ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter6 - สิ่งที่ต้องปกป้อง ( Protective Might )

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 56


                     วันนี้ก็ยังมีฝนโปรยปรายมาจากท้องฟ้าตั้งแต่เช้า พวกเราทั้งสี่นั่งจับเจ่าหลบฝนกันอยู่ใต้ชายคาของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก

                    ทำไมเราถึงไม่เข้าไปกัน?

                    ถ้าเข้าไปได้ก็เข้าไปนานแล้วครับ แต่ดูท่าทางพี่ฟิโอน่าลงปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา และกว่าจะเปิดก็คงหลังพี่เขาตื่น ซึ่งก็ประมาณแปดโมง

                    “พวกทหารโง่ๆ ของทางการก็ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนี่” เอียนพูด

                    “อืม พวกเราก็แค่กลัวมากกันไปเท่านั้นเอง เราทั้งฝึกหนักกว่า เข้มแข็งกว่า ยังไงพวกนั้นก็สู้เราไม่ได้” ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่เอียนพูด อย่างน้อยๆเมื่อคืนก็ไม่มีใครในหมู่บ้านได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายนะ

                    ขณะที่เรานั่งสนทนากันอยู่ ประตูร้านก็ค่อยๆเปิดออก ใบหน้าน้อยๆของเอเลนิสโผล่ออกมาจากรอยแง้มแล้วกวาดตามองซ้ายขวา ก่อนมาเจอพวกเรา

                    “พวกนั้นไปกันหมดแล้วรึ” เธอถามพวกเรา ซึ่งผมคิดว่าเธอคงหมายถึงพวกทหารสินะ

                    “ไปกันหมดแล้ว” เป็นคลูตที่ตอบ ก่อนเขาจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาตามอากาศ เด็กหนุ่มก้มลงเอาหูแนบพื้นดินทันที เขารายงานเสียงเครียด “พวกทหารมากันอีกแล้ว คราวนี้เยอะมากด้วย”

                    “จะไปห่วงอะไรกันคลูต ก็แค่มีคนมาเรียงหน้าตายเพิ่ม” เอียนกล่าวเสียงเนิบ หันไปคุยกับเด็กสาวแทน “ข้าวเช้าพร้อมแล้วรึยัง”

                    “อืม เข้าไปกันก่อนสิ” เด็กสาวพยักหน้า เธอหลีกทางให้เอียนอย่างรู้งานหลังจากโดนกับตัวมาแล้วรอบหนึ่ง และโชคดีที่เธอรู้ เพราะเพียงเสี้ยววินาทีที่เธอบอกว่า “อืม” เอียนก็พุ่งไปที่ประตูเรียบร้อยแล้ว

                    “ผมว่าพักกินข้าวกันก่อนก็ดีนะ”  แล้วเราสามคนก็เข้าไปกินข้าวกัน

     

     

                    ลอร์ดปิแอร์กำลังอึ้งกับสภาพของนายทหารทั้งห้าสิบนายที่ตอนนี้ถูกทิ้งกองไว้ริมข้างทางหน้าหมู่บ้าน  อันแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นจริงตามรายงาน

                    “โอ้ มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นที่นี่เนี่ย” เขาหันไปมองในหมู่บ้าน ทุกบ้านปิดสนิท และดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในนั้นด้วย

                    ก็แหงล่ะ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านตอนนี้หนีไปอยู่ในห้องใต้ดินของร้านอาหารหมดแล้ว คงไม่หาเจอกันได้ง่ายๆ

                    เขากระตุ้นม้าให้เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ที่ลานกว้างเขาก็พบพวกเราสี่คนยืนรอเขาอยู่แล้ว

                    “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่” ลอร์ดหนุ่มเอ่ยปากถาม

             “พวกเราเป็นใคร?  ก็เป็นคนที่จะมาลุกขึ้นสู้กับพวกแกไงล่ะ” เอียนตะโกนตอบไป เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบเขาก็ยิ้มเยาะ “ตกใจละสิ  ไม่คิดว่าชาวบ้านอย่างเราๆจะตอบโต้กับพวกแกได้สินะ”

                    แต่ลอร์ดหนุ่มก็แค่หัวเราะในลำคอ ก่อนทนไม่ไหวหัวเราะลั่นออกมา “หึ... ฮ่าๆๆๆ  เป็นความพยายามที่น่าชื่มชมเสียจริง คิดจะต่อต้านข้ากับองค์ราชาเชียวรึ  ช่างไม่รู้จักเจียมกะลาหัวของตัวเอง!

