ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : องค์ที่ 14 แผนลวง
หลังจากการอำลาของอลูคาร์ด ราฟาเอลโร่ก็ใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกซ๊อม คอพิอุสก็ยังคงยุ่งวุ่นวายกับภาระกิจที่รัดตัว แต่ยังคงสามารถเคี่ยวกรำเขา ผ่านเกรนเดลผู้มากความสามารถ
เพราะหากยังมิลืมเลือนราฟาเอลโร่ยังคงต้องฝึกปรือธาตุที่กำเนิดมาพร้อมกับเขาอีกสองธาตุให้ชำนาญ นั้นคือแสงสว่างที่ช่างหักล้างกับความมืด แต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยผู้นี้จะครอบความขัดแย้งนั้นไว้ในกายเนื้อ
แม้ราฟาเอลโร่จะบากบั่นต่อการฝึกฝนเพียงใด เขาก็มิลืมเลือนที่จะแวะไปเยียมเยือนวิหคเพลิงที่เปรียบได้กับสหายอีกคนของเขา เขามักจะเสวนาหลายๆ สิ่งให้วิหคเพลิงได้ที่สดับรับฟังอยู่เสมอ แม้จะมิได้มีสุ่มเสียงใดๆ ตอบกลับมา
“อลูคาร์ดเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนที่ชั่งสังเกตุ และห่วงใย ข้าอาจจะมิมีวันได้พบเจอสหายแบบเขาอีก”
ราฟาเอลโร่ที่นั่งพิงลำตัวของวิหคเพลิงอย่างใกล้ชิด และแลดูเหมือนมันเองก็มิได้รังเกียจเบียดฉันอันใดเขาเลย มันกลับพยายามปลอยโยนเขา โดยการใช้ศรีษะดันไปที่ตัวเขาเบาๆ ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตา
“ขอบคุณ ถึงจะเหงา แต่ข้าก็ไม่เป็นไร”
ถือเป็นการคาดเดาที่ดี ถึงแม้เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจนัก ว่านั้นเป็นการปลอยโยนสะทีเดียว เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเข้ารู้เปล่า แต่การได้พูดออกมาก็ทำให้เขาสงบขึ้น
แอสโทรเฟียนครหลวงอันอันรุ่งเรือง อีกแห่งของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ที่นี้อุดมไปด้วยทรัพยากรอันมากมาย ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ การบรรจบของสายธารพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่ที้เกิดขึ้นเอง ที่ทำให้ทุกชีวิตที่นี้เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต
และปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่งดงามเนื่องด้วยเป็นนครแห่งเดียวที่มีครบทั้งเบญจาตฤดู แม้ในยามที่รัตติกาลมาเยือน หากมิได้นับรวมแสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่มิมีวันมอดดับแห่งวิลเวอร์ซันแล้ว ก็ยังคงมีหลายชีวิตที่เจิดจรัสในราตรีอันมืดมิด หิ่งห้อยลวงตาก็ไปหนึ่งในนั้น พวกมันเปร่งประกายแสงแห่งชีวิตหลายหลากสี บินตอมดอกไม้เรืองแสงที่ถูกปลูกไว้อย่างสวยงามตามระเบียงที่สร้างจากหินอ่อนพันปี ณ ปราสาทแอสโทรเฟีย
“พระองค์ทรงเรียกพบข้าหรือฝ่าบาท"
“มาถึงแล้วงั้นรึ คอพิอุส”
