ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : องค์ที่ 4 การปรับตัว
"ขอตอนรับกลับขอรับ ท่านชาย"
เกรนเดลกล่าวพร้อมกับหันหน้ามายิ้มอย่างเป็นมิตรให้เราฟาเอลโร่
ตอนนี้ ณ กลางห้องโถง คอพิอุสนั่งลงที่หัวโต๊ะ ก่อนที่จะตบเบาๆ ลงบนเก้าอี้ขวามือของเขา เพื่อบอกให้เด็กชายตัวน้อยมานั่งข้างๆ และเริ่มรับประทานอาหาร
“ราฟาเอล เจ้าได้เรียนรู้การควบคุมเวทมนตร์ บางรึยัง”
คอพิอุสกล่าวขณะที่พวกเค้านั่งกินสตูเนื้อมาได้สักพัก
“ได้หรอครับ แต่ผมไม่มีพลังเวทในตัวเลยนะครับ”
คอพิอุสขมวดคิ้วเข้าหากัน
"ใครบอกเจ้า ว่าเจ้าไม่มีพลังเวท”
“ท่านแม่ครับ บอกว่าผมเป็น Uselessblood”
คิ้วที่ขมวดของคอพิอุสเริ่มคล้ายออก แล้วเปลี่ยนเป็นกลับไปหัวเราะแทน
“55555555 คลอเลียช่างรักเจ้ามากเหลือเกิน"
เอลฟ์ ชรามองหน้าใสซื่องงๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า
“เด็กน้อยเจ้าเคยมีแผลเป็นไหม ถึงจะบาดเจ็บแค่ไหน ก็ไม่เคยมีแผลเป็นใช่ไหม”
คอพิอุสพูดให้ราฟาเอลคิดตาม คำถามของคอพิอุส
“ใช่ครับ แต่.. มันไม่ปกติหรอครับ”
คอพิอุสที่มองหน้าเด็กน้อยเหมือนจะหัวเราะออกมา กับคำพูดไร้เดียงสาของราฟาเอล แต่สีหน้าของคอพิอุสกลับเปลี่ยนไปเป็นเศร้า และมองราฟาเอลด้วยสายตาที่เอ็นดู คำถามของเด็กชายตรงหน้า ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เมื่อถกนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่คลอเลียกล่าวในจดหมายที่ส่งมาให้เขา
ราฟาเอลโร่มักจะโดยรังเกลียด และโดยทำร้ายจากเด็กรุ่นเดียวกันรอบตัวเขาเสมอ สาเหตุอาจเกิดจากการที่พ่อกับแม่ขอเด็กเหล่านั้นมิได้ห้ามปราม โดยมีเหตุผลเป็นความเชื่อผิดๆ
“อย่าไปเล่นกับเจ้าเด็กนั้นนนะ ไม่เห็นตาสีแดงนั้นหรอลูก มันเป็นรางร้าย เดียวรางร้ายก็ติดตัวกับบ้านหรอกลูก"
ความเชื่อผิดๆ ที่โดนกรอกหู ราฟาเอลได้ยินคำพูดเหล่านั้นเสมอ ตั้งแต่เขาจำความได้ แม้กระทั่งการกระทำเรื่องแย่ๆ ที่ผู้มีวัยวุฒิแล้วไม่ควรกระทำ เช่น การสาดน้ำไล่เขาที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง การปาข้าวของใส่จนเกิดแผล แล้วเด็กผู้ไร้ซึ่งวัยวุฒิละ มีหรือจะไม่กระทำตามพฤติกรรมเหล่านั้นหรอ
แต่ราฟาเอลโร่กลับเป็นเด็กที่ใจดี ละเอียดอ่อน ขี้สงสาร เมื่อเขาเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ โดยแกล้งก็มักจะเอาตัวเข้าไปขว้างเพื่อปกป้องเสมอ โดยไม่นึกถึงตัวเองเลยด้วยซ๊ำ
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั้นอาจจะเป็นเพราะคลอเลียที่มักจะสังเกตุ อธิบาย ให้คำปรึกษา และเป็นที่พึ่งให้กับราฟาเอลโร่เสมอ เธอมักจะบอกลูกเสมอๆ ว่า
"ราฟาเอล ลูกรู้ใช่ไหม ว่าสัตว์ตัวเล็กๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนที่ลูกมี"
"ครับ ลูกทราบครับ"
"ลูกยังกลัวที่จะโดนทำร้าย เพราะฉนั้นอย่างไปทำใครนะลูก"
