ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter4 - เมฆฝน (Storm)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 56


              ที่หมู่บ้านมาเลก้า...

     

                    “ต้องขอบใจท่านมากจริงๆ เอสปาด้าอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะท่านช่วยสนับสนุนมาตลอด พวกเราเป็นหนี้บุญคุณท่านมากจริงๆ” แรกนัสกล่าวกับชายชราตรงหน้าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้

                    “มิได้ๆ  หมู่บ้านของพวกเราก็ถูกกดขี่จากพวกจักรวรรดิเช่นเดียวกับพวกท่าน แต่พวกเราไม่มีกำลังคนพอจะลุกขึ้นสู้ได้เหมือนพวกท่าน มิสู้สนับสนุนพวกท่านด้วยเสบียงและอาวุธจะดีกว่า ที่ผ่านมาข้าก็แค่ยืมมือพวกท่านแก้แค้นให้พวกเราเท่านั้น” ชายชราพูด

                    “เรื่องกำลังคนและเสบียงในครั้งนี้ เจ้าเตรียมไว้มากแค่ไหนกันเวลเดอร์” เป็นลุงพอลที่ถามขึ้นบ้าง

                    “ชาวบ้านสองร้อยคนพร้อมที่จะเป็นกำลังรบให้พวกท่านทันทีที่ได้รับคำสั่ง  ส่วนเสบียงนั้นเพียงพอสำหรับผ่านช่วงฤดูฝนนี้ได้สบายๆ” เวลเดอร์ตอบ

                    “เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี  เพราะดูแล้วกว่าพวกเราจะพร้อมก็คงต้องหลังฤดูฝนนั่นแหละ” แรกนัสเอ่ย

                    “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องรีบไปเตรียมเสบียงให้พวกท่านแล้วสินะ อ้อท่านพอล สนใจไฟน์วิสกี้เพิ่มด้วยหรือไม่” เวลเดอร์เปิดช่องลับตรงพื้นขึ้น ก่อนหันมาถามพอล

                    “แน่นอนอยู่แล้ว สหาย” ลุงพอลยิ้ม  เวลเดอร์ได้ยินดังนั้นก็เดินลงไปในช่องลับนั้น
                    "ได้เวลาแล้วสินะ" ลุงพอลเปรยขึ้น
                    "อุดมการณ์ของท่านพ่อ หึ" แรกอัสรำพึง สายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง "ถึงเวลาที่ข้าต้องสานต่อมันแล้วสินะ..."
                    "ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องกลับเอสปาด้าไวกว่าปกติ" ลุงพอลพูดขึ้นอีก
                    "ก็คงเป็นเช่นนั้น  ป่านนี้เพทริกส์จะเป็นอย่างไรบ้างนะ" แรกนัสนึกถึงน้องชายตัวเอง

                    เปรี้ยง!!

                    เสียงฟ้าผ่าดังลั่น ตามมาด้วยสายฝนที่โปรยปรายตามลงมา  แรกนัสย่นหน้าไม่พอใจ

                    "มันคงไม่ใช่ลางร้ายหรอก" ลุงพอลเอ่ย แต่ชายหนุ่มก็ยังทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไปทางทิศของเอสปาด้าที่มีเมฆฝนขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้น

                    “ข้าเกลียดเสียงฟ้าผ่านั่น...”


     

     

                    ร่ายของชายผู้มีผ้าคลุมสีแดงก้าวออกมาจากป้อมปราการแห่งลาเมนต์ ข้างหลังของเขามีพ่อค้าคนหนึ่งวิ่งตามมาติดๆ

                    ใช่แล้ว พ่อค้าคนนี้คือคนที่เพทริกส์ปล่อยตัวไปนั่นเอง

                    “สรุปแล้ว เธอคนนั้นอยู่กับพวกสวะเอสปาด้าสินะ” ชายหนุ่มลูบคางทำท่าดูเหมือนใช้ความคิด

