ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter5 - บีบคั้น ( Oppressed )

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 56


                    เปรี้ยง! ครืนๆ...

                หยาดเม็ดฝนจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า เกิดเป็นแอ่งน้ำเจิ่งนองไปทั่วเอสปาด้า

                ผืนดินที่ชื้นแฉะถูกรองเท้าโลหะจำนวนมากเหยียบย่ำ เงาสะท้อนจากแอ่งน้ำเผยให้เห็นบุคคลในชุดเกราะจำนวนมากยืนรายล้อมทั่วทางเข้าหมู่บ้าน

                เราทั้งสี่นั่งสังเกตการณ์อยู่บนหลังคาร้านอาหาร  สีหน้าเคร่งเครียดกับสิ่งที่เห็น

     พวกทหารพวกนั้นมาทำอะไรกันที่นี่กันแน่?

     ในตอนนั้นเองชายในชุดคลุมสีแดงก้าวออกมาจากกลุ่มทหารเหล่านั้น เขากางม้วนหนังสือในมืออก ก่อนตะโกนอ่านเนื้อความในนั้นด้วยเสียงอันดัง

    “ข้า ลอร์ดพิริอัส ปิแอร์ เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชาซาเทียสที่สาม ให้เป็นผู้ปกครองป้อมปราการแห่งวิกทรีออน อันรวมไปถึงป้อมปราการย่อยประตูใหญ่แห่งลาเมนต์ และเขตเอสปาด้าแห่งนี้ด้วย”

    การปรากฏตัวของเขาทำให้ชาวบ้านที่ทำกิจกรรมส่วนตัวต่างก็หยุดการกระทำและหลบหนีเข้าบ้านของตัวเองทั้งหมด เพื่อรอดูสถานการณ์ในบ้านตัวเอง ลอร์ดปิแอร์พยักหน้าให้ทหารคนสนิทหนึ่งครั้ง ทหารคนนั้นก็วิ่งแยกออกไป

    “ข้ามาหาตัวคนๆหนึ่ง  เป็นลูกสาวของขุนนางที่ถูกพวกเจ้าจับตัวไป เป็นการกระทำที่เลวทรามที่สุด!”

     ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกัน พวกเราทั้งสี่ที่นั่งฟังอยู่ต่างภาวนาตรงกันว่า  ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเถอะ...

     “การท้าทายข้า เท่ากับพวกเจ้ากำลังท้าทายองค์ราชา อันมีโทษฐานเป็นกบฏ!! สิ่งที่รอพวกเจ้าอยู่คือความตายสถานเดียวเท่านั้น !

    “แต่ข้ายังปรานีให้กับพวกเจ้า ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งชั่วโมงในการพาตัวเธอมาให้กับข้า ซึ่งแลกกับการที่หมู่บ้านของพวกเจ้าจะไม่ต้องส่งส่วยไปหนึ่งปี แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ทำตาม...”

    ปิแอร์ส่งสัญญาณ ทหารก็กึ่งจูงกึ่งลากชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งออกมากลางลานกว้าง

    “ข้าจะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านนี่ซะ โดยเริ่มจากนังนี่ และทุกๆหนึ่งชีวิตจะต้องดับสูญไปต่อเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านไปจนกว่าข้าจะได้ตัวเด็กนั่น!” เขากล่าวเสียงเหี้ยม หันไปสั่งทหารคนสนิท

    “ฆ่าพวกสวะนี่ให้ทรมานที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ ให้เสียงกรีดร้องของพวกมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งเขตสลัมโสมมแห่งนี้” กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินสะบัดผ้าคลุมกลับไป เมื่อพวกเราทั้งสี่เห็นเขากลับไปแล้ว เราก็ออกจากที่ซ่อนลงไปที่ร้านอาหาร

     

     

    มีแต่ความเงียบงันในห้องใต้ดินของร้านอาหาร

    “หนึ่งชีวิตต่อหนึ่งชั่วยาม ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่มีเวลามากนักล่ะ” เป็นคลูตที่เปิดปากพูดเป็นคนแรก