                    “หุบปาก...”นีน่ากล่าวเสียงเย็น “ถ้าแกไม่เชื่อ แกจะได้เกียรติเป็นมดปลวกอีกหนึ่งตัวที่ชั้นจะเชือดทิ้งก่อนไอ้บ้านั่นละกัน”

                    “บังอาจ! กล้าลบหลู่องค์ราชาต่อหน้าข้าแบบนี้ อภัยให้ไม่ไ...”

                    “แล้วที่พวกเจ้าขโมยอิสระและความสงบสุขของพวกเราไปล่ะ มันน่าให้อภัยหรือไม่” ผมพูดขัดขึ้น เขามองมาทางผมอย่างแปลกใจเล็กน้อย

                    “เฮอะ!  ความสงบสุขเอย อิสระเอย เมื่อพวกเจ้าได้แล้วยังไงล่ะ?  พวกเจ้าก็ยังเป็นได้แค่สวะไม่มีค่าอะไรให้พวกข้าต้องดูแล  ดังนั้นถึงเจ้าจะมีสองสิ่งนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก!

                    “ได้สิ! แล้วพวกเราจะแสดงให้เห็นเอง” ผมตอบโต้ เขาแผดเสียงหัวเราะอีกครั้ง

                    “ฮ่าๆๆๆ ช่าน่าสงสาร... น่าสงสารแมลงเม่าที่ไม่รู้จักประมาณตัว กองไฟอยู่ตรงหน้ายังจะรี่เข้ามาหาเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง  ในเมื่อเจ้าร้องขอ ข้าก็จะชี้ทางสว่างให้  ทหาร!!” พูดจบเขาก็ส่งสัญญาณ ทหารก็ออกมาจากทุกทิศทุกทางล้อมพวกเราสี่คนไว้หมด

                    “บ้าน่า... มากันตั้งแต่เมื่อไหร่” คลูตตอนนี้สีหน้าดูตกใจมาก เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

                    “ตาย!!” ลอร์ดหนุ่มส่งสัญญาณ หน้าไม้นับร้อยก็ยิงลูกศรใส่กลุ่มพวกเราทั้งสี่ทันที

                    ไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมและทุกคนคว้าโล่ไม้ไผ่จากย่ามของคลูตขึ้นบังลูกธนูเหล่านั้น  จากนั้นคลูตก็พุ่งหอกไม้ไผ่เป็นหน่วยทะลวงพาพวกเราบุกตีฝ่าวงล้อมออกมาได้ แล้วพวกเราทั้งสี่ก็แยกกัน

                    หน้าไม้ในมือของทหารคนหนึ่งถูกปัดทิ้งด้วยลูกเตะอันทรงพลัง ก่อนที่ร่างของทหารคนนั้นจะถูกหอกเสียบทะลุไปถึงทหารคนด้านหลัง คลูตตะโกนลั่นเหวี่ยงร่างทั้งสองพลิกไปด้านหลังเพื่อใช้กำบังลูกธนู  ก่อนจะฉวยโอกาสเตะใส่ทหารอีกคนที่บรรจุลูกธนูอยู่ล้มไป

                    นีน่าดูท่าทางมีความสุขกับการระบายอารมณ์กับพวกทหาร เธอเคลื่อนที่ผ่านพลธนูคนแล้วคนเล่า ซึ่งตามเส้นทางที่เธอเคลื่อนที่ผ่านล้วนแต่มีโลหิตสาดกระจายเป็นหย่อมๆ และร่างอันไร้ชีวิตของพลธนูจำนวนมาก

                    “คมมีดล่าวิญญาณ...” พริบตาร่างของเธอก็กลายเป็นเส้นสายสีดำพุ่งผ่านร่างของพลธนูไปอีกสี่คน ร่างของพวกเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างเฉือนเป็นทางยาว ร่างกายแยกออกเป็นสองส่วนขาดสะพายแล่งอย่างน่ากลัว 

                    เธอวิ่งไล่ตามทหารกลุ่มหนึ่งประมาณสิบนายที่ถอนตัวจากแนวหน้า เมื่อถึงทางเลี้ยวเธอนึกอะไรขึ้นได้รีบหยุดวิ่งตามทันที แต่ก็ไม่ทันการณ์     ด้านหลังของเธอนั้นมีกองทหารใส่ชุดเกราะหนักจำนวนมากกำลังชี้หอกมาทางเธอ  ตามหลังคาบ้านทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยนักธนูที่เล็งมาทางเธอพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ

                    พลอัศวิน เสร็จกัน!’  เธอรีบหาทางหนีจากวงล้อมนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นซอกระหว่างบ้านสองหลังเธอก็รีบมุดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อออกไปก็เจอกับทหารอัศวินอีกกลุ่ม

                    เธอถูกล้อมไว้ทุกทางซะแล้ว...