                    “ขอรับท่านลอร์ด” พ่อค้าคนนั้นตอบ

                    “อืม ถ้าข้าสามารถพาตัวนางไปให้พระองค์ได้ ก็จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ความดีความชอบ แถมได้โอกาสกวาดล้างพวกสวะนั้นไปด้วย ธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ดีจริงๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะหยุดหัวเราะเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก เขากระชากร่างของพ่อค้าหนุ่มไปข้างทางทันทีเพื่อพูดคุยสองต่อสอง

                    “ทะ... ท่านลอร์ด ท่านจะทำอะไรขะ...ข้าน่ะ” พ่อค้ากล่าวเสียงสั่นด้วยความกลัว

                    “นอกจากข้าแล้ว มีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือเปล่า” เขาถามพ่อค้าเสียงเย็น ทำให้พ่อค้าคนนั้นนึกถึงคนที่เคยขู่ฆ่าคราวก่อนขึ้นมาทันใด

                    “มะ...ไม่มีขอรับ คนอื่นนอกจากข้าล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น” พ่อค้าบอก

                    หึหึ อย่างนี้ก็ดีสิ จะเก็บกวาดอะไรค่อยสะดวกขึ้นหน่อย ชายหนุ่มคิด ก่อนจะตบไหล่พ่อค้าคนนั้น “ขอบใจเจ้ามาก ไปได้แล้ว อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

                    พ่อค้าคนนั้นหันหลังแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แม้จะสะดุดรากไม้ไปสองสามรอบก็ตาม

                    ชายหนุ่มมองตามพ่อค้าคนนั้นไป ก่อนจะกวักมือเรียกทหารคนสนิทมา

                    “สั่งการลงไป เรียกรวมกองร้อยตรวจการณ์ เราจะไปเอสปาด้า” ชายหนุ่มบอก

                    “เยส มายลอร์ด” ทหารคนนั้นรับคำแล้ววิ่งไปหยิบแตรตรวจขึ้นเป่ารวมพล

                    ในที่สุดก็ถึงเวลากำจัดขยะสินะ ชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมสีแดงสดของเขาเดินเข้าป้อมปราการไป

     

     

                    เด็กสาวที่พวกเราช่วยมาไม่ใช่คนปกติแน่ๆ...

                    แต่เธอเป็นอันตรายต่อพวกเราหรือเปล่า ผมกล้าตอบได้เต็มปากเลยว่า ไม่

                    บางที เธออาจจะเป็นนางฟ้าที่ถูกส่งมาให้คนบ้านนอกอย่างพวกเราได้เชยชมก็ได้ละมั้ง

                    ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่เอสปาด้า อารมณ์โดยรวมของผู้คนที่นี่ก็ดีขึ้นมาก จากชุมชนที่มืดมนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เธอทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น จนทำให้ช่วงที่ผ่านมากนี้มีคนมาสมัครเข้ากองกำลังของเรามากขึ้นจนร้านอาหารของพี่ฟิโอน่ามีลูกค้าแทบทั้งวัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้พี่สาวของผมปริปากบ่นเลย ตรงกันข้ามเธอดูมีความสุขที่มีคนกินเก่งๆมากินอาหารฝีมือของเธอมากขึ้น   ส่วนเอเลนิสก็ดูสนุกสนานกับการรับออร์เดอร์และวิ่งเก็บจาน ถึงแม้ว่าจะเผลอทำจานแตกบ้างก็เธอ แต่พี่สาวก็ไม่เคยบ่นซักคำ ( จานมันเก่าแล้วแตกๆไปบ้างก็ดี : พี่ฟิโอน่า) ทำไมกับเรานี่บ่นได้บ่นดี (มีแรงไปตีหัวคนก็อย่ามาถือจานท่าทางเหยาะแหยะอย่างนั้นสิยะ: พี่ฟิโอน่า)

                    เอ... นี่ผมกำลังอิจฉาเอเลนิสอยู่? คงไม่มั้ง

                    เกือบเดือนแล้วที่พี่แรกนัสเดินทางไป ผมก็ได้แต่หวังให้พวกเขากลับมาเร็วๆ ฤดูฝนกระชั้นเข้ามาทุกทีๆ ถ้าพวกเขากลับมาไม่ทันฤดูฝนล่ะก็การเดินทางจะยากขึ้นหลายเท่าตัว

