ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter10 - ตราบเท่าที่เลือดยังหลั่งริน ( As long as my blood still runs ) (1)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 56


            อยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน...

                    เหมือนรู้สึกว่ามันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่ตอนนี้มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่บนสะพานไม้ไผ่กลางหมู่บ้าน

                    ต่อไปนี้จะไม่มีคนมายืนเคียงข้างเราแล้วสินะ.... ผมคิด

                    แต่คิดไม่ทันไรก็มีคนมายืนข้างๆผมซะงั้น ผมหันไปมองก็พบว่าเป็นเอเลนิสเองที่มาหาผม

                    “คิดถึงพวกนั้นอยู่เหรอ?” เธอถามผม แน่นอนว่าผมต้องคิดถึงพวกเขาอยู่ ผมถอนหายใจก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเธอ

                    “อืม...  คลูตเป็นคนที่เธอจะไว้ใจได้ในทุกเรื่องเลยแหละ ส่วนนีน่าถึงแม้ว่าเธอจะพูดไม่มากซักเท่าไหร่ แต่เธอก็เป็นคนที่รับฟังคนอื่นได้มากพอเหมือนกัน ส่วนเจ้าเอียน...”ผมเว้นช่วงสักเล็กน้อย “ถึงมันจะปากเสีย ไม่ชอบคิดหน้าคิดหลัง ชอบตัดสินใจโดยพลการ...”

                    “แต่เขาก็เป็นคนดี ใช่มั้ยล่ะ?” เอเลนิสช่วยจบประโยคให้ “ตอนแรกที่เจอกันข้าก็นึกว่าเขาเกลียดข้าเหมือนกัน แต่พออยู่ด้วยกันมา ข้าก็คิดว่าเขาก็เป็นคนที่จิตใจดีคนหนึ่งเลยนะ”

                    “มีผู้คนอีกหลายคนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้” ผมเปรย “ส่วนใหญ่เป็นพวกชาวลีโอนิก... เหมือนผมไง  ทุกคนต่างก็หลีกหนีจากความยากจน  มีอีกหลายคนที่หิวกระหายและไม่เคยได้รับสิ่งที่เพียงพอสำหรับตัวเอง แต่พวกเขาก็...”  ผมเว้นไปเพราะพูดไม่ออก ความเสียใจมันพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาเริ่มไหลปริ่มๆออกมา

                    “นี่...” เอเลนิสเรียก “ไปเก็บดอกไม้กับข้าไม้ อย่างน้อย... ก็น่าจะหาอะไรไปวางบนหลุมศพพวกเขานะ” เธอชวน

                    “ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หยุดความเศร้าโศกเอาไว้ภายใน นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้...

                    “สงครามระหว่างเรากับพวกจักรวรรดิเพิ่งจะเริ่มขึ้น ดอกไม้ไม่ช่วยให้พวกเขากลับมาได้หรอก”

                    “แต่ว่าข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ...” เอเลนิสพยายามจะพูดแต่ก็ถูกผมขัดขึ้นก่อน

                    “ผมรู้ แต่ผมคิดว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะมองให้พวกเขาได้”

                    เด็กสาวจ้องมองมาทางผมด้วยความสงสัย ผมกำมือชกขึ้นฟ้า ลั่นวาจาเพื่อสัญญาสิ่งที่จะนำมาให้เพื่อนผมเป็นสิ่งสุดท้าย

                    “สิ่งนั้นคือชัยชนะของพวกเรายังไงล่ะ”

     

     

     

                    “พี่ฟิโอน่า ผมต้องไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นขณะที่ลงมาที่ห้องใต้ดิน โดยพี่ฟิโอน่ากำลังนั่งเย็บผ้าอยู่

                    “ชั้นคงคิดถึงเธอมากเพสซี่  ลูกค้าประจำของชั้นก็ไปกันจนหมด จากนี้ไปที่นี่คงเงียบน่าดู” เธอกล่าว

                    “รับรองน่าว่าจะต้องกลับมากินฝีมือพี่ฟิโอน่าอีกแน่นอน จากนี้ไปเราจะไม่ต้องกลัวถูกกดขี่จากพวกจักรวรรดิอีกแล้ว” ผมพูดขึ้น

                    “ชั้นรู้น่า...” เธอง่วนอยู่กับการเย็บผ้าต่อไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าควรจะได้เห็นรอยยิ้มก่อนออกศึกนะ ฟิโอน่า  ความฝันของท่านพ่อกำลังจะเป็นจริงแล้ว”

