คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter10 - ตราบเท่าที่เลือดยังหลั่งริน ( As long as my blood still runs ) (1)
อยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝัน...
เหมือนรู้สึกว่ามันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่ตอนนี้มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่บนสะพานไม้ไผ่กลางหมู่บ้าน
ต่อไปนี้จะไม่มีคนมายืนเคียงข้างเราแล้วสินะ.... ผมคิด
แต่คิดไม่ทันไรก็มีคนมายืนข้างๆผมซะงั้น ผมหันไปมองก็พบว่าเป็นเอเลนิสเองที่มาหาผม
“คิดถึงพวกนั้นอยู่เหรอ?” เธอถามผม แน่นอนว่าผมต้องคิดถึงพวกเขาอยู่ ผมถอนหายใจก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเธอ
“อืม... คลูตเป็นคนที่เธอจะไว้ใจได้ในทุกเรื่องเลยแหละ ส่วนนีน่าถึงแม้ว่าเธอจะพูดไม่มากซักเท่าไหร่ แต่เธอก็เป็นคนที่รับฟังคนอื่นได้มากพอเหมือนกัน ส่วนเจ้าเอียน...”ผมเว้นช่วงสักเล็กน้อย “ถึงมันจะปากเสีย ไม่ชอบคิดหน้าคิดหลัง ชอบตัดสินใจโดยพลการ...”
“แต่เขาก็เป็นคนดี ใช่มั้ยล่ะ?” เอเลนิสช่วยจบประโยคให้ “ตอนแรกที่เจอกันข้าก็นึกว่าเขาเกลียดข้าเหมือนกัน แต่พออยู่ด้วยกันมา ข้าก็คิดว่าเขาก็เป็นคนที่จิตใจดีคนหนึ่งเลยนะ”
“มีผู้คนอีกหลายคนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้” ผมเปรย “ส่วนใหญ่เป็นพวกชาวลีโอนิก... เหมือนผมไง ทุกคนต่างก็หลีกหนีจากความยากจน มีอีกหลายคนที่หิวกระหายและไม่เคยได้รับสิ่งที่เพียงพอสำหรับตัวเอง แต่พวกเขาก็...” ผมเว้นไปเพราะพูดไม่ออก ความเสียใจมันพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาเริ่มไหลปริ่มๆออกมา
“นี่...” เอเลนิสเรียก “ไปเก็บดอกไม้กับข้าไม้ อย่างน้อย... ก็น่าจะหาอะไรไปวางบนหลุมศพพวกเขานะ” เธอชวน
“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หยุดความเศร้าโศกเอาไว้ภายใน นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้...
“สงครามระหว่างเรากับพวกจักรวรรดิเพิ่งจะเริ่มขึ้น ดอกไม้ไม่ช่วยให้พวกเขากลับมาได้หรอก”
“แต่ว่าข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ...” เอเลนิสพยายามจะพูดแต่ก็ถูกผมขัดขึ้นก่อน
“ผมรู้ แต่ผมคิดว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจะมองให้พวกเขาได้”
เด็กสาวจ้องมองมาทางผมด้วยความสงสัย ผมกำมือชกขึ้นฟ้า ลั่นวาจาเพื่อสัญญาสิ่งที่จะนำมาให้เพื่อนผมเป็นสิ่งสุดท้าย
“สิ่งนั้นคือชัยชนะของพวกเรายังไงล่ะ”
“พี่ฟิโอน่า ผมต้องไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นขณะที่ลงมาที่ห้องใต้ดิน โดยพี่ฟิโอน่ากำลังนั่งเย็บผ้าอยู่
“ชั้นคงคิดถึงเธอมากเพสซี่ ลูกค้าประจำของชั้นก็ไปกันจนหมด จากนี้ไปที่นี่คงเงียบน่าดู” เธอกล่าว
“รับรองน่าว่าจะต้องกลับมากินฝีมือพี่ฟิโอน่าอีกแน่นอน จากนี้ไปเราจะไม่ต้องกลัวถูกกดขี่จากพวกจักรวรรดิอีกแล้ว” ผมพูดขึ้น
“ชั้นรู้น่า...” เธอง่วนอยู่กับการเย็บผ้าต่อไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เจ้าควรจะได้เห็นรอยยิ้มก่อนออกศึกนะ ฟิโอน่า ความฝันของท่านพ่อกำลังจะเป็นจริงแล้ว”