     

                    “ชัยชนะของเอสปาด้าต่อดาลตันคิดเป็นสิบสามต่อเก้า เจ้าคิดว่านี่จะบอกอะไรได้บ้าง” เอียนถามผมในขณะที่พวกเรานั่งตกปลาบนสะพานไม้ไผ่อยู่

                    “เฮอะ การต่อสู้ปลอมๆที่พวกเราซ้อมเนี่ย เอามาวัดกันไม่ได้หรอก” ผมพูด ช่วงหลังๆเราสองคนต้องใช้ฝีมือไม่เต็มที่เพื่อให้เกิดการสูสีขึ้นบ้าง ทำให้ชาวบ้านที่มาฝึกมีกำลังใจฝึก แต่ในห้องใต้ดินน่ะเหรอ... เอียนโดนนีน่าตบสลบเหมือดทุกรอบ
                     

             “สามปีมาแล้วที่ข้าเข้าร่วมเอสปาด้ามา ข้าถูกสอนให้เรียนรู้แต่การเอาชนะเท่านั้น เจ้าลืมไปซะแล้วรึ” เอียนหันมาถามผม

                    “เออ ชั้นจำได้น่า แต่ว่า...”

                    “ข้าล่ะอิจฉาพวกเจ้าเสียจริง” อยู่ๆก็มีเสียงที่สามดังขึ้นมาจากข้างหลังพวกเราทั้งสอง เป็นเอเลนิสที่กระโดดขึ้นมาบนสะพานไม้ไผ่

                    “อิจฉาข้า? เรื่องอันใดรึ?” เอียนถาม สีหน้าสงสัยสุดๆ

                    “อายุแค่สิบเจ็ดแต่สามารถเป็นผู้นำและสั่งสอนคนเป็นจำนวนมากให้ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ข้ายังไม่เอาอ่าวอะไรเลยซักอย่าง” เด็กสาวนั่งลงข้างๆผม

                    “เจ้าพูดเหมือนเจ้าอายุเท่าพวกข้า” เอียนพูดขึ้นมาแบบงงๆ

                    “ก็ใช่น่ะสิ ข้าอายุสิบหก อ่อนกว่าพวกเจ้าไม่กี่เดือนเอง” เธอพูด พลางคว้าก้อนหินข้างๆเหวี่ยงลงน้ำ

                    “หา/ว่าไงนะ!?!” ผมกับเอียนตะโกนลั่นแทบจะพร้อมกัน

                    เธอหันมามองเราสองคนท่าทางสงสัย “ทำไมล่ะ คิดว่าข้าอายุเท่าไหร่”

                    “ก็ความสูงเจ้ามัน....”เอียนพูดในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ เอเลนิสสูงแค่ช่วงหน้าอกผมเท่านั้น ซึ่งตัวผมเองก็ว่าสูงแล้วนะ ประมาณเจ็ดช่วงปล้องไม้ไผ่* เห็นจะได้

                    แต่เอียนเอ๋ย... การเอ่ยเรื่องความสูงต่อหน้าผู้หญิงเนี่ย มันเป็นเรื่องต้องห้ามนะ เรื่องนี้ผมได้บทเรียนมาจากพี่ฟิโอน่ามาก่อน ซึ่งค่าตอบแทนตอนนั้นคือการอดมื้อเย็น

                    “ข้าเตี้ยแล้วมีปัญหาใช่มั้ย? คิดว่าข้าตัวแค่นี้จะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ  ถ้าเช่นนั้นเจอนี่...”  พูดไม่ทันจบบาทาของเธอก็ประเคนใส่หลังเพื่อนผมเต็มแรง ส่งร่างของเขาลงคลองเบื้องล่างไปเรียบร้อย...

