ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter3 - เอสปาด้า ( Espada )

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 56


             ท้องฟ้าสดใสมีดวงตะวันสาดส่องอยู่เบื้องบน ให้ความอบอุ่นแก่ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้

                    ในแต่ละวัน ทุกชีวิตต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้เห็นแสงตะวันในวันรุ่งขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกัน ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป

                    แต่แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่ปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ...

                    นั่นหมายถึง ชีวิตของเขาต้องสิ้นสุดลง...

                    ภารกิจที่มีคู่แข่งคือสิ่งมีชีวิตทั้งโลก ไม่มีกติกา ไม่มีวันสิ้นสุด และน่าขัน ที่การแข่งขันนี้แม้จะมีผู้ที่ต้องออกจากการแข่งขันไม่เว้นวัน แต่โลก ก็ยังส่งผู้เข้าแข่งขันรายใหม่ๆมาได้ทุกวัน

                    ทุกคนแข่งกับตัวเอง... ไม่เว้นแม้แต่ผม

     

                    ห้าวันมาแล้วที่พี่แรกนัสกับลุงพอลเดินทางไปหมู่บ้านมาลิก้าที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านเรา ซึ่งกว่าจะกลับมาก็คงอีกเดือนเศษๆ ในระหว่างนี้พี่ผมสั่งให้ผมและเอียนทำหน้าที่คุมการฝึกซ้อมของกำลังของเราให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

                    เอเลนิสดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ด้านการเรียกลูกค้าไม่ใช่น้อย ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่เอสปาด้ามีผู้มาสมัครเข้ากองกำลังเพิ่มเป็นจำนวนมากไม่เว้นวัน เล่นเอาที่ในร้านอาหารของพี่ฟิโอน่าแน่นทุกโต๊ะตั้งแต่เช้ายันเที่ยงเลยทีเดียว

                    พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นชาวบ้านที่ถูกละเลยการเอาใจใส่จากทางการ เดินทางจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาเพื่อสมัครเข้าร่วมกับพวกเรา แต่ในยามปกติพวกเขาจะอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขา นอกจากจะมาฝึกอาทิตย์ละสามครั้งหรือมีการเรียกรวมพลเป็นพิเศษ

     

     

                    “เจ้ามาอยู่นี่เอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบนของผม พร้อมๆกับที่ผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรมาบังแสงแดดที่ส่องหน้าผมอยู่เมื่อครู่นี้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมจึงเจอเอียนกำลังนั่งมองผมมาจากข้างบน และยิงคำถามต่อมา “เจ้าไปทำอะไรอยู่ข้างใต้นั่น?”

                    “มันร้อนน่ะ ชั้นเลยมาหาที่หลบแดด” ผมพูดปด อันที่จริงใต้สะพานไม้ไผ่ข้ามคลองกลางหมู่บ้านมันบังแดดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างน้อยมันก็สงบพอจะให้ผมงีบหลับได้บ้าง “ตอนนี้มันกี่โมงแล้วนะ” ผมถามเพื่อนสนิทของผม

                    แทนคำตอบ เด็กหนุ่มกระโดดลงจากสะพานมายืนข้างผมแทนคำตอบ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้าที่ใบหน้าผมอย่างจัง ผมเบือนหน้าหนีตามสัญชาตญาณ เอียนเห็นท่าทางผมจึงเตะขัดขาผมหนึ่งที

                    มุขตื้นๆ ผมคิด ผมกระโดดหลบเท้าของเอียนได้หวุดหวิด แต่ศรีษะก็ไปชนกับสะพานเต็มแรง หัวสมองของผมมีแต่ดาวระยิบระยับ ร่างของผมทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้น

                    “ฮ่ะๆๆ นี่น่ะเหรอท่าทางของบุคคลที่พยายามจะชนะข้าในบ่ายวันนี้ ดูท่าเจ้าคงหมดสภาพแล้วล่ะ” เอียนหัวเราะแล้วยื่นมือมาทางผม ผมยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือไปจับแล้วหมุนอ้อมส่งร่างของเพื่อนรักลอยข้ามหัวไป

