ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : วงที่ 12 มิตรภาพ
อลูคาร์ดที่หันไปสนทนากับราฟาเอลโร่ และพึ่งสังเกตุว่าคันธนูที่ถืออยู่ตอนนี้ลุกเป็นไฟ อลูคาร์ดรีบปล่อยมือจากคันธนูทันที แล้วหันมาปัดป้องลูกบอลน้ำที่พุ่งมาทางเขา แต่จำนวนของเวทย์น้ำที่พุ่งมาอย่างไม่ขาดสายก็ทำให้การปัดป้องของอลูคาร์ดนั้นพลาดไป หนึ่งลูกที่พุ่งเข้าใส่ท้องเขาอย่างจัง ความเจ็บปวดทำให้อลูคาร์ดทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า”
อลูคาร์ดที่เอ่ยถาม แต่แทบจะมิมีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นอกเสียจากการโจมตีที่พุ่งมายังเขา ราวกับหยาดฝน กำแพงดินถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องร่างกายจากการโจมตี
อลูคาร์ดถึงกับโล่งอก เมื่อแรงสั่นสะเทือนที่กระแทกกำแพงดินนั้นหายไป แต่ร่างกายต้องแข็งทื่อพร้อมกับขนที่ลุกไปทั้งตัว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดต้นคออยู่ อลูคาร์ดหันหลังกลับ เสี้ยววินาทีที่เขาเห็นใบหน้าของราฟาเอลโร่ ก่อนที่ร่างกายจะถูกตรึงไว้บนกำแพงดินที่ตัวเองสร้างขึ้น
“ปล่อยข้านะ”
อลูคาร์ดที่เกรี้ยวกราวเพราะมิเข้าใจถึงเหตุที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไหร่บ้างพะยะคะ ทรงเจ็บหรือไม่เมื่อถูกโจมตี ทรงวาดกลั่วหรือไม่เมื่อกระทำอันใดมิได้ หมู่สัตว์ที่ถูกพระองค์ล่าก็รู้สึกเช่นเดียวกันหรืออาจแย่ยิ่งกว่า”
อลูคาร์ดตระหนักถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการที่จะสื่อในทันที่ หากแอเธอเรดเป็นผู้ที่มีใจกว้างดุจท้องทะเลอันกว้างใหญ่ อลูคาร์ดก็กว้างยิ่งกว่า
ถึงบัดนี้จะเป็นเพียงเด็กเล็ก แม้การเป็นลูกชายคนรองที่ทำให้รายต่อหลายผู้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ก็มิได้ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกระทำตัวเช่นนั้น มิจำต้องเห็นแก่ตัวหรือง้อแง่เลยแม้แต่น้อย
เพราะการสูญเสียมารดาเมื่อครั้งเยาว์วัย และด้วยพลานามัยของพระเชษฐาที่ประสูติมาแล้วมีพระวรกายที่เปราะบางจนต้องพึ่งพิงเขาอยู่ร่ำไป ด้วยเหตุที่บิดามิอาจจัดสรรเวลาให้ ทั้งคู่จึงจำต้องใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่กับเชษฐามีเพียงกันและกัน อลูคาร์ดจึงกลายเป็นผู้ที่ช่างเห็นอกเห็นใจ ช่างสังเกตุ และค่อยคียงข้างผู้อื่นเสมอ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ไปอีกแล้ว แล้วปล่อยข้าลงด้วย”
อลูคาร์กล่าวอย่างนิ่งเฉย แต่เป็นน้ำเสียงที่ตระหนักรู้ และดังพอที่จะได้ยิน ราฟาเอลโร่นิ่งเงียบเขาตัวรู้ว่าตนกระทำเกินความจำเป็น แต่ก็ยินยอมที่จะปล่อยอลูคาร์ด แม้จะไม่แน่ใจว่า เจ้าชายตรงหน้าจะรู้สึกเเค้นเคียงเขาหรือไม่
“โอ้ยเจ็บชะมัด เจ้าก็เล่นแรงเกิน”
“โปรดอภัยด้วยพะยะคะ”
อลูคาร์ดหันมายิ้มกับราฟาเอลโร่อย่างมันเลศนัย
“ถ้ารู้สึกผิด ต่อแต่นี้ก็พูดเหมือนคนปกติเขาพูดกัน เจ้าชื่อราฟาเอลโร่ใช่ไหม ข้าอลูคาร์ด บรอสมันด์ เรียกแค่ชื่อก็พอเข้าใจนะ”