                    เอิ่ม... ขอถอนคำพูดเรื่องที่ว่าเธอเป็นนางฟ้าละกันนะ

                    แต่เหตุการณ์นี้เล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ ใครจะนึกว่าเด็กสาวดูท่าทางไม่มีพิษสงบทจะวีนแตกขึ้นมาจะโหดได้ขนาดนี้

                    “แล้วเจ้า...” เธอหันมาทางผม “ก็คิดเหมือนเจ้าหมอนั่นใช่หรือไม่?”

                    โอ๊ะโอว... ตอบอะไรไปก็เข้าตัวผมหมดเลยนี่หว่า ถ้าอย่างนั้นผมควรตอบเธอว่าอย่างไรดีล่ะ สมองประมวลผลด้วยความเร็วสูงก่อนจะเอ่ยปากออกไป

                    “อืม ตอนแรกก็คิดแบบนั้นน่ะแหละ แต่จากท่าทางการตัดสินใจ หรือการพูดของเธอที่ผ่านมา ก็ดูเป็นผู้ใหญ่บ้างน่ะนะ”

                    ไอ้บ้าเพทริกส์เอ้ย แกพูดอะไรออกปาย.......

                    ผิดคาด แทนที่ผมจะปลิวตกน้ำไปอีกคน เธอกลับนั่งลงข้างผมแทนที่เอียน คว้าเบ็ดมาเหวี่ยงเล่น

                    “ตกปลามันสนุกขนาดนั้นเลยรึ?” เด็กสาวเอ่ยปากถาม

                    “อืม จะว่ายังไงดีล่ะ” ผมครุ่นคิดหาคำตอบดีๆซักพักก็กล่าวออกมา “ตกปลามันต้องใช้เวลารอ แล้วไอ้ช่วงที่รอเนี่ยมันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบดี ปล่อยใจให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยรอปลาหน้าโง่สักตัวมาติดเบ็ด มันเหมือนกับว่าเราได้ปล่อยวางเรื่องต่อสู้ลงบ้างน่ะ”

                    “อืม ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องหาเวลามาตกปลากับเจ้าบ้างแล้ว” เอเลนิสเอ่ย เธอจ้องมองเบ็ดของผมที่กระตุกเล็กน้อยตอนที่ผมบ่นถึงการตกปลาให้ฟัง แต่เธอก็ไม่สนใจมัน ถามต่อว่า “แล้วทำไมเจ้าต้องสู้ล่ะ ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้ากำลังจะก่อการปฏิวัตินี่”

              ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  เรื่องของพวกเราออกจะเป็นที่กล่าวขานทำไมเธอถึงไม่รู้กันนะ แกล้งโง่หรือเปล่าเนี่ย ถ้าเธออายุเท่าผมก็ต้องระแคะระคายอะไรบ้างสิ

                    “รู้จักกองกำลังเอสปาด้ามั้ย” ผมถามเธอไปตรงๆ เธอพยักหน้า

                    “เธอรู้จักผู้นำในตอนนั้นใช่มั้ย” เธอพยักหน้าอีกครั้งและบอกว่า “ริกาโด้ รากูเอลใช่มั้ย”

                    เป็นผมบ้างที่พยักหน้า “เขาน่ะ เป็นพ่อผมเอง”

                    สีหน้าเธอดูตกใจสุดๆ แต่ซักพักก็หายไป เธอถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็กำลังสืบต่อเจตนารมณ์ของพ่อเจ้าน่ะสิ”