                    ตูม!! เสียงวัตถุกระทบน้ำดังฟังชัดดีมากจริงๆ

                    “เพทริกส์!! เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ” เสียงสบถดังลั่นมาจากในคลอง ร่างของเด็กหนุ่มเปียกปอนไปทั้งตัว

                    “รีบมาเอาคืนไวๆละกัน” ผมหัวเราะแล้วเดินออกไป

                    “เฮ้! นี่เจ้าไม่คิดจะช่วยข้าเลยใช่มั้ย” เสียงสวดบุพการีของผมดังลั่นมาจากด้านหลังเป็นชุด เฮ้อ... หวังว่าในคลองคงมีอะไรสนุกๆให้มันทำบ้างนะ จะได้ไม่ต้องรีบขึ้นมา

     

                    ครึ่งชั่วโมงต่อมา

     

                    ทุกคนในกองกำลังปฏิวัติแห่งเอสปาด้ารวมตัวกันที่สะพานไม้ไผ่ พวกเราทั้งสี่ อันมีผม คลูต เอียนซึ่งตอนนี้เสื้อผ้ายังเปียกปอน และนีน่าที่เป็นผู้นำการฝึกของคนเหล่านี้ยืนอยู่บนสะพาน

                    “เอาล่ะ วันนี้ก็เหมือนเดิม แบ่งทีมกันฝึกได้เลย” เอียนตะโกน

                    วิธีการฝึกของเราคือการแบ่งกองกำลังเป็นสองพวก และให้สู้กันเอง โดยอาวุธที่ใช้จะเป็นพลองไม้ไผ่  ธนูบุนวม เป็นต้น โดยใครถูกตีหรือถูกธนูให้ถือว่าตายออกจากการต่อสู้ไป ฝั่งไหนตายหมดก็แพ้  หรือมีอีกเงื่อนไขหนึ่งคือหากทำให้ผู้นำของฝ่ายใดยอมแพ้ได้ก็ถือว่าแพ้เช่นเดียวกัน  สนามรบคือฝั่งใต้ของหมู่บ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่นอกจากร้านของพี่ฟิโอน่า ซึ่งตอนนี้ปิดประตูล็อคเรียบร้อย

                    ทุกคนจัดการแบ่งทีมกันอย่างรวดเร็ว เอียนอยู่คู่กับคลูตตามเคย  ส่วนผมกับนีน่าก็อยู่คู่กัน

                    “ให้ข้าไปอยู่กับเจ้าก็ได้นะเพทริกส์  ข้ากับคลูตชนะติดกันสี่รอบแล้วนะ” เอียนแซว

                    “....” นีน่าไม่ออกความเห็นใดๆ ในมือควงมีดเล่นไปเรื่อย

                    “ชนะรอบที่ห้าได้มันก็ดีนี่ เอาล่ะทุกคนประจำตำแหน่ง จำไว้ สู้กันให้เต็มที่ ให้เหมือนว่าเราสู้กับพวกของทางการนั่น” ผมตะโกนปลุกใจ  ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทุกคนแยกเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว โดยผมกับนีน่าอยู่ฝ่ายของจักรวรรดิ(สมมุติ) โดยมีฐานทัพอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ส่วนฝ่ายของเอียนกับคลูตนั้นอยู่ฝั่งเอสปาด้า มีฐานทัพอยู่ที่ทางทิศตะวันออกอันเป็นที่ตั้งของร้านพี่ฟิโอน่า

                    ทำไมทุกทีผมถึงแพ้?