ราฟาเอลโร่ และคลอเลียก็มักจะใกล้ชิดกันเสมอ เธอไม่เคยไปล่อยให้เขาต้องโดนเดียว หรือรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้งเลยซักครั้ง เพราะฉนั้นการไม่มีพ่อไม่ได้ทำให้ราฟาเอลโร่ โหยหา หรือรู้สึกว่าขาดอะไรเลย
เช่นเดียวกันกับเพื่อน ที่ราฟาเอลโร่เองก็รู้สึกอยากที่จะมี แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญมากขนาดนั้น ดังนั่นการไม่มีคนปกติค่อยอยู่ใกล้ให้เปรียบเทียบ เขาจึงไม่เคยรู้เลยว่า การเป็นแผลแล้วเลือดออกตอนนี้ แล้วสามารถหายสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเช้าวันถัดไปเป็นเรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด หรือคนที่ไม่มีพลังเวทจริงๆ นั้นเป็นเช่นไร
“งั้นหลังกินข้าวเสร็จ เรามาลองทดสอบกันเลยดีกว่า ว่าเจ้าจะมีสิ่งที่เรียกว่าพลังเวทย์ไหม"
คอพิอุสได้ตัดบท เพื่อเลี่ยงที่ไม่เอ่ยถึงอดีตเหล่านั้น
“ครับ”
ราฟาเอลโร่ขานรับด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
หลังกินข้าวเสร็จ คอพิอุสได้นำราฟาเอลโร่มายังลานกว้างบริเวณหน้าธารน้ำตก ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบ้านของเขา และดูเหมือนมันจะไม่ใช่ลานกว้างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ลานกว้างตามธรรมชาติจะไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ไม่แม้แต่จะมีเศษหินหรือเศษไม้อยู่เลย ร่วมกับขนาดก็ใหญ่โตเทียบได้กับสนามฟุตบอล 2 สนามรวมกัน เป็นสิ่งที่ธรรมชาติไม่น่าจะสรรค์สร้างขึ้น
คอพิอุสและราฟาเอลโร่ ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ตรงจุดที่ใกล้กับธารน้ำตกที่สุด เมื่อยิ่งใกล้ก็ยิ่งประจักษ์ได้ถึงความมโหฬารที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เบื้องหลังของธารน้ำตกคือหน้าผาที่แบ่งเป็นชั้นพักคล้ายกับขั้นบันได
“waterfall of life คือธานน้ำตกที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต เป็นพลังที่หล่อเลี้ยงทั้งสัตว์และพืช ให้เติบโตและอยู่รอดได้ อีกทั้งพลังเยียวยาที่หาได้ยาก สามารถรักษาได้กระทั่งบาดแผลภายนอกและภายใน
ละอองที่ฟุ้งไปทั่วทำให้ทุกอย่างรอบตัวแลดูพล่าเรือน แต่ก็งดงาม เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ แสงที่สะท้อนกลับนั้นกลายเป็นสีรุ้ง เปล่งประกายระยิบระยับราวกับประกายของเพชร พื้นดินโดยรอบที่นุ่มนิ่มและร่วนซุยต่างจากที่อื่น เชื้อเชิญให้หมู่สัตว์น้อยใหญ่มาพำนัก และอาศัยใต้ร่มเงาของแมกไม้นานาพันธุ์ที่ขึ้นอยู่รอบน้ำตกแห่งชีวิต
“ราฟาเอล มานี้ที”
เสียงเรียกของ คอพิอุส ดึง ราฟาเอลโร่ ให้ออกมาจากภวังค์ และเดินตรงไปที่เขา คอพิอุสดึงผ้าสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และคลีมันออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นเมล็ดพันธุ์สีขาวขุ่นที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดอัลมอนด์แต่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว
“นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้น world wood”