                    “ก็คงงั้น” ผมตอบเธอไปตรงๆ  “ใครๆก็อยากได้รับความคุ้มครอง ความเอาใจใส่ ไม่ใช่มีตัวตนแค่เพื่อถูกรีดไถภาษีไปวันๆ” ผมผายมือไปรอบๆ “เธอดูที่นี่สิ ผืนดินที่นี่เคยสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ กลับแห้งแล้งลงเพราะใคร!? ถ้าไม่ใช่พวกจักรวรรดินั่นสร้างประตูนั่นมากักขังพวกเราไว้  พวกเราเหมือนอยู่ใน คุก ถูกจองจำ จะเรียกอะไรก็ตามแต่เถอะ แต่สรุปคือ เราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก นั่นทำให้พวกเราไม่สามารถทำมาหากินตามปกติได้ นี่ไงล่ะ การต้อนรับที่แสนอบอุ่นจากชาวดาลตัน อย่างพวกเธอ ผมจ้องหน้าเธอ เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกกล่าวถึง แต่ผมไม่สนใจตอนนี้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในมันพร้อมระเบิดออกมาแล้วผมก็พูดต่อไป “ชาวลีโอนิกถูกกีดกัน ถูกรีดไถ สิทธิพลเมืองก็ยังไม่มี! ยังมาเรียกร้องภาษีได้ทุกวี่ทุกวัน แล้วพวกเราจะมีอะไรไปจ่าย? ถ้าไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือจากละแวกหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเราก็คงอดตาย!”  ผมระบายความในใจออกมาทั้งหมด ไม่สนเบ็ดที่ถูกปลาฮุบเหยื่อจนคันเบ็ดลอยตกน้ำไปแล้ว  “เข้าใจรึยัง สาเหตุที่พวกเราต้องปฏิวัติ มันก็แค่การเรียกร้องสิ่งที่เราควรมี ควรได้ ไม่ใช่ทำกับเราอย่างกับหมูกับหมา ให้ประโยชน์ไปวันๆรอถูกพวกมันเชือดทิ้ง”

                    เอเลนิสตอนนี้กำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง เธอประมวลผลจากสิ่งที่เธอได้รับฟังเมื่อครู่ก่อนกล่าวบางอย่างออกมา “ข้า... ขอโทษ  ข้าก็แค่ไม่รู้” ใบหน้าของเธอเริ่มมีน้ำตาซึม “ข้าก็แค่ไม่รู้สถานะของพวกเจ้า จริงอยู่ข้าก็เคยได้ยินมาผ่านๆเรื่องของพวกเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าไม่นึกนี่ว่าจะเป็นพวกเจ้า ละ...และ..” เธอเริ่มสะอึ้น น้ำตาทะลักออกมา “ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าเป็นสายเลือดที่พวกเขาเกลียดชัง ข้าก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้ใช่มั้ย” เธอสะอึ้นหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก “ข้ากลัว... ข้ากลัวคนอื่นจะรู้ตัวตนของข้า ข้าก็เลย... ก็เลย...”

                    “ก็เลยพยายามตีสนิทกับพวกเราสินะ” ผมช่วยจบประโยคให้เธอ แน่นอนสิ่งที่เธอพูดมันทำให้อดคิดไม่ได้ ตลอดที่ผ่านมาเธออยู่ที่นี่เพราะความทุกข์และกลัวเรื่องคนอื่นจะรู้ความจริงงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นรอยยิ้มพวกนั้นมันคืออะไรกัน?

                    เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่สมวัยเธอจริงๆ ภาพลักษณ์ของเด็กสาวที่ผมเจอไม่กี่อาทิตย์ก่อนตรงหน้าได้หายไปหมด เหลือแต่เด็กสาวที่แฝงไปด้วยความทุกข์ต่างๆนานาอยู่ในใบหน้า ผมยิ่งสงสารเธอ เห็นใจเธอ

                    ผมดึงตัวเธอเข้าไปกอด อดแปลกใจไม่ได้ที่เธอไม่ขัดขืนแต่อย่างใด “ ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องนั้นน่ะ ต่อให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นใคร หรือต่อให้รู้ว่าเธอเป็นชาวดาลตันจริงๆแล้วไงล่ะ?  ยังมีคนในกองกำลังอีกเป็นร้อยที่เราไม่รู้จักไม่รู้ประวัติที่มา แต่พวกเราก็อยู่รวมกันได้เพราะเหตุผลเดียว” ผมจ้องหน้าเธอ เพื่อทวง ของๆเรากลับมา เด็กสาวดูอึ้งไปเล็กน้อย “จะ...จริงนะ?”