     

     

                    เอียนดูเหมือนจะมีปัญหากับทหารอัศวินเช่นเดียวกัน

                    “บ้าเอ้ย! ใส่เกราะทั้งตัวแบบนี้ข้าก็ยิงไม่เข้าละสิ” เอียนสบถ หลังจากเห็นผลงานตัวเองกระแทกเข้าที่หน้าอกทหารอัศวินคนหนึ่งอย่างจัง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของชุดเกราะทำให้ลูกธนูเจาะผ่านไม่ได้เลย

                    “ก็ไม่ต้องยิงเซ่ ผลักๆถีบๆมันออกไปเจ้าก็รอดเอง” คลูตตะโกนบอกมา เขาหันไปกระแทกหอกเข้าที่จุดสำคัญของความเป็นชายของทหารคนหนึ่ง ทำให้ร่างของเขาทรุดลงไปนั่งแบบหมดสภาพ

                    “ก็ดี ข้าชอบวิธีเจ้าว่ะ” เอียนหัวเราะ เขาก้มหยิบหอกของทหารคนหนึ่งก่อนเข้าโรมรันกับทหารพวกนั้น จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นแสงสีชมพูอยู่ด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองก็หยุดดูอย่างผิดสังเกต และทั้งคู่ก็ตาเหลือก เมื่อกองอัศวินพร้อมใจหลีกทางให้แสงนั่นเล็งมาทางพวกเขาทั้งสองเต็มๆ

                    “เฮ้ย!! นักเวท!!!

     

                    ตูม!!

     

             ร่างของทหารคนหนึ่งถูกผมถีบกระเด็นใส่บ้านหลังหนึ่ง หลังคาไม้ไผ่ที่หักสะบั้นลงแสดงให้เห็นถึงแรงกระแทกได้อย่างดี

                    ตอนนี้ระยะทางระหว่างผมกับลอร์ดปิแอร์ห่างกันแค่ห้าสิบก้าวเท่านั้น อุปสรรคเพียงอย่างเดียวคือทหารหนึ่งกองร้อย... ทหารกองอัศวินตั้งหนึ่งร้อยคน

                    สำหรับผมอาจจะพอสู้ได้ แต่เพื่อนๆทั้งสามของผมนั้นน่าเป็นห่วง เพราะประสบการณ์กับการสู้พวกมีเกราะนั้นเราไม่สามารถฝึกได้ ต้องมาพบเจอด้วยตัวเอง ยิ่งนีน่าแล้วผมยิ่งเป็นห่วง เพราะเธอจะไม่สามารถใช้การลอบโจมตีที่เป็นจุดเด่นของเธอได้เลย นั่นทำให้เธอเสียเปรียบมาก

                    ไม่สิเพทริกส์ อย่าเพิ่งเสียสมาธิ... ผมคิด  เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า

                    ดาบในมือยกขึ้นป้องกันดาบของทหารคนหนึ่งที่ฟาดมาด้านหน้า ก่อนจะถูกชักนำให้ไปชนกับหอกด้านหลังก่อนจะเสียบกันเอง ยังไม่ทันได้หายใจก็ต้องรีบกระโดดหลบดาบของอีกคนที่ฟันกวาดต่ำมา ผมเข้าประชิดแล้วอ้อมหลังเสียงเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างเกราะส่วนบน ซึ่งก็คือตรงจุดรักแร้

                    แม้จะตายไปนับสิบ แต่ที่เหลือก็ยังมีอีกมาก วงล้อมเริ่มขยับเข้าประชิดขึ้นเรื่อยๆในที่สุดผมก็ตัดสินใจใช้ท่านั้น...

