คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter5 - บีบคั้น ( Oppressed )
เปรี้ยง! ครืนๆ...
หยาดเม็ดฝนจำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า เกิดเป็นแอ่งน้ำเจิ่งนองไปทั่วเอสปาด้า
ผืนดินที่ชื้นแฉะถูกรองเท้าโลหะจำนวนมากเหยียบย่ำ เงาสะท้อนจากแอ่งน้ำเผยให้เห็นบุคคลในชุดเกราะจำนวนมากยืนรายล้อมทั่วทางเข้าหมู่บ้าน
เราทั้งสี่นั่งสังเกตการณ์อยู่บนหลังคาร้านอาหาร สีหน้าเคร่งเครียดกับสิ่งที่เห็น
พวกทหารพวกนั้นมาทำอะไรกันที่นี่กันแน่?
ในตอนนั้นเองชายในชุดคลุมสีแดงก้าวออกมาจากกลุ่มทหารเหล่านั้น เขากางม้วนหนังสือในมืออก ก่อนตะโกนอ่านเนื้อความในนั้นด้วยเสียงอันดัง
“ข้า ลอร์ดพิริอัส ปิแอร์ เป็นผู้ได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชาซาเทียสที่สาม ให้เป็นผู้ปกครองป้อมปราการแห่งวิกทรีออน อันรวมไปถึงป้อมปราการย่อยประตูใหญ่แห่งลาเมนต์ และเขตเอสปาด้าแห่งนี้ด้วย”
การปรากฏตัวของเขาทำให้ชาวบ้านที่ทำกิจกรรมส่วนตัวต่างก็หยุดการกระทำและหลบหนีเข้าบ้านของตัวเองทั้งหมด เพื่อรอดูสถานการณ์ในบ้านตัวเอง ลอร์ดปิแอร์พยักหน้าให้ทหารคนสนิทหนึ่งครั้ง ทหารคนนั้นก็วิ่งแยกออกไป
“ข้ามาหาตัวคนๆหนึ่ง เป็นลูกสาวของขุนนางที่ถูกพวกเจ้าจับตัวไป เป็นการกระทำที่เลวทรามที่สุด!”
ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกัน พวกเราทั้งสี่ที่นั่งฟังอยู่ต่างภาวนาตรงกันว่า ‘ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเถอะ...’
“การท้าทายข้า เท่ากับพวกเจ้ากำลังท้าทายองค์ราชา อันมีโทษฐานเป็นกบฏ!! สิ่งที่รอพวกเจ้าอยู่คือความตายสถานเดียวเท่านั้น !
“แต่ข้ายังปรานีให้กับพวกเจ้า ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งชั่วโมงในการพาตัวเธอมาให้กับข้า ซึ่งแลกกับการที่หมู่บ้านของพวกเจ้าจะไม่ต้องส่งส่วยไปหนึ่งปี แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ทำตาม...”
ปิแอร์ส่งสัญญาณ ทหารก็กึ่งจูงกึ่งลากชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งออกมากลางลานกว้าง
“ข้าจะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านนี่ซะ โดยเริ่มจากนังนี่ และทุกๆหนึ่งชีวิตจะต้องดับสูญไปต่อเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านไปจนกว่าข้าจะได้ตัวเด็กนั่น!” เขากล่าวเสียงเหี้ยม หันไปสั่งทหารคนสนิท
“ฆ่าพวกสวะนี่ให้ทรมานที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ ให้เสียงกรีดร้องของพวกมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งเขตสลัมโสมมแห่งนี้” กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินสะบัดผ้าคลุมกลับไป เมื่อพวกเราทั้งสี่เห็นเขากลับไปแล้ว เราก็ออกจากที่ซ่อนลงไปที่ร้านอาหาร
มีแต่ความเงียบงันในห้องใต้ดินของร้านอาหาร
“หนึ่งชีวิตต่อหนึ่งชั่วยาม ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่มีเวลามากนักล่ะ” เป็นคลูตที่เปิดปากพูดเป็นคนแรก
“น่ารังเกียจที่สุด...”นีน่าบ่น มือทั้งสองควงมีดเล่นตลอดเวลา