    “น่ารังเกียจที่สุด...”นีน่าบ่น มือทั้งสองควงมีดเล่นตลอดเวลา

                    “ใจเย็นน่าทุกคน ตอนนี้แร็กนัสไม่อยู่ อย่าเพิ่งทำอะไรหุนหันพลันแล่นล่ะ” ฟิโอน่าพูดขึ้น

                    อาการของทุกคนดูเย็นลง แต่เอียนก็อดบ่นไม่ได้

                    “ไม่นึกว่ามันจะมาโจมตีเราเวลานี้”

                    “พวกเราส่งข่าวไปหาท่านหัวหน้าดีมั้ย” คลูตเสนอความคิดเห็น

                    “คงไม่ได้” นีน่าแย้ง “ประตูลาเมนต์ถูกปิดแล้ว ทหารประจำที่นั่นอีกเป็นพัน ยิ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้การหนีออกไปจากเอสปาด้าโดยไม่เหลือร่องรอยยิ่งเป็นไปไม่ได้”

                    “เอสปาด้าถูกล้อมโดยสมบูรณ์สินะ” ผมครุ่นคิด

                    “การส่งข่าวไปหาหัวหน้าคงไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่สินะ” คลูตกล่าวสรุป

                    เอเลนิสมองออกไปนอกหน้าต่าง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฟิโอน่าสังเกตเห็นจึงทักขึ้นว่า “เอเลนิส เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

                    “ไม่มีอะไรหรอก” เธอตอบมาเสียงเบา สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นเลย

                    “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว หากเจ้าเป็นอันตรายอะไรขึ้นมาจริงๆพวกเรานี่แหละจะปกป้องเจ้าเอง ใช่รึไม่เพทริกส์” เอียนพูด ประโยคสุดท้ายหันมาถามผม

                    “แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบ “เด็กผู้หญิงที่พวกมันพูดถึง...”

                    “ข้าเองแหละ” สาวน้อยโพล่งขึ้น ทุกคนหันไปมองเธอด้วยความตกใจ

                    “เฮ้ๆๆๆ พวกมันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอซักหน่อย รึว่าใช่” เอียนถาม

                    “ไม่ใช่น่ะสิ” เอเลนิสตอบ “ข้าต้องไปแล้ว”

                    “จะไปไหนน่ะ” ผมถาม แต่คำตอบผมพอจะเดาได้เมื่อเธอเดินไปที่ประตู

                    “ออกไปหาพวกมันไง”

                    “เฮ้ ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ” เอียนตะโกนลั่นมาจากด้านหลัง “เจ้าคิดหรือว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเจ้า”

                    “ข้าไม่รู้ แต่อย่างไรข้าก็จะไป ข้าไม่ต้องการเห็นคนอื่นต้องมาตายเพราะเหตุผลส่วนตัวของข้าอีก” เธอส่ายหน้า มือจับไปที่ประตูแต่ผมก็ไปคว้ามือเธอไว้

                    “เธอบอกไม่รู้ทั้งที่เธอกำลังจะตายเนี่ยนะ?” ผมถามเธอ พริบตาเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นสายตาหวั่นไหวของเธอ ซึ่งมันก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาอันโดดเดี่ยว

                    “ได้โปรด... อย่าหยุดข้า” มือข้างที่ถูกผมกุมไว้ถูกสะบัดทิ้ง  เธอหันหน้าไปหาทุกคนและก้มหัวให้ “ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยดูแลข้า ให้ที่พักแก่ข้า และทำให้ข้าสนุกได้ขนาดนี้ ลาก่อนทุกคน ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ข้าได้อยู่ที่นี่ แต่ข้าขอขอบคุณในความหวังดีของทุกๆคนที่มีแก่ข้า ข้าสนุกมากเมื่ออยู่ที่นี่” เธอหันมาทางผมเป็นครั้งสุดท้าย “ลาก่อน... เพสซี่”

                    เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอเรียกผมว่าเพสซี่?

                    กว่าจะรู้ตัว เธอก็เปิดประตูวิ่งออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอยู่คนเดียว

                    ผมปล่อยคนที่ผม “รัก” ไปตายอีกแล้วงั้นเหรอเนี่ย...

                    ผมอ่อนแอจนไม่กล้าสู้หน้ากับพวกจักรวรรดิพวกนั้นจริงๆน่ะเหรอ แล้วที่พวกเราฝึกมาเกือบเดือนล่ะ มันมีความหมายเพื่ออะไร?