                    ก็... พอเริ่มสู้ปุ๊บ นีน่าจะกระโดดสามขั้นขึ้นไปหาที่นอนของตัวเองทันทีโดยไม่สนใจการซ้อมรบนี้แต่อย่างใด ซึ่งผมเองเมื่อเจอการประสานงานของคลูตกับเอียนบวกกับคนอีกหลายๆคนก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ

                    แต่ผมว่าคราวนี้ชนะแน่ อย่างน้อยนีน่าก็ไม่ได้รีบไปหาที่นอนของตัวเองนะรอบนี้

                    “ไอ้ผู้ชายปากดีนั่น... ข้าล่ะอยากตัดลิ้นมันเสียจริง” นีน่าตอนนี้ยืนควงมีดอยู่ข้างๆผม แววตาเธอบอกว่าคราวนี้เธอเอาจริง

                    “อย่าลืมสินีน่า งานนี้ห้ามใช้อาวุธจริง เธอน่ะไปจัดการคลูตและไล่ปลดอาวุธพวกโจมตีระยะไกลดีกว่า ส่วนเจ้าเอียนเราค่อยหาเรื่องสนุกๆไปรุมกินโต๊ะมันทีหลังก็ได้” ผมสั่งเธอ ขืนให้เธอไปจัดการเอียนเองงานนี้เพื่อนผมคงไม่ได้พล่ามอะไรกับใครอีกแน่ๆ

                    “เอางั้นก็ได้” เธอรับคำ เก็บมีดทั้งสองมือเข้าฝักไปก่อนเร้นกายเข้าซอกหลืบระหว่างบ้านอย่างเงียบเชียบ

                    “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก นีน่าเป็นคนที่เกลียดผู้ชายได้ทุกเพศทุกวัย แต่ไม่รู้ทำไมถึงยอมฟังผมคนเดียวเท่านั้น คิดไปก็เท่านั้นผมหยิบดาบไม้เล่มหนึ่งมาจากกองอาวุธ

                    “...ได้เวลาออกแรงแล้วสิ...”

     

                    เปรียบสุนทรพจน์ก่อนขึ้นชก....

                    “พวกเราทุกคน จงหยิบดาบขึ้น มิใช่สู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อใคร แต่สู้! เพื่อพวกเราทุกคน เพื่อทวงถามสิ่งที่เราควรได้จากพวกมัน จงมอบความตายให้กับพวกจักรวรรดิ ให้พวกมันรู้ซะบ้าง ว่าวันที่ชาวบ้านอย่างพวกเราลุกขึ้นสู้ จะเป็นวันที่ทั้งชาวลีโอนิกและชาวดาลตันต้องจดจำและเล่าขานไปชั่วลูกชั่วหลาน!!”เอียนตะโกนปลุกใจเสียงดังก้อง ซึ่งก็ได้รับเสียงโห่ร้องตอบรับเป็นอย่างดี

                    “พวกเราทุกคน จงทำให้ดีที่สุด ทำให้ดีกว่าเมื่อวาน และจำไว้ว่าวันต่อๆไปต้องทำให้ดีกว่านี้ จงยืนหยัดและปกป้องไว้ซึ่งอาณาจักรของเรา” ผมกล่าวพอเป็นพิธี

                    เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด  แต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็พอฟังดูได้สำหรับผมน่ะนะ

     

                    “พวกเรา บุก!!” ผมโบกดาบไม้ในมือเป็นสัญญาณโจมตี

                    “เฮ....!” เสียงกู่ร้องของทุกคนดังลั่นไปทั่วทั้งเอสปาด้า การปะทะกันระหว่างฝั่งจักรวรรดิและเอสปาด้าเริ่มต้นขึ้น...

                    ชาวบ้านที่มาดูการซ้อมพากันยืนดูจากฝั่งทางด้านเหนือของหมู่บ้าน หมู่บ้านของเรานั้นไม่ใหญ่มากนัก มีคลองลากผ่านกลางหมู่บ้าน สิ่งเดียวที่เชื่อมหากันระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้คือสะพานไม้ไผ่เก่าๆนั่น

                    ทั้งสองฝั่งปะทะกันอย่างดุเดือด ไม้ไผ่ ธนูบุนวมปลิวว่อนไปทั่วทั้งสนามรบ บางลูกยิงข้ามฝั่งมาแบบงงๆก็มี  เวลาผ่านไปไม่นานนักผู้ที่ต้องออกจากการต่อสู้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