“ใจเย็นน่าทุกคน ตอนนี้แร็กนัสไม่อยู่ อย่าเพิ่งทำอะไรหุนหันพลันแล่นล่ะ” ฟิโอน่าพูดขึ้น
อาการของทุกคนดูเย็นลง แต่เอียนก็อดบ่นไม่ได้
“ไม่นึกว่ามันจะมาโจมตีเราเวลานี้”
“พวกเราส่งข่าวไปหาท่านหัวหน้าดีมั้ย” คลูตเสนอความคิดเห็น
“คงไม่ได้” นีน่าแย้ง “ประตูลาเมนต์ถูกปิดแล้ว ทหารประจำที่นั่นอีกเป็นพัน ยิ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้การหนีออกไปจากเอสปาด้าโดยไม่เหลือร่องรอยยิ่งเป็นไปไม่ได้”
“เอสปาด้าถูกล้อมโดยสมบูรณ์สินะ” ผมครุ่นคิด
“การส่งข่าวไปหาหัวหน้าคงไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่สินะ” คลูตกล่าวสรุป
เอเลนิสมองออกไปนอกหน้าต่าง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฟิโอน่าสังเกตเห็นจึงทักขึ้นว่า “เอเลนิส เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่มีอะไรหรอก” เธอตอบมาเสียงเบา สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นเลย
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว หากเจ้าเป็นอันตรายอะไรขึ้นมาจริงๆพวกเรานี่แหละจะปกป้องเจ้าเอง ใช่รึไม่เพทริกส์” เอียนพูด ประโยคสุดท้ายหันมาถามผม
“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบ “เด็กผู้หญิงที่พวกมันพูดถึง...”
“ข้าเองแหละ” สาวน้อยโพล่งขึ้น ทุกคนหันไปมองเธอด้วยความตกใจ
“เฮ้ๆๆๆ พวกมันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอซักหน่อย รึว่าใช่” เอียนถาม
“ไม่ใช่น่ะสิ” เอเลนิสตอบ “ข้าต้องไปแล้ว”
“จะไปไหนน่ะ” ผมถาม แต่คำตอบผมพอจะเดาได้เมื่อเธอเดินไปที่ประตู
“ออกไปหาพวกมันไง”
“เฮ้ ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ” เอียนตะโกนลั่นมาจากด้านหลัง “เจ้าคิดหรือว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเจ้า”
“ข้าไม่รู้ แต่อย่างไรข้าก็จะไป ข้าไม่ต้องการเห็นคนอื่นต้องมาตายเพราะเหตุผลส่วนตัวของข้าอีก” เธอส่ายหน้า มือจับไปที่ประตูแต่ผมก็ไปคว้ามือเธอไว้
“เธอบอกไม่รู้ทั้งที่เธอกำลังจะตายเนี่ยนะ?” ผมถามเธอ พริบตาเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นสายตาหวั่นไหวของเธอ ซึ่งมันก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาอันโดดเดี่ยว
“ได้โปรด... อย่าหยุดข้า” มือข้างที่ถูกผมกุมไว้ถูกสะบัดทิ้ง เธอหันหน้าไปหาทุกคนและก้มหัวให้ “ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยดูแลข้า ให้ที่พักแก่ข้า และทำให้ข้าสนุกได้ขนาดนี้ ลาก่อนทุกคน ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ข้าได้อยู่ที่นี่ แต่ข้าขอขอบคุณในความหวังดีของทุกๆคนที่มีแก่ข้า ข้าสนุกมากเมื่ออยู่ที่นี่” เธอหันมาทางผมเป็นครั้งสุดท้าย “ลาก่อน... เพสซี่”
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอเรียกผมว่าเพสซี่?
กว่าจะรู้ตัว เธอก็เปิดประตูวิ่งออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอยู่คนเดียว
ผมปล่อยคนที่ผม “รัก” ไปตายอีกแล้วงั้นเหรอเนี่ย...
ผมอ่อนแอจนไม่กล้าสู้หน้ากับพวกจักรวรรดิพวกนั้นจริงๆน่ะเหรอ แล้วที่พวกเราฝึกมาเกือบเดือนล่ะ มันมีความหมายเพื่ออะไร?