คอพิอุสกล่าวพลางยื่นมันให้กับราฟาเอลโร่ และเริ่มพูดต่อ
“มันจะมีปฏิกิริยาต่อพลังเวทย์ในตัวเจ้า แต่ถ้าไม่ก็ลองเพิ่มน้ำลงไปหน่อยถ้าจะดี”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของคอพิอุสดี เมล็ดของต้น world wood ก็เริ่มผลิแตกแทงยอดอ่อนออกจากตรงกลางแกนเมล็ด ยอดอ่อนหลายเส้นโอบรัดกันเป็นเกลียว แตกกิ่งก้านเล็กๆ และตามด้วยใบที่เปล่งแสงวูบวาบเปลี่ยนสีไปมาหลากหลายสี
“5555 คงไม่ต้องแล้วสินะ”
คอพิอุสกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อมองไปยังยอดอ่อนของต้นเวิลด์วู๊ด และหยิบมันจากราฟาเอลโร่ มาวางไว้บนผ้าสีน้ำเงินผืนเดิม
“น่าสนใจเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้เกินขาด เวลายังเหลืออีกเยอะ เรามาต่อกันเลยดีไหม"
“ครับ”
ราฟาเอลขานรับอย่างกระตือรือร้น เพราะดูเหมือนเขาจะพึ่งตระหนักได้ว่าตัวเองมีพลังเวทย์
“ก่อนอื่น เจ้าจะต้องเรียนรู้เรื่องทฤษฎีเสียก่อน พลังเวทย์คือพลังที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ดังนั้นลักษณะทางกายภาพเบื้องต้นของพลังเวทย์ก็ไม่ต่างอะไรจากธรรมชาติเลย นั่นก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด ส่วนพลังเวทย์ที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิด จะเป็นพลังเวทย์พิเศษ ดังนั้นเราจะเรียกผู้มีพลังเวทย์เหล่านั้นว่า “ไฮด” พลังเวทย์พิเศษนั้นก็มีอยู่มากมายยกตัวอย่างเช่น ผู้ควบคุมเวลา ผู้อ่านจิต ผู้ใช้พิษ เนตรทิพย์ ผู้หยั่งรู้ ผู้ปฏิเสธ ผู้ควบคุมพืช ผู้กัดกร่อน ผู้แบกรับ และผู้เยียวยาก็เป็นหนึ่งในไอด"
คอพิอุสหยุดประโยคให้ราฟาเอลโร่ได้คิดตาม พร้อมกับยิ้มมุมปากกว้างๆ ให้กับราฟาเอลโร่ที่ตั้งใจฟัง และยิ้มอย่างแปลกใจเมื่อรู้เรื่องว่าตนก็เป็นหนึ่งในไฮด
“จริงหรอครับ”
คอพิอุสพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามนั้น และกล่าวบททฤษฎีของเขาต่อ
“ผู้ใช้พลังพิเศษถึงจะมีอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็ถือว่าหายาก ส่วนผู้ใช้พลังส่วนมากจะเป็นผู้ใช้พลังธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืดซะส่วนใหญ่ ซึ่งไฮดเอวก็สามารถใช้พลังธาตุเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน ธาตุพื้นฐานที่ผู้มีพลังเวทย์ทุกคนจะต้องมี นั้นก็คือ ธาตุลม แต่หากอยากใช้พลังธาตุให้ได้เจ้าจะต้องมีแก่นพลังเสียก่อน”
“แล้วต้องทำยังไงหรอครับ”
ราฟาเอลโร่กล่าวถามอย่างครุ่นคิด มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ข้างในตัวเขาร่ำร้องอยากไขว่คว้ามันมา เรื่องที่เขามองว่าไกลตัวมาตลอด ราฟาเอลโร่ที่เคยเฝ้าแต่คิดฝันว่าหากว่าตนมีพลังเวทย์ จะดีสักแค่ไหนกันนะ แต่เขากลับหยุดคิดและยอมรับมันไปนานแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อคนเราได้รับในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกมันย่อมโลดแล่นและดีเกินคำบรรยาย
