คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter9 - การลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ( Uprising Again )
“อะ... อือ...”
หัวสมองรู้สึกมึนตึ้บไปหมด สัมผัสได้ว่าที่ศีรษะมีอะไรเย็นๆวางไว้อยู่
“อ้าว! รู้สึกตัวแล้วนี่” เสียงแหลมเล็กดังขึ้น เมื่อผมลืมตาหันไปมองก็เจอกับใบหน้ากลมประดับไปด้วยรอยยิ้มปรากฏให้เห็น แต่ขอบตาเธอดูดำๆชอบกล
“เพสซี่!! ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาซักที” เสียงของพี่ฟิโอน่าที่ยืนอยู่ข้างๆเอเลนิสดังขึ้น “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วซะอีก ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ” เธอถามผม
“มึนๆนิดหน่อย แล้วก็..” ผมลองลุกขึ้นขยับแขนขาดู ก็พบว่ามันยังใช้การได้อยู่ แต่รู้สึกเหมือนว่ากล้ามเนื้อในร่างกายกำลังกรีดร้อง แม้ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกว่าร่างกายผมเบาสบายมากกว่าเดิม “...ปวดไปทั้งตัวเลย นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย?”
“เจ้าสลบไปตั้งหนึ่งวันเต็มๆแน่ะ บาดแผลของเจ้ามันเลวร้ายมาก ถ้าลุงพอลมาช้ากว่านี้แค่ชั่วโมงเดียวทุกอย่างอาจจะสายเกินไป” พี่สาวผมพูดต่อ
“อืม ผมเริ่มจำได้แล้วแหละ” เหตุการณ์ต่างๆก่อนที่ผมจะสลบไปเริ่มหลั่งไหลเข้าหัวสมองผมทีละน้อย เมื่อนึกถึงขึ้นได้น้ำตาก็หลั่งรินออกมาอีกครั้ง “คลูต... นีน่า... เอียน...” ผมหันไปมองรอบตัว เมื่อไม่เห็นพวกเขาก็ตะคอกถามสาวๆทั้งสอง “พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน!?”
“....” ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งสอง ผมทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง “ผมไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขาได้จากผมไปแล้ว”
“เพสซี่...” ในที่สุดฟิโอน่าก็เอ่ยปากขึ้น “อย่ามัวแต่โทษตัวเองเลย สิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือรีบรักษาตัวให้หายไวๆนะ และก็...”
โครกกกกกกก!!!
ผมและสองสาวมองหน้ากัน และเป็นผมที่ยิ้มแหยๆให้
“โอ้ว... เพิ่งรู้สึกตัวแฮะว่าผมหิวขนาดกินเสือได้ทั้งตัวเลย”
“เจ้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งวันนึง ไม่หิวก็แปลกแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปทำอะไรให้กินเอง” ฟิโอน่าพูดจบก็เดินออกไป แต่ก่อนออกจากห้องยังไม่วายจะหันมาบอก “อ้อ! อย่าลืมขอบคุณเอเลนิสด้วยล่ะ เธอดูแลเจ้าทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้นอนเลย” พูดจบก็เดินออกจากห้องไป
ผมหันไปหาเด็กสาว “ว้าว... ขอบคุณนะ”
เอเลนิสดูมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอก เทียบอะไรไม่ได้เลยกับเจ้าที่พยายามจะช่วยข้า"
“อืม” ผมรับคำ ขยับร่างกายหันหน้ามาคุยกับเธอ “ผมยังรู้สึกมึนๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใจก็อยากให้ทุกเรื่องที่เกิดนี่เป็นแค่ความฝัน ทั้งสงคราม การสูญเสีย และก็...บริวโอแน็ค”
“หมายถึงหอกเล่มนั้นสินะ” เด็กสาวบุ้ยปากไปทางหนึ่ง หอกสีฟ้าครามถูกผ้าห่อไว้แล้วเก็บซ่อนอย่างมิดชิดที่หลังตู้ติดฝาผนังทางนั้น
“ข้าคิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ที่ทุกคนจะเห็นมัน ข้าเลยเก็บมันไปซ่อนไว้” เด็กสาวพูด “เรื่องที่เกิดขึ้น... ข้าขอโทษนะ เพราะข้า ทุกคนถึงต้อง...”
