส่ฮาโรลด์ แส้ในมือเธอสะบัดไปกับอากาศดังเพี๊ยะๆ ชวนน่าขนลุก แต่ดูเหมือนเธอจะให้ความสนใจกับผมทันทีที่ผมปรากฏตัว
“โอ้ะโอว ดูซิใครมาล่ะเนี่ย” เธอหันมาทางผม แส้ในมือสะบัดไปมาเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่ แต่ฮาโรลด์ที่โดนโจรตัวใส่สองคนประกบอยู่ก็เฉียดจะโดนมันหลายครั้งเหมือนดัน “หน้าแบบนี้ ท่าทางแบบนี้.... บุตรแห่งริกาโด้สินะ”
“พวกแกเป็นใคร” ผมเอ่ยถามไป ผิดคาดเธอยิ้มตอบให้ผม “แถวบ้านสอนให้ถามชื่อเมื่อใกล้ตายมิใช่รึเจ้าหนู”
ปึดดดดดดด
“แกกล้าดียังไง!!” หอกในมือปรากฏมาเมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่ร่างกายพุ่งทะยานเข้าไปหาเธอโดยเร็วหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น
“วัยรุ่นก็ยังคงเป็นวัยรุ่น เฮอะ!!” เธอสะบัดแส้สองครั้งก็รับหอกครั้งนั้นได้ ผมไม่รอช้าฟาดใส่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แต่เธอกลับโบกแส้เป็นขดวงกลมเป็นดั่งโล่คอยตั้งรับไว้ได้โดยง่ายดาย
“แต่ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้านักนะ” พูดจบก็ควงแส้ในมืออีกครั้ง ครานี้มันกับยืดตรงและแข็งตัวราวกับเป็นดาบเล่มหนึ่ง เธอพุ่งเข้าใส่ผมพลางฟาดแส้ในมือ มันกวาดไปด้านหน้าแบบรูปกรวยแล้วก็กวาดออก แรงปะทะของมันไม่ใช่เล่นๆ ข้อมือของผมในตอนนี้ชาทั้งสองมือ หากผมไม่สามารถจัดการเธอได้โดยเร็วล่ะก็คงไม่สามารถสู้ต่อไปได้แน่
“หืม? คำสั่งถอนตัว?” อยู่ๆเธอก็หยุดโจมตี เมื่อเธอหันไปพยักหน้ากับพวกโจรอีกสองคนที่จับฮาโรลด์อยู่ก็รีบปล่อยตัวหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นทั้งสามก็ล่าถอยเข้าไปในป่า
ผมยืนมองพวกมันทั้งสามคนที่หนีไป พลางนึกถึงความรู้สึกชั่ววูบเมื่อสักครู่
ความรู้สึกเมื่อกี้มันคืออะไรกันนะ
พวกโจรพวกนี้มีฝีมือพอสมควร การโจมตีเป็นไปอย่างมีระบบ มีการหลอกล่อให้โจมตีแล้วสวนกลับ และรู้จักการตั้งค่ายกล นับว่าฉลาดเกินโจรภูเขาทั่วไป แต่นั่นก็ไม่สำคัญเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบในมือของเขา
“เปลวเพลิงรังสรรค์!!” เทรสใส่พลังเวทลงในดาบแล้วตวัดออกไป คลื่นดาบสีแดงสดแผ่รัศมีความร้อนแรงพุ่งกลืนกินร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่ไปขวางทางมันจนสิ้น หากนั่นเป็นผู้ใช้ที่มีฝีมือพอ แต่สำหรับเทรสที่รู้จักเวทมนตร์ได้ไม่ถึงสองวัน เขาทำได้แค่ฝากรอยไหม้เป็นแถบๆบนชุดเกราะของพวกนั้นโดยไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายนัก
การที่ชาวบ้านธรรมดาๆสักคนจะฝึกเวทมนตร์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก แต่การประสานเวทลงในอาวุธนี่สิที่ยากยิ่งกว่า เทรสทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดในสายตาของผู้เป็นอาจารย์จำเป็นแล้ว
ใช่ อาจารย์จำเป็น มันเริ่มตั้งแต่ที่ไอ้หนุ่มหน้าหวานนั่นส่งยิ้มให้เขาพร้อมยื่นดาบสีแดงสดที่เขาจำได้ว่าเป็นของลอร์ดปิแอร์ รวมถึงอธิบายการใช้เวทและการประสานเวทแบบสั้นๆ
แต่ขอโทษนะ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเวทมนตร์มันมีอยู่จริงก็ตอนที่ได้ดาบเล่มนั้นนั่นแหละ แล้วจะให้ฝึกการประสานเวทเลยเนี่ยนะ? มันจะไม่เร็วไปหน่อยรึ
แต่เทรสก็ทำมันได้ไปแล้ว... โดยมีผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งคอยช่วยเหลือเขา และนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าคนๆนั้นใช้เวทมนตร์มาได้ ทั้งๆที่เป็นคนใกล้ตัวแท้ๆ
กลับมาที่สนามรบอีกครั้ง เทรสสัมผัสได้ถึงความร้อนรอบตัวของเขา นั่นยิ่งทำให้เขาต้องรีบเร่งมือจัดการพวกตัวเกะกะให้หมดเพื่อไปส่งข่าวตามหน้าที่
หลังจากจัดการโจรที่เข้ามารุมเขาจนหมด เขาก็ออกวิ่งไปที่แนวหน้าของสนามรบทันที และเขาก็เห็นแรกนัสกำลังดวลเดี่ยวกับชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าโจรพวกนี้
ไม่ต้องพูดให้เสียสมาธิ เทรสหยิบหญ้ามาคาบในปากแล้วเป่าเป็นเสียงวี้ดดดดดดดด.... เสียงอันแสบแก้วหูนี้หยุดมือของแรกนัสได้โดยทันใด เขาควงขวานในมือสองครั้งแล้วทุ่มพลังทั้งหมดกระแทกใส่ศัตรูจนเสียหลักแล้วถอนตัวออกมาทันที โดยมีชาวบ้านสามคนเข้าไปรับมือแทน
“มีอะไรรึ?” แรกนัสถาม เทรสจึงรีบแจ้งข่าว “ท่านลุงพอลให้ข้ามาช่วยท่านที่แนวหน้าขอรับ พร้อมทั้งสั่งให้พวกท่านถอนตัวกลับค่าย หลังจากนั้นท่านลุงจะ...”