                    “สามดาบแห่งริออท!!”ผมตะโกนก้อง ดาบในมือหมุนควงช้าบ้างเร็วบ้าง ก่อนที่ผมจะสะบัดดาบออกไป บังเกิดเป็นคลื่นดาบสามสายตัดผ่านร่างทหารอัศวินเหล่านั้นล้มลงไป

                    ท่านี้ผมเรียนมาจากพ่อผมเอง เป็นกระบวนท่าที่ท่านฝึกมาจากนักดาบพเนจรคนหนึ่ง แต่มีข้อเสียคือใช้แรงอย่างมากในการสะบัดดาบโจมตีให้บังเกิดผล

                    น่าแปลก ที่แม้ดาบปกติจะไม่ระคายเกราะของพวกทหารพวกนี้เลย แต่คลื่นดาบนี้กลับตัดผ่านร่างพวกเขาได้เหมือนหั่นผัก (ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี : เพทริกส์)

                    ระยะทางระหว่างผมกับเขาค่อยๆใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จากห้าสิบก้าวเหลือสี่สิบก้าว จากสี่สิบก้าวเหลือสามสิบก้าว...

                    ตอนนี้ทหารอัศวินเหลือไม่ถึงครึ่ง แต่ทว่าแรงของผมก็กำลังจะหมดเช่นเดียวกัน แต่ผมจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด  คนที่ขโมยทุกอย่างไปจากพวกเรา คนแบบนี้ไม่สมควรจะ...

                    ตูม!!

                    “อั้ก!!” ผมถูกบางสิ่งกระแทกเข้ากลางลำตัว ผมลุกขึ้นมาแบบงงๆและก็เห็นคทาเวทในมือของพวกนักเวทส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

                    บ้าน่า...  นี่ขนกันมาทั้งกองพันเฝ้าประตูเลยหรือเนี่ย  ที่ผมรู้เพราะกองกำลังนักเวทจะอยู่ในหน่วยที่สำคัญๆเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานที่สำคัญๆ แต่ทำไมกลับมาอยู่ที่นี่ได้

                    ความหวังสุดท้ายกำลังหลุดลอยไปพร้อมกับคลื่นพลังเวทที่ถูกยิงมาอีกลูก

                    ตูม!!

                    ไม่เหลือแล้ว... มันจบแล้ว...  ดาบของผมร่วงหล่นกับพื้นพร้อมๆกับร่างของผมที่ทรุดลง

                    “นี่เรา... แพ้แล้วเหรอเนี่ย”  นั่นคือคำรำพันสุดท้ายท่ามกลางวงล้อมของทหารองครักษ์ ซึ่งอยู่ห่างจากลอร์ดหนุ่มไม่ถึงยี่สิบก้าว...

     

     

                    “บ้าที่สุด! อั้ก!!” เสียงเหมือนเหล็กกระแทกใส่ร่างของคนดังขึ้น และเสียงด่าทอของเอียนที่เงียบไป พวกเราทั้งสี่ถูกจับมาที่ลานกว้างริมคลอง ข้างๆผมคือคลูตที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง กลางหลังของเขามีรอยไหม้ ส่วนนีน่านั่นคอพับหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว

                    “ฮ่าๆๆ นึกว่าจะเก่งมาจากไหน สุดท้ายก็เป็นได้แค่สวะเหมือนเดิม” ลอร์ดปิแอร์เดินมาทางพวกเราทั้งสี่คน  "เราได้ตัวเธอมา พวกคิดกบฏถูกกำจัด องค์ราชาต้องประทานรางวัลอย่างงามให้ข้าแน่ๆ วิเศษ! วิเศษอะไรเช่นนี้" เขาหัวเราะลั่น
                    "แกเรียกสิ่งที่แกทำว่ามัน 'วิเศษ' งั้นรึ?" ผมเงยหน้าไปถามมัน
                    "แกมัน... ปีศาจ แกมันไร้ซึ่งหัวใจ!" คลูตตะโกนด่า แต่ก็โดนทหารทุบเข้าไปสองครั้งติดๆจึงเงียบเสียงลง
                    "แกคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันแน่?" เอียนจ้องมองไปที่ลอร์ดหนุ่ม สายตาโกรธแค้น
                    "พวกเจ้า? ข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นอะไรงั้นรึ?  อืม... เป็นคำถามที่ดี น่าคิดหาคำตอบ" ปิแอร์เดินไปมาครุ่นคิดคำตอบอยู่สักครู่ก็หันมาตอบ "ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย  สิ่งเดียวที่ข้ามองพวกเจ้าคือพวกเจ้าเป็นสวะที่ไม่ควรค่าแก่สายตาข้าสักนิด"
                    ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ทหารทุกคนเงื้อดาบเตรียมฟันมาสุดแรง แต่ตอนนั้นเอง...