                    นีน่าทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดีเยี่ยม แค่มือเปล่าของเธอก็สามารถจัดการปลดอาวุธของมือธนูและจัดการกับพวกนั้นจนสลบเหมือดไปได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เธอกำลังดวลเดี่ยวกับคลูตที่ถึงกับต้องงัดหอกไม้ไผ่คู่ใจออกมาสู้ ความฉลาดของเธอเลือดที่จะสู้กับคลูตแบบพัวพันเพื่อทำให้เอียนที่เล็งธนูอยู่ไม่ไกลไม่สามารถสอดมือเข้ามาช่วยเหลือได้ เนื่องจากกลัวโจมตีไปถูกคลูตเข้า

                    กองทัพของฝ่ายผมค่อยๆรุกคืบเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อไม่ต้องกังวลพลธนูพวกเราก็เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถกดดันฝ่ายเอียนให้ตั้งรับอยู่หน้าร้านพี่ฟิโอน่าได้ ฝ่ายของเอียนนั้นเมื่อเห็นนีน่าลงมือถึงกับหน้าซีดเผือด กำลังใจต่อสู้ถดถอยลงมาก ในที่สุดก็ถูกจับกุมและปลดอาวุธได้จนหมด จนทำให้ฝ่ายของเอียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในครั้งนี้

                    ผมก้าวไปข้างหน้า ชักดาบไม้ออกมาชูขึ้นตะโกนว่า

                    “ชัยชนะครั้งแรก ของพวกเราชาวดาลตัน!

                    เงียบสนิท... อีกแล้วเหรอ... ผมพูดอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย...

                    ไม่มีเสียงโห่ร้อง ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่อะไรทั้งนั้น นอกจากเสียงโอดโอยของผู้บาดเจ็บ เมื่อผมมองแววตาของทุกคนที่มองมาทางผม ผมก็เพิ่งรู้สึกตัว

                    ผมพลาดอะไรไปบางอย่าง พลาดมากๆๆ เลยด้วย.....

     

     

                    เสียงต่อสู้ดังเข้ามาถึงข้างในร้านอาหาร

                    “ท่าทางจริงจังกันน่าดูเลยนะ” เอเลนนิสกล่าว เธอกำลังเช็ดโต๊ะที่สูงเกือบเท่าตัวเธออยู่

                    "นี่ท่านทำทุกอย่างทั้งหมดนี่ด้วยตัวคนเดียวเลยเหรอคะ?" เด็กสาวถามต่อเมื่อเห็นฟิโอน่าเงียบไป

                    “อ่อ ร้านอาหารนี่น่ะเหรอ  ใช่สิ ก็ทำไงได้ล่ะ ถึงพวกนั้นแต่ละคนจะฆ่าคนได้เป็นผักเป็นปลา แต่น่าแปลก พอมาให้หั่นผักกลับไม่ได้เรื่องเลยซักคน ยังดีมีเพสซี่มาช่วยล้างจานบ้าง” ฟิโอน่าบ่นมาจากในครัว ตอนนี้เธอหั่นผักอยู่

                    “เพสซี่? ใครกันละคะ? ข้าไม่เคยเห็น” เด็กสาวถาม เธอกำลังปีนเก้าอี้ไปเช็ดส่วนที่มือเอื้อมไม่ถึง

                    “เพทริกส์นั่นแหละ” ฟิโอน่าตอบ เธอนำผักที่หั่นแล้วใส่ในหม้อ เติมเครื่องปรุงรสเล็กน้อยแล้วก็ปิดฝา “ชั้นชอบเรียกน้องชั้นแบบนั้นน่ะ”