แรกนัสเดินลงบันไดมาทางพวกเราสองคน ฟิโอน่าลุกขึ้นพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะแรกนัส! แล้วชั้นจะทำยังไงถ้า...”เธอเงียบไปซักพักก่อนพูดขึ้นอีก “ถ้าพวกเธอคนใดคนหนึ่งเป็นไรไป เธอสองคนเป็นคนในครอบครัวสองคนสุดท้ายที่ชั้นมีนะ ชั้นไม่อยากเสียพี่น้องของชั้นไปน่ะ” น้ำตาของเธอเริ่มหลั่งไหลออกมา
“พี่ฟิโอน่า....” ผมมองเธอด้วยความสงสาร ต่อไปนี้พี่ต้องเฝ้าร้านที่นี่คนเดียว จะมีใครอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยมั้ยนะ
“ไม่ต้องห่วงน่า เอสปาด้าในตอนนี้ทั้งเข้มแข็งและแข็งแกร่ง พวกเราแข็งแกร่งกว่าเมื่อเจ็ดปีที่แล้วมาก และแน่นอนว่าพวกเราจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่พวกนั้น” แรกนัสเอ่ย “เชื่อข้าสิ”
“...เข้าใจแล้ว” ฟิโอน่ายกมือปาดน้ำตา “ชั้นจะไม่ห้ามพวกเธออีก ชั้นจะคอยอยู่ที่นี่คอยภาวนาให้พวกเธอปลอดภัย”
“ไม่ต้อง” แรกนัสพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ภาวนาให้พวกเราได้รับชัยชนะกลับมาก็พอแล้ว พวกเราเอาตัวรอดได้น่า” พูดจบก็หันมาทางผม “ไปกันเถอะน้องข้า เวลาไม่คอยท่าแล้ว” แล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดไปเลย
พี่ฟิโอน่าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าเธอ “บางที... มันอาจจะอยู่ในสายเลือดของเขาก็ได้นะ”
ผมมองพี่สาวผมด้วยความสงสัย “หมายความว่าอย่างไรพี่?”
เธอหันมาจับไหล่ผม “เธอต้องไม่ลืมนะเพสซี่ เราสองคนเป็นลีโอนิกก็จริง แต่แรกนัสไม่ใช่ บางทีสำหรับที่นี่แล้วสายเลือดลีโอนิกมันอาจมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ก็เป็นได้ แล้วก็...” เธอเว้นช่วงไปเล็กน้อย “ในกรณีของเธอนะเพสซี่ มันไม่ใช่แค่นั้น แต่เธอยังมี...”
“โอเคๆ ผมเข้าใจแล้วพี่ฟิโอน่า ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก” ผมรีบพูดปัดก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ “ผมไม่ลืมหรอกน่า ทั้งเรื่องนั้น และท่านแม่”
“ขอโทษด้วยละกันที่มันชวนให้นึกถึงสิ่งที่โหดร้าย แต่นั่นคือสิ่งที่มันทำให้เราอยู่มาจนถึงทุกวันนี้มิใช่หรือ?” เธอหันหลังกลับไปสะอื้นอีกรอบ
ผมมองพี่ฟิโอน่า วินาทีนั้นผมคิดว่าผมต้องทำอะไรบางอย่าง
ได้ผล เธอหันมาคุยกับผม “จะ... จริงนะ? สัญญาแล้วนะเพสซี่”
“แน่นอนสิผมสัญญา” ผมยิ้มให้เธอ แต่กลับได้หมัดตรงสวนเข้ากลางหน้าเป็นการตอบแทน โชคดีที่มันไม่รวดเร็วมากนักผมจึงพอเอี้ยวคอหลบได้
“ไปซะเถอะ เสียเวลามากแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการ” พี่สาวของผมออกปากไล่ผมแล้วหันกลับไปนั่งเย็บผ้าต่อเหมือนเดิม ผมหัวเราะก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไป โดยไม่ลืมหยิบบางอย่างในห่อผ้านั้นติดมือไปด้วย...
ป้อมปราการแห่งลาเมนต์อยู่เบื้องหน้าของพวกเราอยู่ในตอนนี้ สิ่งที่คั่นกลางระหว่างเรากับป้อมนั้นคือป่ารกชัฏที่เหมาะแก่การซุ่มโจมตี อย่างไรก็ตามจำนวนทหารที่ประจำการในตอนนี้นั้นน่าหนักใจเป็นอย่างมาก ข่าวที่ได้รับจากหน่วยลาดตระเวนบอกว่าอย่างน้อยก็ห้าร้อยคน...