ผมยกนิ้วไปแตะปากเธอ เธอก็หยุดพูด ผมจึงเป็นฝ่ายพูดบ้าง “แต่เธอก็พยายามปกป้องพวกเราทุกคนนี่ แค่นั้นก็พอแล้ว ผมดีใจมากนะที่เธอกับพี่ฟิโอน่ายังมีชีวิตอยู่ เพราะอย่างน้อย...” ผมหันไปมองหอกนั่น “ผมก็มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ผมต้องปกป้องยังคงอยู่ดีไม่สูญหายไปไหน”
เอเลนิสหน้าแดงขึ้นมาทันใด “พูดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าไปละ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินหนีไปทันที ทิ้งผมนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เมื่อประตูเปิดออกก็พบกับพี่แรกนัส เทรส และลุงพอลกำลังกินข้าวกันอยู่ แล้วจานที่ตั้งอยู่ตรงด้านนั้นมันอะไรน่ะ?
เดี๋ยวนะ ขอเดินเข้าไปดูใกล้ๆหน่อย กลิ่นแบบนี้ รูปร่างแบบนี้ ชัดเลย แพนเบรดสุดที่ร้ากกกกกกกกกกก...
“ดูท่าเจ้ายังอาการไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่นะ” พี่แรกนัสทักขึ้น
“แต่ข้าว่าคงหายเป็นปกติแล้วล่ะ เดินตามกลิ่นแพนเบรดมาได้แบบนี้แล้วนี่” เทรสแขวะ
“กลิ่นที่พึงประสงค์ก็เป็นยารักษาขนานนึงนะ” ผมหาเรื่องแถออกไปก่อน “แต่ก็คงงั้นแหละ นอนพักซักหน่อยกับกินเยอะๆ ซักพักก็คงหายดี”
“แต่เจ้าคงไม่มีเวลาพักผ่อนมากนักหรอก เอสปาด้าตอนนี้อยู่ในสภาวะระส่ำระสาย เจ้าต้องรีบฟื้นตัวให้ไวที่สุด” ลุงพอลกล่าวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นตอนผมไม่อยู่ล่ะ?” ผมถาม
“ลอร์ดปิแอร์เรียกระดมพลทหารทุกหน่วยที่ประจำอยู่ที่ป้อมปราการแห่งลาเมนต์ คาดว่าอีกไม่กี่วันคงมีคำสั่งให้มาถล่มที่นี่แหงๆ” เทรสพูดขึ้น
“ถึงตอนนั้นแม้ปิแอร์จะบอกว่าเป็นการปราบปราม แต่มันจะกลายเป็นการละเลงเลือดซะมากกว่า” ลุงพอลกล่าวเสริม
“แน่นอนเราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น” แรกนัสเอ่ย “เราจะไม่ยอมอยู่เฉยๆให้พวกมันมารังแกพวกเราอีกครั้งแน่ๆ”
“อืม...อ้าอู้อึกอ๋นใออาอุดอ้ากอื้อ...” เสียงอู้อี้ของคนๆหนึ่งดังขึ้น เมื่อผมมองไปทางผู้พูดก็ตกใจ
“อีริค!! บอกแล้วไงอย่าพูดตอนอาหารอยู่เต็มปากสิ!” ฟิโอน่าเอ็ด
หนุ่มหน้าหวานกระเดือกคุ้กกี้ที่กินเข้าไปห้าชิ้นรวดลงคอแล้วพูดว่า “มันเป็นแค่ค่านิยมของพวกมนุษย์ ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามนี่”
ลุงพอลหัวเราะ “นั่นสิฟิโอน่า การเรียนรู้วัฒนธรรมของชนชาติอื่นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นนะถ้าเราไม่อยากมีจุดจบเหมือนพวกดาลตันน่ะ”
แทนที่ฟิโอน่าจะเงียบไป กลับพูดขึ้นว่า “อย่าหาว่าชั้นพูดละลาบละล้วงอะไรเลยนะท่านลุง แต่สายตาของท่านที่จ้องมองอีริคแบบนั้นมันอะไรกัน?”