                    ผมพยักหน้า “จริงสิ เรื่องแค่นี้พวกเขาไม่เอาไปใส่ใจหรอก อีกอย่างผมจะโกหกเธอทำไมล่ะ”

                    วี้ด วิ้ว!

                    เสียงผิวปากลอยมาตามลม พริบตานั้นผมก็รู้แล้วว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคน สายตาของผมส่ายส่องไปรอบๆตัว ก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่หลังกองฟางริมสะพาน ผมชักดาบแล้วเดินไปที่กองฟางนั้น “ใครอยู่ในนั้นน่ะ ออกมานะ ไม่งั้นจะเอาดาบกระซวกเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”

                    “โว้วๆๆๆๆๆ  ใจเย็นๆก่อนสิสหาย ข้างงไปหมดแล้วนะเนี่ย ใคร จะตีสนิทใคร หรือใคร  ต้องการให้ช่วย กันแน่” เสียงหนึ่งดังมาจากหลังกองฟางนั้นจริงๆ ก่อนมือทั้งสองจะโผล่ออกมาก่อน ตามด้วยร่างของเพื่อนสนิทที่มีฟางเกาะเต็มตัว              

                    ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร

                    “เอียน! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ว่าแอบดูตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมตะคอกถามเพื่อนสนิทของผม เขาปัดฟางออกจากตัวก่อนพูดออกมาแบบยิ้มๆ

                    “ก็ตั้งแต่ที่เจ้า...” ก่อนจะมองไปข้างๆผม ผมพึ่งสังเกตว่าเอเลนิสยืนหน้าแดงก่ำอยู่ข้างผม

                    “อย่าบอกใครนะว่าเราทำอะไรกัน” ผมดักไว้ก่อน ขืนเจ้านี่ไปฟ้องพี่ฟิโอน่าก็ซวยสิข้อหาไปทำอะไรมิดีมิร้ายกับผู้หญิง ( เจ้าก็แอบคิดอยู่สินะ : ไรต์เตอร์ )

                    “หึหึ ไม่บอกหรอก แต่ว่า...” ก่อนที่เอียนจะพูดอะไรออกมา เสียงฟ้าผ่าก็ดังลั่นขึ้น พร้อมกับร่างของนีน่าที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด

                    “พวกนายต้องไม่เชื่อแน่ๆ นี่มันเรื่องเลวร้ายที่สุดเลย...”
                      “เกิดอะไรขึ้นนีน่า” เอียนถาม

                    “ประตูแห่งลาเมนต์ถูกปิด พวกทหารกำลังมาที่นี่...”

     

     

                    ทำไมเมฆฝนถึงเป็นสัญญาณของลางร้ายกันนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

                    แรกนัสมองชาวบ้านที่กำลังขนเสบียงขึ้นเกวียนอย่างขะมักเขม้นแข่งกับสายฝน

                    ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีแดงกำลังขี่ม้านำกองกำลังส่วนหนึ่งเดินทางไปที่เขตเอสปาด้า แววตาของเขามุ่งมั่นที่จะทำอะไรซักอย่างให้สำเร็จให้ได้

                    ผมมองท้องฟ้าที่มีเมฆสีดำทะมึนขนาดใหญ่กำลังปกคลุมทั่วเขตเอสปาด้า สมองกำลังครุ่นคิดสิ่งที่นีน่าบอกเมื่อครู่

                    เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกคิดถึงพี่ชายมากขนาดนี้

    1 ช่วงปล้องไม้ไผ่ = ประมาณ 25 เซนฯ ครับ ดังลั่นเพสซี่ของเราสูงประมาณ 175 เซนนะฮะ (จิ้นเอาเองหนูเอเลนิสสูงเท่าไหร่ >< )

    *แก้ไข 23/7/56 แก้บทสนทนาที่ใช้ศัพท์ปัจจุบันเกินบางจุด และแก้บทพูดของเอียนกับเพทริกส์บนสะพานนิดหน่อยครับ รวมถึงเพิ่มคำพูดของแรกนัสกับลุงพอลเข้าไปด้วย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×