“มะ... ไม่!!! เอเลนิสรอข้าด้วย” เอียนลุกขึ้นจะวิ่งตามเธอไปแต่ผมจับไหล่เขาไว้ก่อน
“เอียน ปล่อยเธอไปเถอะ...”
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป เมื่อคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปหมัดลุ่นๆก็ลอยเข้าใบหน้าผมเต็มๆ
“เพทริกส์ เจ้าเป็นอะไรของเจ้า? ทำไมถึงปล่อยให้เธอไปตาย?”เอียนตวาดลั่น “ เจ้าเพิ่งบอกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าจะปกป้องเธอ นี่เจ้าลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างที่พูดแล้วรึ?”
“แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว” ผมเปิดปากพูด แก้มมีรอยช้ำจากหมัด “หากไม่มีพี่แร็กนัสกับลุงพอล เราก็สู้ทหารจักรวรรดิไม่ได้เลย”
เอียนดูหงุดหงิดกับเหตุผลที่ผมยกมาอ้าง “งั้นเราก็ปกป้องเธอจนกว่าพวกเขาจะกลับมากันสิ”
“ถ้าอย่างนั้นจะมีอีกกี่คนที่ตายก่อนพี่ชายข้าจะกลับมาล่ะ?” ผมตะคอกกลับ เริ่มทนไม่ไหวกับเพื่อนที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่
แล้วเราล่ะ? เราก็ใช้อารมณ์เหมือนกันนี่...
“เจ้า...” เอียนกัดฟันกรอด “แล้วเจ้าจะทนอยู่อย่างนี้ได้รึ”
ผมเบือนหน้าหนีเพื่อนสนิท ไม่ให้ใครรู้ได้เด็ดขาดว่าตอนนี้น้ำตาลูกผู้ชายกำลังหลั่งไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ผมมันอ่อนแอ..
ผมเพิ่งสั่งให้คนอื่นไปตายเพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด...
ผมยังควรค่าแก่การเรียกว่าลูกผู้ชายอีกหรือไม่?
“หยุดเถอะเอียน” นีน่าตัดบท “เพทริกส์คงคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราแล้ว อย่าลืมสิตอนนี้ยังไงเขาก็มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าชั่วคราวนะ”
“เจ้ามัน...” เอียนไม่พูดอะไรเพิ่ม กลับเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปอีกคน
“เอียน!!” ผมเรียกเพื่อนแล้ววิ่งตามเขาไป ซึ่งคลูตกับนีน่าก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน
เอเลนิสเปิดประตูออกมาเจอพลทหารสองคนเดินผ่านมาพอดี
“เจ้ามีธุระอะไรกับข้า” ทหารคนนั้นถามเมื่อเด็กสาวเดินเข้าไปหา
“ข้านี่ไงคนที่พวกเจ้าตามหา พาตัวข้าไปเลยสิ” เด็กสาวพูด สายตาเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง แต่ตอนนั้นเอง...
ฉึก!!
ลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้ากลางเบ้าตาทหารคนนั้นอย่างจัง เอเลนิสหันไปมองข้างหลัง
“เอียน!? ทำไมล่ะ?”
เอียนยิ้มให้เด็กสาวด้วยสีหน้าที่หล่อสุดๆ
“พวกเราคือเอสปาด้า...” เขายิงธนูไปอีกหนึ่งดอก ศรดอกนั้นเฉี่ยวแก้มเด็กสาวไปเพียงคืบเดียวก่อนจะปักกลางหน้าอกทหารอีกคนอย่างแม่นยำ “...และพวกเราจะไม่ยอมพวกจักรวรรดิเด็ดขาด”
ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เรียกระดมพลทันที
“เจอตัวเป้าหมายแล้ว! ฆ่าเด็กคนนั้นซะ จับทุกคนในบ้านหลังนั้นให้หมด ใครขัดขืนฆ่าได้ทันที ยกเว้นเป้าหมายจับเป็นให้ได้!”