เป็นน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่ทว่าก็อ่อนโยนนุ่มลึกในเวลาเดียวกัน กษัตริย์เอลฟ์ที่ได้รับคำกล่าวขานว่า ทรงพระปรีชาสามารถ ตั้งแต่เริ่มรัชสมัย ก็ก่อให้เกิดความผาสุขได้ตั้งแต่ทรงบัลลังก์ คอโดลาส ดิ กลาเดียร์ ทรงขึ้นครองราชหลังพระบิดาสวรรคต ในช่วงสงครามของเหล่าทวยเทพและราชันปีศาจ เรียกกันว่า ศึกบุปผาทองคำ
“พะยะคะ แลดูเหมือนหลังการประชุมโต๊ะกลาง มีเหตุให้ทรงกังวลพระหฤทัยหรือฝ่าบาท"
ร้อยยิ้มบางๆ นั้นถูกยกขึ้นที่มุมปาก มันเป็นการประทับรอยยิ้มด้วยความชื่นชม แต่น่าเสียดายยิ่งเมื่อคู่สนทนานั้น ได้ยลเพียงแผ่นหลัง
“หากขาดเจ้าไปข้าจะทำเยี่ยงไร คอพิอุส ข้าหวั่นความเงียบสงัดนี่เหลือเกิน เงียบเสียจนข้าเกรงว่าจะถูกความมืดมิดเบื้องหน้ากลืนกิน"
ของราชาผูเจับจองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้ากล่าวขึ้น
“ข้าเอง ก็อยากเหลือเกินให้สัมผัสอันเฉียบคมของพระองค์นั้นคลาดเคลื่อน แต่เหล่าวิญญาณในสายลมรอบตัวข้ากลับกระซิบบอกถึงสิ่งที่เรานั้นมองไม่เห็น"
บรรยากาศที่เคยผ่อนคลาย ตอนนี้กลับหนักอึ้ง แม้กระทั่งเหล่าหิ่งห้องที่บินอวดแสงสี ยังต้องดับแสงเพื่อเร้นกายให้พ้นจากความกระอักกระอวนนี้
“นิมิตข้าเลือนรางอย่างที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน นัยน์ตาข้ามืดบอด เหมือนเราคล้ำทางในความมืดอันไร้จุดหมาย"
“พระองค์ทรงไว้พระทัยข้าหรือไม่"
“เจ้าเป็นเพียงผู้เดียว ที่ข้าจะมิมีวันเคลือบแคลง คอพิอุส"
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคอพิอุสปะปนไปด้วยความรู้สึกหลายสิ่งหลายอย่าง
“ทรงวางพระทัยเถิด ข้าและคนของพระองค์จะตีฝ่าขวากหนาม และทอดเส้นทางไปสู่แสงที่ทอสว่างไสวเบื้องหน้าให้พระองค์เองฝ่าบาท"
การปรากฏกายดั่งฝูงมดที่ทำรังจากใบพฤกษา ของเหล่าปีศาจจากอเวจี เริ่มมีให้ประจักษ์บ่อยครั้งจนนับมิได้ ทำให้ความถี่ในการออกทำภารกิจนะ้นเพิ่มขึ้น
ราฟาเอลโร่ที่เหน็ดเหนื่อยกลับมาจากการสู่รบที่ติดต่อกันร่วมสัปดาห์ เมื่อถึงห้องเขาก็ไม่รีรอที่จะถอดชุดไพรเวทย์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเหล่าปีศาจ ที่แห้งกรังอีกทั่งยังเหม็นสาบออกจากร่างกาย
แล้วพร่ำบอกตัวเองว่าหลังจากวันพรุ่งนี้เขาจะมีเวลาได้พักแล้ว ชุดไพรเวทย์ถูกเก็บออกจากห้องพักโดยเหล่าโนมรับใช้ และนำไปทำความสะอาด ต่อด้วยเวทย์แห่งการชะล้าง
“นี้เป็นชุดไพรเวทย์ของท่านราฟาเอลโร่”
โนมรับใช้ที่มีเรือนที่เงาเป็นสีเขียว รูปร่างที่มิต่างไปจากเด็กชายคนนึ่ง ส่งต่อตะกร้าอาภรณ์ที่ต้องทำความสะอาดให้โนมหญิงตนนึ่ง
“ร่วมหกปักษ์ได้แล้ว ที่ชุดไพร่เวทย์อาภรณ์ที่ เปอะเปือนโลหิตแล้วชำล้างมิได้"
( 1 ปักษ์ คือ 15 วัน /4 ปักษ์คือ 2 เดือน)
โนมหญิงที่มีเรื่องผมสีชมพู แสดงสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหยิบชุดไพรเวทญ์ที่เปรอะเปื้อนได้ด้วยคราบโลหิตแห้งกรังขึ้นมาจ้องมอง