                    “มะ... ไม่!!! เอเลนิสรอข้าด้วย” เอียนลุกขึ้นจะวิ่งตามเธอไปแต่ผมจับไหล่เขาไว้ก่อน

                    “เอียน ปล่อยเธอไปเถอะ...”

                    ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป เมื่อคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปหมัดลุ่นๆก็ลอยเข้าใบหน้าผมเต็มๆ

                    “เพทริกส์ เจ้าเป็นอะไรของเจ้า? ทำไมถึงปล่อยให้เธอไปตาย?”เอียนตวาดลั่น “ เจ้าเพิ่งบอกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าจะปกป้องเธอ นี่เจ้าลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างที่พูดแล้วรึ?”

                    “แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว” ผมเปิดปากพูด แก้มมีรอยช้ำจากหมัด “หากไม่มีพี่แร็กนัสกับลุงพอล  เราก็สู้ทหารจักรวรรดิไม่ได้เลย”

                    เอียนดูหงุดหงิดกับเหตุผลที่ผมยกมาอ้าง “งั้นเราก็ปกป้องเธอจนกว่าพวกเขาจะกลับมากันสิ”

                    “ถ้าอย่างนั้นจะมีอีกกี่คนที่ตายก่อนพี่ชายข้าจะกลับมาล่ะ?” ผมตะคอกกลับ เริ่มทนไม่ไหวกับเพื่อนที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่

                    แล้วเราล่ะ? เราก็ใช้อารมณ์เหมือนกันนี่...

                    “เจ้า...” เอียนกัดฟันกรอด “แล้วเจ้าจะทนอยู่อย่างนี้ได้รึ”

                    ผมเบือนหน้าหนีเพื่อนสนิท ไม่ให้ใครรู้ได้เด็ดขาดว่าตอนนี้น้ำตาลูกผู้ชายกำลังหลั่งไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

                    ผมมันอ่อนแอ..

             ผมเพิ่งสั่งให้คนอื่นไปตายเพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด...

                    ผมยังควรค่าแก่การเรียกว่าลูกผู้ชายอีกหรือไม่?

                    “หยุดเถอะเอียน” นีน่าตัดบท “เพทริกส์คงคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราแล้ว อย่าลืมสิตอนนี้ยังไงเขาก็มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าชั่วคราวนะ”

                    “เจ้ามัน...” เอียนไม่พูดอะไรเพิ่ม กลับเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปอีกคน

                    “เอียน!!” ผมเรียกเพื่อนแล้ววิ่งตามเขาไป ซึ่งคลูตกับนีน่าก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน

     

     

                    เอเลนิสเปิดประตูออกมาเจอพลทหารสองคนเดินผ่านมาพอดี

                    “เจ้ามีธุระอะไรกับข้า” ทหารคนนั้นถามเมื่อเด็กสาวเดินเข้าไปหา

                    “ข้านี่ไงคนที่พวกเจ้าตามหา พาตัวข้าไปเลยสิ” เด็กสาวพูด สายตาเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง แต่ตอนนั้นเอง...

                    ฉึก!!

                    ลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้ากลางเบ้าตาทหารคนนั้นอย่างจัง เอเลนิสหันไปมองข้างหลัง

                    “เอียน!? ทำไมล่ะ?”

                    เอียนยิ้มให้เด็กสาวด้วยสีหน้าที่หล่อสุดๆ

                    “พวกเราคือเอสปาด้า...” เขายิงธนูไปอีกหนึ่งดอก ศรดอกนั้นเฉี่ยวแก้มเด็กสาวไปเพียงคืบเดียวก่อนจะปักกลางหน้าอกทหารอีกคนอย่างแม่นยำ “...และพวกเราจะไม่ยอมพวกจักรวรรดิเด็ดขาด”

                    ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เรียกระดมพลทันที

                    “เจอตัวเป้าหมายแล้ว! ฆ่าเด็กคนนั้นซะ จับทุกคนในบ้านหลังนั้นให้หมด ใครขัดขืนฆ่าได้ทันที ยกเว้นเป้าหมายจับเป็นให้ได้!