ผมวิ่งออกมาก็เจอทหารนอนหมดสภาพสองคนธนูปักกับหัวและหน้าอก กับเอียนซึ่งยืนอยู่ข้างเอเลนิส
“อ้าว ออกมาทำไมล่ะ ไอขี้ขลาด” เอียนยิ้มเยาะ
ผมหัวเราะเบาๆแล้วก็บอกว่า “คอยดูเถอะเอียน พี่แรกนัสกลับมาเมื่อไหร่นายเจอนรกแน่ๆ”
เอียนกลับตะเบ็งเสียงหัวเราะยิ่งกว่า “ฮ่ะๆๆ งั้นเรอะ บางอย่างในตัวข้าบอกว่าท่านหัวหน้าจะกลับมาให้เหรียญกล้าหาญข้ามากกว่า”
“เชื่อเขาเลย” คลูตส่ายหน้า ส่วนนีน่าแอบอมยิ้มที่มุมปาก
“เขาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ๆ” เธอตอบ
เกือบชั่วโมงแล้วหลังจากที่ชายหนุ่มในชุดแดงได้ลั่นวาจาไว้ หญิงชาวบ้านนั่งคอตกกลางลานกว้างเมื่อต้องรู้ถึงชะตากรรมของตัวเองในไม่ช้านี้
รอบข้างของเธอนั้น ชาวบ้านต่างจับกลุ่มสนทนาในบ้านบ้าง ห้องลับบ้าง ทุกคนต่างก็สาปแช่งทหารพวกนั้น ไม่มีใครที่มีท่าทางเกลียดเด็กสาวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนในนั้นต่างคิดเหมือนกันว่า ลอร์ดหนุ่มก็แค่หาเด็กผู้หญิงไปเป็นนางบำเรอส่วนตัวก็แค่นั้น
จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรือเพราะความพยายามของเธอกันแน่นะ?
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า อันเป็นสัญญาณครบหนึ่งชั่วโมง
ปึง!!
ร่างอันไร้ซึ่งส่วนหัวของทหารถูกถีบลอยละลิ่วชนกับผู้คุมตัวชาวบ้านตรงกลางลาน ส่งร่างทั้งสองคนลงไปนอนกองกับพื้น ด้วยชุดเกราะที่หนักพอสมควรทำให้ลุกลำบากน่าดูเลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมยื่นมือไปจับกับชาวบ้านที่ถูกจับ เธอกล่าวขอบคุณแล้วรีบวิ่งหลบเข้าไปในร้านอาหาร
การกระทำของพวกเราเรียกทหารทั้งหมดที่ประจำในหมู่บ้านเรามาที่ลานกว้าง
“มีคนขัดขืน!! ฆ่าพวกมันให้หมด” ทหารคนหนึ่งตะโกน แล้วมหกรรมการสังหารหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น
โดยไม่ต้องนัดหมาย พวกเราทั้งสี่กระจายตัวออกจากกัน เอียนวิ่งหลบไปหาที่ซุ่มยิงโดยมีคลูตคอยคุ้มกันและช่วยยิงเสริม ผมกับนีน่าบุกตะลุยเข้าไปกลางวงทหารเหล่านั้น เท้าแตะพื้นเพียงเสี้ยววินาที นีน่าโยกตัวหลบใบดาบที่ฟาดฟันมาต่อเนื่องสามดาบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เธอมิได้เป็นแค่ฝ่ายหลบหลีกฝ่ายเดียว มีดในมือขวาปักเข้าไปกลางทรวงอกเสียบทะลุออกด้านหลังอย่างแม่นยำจนศัตรูหมดลมหายใจตั้งแต่ร่างยังไม่ทันได้สัมผัสพื้น เธอเตะร่างอันไร้ชีวิตนั้นไปยังทหารอีกสองคนที่เหลือ ส่งให้ทั้งสามล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะโดนเชือดตายตามเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว
เอียนยิงธนูได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกดอกที่ยิงถ้าไม่หมายถึงหนึ่งชีวิตที่ปลิดปลิวก็ต้องเป็นหนึ่งอาวุธที่ร่วงหล่นลงจากมือ และแน่นอน เมื่อชายผู้ใดไร้ซึ่งอาวุธก็มิอาจรักษาศรีษะของตัวเองให้ตั้งตรงได้ ร่างของพวกเขาเหล่านั้นถ้าไม่ถูกเส้นแสงสีดำพุ่งตัดผ่านไปพร้อมรอยเฉือนของมีดก็ถูกหอกไม้ไผ่ที่แหลมคมเสียบทะลุลอดช่องเกราะไปอย่างง่ายดาย
กิจกรรมยามว่างอย่างเดียวของคลูตคือการเหลาไม้ไผ่ เพื่อทำอาวุธฝึกซ้อม แต่เขาก็ชอบเหลาหอกไม้ไผ่ไว้ใช้ส่วนตัวเช่นกัน จึงไม่แปลกใจเลยหากว่าคุณขโมยเป้ของเขาได้แล้วข้างในมีแต่หอกไม้ไผ่ แต่ผมต้องยอมรับว่ากำลังแขนของเขานั้นดีมากจริงๆ สงสัยคงฝึก(?)มาเยอะ
เพื่อนๆต่างก็ต่อสู้ในแนวที่ตัวเองถนัด
ส่วนผมน่ะเหรอ ระดับความมันมันต่างกัน
เมื่อผมกับนีน่าแยกกัน ดาบของผมก็ถูกชักขึ้นฟาดฟันตอบโต้กับทหารที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะก้มตัวหลบดาบที่แทงเข้ามาจากด้านหลัง เมื่อได้จังหวะผมจึงเตะขัดขาเขาแล้วเสียงดาบทะลุอกไป
อูย..... มันใส่รองเท้าเหล็กอยู่นี่หว่า เจ็บเท้าอิ๋บอ๋าย
เมื่อต่อสู้กับทหารกลุ่มต่อไปที่เข้ามากันสองคนผมจึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการใช้ใบดาบกระแทกให้อาวุธหลุดมือก่อนแทน ผมเอี้ยวตัวหลบหอกของหนึ่งในสองคนนั้น ปัดดาบอีกคนแล้วใช้มีดสั้นอีกเล่มที่เหน็บกลางหลังเสียบหลังเขาไป แต่มีดดันปักติดอยู่กลางหลังเสียบไม่เข้าซะงั้น ผมเลยเปลี่ยนแผน ใช้มีดสั้นเป็นที่พักเท้ากระโดดข้ามตัวเขาไปก่อนตอกส้นเข้าใส่มีด คราวนี้มันเสียบเข้าไปเต็มๆ ร่างของเขาชะงักค้างก่อนล้มไป ผมเอี้ยวตัวหลบดาบของอีกคนและสะบัดดาบลากผ่านร่างของทหารอีกคนเป็นทางยาว เลือดสดๆฉีดพุ่งออกมาจากบาดแผล
ถ้านีน่าเด่นด้านความเร็ว ผมมั่นใจว่าเทคนิคดาบของผมไม่แพ้ใคร
การต่อสู้ในครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน ซักพักพวกทหารที่มีกันแค่ประมาณสามสิบคนก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด มีหนีรอดไปได้ประมาณ 5-6 คน ตอนนี้ทั่วทั้งลานกว้างมีแต่ศพของพวกทหาร ลำบากพวกเราและชาวบ้านต้องช่วยกันเก็บกวาดร่างพวกนั้นกันพอสมควร
“เฮ้อ... วันนี้มันเป็นบ้า” เอียนทิ้งขวานในมือลงพื้นก่อนล้มตัวลงนั่ง ขวานนั้นได้มาจากการแย่งมาจากศพทหารคนหนึ่งหลังจากที่เจ้าตัวรู้สึกว่าธนูยิงได้ไม่ทันใจซักเท่าไหร่
“หอกไม้ไผ่หมดไปเยอะพอดู ต้องมานั่งเหลาเพิ่มสินะ” คลูตบ่นก่อนเดินไปหลังหมู่บ้านเพื่อหาไม้ไผ่เพิ่ม
ผมมองไม่เห็นนีน่า แต่ถ้าให้เดาคงไปอาบน้ำล้างคราบเลือดอยู่ละมั้ง และคงเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในการเดินลงไปตามคนที่มีสายตาไว้มองผู้ชายไวกว่านกเหยี่ยวของคุณเธอเนี่ย
ปิแอร์เดินกระสับกระส่ายอยู่ในห้องของตัวเองบนป้อมปราการย่อยประตูลาเมนต์ นาฬิกาเรือนข้างโต๊ะทำงานบอกเวลาห้าทุ่ม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของทหารที่จะมาส่งข่าว
หรือเด็กผู้หญิงคนนั้นจะหนีไปแล้ว?
หรือเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่กับพวกสวะนั่นตั้งแต่แรก?
หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกทหาร?
ไม่หรอก... ชายหนุ่มคิด พ่อค้าหน้าเซ่อๆแบบนั้นคงไม่หลอกเขาเป็นแน่ แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมป่านนี้แล้วพวกทหารยังไม่มาส่งข่าวอีกล่ะ?
คงไม่ใช่ประเด็นสุดท้ายที่เขาแอบคิดไว้ละมัง
และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อลอร์ดหนุ่มเห็นร่างทหารคนสนิทวิ่งกระหืดกระหอบเข้าห้องมา
“มายลอร์ด มีรายงานมาจากเอสปาด้าขอรับ”
“ว่ามาเลย” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นจัดแจงนั่งลงกับโต๊ะทำงานทันที
“พวกทหารที่ประจำอยู่ที่เอสปาด้า ถูกสังหารจนหมดขอรับ” ทหารคนนั้นรายงาน
“ว่าไงนะ !? พวกสวะนั่นมีกันอยู่แค่หยิบมือ ทหารครึ่งร้อยพวกนั้นทำอะไรไม่ได้เลยรึ” ปิแอร์ทุบโต๊ะเสียงดังลั่น นายทหารหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ก่อนก้มหน้ารายงานต่อไป
“ในกลุ่มของพวกมันมียอดฝีมืออยู่สี่คนขอรับ พวกทหารเมื่อเจอพวกมันก็สู้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
‘ไม่ได้การล่ะ งานนี้เราต้องออกหน้าเอง’ ชายหนุ่มคิด อันที่จริงแล้วเรื่องที่พวกสวะนั้นจะต่อต้านก็ไม่ใช่ว่าอยู่นอกเหนือจากการคาดหมายของเขาแต่อย่างใด แต่เขาคาดการณ์ผิดไปที่ส่งทหารไปแค่นั้นทั้งๆที่มีคนเก่งๆซุ่มซ่อนอยู่
“สั่งการลงไป ให้ทหารอารักขากำแพงทุกหน่วยบุกเอสปาด้าในวันพรุ่ง เราจะกวาดล้างพวกกบฏที่คิดขัดขืนต่อองค์ราชา” เขาสั่ง
“แต่มายลอร์ด การเคลื่อนย้ายทหารอารักขากำแพงต้องได้รับอนุญาตจากท่าน...” ทหารคนนั้นพูดไม่ทันจบก็ถูกลอร์ดหนุ่มตวาดกลบจนหมด
“หุบปาก! นี่คือคำสั่ง! เจ้าไปปฎิบัติตามก็พอ อย่าเสนอหน้า”
“ยะ... เยส มายลอร์ด” ทหารคนนั้นรับคำแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มที่สะบัดผ้าคลุมด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
“ในเมื่อเป็นแค่สวะแต่บังอาจมาขัดขวางความเจริญของข้า ก็อย่ามีที่ยืนบนโลกนี้อีกเลย!!”
ขอโทษนักอ่านทุกท่านที่หายไปนานกว่าปกติ หลังสอบคือช่วงส่งการบ้านที่ดองเค็มไว้ยังไงล่ะ!!! //หัวเราะอย่างชั่วร้าย
ตอนต่อไปจะตามมาด้วยความเร็วสูงแน่นอน พร้อมด้วย.... ไม่บอก อิอิ
* แก้ไข 23/7/56 รีไรท์บทสนทนาในร้านอาหารทั้งหมด
ความคิดเห็น