“หากเป็นเช่นนั้นก็ต้อง คงต้องทำลายเสีย แล้วก่อนที่ท่านราฟาเอลจะไร้ซึ่งชุดไพรเวทย์ คงต้องแจ้งให้ท่านเกรนเดลสั่งตัดอาภรณ์ใหม่"
โนมเรือนผมเขียวกล่าว ก่อนจะคว้านึ่งในชุดไพรเวทย์แล้วเดินออกไป
#ก๊อกๆ# เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้เกรนเดลซึ่งตอนนี้ง่วงกับงานเอกสารบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้น
“เข้ามา"
โนมชายที่มีเรือนผมสีเขียว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ราวกับเด็กชายวัย 10 ขวบ ได้เปิดประตู และเยื้องเยียงเข้าไป
“ขอรับ ข้ามีเหตุที่ต้องแจ้งขอรับ"
“ว่ามาเลย"
เกรนเดลเบนหน้ากลับไปที่งานเอกสารบนโต๊ะ
“ชุดไพรเวทย์ของท่านราฟาเอลโร่ขอรับ มันเลอะคราบโลหิตของปีศาจ ราวกับหมึกเวทย์ที่ฝังแน่นคราบโลหิตนั้นคงอยู่มิอาจเลือนหาย มิเคยเป็นมาก่อน จะต้องทำลายชุดทิ้ง หากแต่ท่านจะสามารถสั่งตัดชุดให้ท่าราฟาเอลเพิ่มได้หรือไม่ขอรับ”
โนมกล่าวพร้อมยื่นชุดไพรเวทย์ในมือให้เกรนเดล ที่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“มิอาจชำระล้างได้งั้นรึ นานเท่าไรแล้ว”
“6 ปักษ์ได้ขอรับ"
เกรนเดลคว้าหยิบชุดไพรเวทย์ตรงหน้ามาพินิจ ดวงตาเขาส่อแววฉงนอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้าลองกับทุกทางแล้วงั้นรึ"
“ขอรับ ทุกทางแล้วขอรับ เมื่อก่อนโดยส่วนมาก เมื่อร่ายเวทย์ชำระล้างคราบโลหิตก็จะเลือนหาย และกลับมาเหมือนใหม่ แต่พักหลังนี้มิอาจทำได้ขอรับ"
“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก ข้าจะเร่งให้ช่างตัดอาภรณ์ใหม่และส่งมาให้"
“ขอรับ งั้นข้าขอตัวขอรับ"
เกรนเดลพยักหน้า ในมือยังคงมีชุดไพรเวทที่เปื้อนเลือด เขานั่งจ้องมองไปที่มันอยู่นาน พยายามนึกถึงสาเหตุที่โลหิตนั้นเกิดชำระล้างมิได้ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา แม้หลังจากงานรับผิดชอบได้เสร็จสิ้น ในยามที่ทุกคนหลับไหล ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้าง นั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิมให้ห้องของเขา และนึกวกวนกลับไปมา
"ทำไมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทั่งที่รู้ทั่งรู้ว่ามันมิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย ที่อยู่ๆ คราบโลหิตที่เคยล้างออกอย่างง่ายดาย กลับชำระล้างไม่ได้ เฮ้ย หรือข้าจะวิตกไปเอง”
เกรนเดนวางมือจากชุดไพรเวทที่ถืออยู่ หันความสนใจไปยังเอกสารที่กองอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง
“จริงสิข้าต้องส่งสารไปหาช่างเสื้อ เพื่อสั่งตัดชุดไพรเวท”
ก่อนจะหยิบปากกาขนนกและกระดาษ บรรจงเขียนสารขอให้สิ่งที่ต้องการ และดึงกระดาษอีกแผ่นเพื่อร่างอักขระเพื่อสร้างวงเวทย์ แต่เมื่อบรรจงอักขระได้เพียงครึ่งทาง มือเรียวที่จับด้ามปากกาก็หยุดยิ่ง
“นี้ไง เหตุผล”