                    แรกนัสเดินลงบันไดมาทางพวกเราสองคน ฟิโอน่าลุกขึ้นพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะแรกนัส! แล้วชั้นจะทำยังไงถ้า...”เธอเงียบไปซักพักก่อนพูดขึ้นอีก “ถ้าพวกเธอคนใดคนหนึ่งเป็นไรไป  เธอสองคนเป็นคนในครอบครัวสองคนสุดท้ายที่ชั้นมีนะ ชั้นไม่อยากเสียพี่น้องของชั้นไปน่ะ”  น้ำตาของเธอเริ่มหลั่งไหลออกมา

                    “พี่ฟิโอน่า....” ผมมองเธอด้วยความสงสาร ต่อไปนี้พี่ต้องเฝ้าร้านที่นี่คนเดียว จะมีใครอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยมั้ยนะ

                    “ไม่ต้องห่วงน่า เอสปาด้าในตอนนี้ทั้งเข้มแข็งและแข็งแกร่ง พวกเราแข็งแกร่งกว่าเมื่อเจ็ดปีที่แล้วมาก และแน่นอนว่าพวกเราจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่พวกนั้น” แรกนัสเอ่ย “เชื่อข้าสิ”

                    “...เข้าใจแล้ว” ฟิโอน่ายกมือปาดน้ำตา “ชั้นจะไม่ห้ามพวกเธออีก ชั้นจะคอยอยู่ที่นี่คอยภาวนาให้พวกเธอปลอดภัย”

                    “ไม่ต้อง” แรกนัสพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ภาวนาให้พวกเราได้รับชัยชนะกลับมาก็พอแล้ว พวกเราเอาตัวรอดได้น่า” พูดจบก็หันมาทางผม “ไปกันเถอะน้องข้า เวลาไม่คอยท่าแล้ว” แล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดไปเลย

                    พี่ฟิโอน่าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าเธอ “บางที... มันอาจจะอยู่ในสายเลือดของเขาก็ได้นะ”

                    ผมมองพี่สาวผมด้วยความสงสัย “หมายความว่าอย่างไรพี่?”

                    เธอหันมาจับไหล่ผม “เธอต้องไม่ลืมนะเพสซี่ เราสองคนเป็นลีโอนิกก็จริง แต่แรกนัสไม่ใช่ บางทีสำหรับที่นี่แล้วสายเลือดลีโอนิกมันอาจมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ก็เป็นได้ แล้วก็...” เธอเว้นช่วงไปเล็กน้อย “ในกรณีของเธอนะเพสซี่ มันไม่ใช่แค่นั้น แต่เธอยังมี...”

                    “โอเคๆ ผมเข้าใจแล้วพี่ฟิโอน่า ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก” ผมรีบพูดปัดก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้  “ผมไม่ลืมหรอกน่า ทั้งเรื่องนั้น และท่านแม่”

                    “ขอโทษด้วยละกันที่มันชวนให้นึกถึงสิ่งที่โหดร้าย แต่นั่นคือสิ่งที่มันทำให้เราอยู่มาจนถึงทุกวันนี้มิใช่หรือ?” เธอหันหลังกลับไปสะอื้นอีกรอบ

                    ผมมองพี่ฟิโอน่า วินาทีนั้นผมคิดว่าผมต้องทำอะไรบางอย่าง

                   “พี่ฟิโอน่า” ผมเดินไปกุมมือเธอ “ผมสัญญานะว่า เสร็จจากงานนี้แล้วผมจะกลับมา พวกเราทุกคนจะกลับมาอยู่ด้วยกันทั้งหมด ทั้งผม พี่แรกนัส ลุงพอล ...และก็เอเลนิสด้วย”

                    ได้ผล เธอหันมาคุยกับผม “จะ... จริงนะ?  สัญญาแล้วนะเพสซี่”

                    “แน่นอนสิผมสัญญา” ผมยิ้มให้เธอ แต่กลับได้หมัดตรงสวนเข้ากลางหน้าเป็นการตอบแทน โชคดีที่มันไม่รวดเร็วมากนักผมจึงพอเอี้ยวคอหลบได้

                    “ไปซะเถอะ เสียเวลามากแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการ” พี่สาวของผมออกปากไล่ผมแล้วหันกลับไปนั่งเย็บผ้าต่อเหมือนเดิม ผมหัวเราะก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไป โดยไม่ลืมหยิบบางอย่างในห่อผ้านั้นติดมือไปด้วย...

     

     

     

                    ป้อมปราการแห่งลาเมนต์อยู่เบื้องหน้าของพวกเราอยู่ในตอนนี้ สิ่งที่คั่นกลางระหว่างเรากับป้อมนั้นคือป่ารกชัฏที่เหมาะแก่การซุ่มโจมตี อย่างไรก็ตามจำนวนทหารที่ประจำการในตอนนี้นั้นน่าหนักใจเป็นอย่างมาก  ข่าวที่ได้รับจากหน่วยลาดตระเวนบอกว่าอย่างน้อยก็ห้าร้อยคน...