     

                    ปึง!!

     

                    เสียงประตูเปิดออก  ร่างของเด็กสาววิ่งออกมาจากประตูนั้นก่อนตะโกนเต็มเสียง “หยุดนะ!!!

                    ลอร์ดหนุ่มหันไปมองตามเสียง รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างขึ้นแบบเห็นได้ชัด “ในที่สุดก็ยอมออกมาจนได้สินะ”

                    เอเลนิสเห็นสภาพพวกเราทั้งสี่ก็รีบเจรจา “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

                    ผมพยายามหันหน้าไปมองเธอ ตอนนี้ใบหน้าของเด็กสาวมีแต่น้ำตาที่ไหล่รินออกมา แต่เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจก็ดังขึ้น

                    “โอ้  ช่างเป็นเสียงที่หน้าไพเราะยิ่งนัก  เคยมีกวีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า  "สิ่งที่งดงามที่สุดที่หาได้ในโลกนี้คืออิสตรี" มันมิได้กล่าวผิดไปเลยแม้แต่น้อย   แต่ว่า...” เขาชูมือขึ้นแล้วฟาดลง  ทหารก็ยกดาบขึ้นแล้วฟันลงไปเต็มแรง ร่างทั้งสามถูกฟันยาวเป็นแนวตั้งแต่กลางหลังไปจนถึงหัวไหล่ซ้าย ต่อหน้าต่อตาเด็กสาว

                    “คลูต! เอียน! นีน่า!” ผมตะโกนลั่น เรียกชื่อพวกเขาหวังเพียงแค่ว่าจะได้ยินเสียงตอบรับเท่านั้น แต่มันคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว ร่างของพวกเขาทั้งสามกลิ้งสามแนวสันคลองก่อนจะลอยตามน้ำไป

                    “...ความตายเท่านั้นที่ควรค่าแก่พวกกบฏ ใครก็ตามที่ท้าทายอำนาจองค์ราชามิสมควรมีชีวิตอีกต่อไป” ปิแอร์ดูมีความสุขเมื่อเห็นท่าทางตะลึงค้างของเด็กสาว

                    “แก ไอ้ชั่ว! ไอ้เลว! กับคนที่ไม่เกี่ยวข้องเจ้ายังฆ่าได้ลงคอ!” เด็กสาวกล่าวผรุสวาทลอร์ดหนุ่ม สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต

                    “แหม ได้รับคำชมจากท่านนี้ไม่สมกับเป็นท่านเลยนะ” ปิแอร์ไม่รู้สึกอะไรซักนิดกับสิ่งที่เด็กสาวด่า “เพราะข้าก็เป็นของข้าอย่างนั้นนั่นแหละ เอ้า! จะเหลือคนสุดท้ายไว้ทำไม รีบๆจัดการให้จบแล้วไปพาตัวเธอมา”

                    ทหารรับคำสั่ง เงื้อดาบขึ้นสุดศีรษะ เอเลนิสได้แต่กรีดร้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง

                    “เพสซี่.........................!!

     

                    ฉัวะ!!

     

                    สิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเธอเรียกชื่อผม... อย่างนั้น

                    แต่น่าแปลกนะ ทำไมพอได้ยินเธอเรียกชื่อผมแบบนั้น ผมกลับชอบนะ?  แต่คงไม่มีโอกาสได้ฟังเธอเรียกเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ

                    คลูต... เอียน... นีน่า...

                    พี่ฟิโอน่า...  พี่แรกนัส... พ่อ...  ลุงพอล...

                    เอเลนิส.......

                    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” เด็กสาวได้แต่กรีดร้องแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอค่อยๆทรุดลง แล้วร่วงหล่นสู่ผืนน้ำ

     

     

                   

                    เมื่อวานนี้ห้าคน  วันนี้อีกสามคน  นี่เราฆ่าคนไปเท่าไหร่แล้วนะ?