ปากกาและกระดาษถูกวางลงเบื้องหน้า เกรนเดลเอื้อมมือคว้าชุดไพรเวทย์เปื้อนคราบเลือด ก่อนที่จะลุกขึ้นพร้อมกับก้าวเดินออกจากประตูอย่างเร่งรีบ
เพราะหากยังมิลืมเลือนราฟาเอลโร่ยังคงต้องฝึกปรือธาตุที่กำเนิดมาพร้อมกับเขาอีกสองธาตุให้ชำนาญ นั้นคือแสงสว่างที่ช่างหักล้างกับความมืด แต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยผู้นี้จะครอบความขัดแย้งนั้นไว้ในกายเนื้อ
แม้ราฟาเอลโร่จะบากบั่นต่อการฝึกฝนเพียงใด เขาก็มิลืมเลือนที่จะแวะไปเยียมเยือนวิหคเพลิงที่เปรียบได้กับสหายอีกคนของเขา เขามักจะเสวนาหลายๆ สิ่งให้วิหคเพลิงได้ที่สดับรับฟังอยู่เสมอ แม้จะมิได้มีสุ่มเสียงใดๆ ตอบกลับมา
“อลูคาร์ดเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนที่ชั่งสังเกตุ และห่วงใย ข้าอาจจะมิมีวันได้พบเจอสหายแบบเขาอีก”
ราฟาเอลโร่ที่นั่งพิงลำตัวของวิหคเพลิงอย่างใกล้ชิด และแลดูเหมือนมันเองก็มิได้รังเกียจเบียดฉันอันใดเขาเลย มันกลับพยายามปลอยโยนเขา โดยการใช้ศรีษะดันไปที่ตัวเขาเบาๆ ก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตา
“ขอบคุณ ถึงจะเหงา แต่ข้าก็ไม่เป็นไร”
ถือเป็นการคาดเดาที่ดี ถึงแม้เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจนัก ว่านั้นเป็นการปลอยโยนสะทีเดียว เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเข้ารู้เปล่า แต่การได้พูดออกมาก็ทำให้เขาสงบขึ้น
แอสโทรเฟียนครหลวงอันอันรุ่งเรือง อีกแห่งของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ที่นี้อุดมไปด้วยทรัพยากรอันมากมาย ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ การบรรจบของสายธารพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่ที้เกิดขึ้นเอง ที่ทำให้ทุกชีวิตที่นี้เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต
และปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่งดงามเนื่องด้วยเป็นนครแห่งเดียวที่มีครบทั้งเบญจาตฤดู แม้ในยามที่รัตติกาลมาเยือน หากมิได้นับรวมแสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่มิมีวันมอดดับแห่งวิลเวอร์ซันแล้ว ก็ยังคงมีหลายชีวิตที่เจิดจรัสในราตรีอันมืดมิด หิ่งห้อยลวงตาก็ไปหนึ่งในนั้น พวกมันเปร่งประกายแสงแห่งชีวิตหลายหลากสี บินตอมดอกไม้เรืองแสงที่ถูกปลูกไว้อย่างสวยงามตามระเบียงที่สร้างจากหินอ่อนพันปี ณ ปราสาทแอสโทรเฟีย
“พระองค์ทรงเรียกพบข้าหรือฝ่าบาท"
“มาถึงแล้วงั้นรึ คอพิอุส”
เป็นน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่ทว่าก็อ่อนโยนนุ่มลึกในเวลาเดียวกัน กษัตริย์เอลฟ์ที่ได้รับคำกล่าวขานว่า ทรงพระปรีชาสามารถ ตั้งแต่เริ่มรัชสมัย ก็ก่อให้เกิดความผาสุขได้ตั้งแต่ทรงบัลลังก์ คอโดลาส ดิ กลาเดียร์ ทรงขึ้นครองราชหลังพระบิดาสวรรคต ในช่วงสงครามของเหล่าทวยเทพและราชันปีศาจ เรียกกันว่า ศึกบุปผาทองคำ