                    ตอนนี้พวกเราซุ่มอยู่ในป่า คอยดักเก็บพวกทหารลาดตระเวนที่เดินผ่านมาเป็นระยะๆ  โดยมีเทรสและชาวบ้านที่รวบรวมจากหมู่บ้านรอบนอกของดาลตาเนียตะวันออกคอยดำเนินการ ส่วนผมกับพี่แรกนัสซุ่มอยู่ในโพรงหินจุดที่มองเห็นทางเข้าป่าได้ชัดเจน

                    “ถ้าปล่อยไว้นานพวกมันต้องเริ่มสงสัยแน่ๆ ว่าทหารลาดตระเวนหายตัวไป” ผมกล่าวขึ้น

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาคนมาแทนคนที่หายไปสิ” แรกนัสพูดในขณะที่เขาก็กระตุกเชือกในมือ หลุมพรางที่ถูกใบไม้สะปิกคลุมไว้ก็พังครืนลงมา ส่งร่างของเหล่าหน่วยลาดตระเวนที่โชคร้ายเดินผ่านมาทางนี้ลงเบื้องล่างของหลุมที่มีเหลาไม้ไผ่ปักอยู่เต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่รอดซักรายแน่ๆ ซักพักก็มีชาวบ้านแบกศพพวกเขาขึ้นมาก่อนจะจัดการเปลี่ยนชุดของทหารลาดตระเวนเหล่านั้นเข้าแทรกซึมป้อมปราการไปแทน

                    “แล้วเอเลนิสตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?” ผมยังคงถามต่อด้วยความสงสัย

                    “เธอปลอดภัยอยู่ในความดูแลของลุงพอลที่จุดรวมพล” แรกนัสตอบ  ไม่วายหันมาตักเตือนผม “เจ้าควรจะมีสมาธิกับงานนี้มากกว่าคิดถึงคนอื่นนะ”

                    “เถอะน่า ยังไม่ใช่เวลาผมลงมือนี่” ผมก่ายแขนรองศีรษะ “ถ้าจะแทรกซึมก็ต้องรอเวลาเปลี่ยนเวร ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดก็ต้องเป็นตอนค่ำๆ”  ผมพูดในสิ่งที่ผมคิด  ถ้ามองจากแผนที่แรกนัสพูดกับผมคร่าวๆก็ต้องสรุปได้ประมาณนี้

                    “เป็นเช่นนั้น” เขายอมรับ  “สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือรอ”

                    “โอ้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำมากที่สุดเลยแหละ” ผมอ้าปากหาว “งั้นปลุกผมด้วยล่ะ” พูดจบก็นั่งหลับนกตรงนั้นไปเสียดื้อๆ แรกนัสได้แต่มองน้องชายของตัวเองพร้อมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

                    จากวันนั้น ก็เจ็ดปีแล้วสินะ....

     

     

     

     

                    เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพลบค่ำแล้ว

                    ผมหันไปมองซ้ายขวารอบตัวก็ไม่พบพี่แรกนัสอยู่ในโพรงหินอีก  จึงคลานออกมาจากโพรงหินนั้น  แต่ทว่าเมื่ออกมาจากโพรงหิน แสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้าก็ฉายให้เห็นเงาคนทาบตัวผมจากด้านหลัง  พอผมหันกลับไปก็ต้องตกตะลึงจนถึงขีดสุด

                    ทหารคนหนึ่งยืนเงื้อดาบกำลังจะฟาดฟันใส่ผม !!

                    จบกัน.... ผมคิด อาวุธยังไม่ทันจะได้ชักขึ้นด้วยซ้ำ  เกิดใหม่ได้ไม่ถึงสามวันดันมาตายอีกรอบซะแล้วหรือนี่...  ผมหลับตารอความเจ็บปวดที่จะเข้าปะทะผมในเสี้ยววินาทีต่อมา แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ซักพักจึงลืมตาขึ้นดู ก็ยังพบทหารคนนั้นยืนอยู่ท่าเดิม

                    แววตาที่เบิกค้างของทหารคนนั้นเริ่มทำให้ผมเอะใจ เมื่อผมเลื่อนสายตามองไปตามตัวก็พบลูกธนูปักอยู่ทั่วทั้งร่างของเขา แล้วธนูดอกหนึ่งดันปักตรึงร่างชายคนนั้นกับต้นไม้ด้านหลังจนทำให้เขาไม่ล้มลงอย่างที่ควรจะเป็น

                    สรุปว่าทหารคนนี้ตายแล้วใช่มั้ยนี่?  ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก  ก่อนจะทิ้งศพทหารคนนั้นไว้เบื้องหลัง สองเท้าย่างก้าวแผ่วเบาเสาะหาชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ก็ไม่พบใครซักคน มันเงียบสนิทผิดปกติ

                    หรือจะไปกันหมดแล้ว?  นี่มันก็ค่ำแล้วก็น่าจะเป็นเวลาปฏิบัติการแล้วนี่นา...