เกรนเดลกล่าวพร้อมกับหันหน้ามายิ้มอย่างเป็นมิตรให้เราฟาเอลโร่
ตอนนี้ ณ กลางห้องโถง คอพิอุสนั่งลงที่หัวโต๊ะ ก่อนที่จะตบเบาๆ ลงบนเก้าอี้ขวามือของเขา เพื่อบอกให้เด็กชายตัวน้อยมานั่งข้างๆ และเริ่มรับประทานอาหาร
“ราฟาเอล เจ้าได้เรียนรู้การควบคุมเวทมนตร์ บางรึยัง”
คอพิอุสกล่าวขณะที่พวกเค้านั่งกินสตูเนื้อมาได้สักพัก
“ได้หรอครับ แต่ผมไม่มีพลังเวทในตัวเลยนะครับ”
คอพิอุสขมวดคิ้วเข้าหากัน
"ใครบอกเจ้า ว่าเจ้าไม่มีพลังเวท”
“ท่านแม่ครับ บอกว่าผมเป็น Uselessblood”
คิ้วที่ขมวดของคอพิอุสเริ่มคล้ายออก แล้วเปลี่ยนเป็นกลับไปหัวเราะแทน
“55555555 คลอเลียช่างรักเจ้ามากเหลือเกิน"
เอลฟ์ ชรามองหน้าใสซื่องงๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า
“เด็กน้อยเจ้าเคยมีแผลเป็นไหม ถึงจะบาดเจ็บแค่ไหน ก็ไม่เคยมีแผลเป็นใช่ไหม”
คอพิอุสพูดให้ราฟาเอลคิดตาม คำถามของคอพิอุส
“ใช่ครับ แต่.. มันไม่ปกติหรอครับ”
คอพิอุสที่มองหน้าเด็กน้อยเหมือนจะหัวเราะออกมา กับคำพูดไร้เดียงสาของราฟาเอล แต่สีหน้าของคอพิอุสกลับเปลี่ยนไปเป็นเศร้า และมองราฟาเอลด้วยสายตาที่เอ็นดู คำถามของเด็กชายตรงหน้า ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เมื่อถกนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่คลอเลียกล่าวในจดหมายที่ส่งมาให้เขา
ราฟาเอลโร่มักจะโดยรังเกลียด และโดยทำร้ายจากเด็กรุ่นเดียวกันรอบตัวเขาเสมอ สาเหตุอาจเกิดจากการที่พ่อกับแม่ขอเด็กเหล่านั้นมิได้ห้ามปราม โดยมีเหตุผลเป็นความเชื่อผิดๆ
“อย่าไปเล่นกับเจ้าเด็กนั้นนนะ ไม่เห็นตาสีแดงนั้นหรอลูก มันเป็นรางร้าย เดียวรางร้ายก็ติดตัวกับบ้านหรอกลูก"
ความเชื่อผิดๆ ที่โดนกรอกหู ราฟาเอลได้ยินคำพูดเหล่านั้นเสมอ ตั้งแต่เขาจำความได้ แม้กระทั่งการกระทำเรื่องแย่ๆ ที่ผู้มีวัยวุฒิแล้วไม่ควรกระทำ เช่น การสาดน้ำไล่เขาที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง การปาข้าวของใส่จนเกิดแผล แล้วเด็กผู้ไร้ซึ่งวัยวุฒิละ มีหรือจะไม่กระทำตามพฤติกรรมเหล่านั้นหรอ
แต่ราฟาเอลโร่กลับเป็นเด็กที่ใจดี ละเอียดอ่อน ขี้สงสาร เมื่อเขาเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ โดยแกล้งก็มักจะเอาตัวเข้าไปขว้างเพื่อปกป้องเสมอ โดยไม่นึกถึงตัวเองเลยด้วยซ๊ำ
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั้นอาจจะเป็นเพราะคลอเลียที่มักจะสังเกตุ อธิบาย ให้คำปรึกษา และเป็นที่พึ่งให้กับราฟาเอลโร่เสมอ เธอมักจะบอกลูกเสมอๆ ว่า
"ราฟาเอล ลูกรู้ใช่ไหม ว่าสัตว์ตัวเล็กๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนที่ลูกมี"
"ครับ ลูกทราบครับ"
"ลูกยังกลัวที่จะโดนทำร้าย เพราะฉนั้นอย่างไปทำใครนะลูก"
ราฟาเอลโร่ และคลอเลียก็มักจะใกล้ชิดกันเสมอ เธอไม่เคยไปล่อยให้เขาต้องโดนเดียว หรือรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้งเลยซักครั้ง เพราะฉนั้นการไม่มีพ่อไม่ได้ทำให้ราฟาเอลโร่ โหยหา หรือรู้สึกว่าขาดอะไรเลย