“พะยะคะ แลดูเหมือนหลังการประชุมโต๊ะกลาง มีเหตุให้ทรงกังวลพระหฤทัยหรือฝ่าบาท"
ร้อยยิ้มบางๆ นั้นถูกยกขึ้นที่มุมปาก มันเป็นการประทับรอยยิ้มด้วยความชื่นชม แต่น่าเสียดายยิ่งเมื่อคู่สนทนานั้น ได้ยลเพียงแผ่นหลัง
“หากขาดเจ้าไปข้าจะทำเยี่ยงไร คอพิอุส ข้าหวั่นความเงียบสงัดนี่เหลือเกิน เงียบเสียจนข้าเกรงว่าจะถูกความมืดมิดเบื้องหน้ากลืนกิน"
ของราชาผูเจับจองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้ากล่าวขึ้น
“ข้าเอง ก็อยากเหลือเกินให้สัมผัสอันเฉียบคมของพระองค์นั้นคลาดเคลื่อน แต่เหล่าวิญญาณในสายลมรอบตัวข้ากลับกระซิบบอกถึงสิ่งที่เรานั้นมองไม่เห็น"
บรรยากาศที่เคยผ่อนคลาย ตอนนี้กลับหนักอึ้ง แม้กระทั่งเหล่าหิ่งห้องที่บินอวดแสงสี ยังต้องดับแสงเพื่อเร้นกายให้พ้นจากความกระอักกระอวนนี้
“นิมิตข้าเลือนรางอย่างที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน นัยน์ตาข้ามืดบอด เหมือนเราคล้ำทางในความมืดอันไร้จุดหมาย"
“พระองค์ทรงไว้พระทัยข้าหรือไม่"
“เจ้าเป็นเพียงผู้เดียว ที่ข้าจะมิมีวันเคลือบแคลง คอพิอุส"
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคอพิอุสปะปนไปด้วยความรู้สึกหลายสิ่งหลายอย่าง
“ทรงวางพระทัยเถิด ข้าและคนของพระองค์จะตีฝ่าขวากหนาม และทอดเส้นทางไปสู่แสงที่ทอสว่างไสวเบื้องหน้าให้พระองค์เองฝ่าบาท"
การปรากฏกายดั่งฝูงมดที่ทำรังจากใบพฤกษา ของเหล่าปีศาจจากอเวจี เริ่มมีให้ประจักษ์บ่อยครั้งจนนับมิได้ ทำให้ความถี่ในการออกทำภารกิจนะ้นเพิ่มขึ้น
ราฟาเอลโร่ที่เหน็ดเหนื่อยกลับมาจากการสู่รบที่ติดต่อกันร่วมสัปดาห์ เมื่อถึงห้องเขาก็ไม่รีรอที่จะถอดชุดไพรเวทย์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเหล่าปีศาจ ที่แห้งกรังอีกทั่งยังเหม็นสาบออกจากร่างกาย
แล้วพร่ำบอกตัวเองว่าหลังจากวันพรุ่งนี้เขาจะมีเวลาได้พักแล้ว ชุดไพรเวทย์ถูกเก็บออกจากห้องพักโดยเหล่าโนมรับใช้ และนำไปทำความสะอาด ต่อด้วยเวทย์แห่งการชะล้าง
“นี้เป็นชุดไพรเวทย์ของท่านราฟาเอลโร่”
โนมรับใช้ที่มีเรือนที่เงาเป็นสีเขียว รูปร่างที่มิต่างไปจากเด็กชายคนนึ่ง ส่งต่อตะกร้าอาภรณ์ที่ต้องทำความสะอาดให้โนมหญิงตนนึ่ง
“ร่วมหกปักษ์ได้แล้ว ที่ชุดไพร่เวทย์อาภรณ์ที่ เปอะเปือนโลหิตแล้วชำล้างมิได้"
( 1 ปักษ์ คือ 15 วัน /4 ปักษ์คือ 2 เดือน)
โนมหญิงที่มีเรื่องผมสีชมพู แสดงสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อหยิบชุดไพรเวทญ์ที่เปรอะเปื้อนได้ด้วยคราบโลหิตแห้งกรังขึ้นมาจ้องมอง
“หากเป็นเช่นนั้นก็ต้อง คงต้องทำลายเสีย แล้วก่อนที่ท่านราฟาเอลจะไร้ซึ่งชุดไพรเวทย์ คงต้องแจ้งให้ท่านเกรนเดลสั่งตัดอาภรณ์ใหม่"
โนมเรือนผมเขียวกล่าว ก่อนจะคว้านึ่งในชุดไพรเวทย์แล้วเดินออกไป