                    นับหนึ่งเมื่อไหร่จำไม่ได้แล้วสิ แต่ผมหยุดนับเมื่อถึงคนที่หนึ่งร้อย

                    ตั้งแต่ที่ผมจำความได้  สิ่งที่รอคอยผมอยู่ทุกเช้าคือดาบไม้ ที่ผมต้องไปหวดมันหนึ่งพันครั้ง โดยมีพ่อหรือพี่แรกนัสยืนคุมอยู่

                    กิจวัตรประจำวันของผมมีไม่กี่อย่าง ฝึกดาบช่วงเช้า  ฝึกออกกำลังขาช่วงบ่าย  ฝึกเอาตัวรอดช่วงกลางคืน

                    มันวนเวียนอย่างนี้ทุกวันเรื่อยมา ตั้งแต่วันนั้น... วันที่ทุกๆอย่างเปลี่ยนแปลงไป
                    เพราะว่า...   เพราะว่าพ่อของผมเป็นวีรบุรุษ
                    เพราะว่า...   เพราะว่าผมต้องมีคนมากมายให้ต้องดูแล
                    เพราะว่า...   เพราะว่าทุกคนหันมาทางผมเมื่อพวกเขานึกถึงพ่อของผม

                    แต่พ่อของผมก็ถูกฆ่า...  เขาตายในโศกนาฏกรรมตอนเมื่อผมอายุสิบขวบ
                   
                    และตอนนี้ ผมอายุสิบเจ็ด...
                   
                    ผมยังจำความรู้สึกได้  ครั้งแรกที่ได้ลงมือฆ่า...
                   
                    วินาทีที่ได้เห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาเปรอะเปื้อนใบดาบ ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่านั่นคือชีวิตแรกที่ผมได้พรากจากผู้อื่นไป
                    แต่เราไม่มีทางเลือก ถ้าเราไม่ฆ่า  เราก็อยู่ไม่ได้...
                    พี่แรกนัสคอยปลอบโยนผมทุกครั้งที่ผมรู้สึกไม่ดี ทุกครั้งที่ผมลงมือฆ่า มันอาจทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้างก็จริง แต่ผมก็รู้สึกตัวอยู่ตลอด
                    ผมรู้สึกว่าผมได้สูญเสียอะไรบางอย่างไปจากจิตใจของผม ทีละนิดๆ

     

                    แต่ละวันเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว เสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหาร และข้าวต้มหอมๆ ความเหนื่อยที่มีทั้งหมดก็หายไป

                    สิ่งที่ฝึกมานั้น  บางวันก็เฝ้าถามตัวเองว่า ฝึกไปเพื่ออะไร?  นั่นสินะ  คงไม่ใช่แค่เพราะต้องการแก้แค้นและการตอบโต้เพียงอย่างเดียวแน่

                    ก็แค่...    ก็แค่อยากได้สิ่งที่ควรมีเหมือนคนอื่น

                    ก็แค่...    ก็แค่อยากจะได้ท่องเที่ยวโลกภายนอกเหมือนนักพเนจรที่มาขอพักอาศัยบ้าง

                    ก็แค่...    ก็แค่อยากจะปกป้องสิ่งสำคัญที่สุดของตัวเองเอาไว้

                    อยากปกป้องทุกคน ด้วยตัวเอง

                    แต่สุดท้าย คำตอบก็มีแค่...  ต้องการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

                    แล้วผมจะแข็งแกร่งไปเพื่ออะไร ถ้าในเมื่อทุกอย่างมันไม่เปลี่ยนไป อย่างนี้สิ่งที่ทำมาทุกอย่างก็สูญเปล่าสินะ...

                    เมื่อวานนี้ห้าคน  วันนี้อีกสามคน...

                    หก... เจ็ด... แปด...  เก้า...  สิบ...

                    เหนื่อยแล้ว... เหนื่อยเหลือเกิน

                    ทำไมค่าตัวอย่างชั้นถึงได้บทแค่นี้ล่ะฟะ

     

    จบช่วงแรกแล้วครับ   ขึ้นตอนใหม่รู้ชื่อเรื่องแล้วแน่นอน  คงไม่ค้างกันเนอะ ^^ จากนี้คงหายไปนานนิดนึง ช่วยๆคอมเม้นท์กันหน่อยนะครับทุกคน

    *แก้ไข  27/7/56 : แก้บทดราม่าท้ายบท กับบทสนทนาก่อนโดนเชือดของทั้งสี่นะขอรับ ><

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×