ตอนนี้พวกเราซุ่มอยู่ในป่า คอยดักเก็บพวกทหารลาดตระเวนที่เดินผ่านมาเป็นระยะๆ โดยมีเทรสและชาวบ้านที่รวบรวมจากหมู่บ้านรอบนอกของดาลตาเนียตะวันออกคอยดำเนินการ ส่วนผมกับพี่แรกนัสซุ่มอยู่ในโพรงหินจุดที่มองเห็นทางเข้าป่าได้ชัดเจน
“ถ้าปล่อยไว้นานพวกมันต้องเริ่มสงสัยแน่ๆ ว่าทหารลาดตระเวนหายตัวไป” ผมกล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาคนมาแทนคนที่หายไปสิ” แรกนัสพูดในขณะที่เขาก็กระตุกเชือกในมือ หลุมพรางที่ถูกใบไม้สะปิกคลุมไว้ก็พังครืนลงมา ส่งร่างของเหล่าหน่วยลาดตระเวนที่โชคร้ายเดินผ่านมาทางนี้ลงเบื้องล่างของหลุมที่มีเหลาไม้ไผ่ปักอยู่เต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่รอดซักรายแน่ๆ ซักพักก็มีชาวบ้านแบกศพพวกเขาขึ้นมาก่อนจะจัดการเปลี่ยนชุดของทหารลาดตระเวนเหล่านั้นเข้าแทรกซึมป้อมปราการไปแทน
“แล้วเอเลนิสตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?” ผมยังคงถามต่อด้วยความสงสัย
“เธอปลอดภัยอยู่ในความดูแลของลุงพอลที่จุดรวมพล” แรกนัสตอบ ไม่วายหันมาตักเตือนผม “เจ้าควรจะมีสมาธิกับงานนี้มากกว่าคิดถึงคนอื่นนะ”
“เถอะน่า ยังไม่ใช่เวลาผมลงมือนี่” ผมก่ายแขนรองศีรษะ “ถ้าจะแทรกซึมก็ต้องรอเวลาเปลี่ยนเวร ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดก็ต้องเป็นตอนค่ำๆ” ผมพูดในสิ่งที่ผมคิด ถ้ามองจากแผนที่แรกนัสพูดกับผมคร่าวๆก็ต้องสรุปได้ประมาณนี้
“เป็นเช่นนั้น” เขายอมรับ “สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือรอ”
“โอ้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำมากที่สุดเลยแหละ” ผมอ้าปากหาว “งั้นปลุกผมด้วยล่ะ” พูดจบก็นั่งหลับนกตรงนั้นไปเสียดื้อๆ แรกนัสได้แต่มองน้องชายของตัวเองพร้อมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
จากวันนั้น ก็เจ็ดปีแล้วสินะ....
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพลบค่ำแล้ว
ผมหันไปมองซ้ายขวารอบตัวก็ไม่พบพี่แรกนัสอยู่ในโพรงหินอีก จึงคลานออกมาจากโพรงหินนั้น แต่ทว่าเมื่ออกมาจากโพรงหิน แสงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้าก็ฉายให้เห็นเงาคนทาบตัวผมจากด้านหลัง พอผมหันกลับไปก็ต้องตกตะลึงจนถึงขีดสุด
ทหารคนหนึ่งยืนเงื้อดาบกำลังจะฟาดฟันใส่ผม !!
จบกัน.... ผมคิด อาวุธยังไม่ทันจะได้ชักขึ้นด้วยซ้ำ เกิดใหม่ได้ไม่ถึงสามวันดันมาตายอีกรอบซะแล้วหรือนี่... ผมหลับตารอความเจ็บปวดที่จะเข้าปะทะผมในเสี้ยววินาทีต่อมา แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ซักพักจึงลืมตาขึ้นดู ก็ยังพบทหารคนนั้นยืนอยู่ท่าเดิม
แววตาที่เบิกค้างของทหารคนนั้นเริ่มทำให้ผมเอะใจ เมื่อผมเลื่อนสายตามองไปตามตัวก็พบลูกธนูปักอยู่ทั่วทั้งร่างของเขา แล้วธนูดอกหนึ่งดันปักตรึงร่างชายคนนั้นกับต้นไม้ด้านหลังจนทำให้เขาไม่ล้มลงอย่างที่ควรจะเป็น
สรุปว่าทหารคนนี้ตายแล้วใช่มั้ยนี่? ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะทิ้งศพทหารคนนั้นไว้เบื้องหลัง สองเท้าย่างก้าวแผ่วเบาเสาะหาชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ก็ไม่พบใครซักคน มันเงียบสนิทผิดปกติ
หรือจะไปกันหมดแล้ว? นี่มันก็ค่ำแล้วก็น่าจะเป็นเวลาปฏิบัติการแล้วนี่นา...