#ก๊อกๆ# เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้เกรนเดลซึ่งตอนนี้ง่วงกับงานเอกสารบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้น
“เข้ามา"
โนมชายที่มีเรือนผมสีเขียว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ราวกับเด็กชายวัย 10 ขวบ ได้เปิดประตู และเยื้องเยียงเข้าไป
“ขอรับ ข้ามีเหตุที่ต้องแจ้งขอรับ"
“ว่ามาเลย"
เกรนเดลเบนหน้ากลับไปที่งานเอกสารบนโต๊ะ
“ชุดไพรเวทย์ของท่านราฟาเอลโร่ขอรับ มันเลอะคราบโลหิตของปีศาจ ราวกับหมึกเวทย์ที่ฝังแน่นคราบโลหิตนั้นคงอยู่มิอาจเลือนหาย มิเคยเป็นมาก่อน จะต้องทำลายชุดทิ้ง หากแต่ท่านจะสามารถสั่งตัดชุดให้ท่าราฟาเอลเพิ่มได้หรือไม่ขอรับ”
โนมกล่าวพร้อมยื่นชุดไพรเวทย์ในมือให้เกรนเดล ที่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“มิอาจชำระล้างได้งั้นรึ นานเท่าไรแล้ว”
“6 ปักษ์ได้ขอรับ"
เกรนเดลคว้าหยิบชุดไพรเวทย์ตรงหน้ามาพินิจ ดวงตาเขาส่อแววฉงนอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้าลองกับทุกทางแล้วงั้นรึ"
“ขอรับ ทุกทางแล้วขอรับ เมื่อก่อนโดยส่วนมาก เมื่อร่ายเวทย์ชำระล้างคราบโลหิตก็จะเลือนหาย และกลับมาเหมือนใหม่ แต่พักหลังนี้มิอาจทำได้ขอรับ"
“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก ข้าจะเร่งให้ช่างตัดอาภรณ์ใหม่และส่งมาให้"
“ขอรับ งั้นข้าขอตัวขอรับ"
เกรนเดลพยักหน้า ในมือยังคงมีชุดไพรเวทที่เปื้อนเลือด เขานั่งจ้องมองไปที่มันอยู่นาน พยายามนึกถึงสาเหตุที่โลหิตนั้นเกิดชำระล้างมิได้ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา แม้หลังจากงานรับผิดชอบได้เสร็จสิ้น ในยามที่ทุกคนหลับไหล ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้าง นั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิมให้ห้องของเขา และนึกวกวนกลับไปมา
"ทำไมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทั่งที่รู้ทั่งรู้ว่ามันมิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย ที่อยู่ๆ คราบโลหิตที่เคยล้างออกอย่างง่ายดาย กลับชำระล้างไม่ได้ เฮ้ย หรือข้าจะวิตกไปเอง”
เกรนเดนวางมือจากชุดไพรเวทที่ถืออยู่ หันความสนใจไปยังเอกสารที่กองอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง
“จริงสิข้าต้องส่งสารไปหาช่างเสื้อ เพื่อสั่งตัดชุดไพรเวท”
ก่อนจะหยิบปากกาขนนกและกระดาษ บรรจงเขียนสารขอให้สิ่งที่ต้องการ และดึงกระดาษอีกแผ่นเพื่อร่างอักขระเพื่อสร้างวงเวทย์ แต่เมื่อบรรจงอักขระได้เพียงครึ่งทาง มือเรียวที่จับด้ามปากกาก็หยุดยิ่ง
“นี้ไง เหตุผล”
ปากกาและกระดาษถูกวางลงเบื้องหน้า เกรนเดลเอื้อมมือคว้าชุดไพรเวทย์เปื้อนคราบเลือด ก่อนที่จะลุกขึ้นพร้อมกับก้าวเดินออกจากประตูอย่างเร่งรีบ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น