ตูม !! ตูมๆๆๆๆ
เสียงระเบิดดังขึ้นติดๆกันรอบตัวของพวกเขา แรกนัสกวาดสายตาดูก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที
“ท่านลุงลงมือเองสินะ... พวกเราทั้งหมดถอนตัวได้!!” แรกนัสตะโกนสั่งการ ก่อนเขาและเทรสจะหันหลังโกยกลับค่ายแบบไม่คิดชีวิต เพราะหากรั้งรออยู่ที่นั่นอีกนานไปก็อาจจะโดนลูกหลงได้เหมือนกัน เสียงระเบิดและควันไฟยังปะทุเป็นจุดๆอยู่เรื่อยๆ เมื่อพวกเขากลับมาถึงค่าย ก็พบวงเวทย์สีแดงขนาดใหญ่ยักษ์กำลังถักทอเป็นรูปร่างใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับร่างของชายชราผู้หนึ่งยืนเด่นอยู่กลางทุ่งหญ้าพลางควงคทาในมืออย่างคล่องแคล่ว
“ เพลิงสวรรค์ สรรค์สร้างจากธุลี
เพลิงอเวจี ผลาญไพรีสิ้นชีวา
เพลิงทมิฬ ดับชีพผู้อหังการ์
เพลิงเมฆา พรากทุกสิ้นสู่เถ้าดำ
....อัญเชิญซึ่งปาฏิหาริย์ทั้งสี่ บันดาลให้เกิดเพลิงแห่งตำนาน
จงรับบรรณาการเหล่าร่างที่มอดม้วย จงกลืนกินผู้ที่ขวางหน้าให้ดับสูญ
จงมอดไหม้! จงกลืนกิน! จงผลาญสิ้น! จัตุรัสเพลิงเทวา!!!”
สิ้นโองการ รอบๆค่ายก็เกิดวงเวทสีแดงขึ้น พลันเกิดระเบิดขึ้นสี่จุดรอบค่าย ก่อนเปลวไฟเหล่านั้นจะม้วนตัวเข้าหากันจนเหมือนเป็นเขตอาคมสี่เหลี่ยมกั้นขวางไว้โดยมีค่ายเอสปาด้าเป็นศูนย์กลาง เหล่าโจรที่กำลังวิ่งไล่พวกชาวบ้านโดยไม่ทันระวังตัวก็ถูกกำแพงไฟเหล่านี้แผดเผาจนเป้นเถ้าถ่านไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
“ร็อดดริก ข้าว่านี่ไม่ค่อยดีแล้วนะ” กรีเซด้ากล่าวขณะสังเกตการณ์ เธอถอนตัวกลับมารวมกับชายร่างใหญ่ได้ซักพักแล้ว
“งานของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ล้มเหลว” หญิงสาวส่ายหน้า “บุตรแห่งริกาโด้แข็งแกร่งกว่าที่เราคิด งานนี้เราได้ไม่คุ้มเสีย พี่น้องเราตายไปเป็นจำนวนมาก”
“เป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องถอนตัว” เขาส่งสัญญาณครั้งหนึ่ง เหล่าโจรที่รอดชีวิตก็หลีกกายเข้าป่าหนีหายไปจนหมด เหลือไว้แต่ป่าที่มอดไหม้ ร่างที่ไร้ชีวิตนับร้อย และเปลวไฟที่ลุกเป็นหย่อมๆ
“เอสปาด้ารึ... เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน”
11/9/56 :80% ครับผม ว่างๆค่อยมาลงต่อนะครับ
ช่วงนี้ผมเตรียมสอบปลายภาคกับสอบตรงมหาวิทยาลัย คงจะไม่สามารถลงได้ตามที่กำหนด แต่จะพยายามลงเรื่อยๆนะขอรับ
21/9/56 : อัพเดทเพิ่มเป็น 120% เอาเข้าจริงตอนนี้ยาวกว่าที่คิดแฮะ แต่ขอโทษที่ลงช้านะขอรับ อาทิตย์นี้สอบปลายภาคเลยไม่ได้ว่างลงเลยขอรับ TwT
ความคิดเห็น