                    เดินมาได้อีกซักพัก เสียงสั่นไหวของยอดไม้ก็เรียกสายตาผมให้ขึ้นไปมองได้ จึงทันได้มองเห็นร่างๆหนึ่งทิ้งตัวลงเบื้องหน้าผม

                    “พอดีเลยเพสซี่  กำลังจะไปปลุกพอดี” เป็นเทรสนั่นเองที่อยู่ตรงหน้าผม แล้วเพื่อนสนิทของผมก็ต้องร้องลั่นเมื่อโดนหมัดฮุกแบบฉับพลันของผมไปเต็มท้อง 

                    “บอก-แล้ว-ไง-ว่า-อย่า-เรียก-ชั้น-แบบ-นั้น”  ผมเน้นคำพูดทีละพยางค์  สงสัยคราวหน้าต้องหาอะไรมาฟอกปากมันแทนสบู่กระมังจึงจะหยุดปากเสียได้  จะเป็นเอียนคนที่สองรึไงนะ?

                    พูดถึงเอียนแล้วผมก็อดสลดใจไม่ได้  มันเร็วเกินไปที่จะทำใจได้กับความสูญเสียในครั้งนั้น

                    “ว่าแต่มาหาชั้นมีธุระอะไร?” ผมพูดเข้าเรื่องทันที   เพื่อนรักของผมปัดเศษใบไม้ออกจากตัวพลางกล่าวว่า “ไม่น่าจะถามนะ รึเจ้าไปกินอะไรมาถึงได้เมาๆล่ะ”

                    แน่ะ  ถามดีๆยังมาทะเล้นใส่อีก  มันน่านัก....

                    “ได้เวลาลงมือแล้วสิ?” ผมถาม เมื่อเห็นเพื่อนซี้ของผมยังทำหน้าทะเล้นใส่จึงเลิกแขนเสื้อขึ้น “บอกมาดีๆดีกว่าน่า  ชั้นไม่อยากออกแรงก่อนลงมือนะ”

                    “เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ” เป็นเทรสที่ต้องรีบห้ามผม “ยังไม่ใช่เวลาลงมือ ท่านหัวหน้าบอกให้เจ้ารอเวลาที่เหมาะสม เพราะท่านมีปัญหาจะต้องสะสางกับเจ้าลอร์ดนั่นด้วยตัวเอง”

                    “รอ?” ผมทวนคำพูด แต่พอเข้าใจคำสั่งก็รู้สึกหงุดหงิด “นี่มันบ้าอะไรกัน!? ชั้นก็ต้องชำระแค้นกับเจ้านั่นที่บังอาจฆ่าเพื่อนของชั้นไปเหมือนกันนะ! จะให้รออยู่เฉยๆเหรอ เฮอะ! ไปโดดหน้าผาเล่นยังจะดีซะกว่า” พูดจบก็กระโดดขึ้นยอดไม้พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

                    “เฮ้! ไปไหนน่ะ?” เสียงเทรสแผดไล่หลังตามมาติดๆแสดงว่าเจ้านั่นกำลังไล่ตามผมมา ผมตอบไปโดยไม่หันกลับ “ก็ไปโดดหน้าผาสิถามได้”

                    “หน้าผาที่เจ้ากำลังจะไปกระโดด ไม่ใช่ไปอีกทางหรอกรึ?” ราวกับรู้ใจ เจ้านั่นชี้ไปอีกทางที่ผมกำลังจะไป ผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเพื่อนตัวแสบของผมก็ไล่ตามผมทัน

                    “ให้ตายเถอะเพสซี่  จะไปอาละวาดทั้งที ไม่ชวนข้าไปร่วมวงก็อย่านับข้าคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าอีกเลย!!

                    เพราะอย่างนี้สินะ ผมจึงไม่อาจตัดเพื่อนคนนี้ได้  เพื่อนที่เป็นทั้งคนคู่ใจ  เพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับผมมาตลอด

                    ตราบเท่าที่เลือดในตัวผมยังไหลริน ผมก็มิอาจทิ้งเพื่อนคนสุดท้ายของผมคนนี้ได้หรอก

     

    ไม่วายนะครับเรื่องนี้ ไม่วายจริงจริ้งงงงงงงงงงง ><  (แล้วท่านผู้เขียนจะเน้นเสียงสูงทำไมล่ะคะ? : เอเลนิส)

    19/8/56 : อัพเดตครบ 100% ขอรับ 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×