อีริคหันไปสบตาลุงพอล “ตาแก่.... ตัวข้าไปกระตุ้น “อะไร” ของเจ้างั้นรึ”
น้ำเสียงและท่าทางที่เหมือนสตรีเพศแทบทุกอย่างเกือบทำให้ผมปักใจเชื่อว่าเธอ(?) เป็นผู้หญิงจริงๆ ถ้าไม่ติดที่ว่าเธอไม่มีหน้าอกนะ แต่รู้สึกว่าลุงพอลจะมองข้ามความเป็นจริงข้อนี้ไปซะสนิท
“แหมๆๆ คนสวยอย่างเจ้าก็กระตุ้นความเป็นชายของบุรุษทุกคนที่อยู่รอบกายเจ้านั่นแหละ” ลุงพอลตอบ สายตาจ้องมองอีริคด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
ไม่ได้ๆ ผมไม่ยอมให้ลุงของผมไปชอบไม้ป่าเดียวกันแน่ๆ สมัยนี้ป่ายิ่งหาได้น้อยๆอยู่
“เอ่อ... ขอผมพูดอะไรหน่อยนะ” ผมตะโกนเรียกความสนใจขึ้น ทุกคนในห้องหันมาที่ผมคนเดียว “จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมว่าเราต้องมาคุยอะไรกันซักหน่อย...”
โต๊ะเล็กๆสองโต๊ะ ถูกต่อกันเป็นโต๊ะยาว สมาชิกในการประชุมครั้งนี้มีผม เทรส พี่แรกนัส ลุงพอล และอีริคที่ไม่ยอมไปไหน แต่ลุงพอลก็อนุญาตให้เข้าประชุมเป็นกรณีพิเศษ
“สรุปว่า เจ้าก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเอเลนิสเป็นใครมาจากไหน” เทรสถาม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า พี่แรกนัสเห็นดังนั้นก็ยิงคำถามมาต่อ “แล้วเธอดูมีท่าทีมีพิรุธอะไรมั้ย”
“ไม่เลย” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด “อย่างน้อย... ต่อหน้าผมก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต แล้วเธอก็ไม่ได้แยกจากผมเลยด้วย”
“อืม” แรกนัสครุ่นคิด “ข้ายังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าพวกทหารต้องการตัวเธอ”
“บางทีเธออาจจะมีความลับอีกมากมายที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้” ลุงพอลกล่าว “แต่ก็คงไม่เป็นไร ตราบเท่าที่เธอยังอยู่กับเราเธอก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆต่อพวกเราด้วยเช่นกัน
แรกนัสเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “เพทริกส์”
“หืม?” ผมหันไปมองพี่ชายที่เรียกผม
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าใช้เวทมนตร์อันทรงพลังเอาชนะลอร์ดปิแอร์ได้ด้วยตัวเจ้าเอง มันเป็นจริงหรือไม่”
ทุกคนในห้องหันมามองที่ผม ความเงียบเข้าปกคลุมจนแม้แต่เสียงหายใจของเทรสที่นั่งข้างๆผมก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ดูทุกคนตั้งใจฟังคำตอบนี้กันเต็มที่ แต่ผู้ที่ตอบไม่ใช่ผม
“มันไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันคือเทพสงคราม” เป็นอีริคที่ทำลายความเงียบนี้ลง ทุกคนในห้องจึงหันไปทางเขาแทน และเป็นลุงพอลที่ถามขึ้นว่า “แล้วเทพสงครามคืออะไรล่ะคนสวย”
ผมมั่นใจว่าเห็นอีริคยิ้มอยู่แวบหนึ่งก่อนที่เขาจะอธิบาย “เขาคือผู้ที่ถูกเรียกมาเพื่อทำตามความปรารถนาของผู้สืบทอดหอกมนตราให้สำเร็จลุล่วง”
“เจ้าช่วยพูดให้เข้าใจมากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่” ลุงพอลยังคงถามต่อไป อีริคปรายตามองชายชราครั้งหนึ่งกล่าวว่า “แล้วข้าพูดอะไรผิดไปล่ะ? ข้ามั่นใจว่าข้าพูดภาษามนุษย์ทุกคำนะ”
แรกนัสเคาะโต๊ะดังขึ้นครั้งหนึ่งเพื่อเรียกความสนใจ “ให้ข้าถามคำถามใหม่ดีกว่า... พวกเราสามารถอัญเชิญเทพสงครามมาบ้างได้หรือไม่?”