     

                    ผมวิ่งออกมาก็เจอทหารนอนหมดสภาพสองคนธนูปักกับหัวและหน้าอก กับเอียนซึ่งยืนอยู่ข้างเอเลนิส

                    “อ้าว ออกมาทำไมล่ะ ไอขี้ขลาด” เอียนยิ้มเยาะ

                    ผมหัวเราะเบาๆแล้วก็บอกว่า “คอยดูเถอะเอียน พี่แรกนัสกลับมาเมื่อไหร่นายเจอนรกแน่ๆ”

                    เอียนกลับตะเบ็งเสียงหัวเราะยิ่งกว่า “ฮ่ะๆๆ งั้นเรอะ บางอย่างในตัวข้าบอกว่าท่านหัวหน้าจะกลับมาให้เหรียญกล้าหาญข้ามากกว่า”

                    “เชื่อเขาเลย” คลูตส่ายหน้า ส่วนนีน่าแอบอมยิ้มที่มุมปาก

                    “เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ๆ” เธอตอบ

     

     

     

    เกือบชั่วโมงแล้วหลังจากที่ชายหนุ่มในชุดแดงได้ลั่นวาจาไว้ หญิงชาวบ้านนั่งคอตกกลางลานกว้างเมื่อต้องรู้ถึงชะตากรรมของตัวเองในไม่ช้านี้

    รอบข้างของเธอนั้น ชาวบ้านต่างจับกลุ่มสนทนาในบ้านบ้าง ห้องลับบ้าง ทุกคนต่างก็สาปแช่งทหารพวกนั้น  ไม่มีใครที่มีท่าทางเกลียดเด็กสาวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนในนั้นต่างคิดเหมือนกันว่า ลอร์ดหนุ่มก็แค่หาเด็กผู้หญิงไปเป็นนางบำเรอส่วนตัวก็แค่นั้น

    จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรือเพราะความพยายามของเธอกันแน่นะ?

    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า อันเป็นสัญญาณครบหนึ่งชั่วโมง

    ปึง!!


    ร่างอันไร้ซึ่งส่วนหัวของทหารถูกถีบลอยละลิ่วชนกับผู้คุมตัวชาวบ้านตรงกลางลาน ส่งร่างทั้งสองคนลงไปนอนกองกับพื้น ด้วยชุดเกราะที่หนักพอสมควรทำให้ลุกลำบากน่าดูเลยทีเดียว

    “ไม่เป็นไรนะครับ” ผมยื่นมือไปจับกับชาวบ้านที่ถูกจับ เธอกล่าวขอบคุณแล้วรีบวิ่งหลบเข้าไปในร้านอาหาร

    การกระทำของพวกเราเรียกทหารทั้งหมดที่ประจำในหมู่บ้านเรามาที่ลานกว้าง

    “มีคนขัดขืน!!  ฆ่าพวกมันให้หมด” ทหารคนหนึ่งตะโกน แล้วมหกรรมการสังหารหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น

    โดยไม่ต้องนัดหมาย พวกเราทั้งสี่กระจายตัวออกจากกัน เอียนวิ่งหลบไปหาที่ซุ่มยิงโดยมีคลูตคอยคุ้มกันและช่วยยิงเสริม ผมกับนีน่าบุกตะลุยเข้าไปกลางวงทหารเหล่านั้น เท้าแตะพื้นเพียงเสี้ยววินาที นีน่าโยกตัวหลบใบดาบที่ฟาดฟันมาต่อเนื่องสามดาบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เธอมิได้เป็นแค่ฝ่ายหลบหลีกฝ่ายเดียว มีดในมือขวาปักเข้าไปกลางทรวงอกเสียบทะลุออกด้านหลังอย่างแม่นยำจนศัตรูหมดลมหายใจตั้งแต่ร่างยังไม่ทันได้สัมผัสพื้น  เธอเตะร่างอันไร้ชีวิตนั้นไปยังทหารอีกสองคนที่เหลือ ส่งให้ทั้งสามล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะโดนเชือดตายตามเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว

    เอียนยิงธนูได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกดอกที่ยิงถ้าไม่หมายถึงหนึ่งชีวิตที่ปลิดปลิวก็ต้องเป็นหนึ่งอาวุธที่ร่วงหล่นลงจากมือ และแน่นอน เมื่อชายผู้ใดไร้ซึ่งอาวุธก็มิอาจรักษาศรีษะของตัวเองให้ตั้งตรงได้  ร่างของพวกเขาเหล่านั้นถ้าไม่ถูกเส้นแสงสีดำพุ่งตัดผ่านไปพร้อมรอยเฉือนของมีดก็ถูกหอกไม้ไผ่ที่แหลมคมเสียบทะลุลอดช่องเกราะไปอย่างง่ายดาย

    กิจกรรมยามว่างอย่างเดียวของคลูตคือการเหลาไม้ไผ่ เพื่อทำอาวุธฝึกซ้อม แต่เขาก็ชอบเหลาหอกไม้ไผ่ไว้ใช้ส่วนตัวเช่นกัน จึงไม่แปลกใจเลยหากว่าคุณขโมยเป้ของเขาได้แล้วข้างในมีแต่หอกไม้ไผ่  แต่ผมต้องยอมรับว่ากำลังแขนของเขานั้นดีมากจริงๆ สงสัยคงฝึก(?)มาเยอะ

    เพื่อนๆต่างก็ต่อสู้ในแนวที่ตัวเองถนัด

    ส่วนผมน่ะเหรอ ระดับความมันมันต่างกัน

    เมื่อผมกับนีน่าแยกกัน ดาบของผมก็ถูกชักขึ้นฟาดฟันตอบโต้กับทหารที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะก้มตัวหลบดาบที่แทงเข้ามาจากด้านหลัง เมื่อได้จังหวะผมจึงเตะขัดขาเขาแล้วเสียงดาบทะลุอกไป

    อูย..... มันใส่รองเท้าเหล็กอยู่นี่หว่า เจ็บเท้าอิ๋บอ๋าย

    เมื่อต่อสู้กับทหารกลุ่มต่อไปที่เข้ามากันสองคนผมจึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการใช้ใบดาบกระแทกให้อาวุธหลุดมือก่อนแทน ผมเอี้ยวตัวหลบหอกของหนึ่งในสองคนนั้น ปัดดาบอีกคนแล้วใช้มีดสั้นอีกเล่มที่เหน็บกลางหลังเสียบหลังเขาไป แต่มีดดันปักติดอยู่กลางหลังเสียบไม่เข้าซะงั้น ผมเลยเปลี่ยนแผน ใช้มีดสั้นเป็นที่พักเท้ากระโดดข้ามตัวเขาไปก่อนตอกส้นเข้าใส่มีด คราวนี้มันเสียบเข้าไปเต็มๆ ร่างของเขาชะงักค้างก่อนล้มไป ผมเอี้ยวตัวหลบดาบของอีกคนและสะบัดดาบลากผ่านร่างของทหารอีกคนเป็นทางยาว เลือดสดๆฉีดพุ่งออกมาจากบาดแผล

    ถ้านีน่าเด่นด้านความเร็ว ผมมั่นใจว่าเทคนิคดาบของผมไม่แพ้ใคร

    การต่อสู้ในครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน ซักพักพวกทหารที่มีกันแค่ประมาณสามสิบคนก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด มีหนีรอดไปได้ประมาณ 5-6 คน ตอนนี้ทั่วทั้งลานกว้างมีแต่ศพของพวกทหาร ลำบากพวกเราและชาวบ้านต้องช่วยกันเก็บกวาดร่างพวกนั้นกันพอสมควร

    “เฮ้อ... วันนี้มันเป็นบ้า” เอียนทิ้งขวานในมือลงพื้นก่อนล้มตัวลงนั่ง ขวานนั้นได้มาจากการแย่งมาจากศพทหารคนหนึ่งหลังจากที่เจ้าตัวรู้สึกว่าธนูยิงได้ไม่ทันใจซักเท่าไหร่

    “หอกไม้ไผ่หมดไปเยอะพอดู ต้องมานั่งเหลาเพิ่มสินะ” คลูตบ่นก่อนเดินไปหลังหมู่บ้านเพื่อหาไม้ไผ่เพิ่ม