เช่นเดียวกันกับเพื่อน ที่ราฟาเอลโร่เองก็รู้สึกอยากที่จะมี แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญมากขนาดนั้น ดังนั่นการไม่มีคนปกติค่อยอยู่ใกล้ให้เปรียบเทียบ เขาจึงไม่เคยรู้เลยว่า การเป็นแผลแล้วเลือดออกตอนนี้ แล้วสามารถหายสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเช้าวันถัดไปเป็นเรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด หรือคนที่ไม่มีพลังเวทจริงๆ นั้นเป็นเช่นไร
“งั้นหลังกินข้าวเสร็จ เรามาลองทดสอบกันเลยดีกว่า ว่าเจ้าจะมีสิ่งที่เรียกว่าพลังเวทย์ไหม"
คอพิอุสได้ตัดบท เพื่อเลี่ยงที่ไม่เอ่ยถึงอดีตเหล่านั้น
“ครับ”
ราฟาเอลโร่ขานรับด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
หลังกินข้าวเสร็จ คอพิอุสได้นำราฟาเอลโร่มายังลานกว้างบริเวณหน้าธารน้ำตก ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบ้านของเขา และดูเหมือนมันจะไม่ใช่ลานกว้างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ลานกว้างตามธรรมชาติจะไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ไม่แม้แต่จะมีเศษหินหรือเศษไม้อยู่เลย ร่วมกับขนาดก็ใหญ่โตเทียบได้กับสนามฟุตบอล 2 สนามรวมกัน เป็นสิ่งที่ธรรมชาติไม่น่าจะสรรค์สร้างขึ้น
คอพิอุสและราฟาเอลโร่ ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ตรงจุดที่ใกล้กับธารน้ำตกที่สุด เมื่อยิ่งใกล้ก็ยิ่งประจักษ์ได้ถึงความมโหฬารที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เบื้องหลังของธารน้ำตกคือหน้าผาที่แบ่งเป็นชั้นพักคล้ายกับขั้นบันได
“waterfall of life คือธานน้ำตกที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต เป็นพลังที่หล่อเลี้ยงทั้งสัตว์และพืช ให้เติบโตและอยู่รอดได้ อีกทั้งพลังเยียวยาที่หาได้ยาก สามารถรักษาได้กระทั่งบาดแผลภายนอกและภายใน
ละอองที่ฟุ้งไปทั่วทำให้ทุกอย่างรอบตัวแลดูพล่าเรือน แต่ก็งดงาม เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ แสงที่สะท้อนกลับนั้นกลายเป็นสีรุ้ง เปล่งประกายระยิบระยับราวกับประกายของเพชร พื้นดินโดยรอบที่นุ่มนิ่มและร่วนซุยต่างจากที่อื่น เชื้อเชิญให้หมู่สัตว์น้อยใหญ่มาพำนัก และอาศัยใต้ร่มเงาของแมกไม้นานาพันธุ์ที่ขึ้นอยู่รอบน้ำตกแห่งชีวิต
“ราฟาเอล มานี้ที”
เสียงเรียกของ คอพิอุส ดึง ราฟาเอลโร่ ให้ออกมาจากภวังค์ และเดินตรงไปที่เขา คอพิอุสดึงผ้าสีน้ำเงินที่ห่อหุ้มบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และคลีมันออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นเมล็ดพันธุ์สีขาวขุ่นที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดอัลมอนด์แต่มีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว
“นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้น world wood”
คอพิอุสกล่าวพลางยื่นมันให้กับราฟาเอลโร่ และเริ่มพูดต่อ