เดินมาได้อีกซักพัก เสียงสั่นไหวของยอดไม้ก็เรียกสายตาผมให้ขึ้นไปมองได้ จึงทันได้มองเห็นร่างๆหนึ่งทิ้งตัวลงเบื้องหน้าผม
“พอดีเลยเพสซี่ กำลังจะไปปลุกพอดี” เป็นเทรสนั่นเองที่อยู่ตรงหน้าผม แล้วเพื่อนสนิทของผมก็ต้องร้องลั่นเมื่อโดนหมัดฮุกแบบฉับพลันของผมไปเต็มท้อง
“บอก-แล้ว-ไง-ว่า-อย่า-เรียก-ชั้น-แบบ-นั้น” ผมเน้นคำพูดทีละพยางค์ สงสัยคราวหน้าต้องหาอะไรมาฟอกปากมันแทนสบู่กระมังจึงจะหยุดปากเสียได้ จะเป็นเอียนคนที่สองรึไงนะ?
พูดถึงเอียนแล้วผมก็อดสลดใจไม่ได้ มันเร็วเกินไปที่จะทำใจได้กับความสูญเสียในครั้งนั้น
“ว่าแต่มาหาชั้นมีธุระอะไร?” ผมพูดเข้าเรื่องทันที เพื่อนรักของผมปัดเศษใบไม้ออกจากตัวพลางกล่าวว่า “ไม่น่าจะถามนะ รึเจ้าไปกินอะไรมาถึงได้เมาๆล่ะ”
แน่ะ ถามดีๆยังมาทะเล้นใส่อีก มันน่านัก....
“ได้เวลาลงมือแล้วสิ?” ผมถาม เมื่อเห็นเพื่อนซี้ของผมยังทำหน้าทะเล้นใส่จึงเลิกแขนเสื้อขึ้น “บอกมาดีๆดีกว่าน่า ชั้นไม่อยากออกแรงก่อนลงมือนะ”
“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ” เป็นเทรสที่ต้องรีบห้ามผม “ยังไม่ใช่เวลาลงมือ ท่านหัวหน้าบอกให้เจ้ารอเวลาที่เหมาะสม เพราะท่านมีปัญหาจะต้องสะสางกับเจ้าลอร์ดนั่นด้วยตัวเอง”
“รอ?” ผมทวนคำพูด แต่พอเข้าใจคำสั่งก็รู้สึกหงุดหงิด “นี่มันบ้าอะไรกัน!? ชั้นก็ต้องชำระแค้นกับเจ้านั่นที่บังอาจฆ่าเพื่อนของชั้นไปเหมือนกันนะ! จะให้รออยู่เฉยๆเหรอ เฮอะ! ไปโดดหน้าผาเล่นยังจะดีซะกว่า” พูดจบก็กระโดดขึ้นยอดไม้พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้! ไปไหนน่ะ?” เสียงเทรสแผดไล่หลังตามมาติดๆแสดงว่าเจ้านั่นกำลังไล่ตามผมมา ผมตอบไปโดยไม่หันกลับ “ก็ไปโดดหน้าผาสิถามได้”
“หน้าผาที่เจ้ากำลังจะไปกระโดด ไม่ใช่ไปอีกทางหรอกรึ?” ราวกับรู้ใจ เจ้านั่นชี้ไปอีกทางที่ผมกำลังจะไป ผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเพื่อนตัวแสบของผมก็ไล่ตามผมทัน
“ให้ตายเถอะเพสซี่ จะไปอาละวาดทั้งที ไม่ชวนข้าไปร่วมวงก็อย่านับข้าคนนี้เป็นเพื่อนเจ้าอีกเลย!!”
เพราะอย่างนี้สินะ ผมจึงไม่อาจตัดเพื่อนคนนี้ได้ เพื่อนที่เป็นทั้งคนคู่ใจ เพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับผมมาตลอด
ตราบเท่าที่เลือดในตัวผมยังไหลริน ผมก็มิอาจทิ้งเพื่อนคนสุดท้ายของผมคนนี้ได้หรอก
ไม่วายนะครับเรื่องนี้ ไม่วายจริงจริ้งงงงงงงงงงง >< (แล้วท่านผู้เขียนจะเน้นเสียงสูงทำไมล่ะคะ? : เอเลนิส)
19/8/56 : อัพเดตครบ 100% ขอรับ
ความคิดเห็น