หนุ่มหน้าหวานถอนหายใจก่อนอธิบายยาว “เทพสงครามจะทำตามความปรารถนาของผู้สืบทอดที่ถูกเลือกเท่านั้น พลังของท่านนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะคาดฝันถึงได้ หากแม้นมนุษย์อย่างพวกเจ้าพยายามจะอัญเชิญท่านออกมา ร่างกายของพวกเจ้าก็จะแหลกสลายเป็นผุยผงด้วยพลังอันมหาศาลนั้น”
ผมที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็รู้สึกหวั่นใจไม่ได้ หากวันหนึ่งหอกนั่นไม่ยอมรับในตัวผมอีกต่อไป ชะตากรรมของผมจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
“เข้าใจแล้ว” แรกนัสพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเพทริกส์ เจ้าต้องพยายามฝึกการควบคุมพลังของสิ่งนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด พลังของเจ้าจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การปฏิวัติของพวกเราสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
“พูดถึงเรื่องของการปฏิวัติ ท่านหัวหน้ามีแผนจะรับมือกับพวกทหารที่จะมาที่นี่อีกครั้งอย่างไร” เทรสที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดการประชุมกล่าวขึ้น
“เราจะไม่ยืนเฉยๆรอให้พวกนั้นมากดขี่ข่มเหงพวกเราอีกต่อไป” แรกนัสประกาศ “เราจะประกาศรวมพลในวันพรุ่งนี้ และบุกโจมตีพวกมันโดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว เราจะสานต่อเจตนารมณ์แห่งริกาโด้ วีรบุรุษแห่งเอสปาด้าให้จงได้!!”
ผมลุกขึ้นพูดบ้าง “เราจะแก้แค้นให้กับผู้ที่สังเวยชีวิตให้กับความไม่เป็นธรรม การต้องถูกขังเหมือนอยู่ในคอกมันจะไม่มีอีกต่อไป ต่อไปนี้ไม่พวกเราก็ต้องปิแอร์ที่จะต้องพินาศกันไปข้าง!!”
“ไม่ใช่แค่ปิแอร์ เจตนารมณ์ของท่านพ่อจะไม่หยุดไว้แค่นั้น! เราจะบุกเข้ายึดครองเมืองหลวง และกำจัดกษัตริย์ซาเทียสที่สาม เปลี่ยนดินแดนดาลตาเนียให้มันสงบสุขกว่าที่เคยเป็น!”
ทุกคนในห้องเงียบลงโดยมิได้นัดหมาย ราวกับว่าต้องการจะซึมซับประโยคเหล่านั้นลงไปในจิตใจของแต่ละคน
“และวันนี้...” แรกนัสหันมามองทุกคน “...เรามาเมากันหน่อยก็ดีนะ...”
ร่างของชายในผ้าคลุมสีแดงก้าวออกมาจากป้อมปราการแห่งลาเมนต์ เมื่อทหารยามเห็นเขาก็คำนับด้วยความนอบน้อม
“สถานการณ์ที่สลัมตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ปิแอร์ถามทหารคนนั้น
“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวขอรับมายลอร์ด พวกชาวบ้านตกอยู่ในความหวาดกลัวกันขอรับ” ทหารคนนั้นรายงาน
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ ยังอยู่ที่สลัมกระจอกนั่นอยู่รึเปล่า”
“ยังอยู่ขอรับ”
“เยี่ยม นั่นเป็นข่าวดีสำหรับข้า” ปิแอร์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาสะบัดผ้าคลุมเดินกลับป้อม ระหว่างทางก็คิดไปพลาง
‘เด็กนั่น กับหอกนั่น... มันมีอะไรเกี่ยวข้องกันนะ ทำไมแค่หอกเล่มเดียวก็สังหารผู้คนไปได้เป็นร้อยชีวิต’
‘ก็แค่มีฝีมือเท่านั้นแหละ’ เขาตอบตัวเอง
‘แต่เจ้าก็เห็นมันตายไปกับตาเจ้าแล้วนี่’ เขาก็ยังถามคำถามกับตัวเองอีกครั้ง
“ก็ให้มันรู้ไปสิ ว่าขนไปทั้งป้อมแบบนี้แล้วมันจะไม่ตาย” ลอร์ดหนุ่มยิ้มกับตัวเองแล้วเดินเข้าป้อมไป
จบไปอีกตอน =w=
ความคิดเห็น