    ผมมองไม่เห็นนีน่า แต่ถ้าให้เดาคงไปอาบน้ำล้างคราบเลือดอยู่ละมั้ง และคงเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในการเดินลงไปตามคนที่มีสายตาไว้มองผู้ชายไวกว่านกเหยี่ยวของคุณเธอเนี่ย

     

    ปิแอร์เดินกระสับกระส่ายอยู่ในห้องของตัวเองบนป้อมปราการย่อยประตูลาเมนต์ นาฬิกาเรือนข้างโต๊ะทำงานบอกเวลาห้าทุ่ม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของทหารที่จะมาส่งข่าว

    หรือเด็กผู้หญิงคนนั้นจะหนีไปแล้ว?

    หรือเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่กับพวกสวะนั่นตั้งแต่แรก?

    หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกทหาร?

    ไม่หรอก... ชายหนุ่มคิด พ่อค้าหน้าเซ่อๆแบบนั้นคงไม่หลอกเขาเป็นแน่ แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมป่านนี้แล้วพวกทหารยังไม่มาส่งข่าวอีกล่ะ? 

    คงไม่ใช่ประเด็นสุดท้ายที่เขาแอบคิดไว้ละมัง

     

    และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อลอร์ดหนุ่มเห็นร่างทหารคนสนิทวิ่งกระหืดกระหอบเข้าห้องมา

    “มายลอร์ด  มีรายงานมาจากเอสปาด้าขอรับ”

    “ว่ามาเลย” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นจัดแจงนั่งลงกับโต๊ะทำงานทันที

    “พวกทหารที่ประจำอยู่ที่เอสปาด้า  ถูกสังหารจนหมดขอรับ” ทหารคนนั้นรายงาน

    “ว่าไงนะ !?  พวกสวะนั่นมีกันอยู่แค่หยิบมือ ทหารครึ่งร้อยพวกนั้นทำอะไรไม่ได้เลยรึ” ปิแอร์ทุบโต๊ะเสียงดังลั่น  นายทหารหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ก่อนก้มหน้ารายงานต่อไป

    “ในกลุ่มของพวกมันมียอดฝีมืออยู่สี่คนขอรับ  พวกทหารเมื่อเจอพวกมันก็สู้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว” 

    ไม่ได้การล่ะ งานนี้เราต้องออกหน้าเอง ชายหนุ่มคิด อันที่จริงแล้วเรื่องที่พวกสวะนั้นจะต่อต้านก็ไม่ใช่ว่าอยู่นอกเหนือจากการคาดหมายของเขาแต่อย่างใด แต่เขาคาดการณ์ผิดไปที่ส่งทหารไปแค่นั้นทั้งๆที่มีคนเก่งๆซุ่มซ่อนอยู่

    “สั่งการลงไป  ให้ทหารอารักขากำแพงทุกหน่วยบุกเอสปาด้าในวันพรุ่ง เราจะกวาดล้างพวกกบฏที่คิดขัดขืนต่อองค์ราชา” เขาสั่ง

    “แต่มายลอร์ด การเคลื่อนย้ายทหารอารักขากำแพงต้องได้รับอนุญาตจากท่าน...” ทหารคนนั้นพูดไม่ทันจบก็ถูกลอร์ดหนุ่มตวาดกลบจนหมด

    “หุบปาก! นี่คือคำสั่ง! เจ้าไปปฎิบัติตามก็พอ อย่าเสนอหน้า”

    “ยะ... เยส มายลอร์ด” ทหารคนนั้นรับคำแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มที่สะบัดผ้าคลุมด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น

    “ในเมื่อเป็นแค่สวะแต่บังอาจมาขัดขวางความเจริญของข้า  ก็อย่ามีที่ยืนบนโลกนี้อีกเลย!!” 

    ขอโทษนักอ่านทุกท่านที่หายไปนานกว่าปกติ หลังสอบคือช่วงส่งการบ้านที่ดองเค็มไว้ยังไงล่ะ!!! //หัวเราะอย่างชั่วร้าย

    ตอนต่อไปจะตามมาด้วยความเร็วสูงแน่นอน พร้อมด้วย.... ไม่บอก อิอิ

    * แก้ไข 23/7/56  รีไรท์บทสนทนาในร้านอาหารทั้งหมด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×