                    “อ๋อ” เด็กสาวพยักหน้าน้อยๆเชิงว่าเข้าใจแล้ว
                     ฟิโอน่าจัดการปิดฝาหม้อแล้วเดินมานั่งข้างๆเอเลนิส "ขอบใจเธอมากจริงๆ ที่มาช่วยชั้น เธอน่าจะอยู่ที่นี่นะ อย่างน้อยก็มาเป็นลูกมือชั้นไง
                    "แต่ว่าข้าไม่ได้ช่วยอะไรท่านซักเท่าไหร่เลยนะ" เด็กสาวแย้ง
                    "แค่อยู่ที่นี่ให้พวกนั้นเห็นหน้า  ก็ถือว่าช่วยได้มากแล้ว รู้มั้ยว่าแถวนี้หาดอกไม้เชยชมยากนะ” ฟิโอน่าบอกอย่างยิ้มๆ เมื่อสังเกตข้างนอกเงียบเสียงไปจึงหันมาคุยกับเด็กสาวอีกครั้ง  “ข้างนอกน่าจะเสร็จแล้ว เธอช่วยไปเรียกพวกพี่ๆมากินข้าวกันสิจ้ะ  ท่าทางจะเหนื่อยกันน่าดู”

                    “ก็ได้ค่ะ” เด็กสาวรับคำก่อนวิ่งไปที่ประตู

     

     

                    พวกเราทุกคนตกอยู่ในความเงียบ....

                    นั่นสินะ แค่คนๆเดียวก็เปลี่ยนสถานการณ์การรบไปได้ถึงขนาดนี้

                    หากพวกจักรวรรดิส่งแม่ทัพโรเบอร์ตัสมาอีกล่ะ... ผมไม่อยากคิดฉากต่อไปซักเท่าไหร่

                    “เอาน่าทุกคน ทุกอย่างมันก็มีผิดพลาดกันได้ วันนี้เราแพ้พรุ่งนี้เราก็มาลองพยายามเพิ่มอีกหน่อยละกัน” เอียนตะโกนปลุกขวัญกำลังใจทุกคน ขณะนั้นเองประตูร้านอาหารก็เปิดออก ร่างของเด็กสาวเดินออกมาจากร้านอาหารนั้น เธอนิ่งไปซักครู่ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วตะโกนออกมาเต็มเสียง

                    “พี่ฟิโอน่าเรียกทุกคนไปกินข้าวค่า.................”

                    ...

                    เสียงพูดคุยอื้ออึงพลันเงียบลงในทันใด เหมือนนัดกันไว้ ทุกคนหันมามองที่เด็กสาวกันเป็นตาเดียวด้วยสายตาโหยหา  เอเลนิสมองหน้าทุกคนกระพริบตาปริบๆ

                    “เอ่อ... นี่ข้าพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?”

     

                    “อาหารรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!”  เอียนพุ่งตัวไปที่ประตูร้านอาหารก่อนใครเพื่อนด้วยความไวที่เหลือเชื่อ ชนสาวน้อยกระเด็นก่อนหักเลี้ยวกระชากประตูเข้าร้านไปก่อนคนแรก หลังจากนั้นทุกคนก็กรูเข้าประตูร้านแล้วแย่งกันเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย เดือดร้อนผมกับคลูตต้องไปหิ้วปีกเอเลนิสที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนีออกมาก่อนถูกเหยียบตายจากฝูงชน  

                    “ท่าทางจะหิวกันมากเลยสินะคะ” เด็กสาวพูดขึ้นมา

                    “ก็เท่าที่เห็นน่ะแหละ” คลูตตอบ “พวกเราก็เข้าไปบ้างเถอะ ขืนชักช้าจะไม่เหลืออะไรกินแม้แต่คราบก้นหม้อ”

                    แล้วเราสามคนก็อาศัยทางลับหลังร้านเข้าไป เป็นอันจบการฝึกของวันนี้ไปอีกวัน

     

     

                    มาแล้วๆๆๆ ><  ช่วงนี้อาจจะหายยาวเลยนะครับ สอบกลางภาค

    * แก้ไขวันที่ 23/7/56  ตรงบทสนทนาระหว่างเอเลนิสกับฟิโอน่าจ้า

     

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×