“มันจะมีปฏิกิริยาต่อพลังเวทย์ในตัวเจ้า แต่ถ้าไม่ก็ลองเพิ่มน้ำลงไปหน่อยถ้าจะดี”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของคอพิอุสดี เมล็ดของต้น world wood ก็เริ่มผลิแตกแทงยอดอ่อนออกจากตรงกลางแกนเมล็ด ยอดอ่อนหลายเส้นโอบรัดกันเป็นเกลียว แตกกิ่งก้านเล็กๆ และตามด้วยใบที่เปล่งแสงวูบวาบเปลี่ยนสีไปมาหลากหลายสี
“5555 คงไม่ต้องแล้วสินะ”
คอพิอุสกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อมองไปยังยอดอ่อนของต้นเวิลด์วู๊ด และหยิบมันจากราฟาเอลโร่ มาวางไว้บนผ้าสีน้ำเงินผืนเดิม
“น่าสนใจเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้เกินขาด เวลายังเหลืออีกเยอะ เรามาต่อกันเลยดีไหม"
“ครับ”
ราฟาเอลขานรับอย่างกระตือรือร้น เพราะดูเหมือนเขาจะพึ่งตระหนักได้ว่าตัวเองมีพลังเวทย์
“ก่อนอื่น เจ้าจะต้องเรียนรู้เรื่องทฤษฎีเสียก่อน พลังเวทย์คือพลังที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ดังนั้นลักษณะทางกายภาพเบื้องต้นของพลังเวทย์ก็ไม่ต่างอะไรจากธรรมชาติเลย นั่นก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด ส่วนพลังเวทย์ที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิด จะเป็นพลังเวทย์พิเศษ ดังนั้นเราจะเรียกผู้มีพลังเวทย์เหล่านั้นว่า “ไฮด” พลังเวทย์พิเศษนั้นก็มีอยู่มากมายยกตัวอย่างเช่น ผู้ควบคุมเวลา ผู้อ่านจิต ผู้ใช้พิษ เนตรทิพย์ ผู้หยั่งรู้ ผู้ปฏิเสธ ผู้ควบคุมพืช ผู้กัดกร่อน ผู้แบกรับ และผู้เยียวยาก็เป็นหนึ่งในไอด"
คอพิอุสหยุดประโยคให้ราฟาเอลโร่ได้คิดตาม พร้อมกับยิ้มมุมปากกว้างๆ ให้กับราฟาเอลโร่ที่ตั้งใจฟัง และยิ้มอย่างแปลกใจเมื่อรู้เรื่องว่าตนก็เป็นหนึ่งในไฮด
“จริงหรอครับ”
คอพิอุสพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามนั้น และกล่าวบททฤษฎีของเขาต่อ
“ผู้ใช้พลังพิเศษถึงจะมีอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็ถือว่าหายาก ส่วนผู้ใช้พลังส่วนมากจะเป็นผู้ใช้พลังธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืดซะส่วนใหญ่ ซึ่งไฮดเอวก็สามารถใช้พลังธาตุเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน ธาตุพื้นฐานที่ผู้มีพลังเวทย์ทุกคนจะต้องมี นั้นก็คือ ธาตุลม แต่หากอยากใช้พลังธาตุให้ได้เจ้าจะต้องมีแก่นพลังเสียก่อน”
“แล้วต้องทำยังไงหรอครับ”
ราฟาเอลโร่กล่าวถามอย่างครุ่นคิด มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ข้างในตัวเขาร่ำร้องอยากไขว่คว้ามันมา เรื่องที่เขามองว่าไกลตัวมาตลอด ราฟาเอลโร่ที่เคยเฝ้าแต่คิดฝันว่าหากว่าตนมีพลังเวทย์ จะดีสักแค่ไหนกันนะ แต่เขากลับหยุดคิดและยอมรับมันไปนานแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อคนเราได้รับในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกมันย่อมโลดแล่นและดีเกินคำบรรยาย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น