อลูคาร์ดที่มาเยื้อนมีกำหนดการพำนักอยู่เป็นระยะเวลาราว 2 ปี เพื่อฝึกฝนและขัดเกลาฝีมือของตัวของตน ก่อนการเสด็จกลับของแอเธอเรด องค์ราชาก็ได้ทรงแสดงอีกมุมที่ยากจะเห็น แอเธอเรดสวมกอดลูกชายอย่างรักไร่ พร้อมกับกล่าววาจาอย่างอ่อนโยน
“อย่าหุนหันพลันแล่น เป็นศิษย์ที่ดีจงเชื่อฟังอาจารย์ จงหนักแน่น และรักษาตัวให้ดีจนกว่าจะได้กลับ พ่อและพี่รอค่อยเจ้าอยู่”
“พะยะคะเสด็จพ่อ ข้าฝากท่านพี่ด้วยนะพะยะคะ”
แอเธอเรดยิ้มน้อยๆ กับคำพูดของบุตรชาย ก่อยที่จะหันไปหาคอพิอุส
“ท่านคอพิอุส เอ็นดูบุตรของข้าด้วย และวันนี้หากมีสิ่งใดที่ข้าทำให้ขุ่นเคือง ก็โปรดอภัยความมิแยกแยะของข้าด้วย”
“พระองค์ทรงมีหทัยกว้างเสมอฝ่าบาท ทรงอย่าได้วิตกเรื่องท่านชายเลย ขอให้ทรงเสด็จกลับโดยปลอดภัยพะยะคะ”
หลังจากการกล่าวคำอำ แอเธอเรดที่ทรงเสด็จมาเยือนโดยการใช้ตราประทับเวทย์ที่มีไม่กี่ชิ้น ซึ่งยากที่ใครจะได้ครอบครอง ตราประทับเวทย์จะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าราชวงค์เอลฟ์ และเสริมเวทย์สุดท้ายโดยองค์กษัตริย์ของแอสโทรเฟียเท่าน้ั้น
องค์แอเธอเรดได้ทรงเสด็จจากไปพร้อมกับวัตสันที่กำลังจะผ่านพ้น และต้นเหมันต์ที่กำลังจะมาเยือน
หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นราฟาเอลโร่และอลูคาร์ด ก็กลับสนิทสนมกันนิ่งนัก แม้ราฟาเอลโร่จะเป็นเด็กสุขุมที่พูดน้อย แต่อลูคาร์ดก็ร่าเริงและไม่ถือตัวเลยแม้แต่นิด การรำเรียนของทั้งคู่ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะฝึกในลานฝึกเดียวกัน แต่อลูคาร์ดยังคงอยู่ในขั้นพื้นฐานของการการใช้พลังเวทย์ และไม่สารถมองเห็นซึ่งอนูพลังเวทย์ได้ การสัมผัสและจดจำความรู้สึก จึงเป็นหนทางเดียวของเขา ซึ่งมันต้องใช้เวลา แต่ราฟาเอลโร่นั่นเชียวชาญในขั้นที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย เขาสามารถใช้พลังเวทย์ในรูปแบบต่างๆ ขณะต่อสู้กับศัตรูได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง หรือเสริมสร้างความคงทนด้วยธาตุต่างๆ ให้ทั่งกายเนื้อ และศาสตราวุธ
เหมันต์ได้ล่วงเลยไปแล้วถึง 2 ครา เหมันตฤดูที่มาเยือนในครานี้ได้ล่วงเข้าเป็นปีที่ 2 หลังการจากลาของแอเธอเรด ทุกสิ่งผ่านพ้นไปอย่างเร็วราวกับสายลมที่ต้องใบพฤกษาให้ร่วงหล่นในสารทฤดู การเติบโตอย่างงดงามและแข็งแกร่งของทั้งคู่ก็เช่นกัน
อลูคาร์ดที่ตอนนี้แกนพลังเวทย์เป็นสีแดงเข็ม และการฝึกฝนในขั้นที่ 1 ของเขาก็เชียวชาญและทรงพลัง ขณะที่ราฟาเอลโร่ได้รับความลับของพลังเวทย์จากการฝึกฝนกับคอพิอุส จึงทำให้แกนพลังเวทย์ของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วจนตอนนี้กลายเป็นสีเหลือง ร่วมทั้งการฝึกฝนในขั้นที่ 2การหลอมร่วมพลังเวทย์มากว่าหนึ่งให้แปลเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ใหม่ ก็เป็นไปได้ด้วยดี
ตอนนี้ทั้งสองมักจะได้ฝึกปรือฝีมือด้วยการออกทำภาระกิจจริงด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง เพราะการร่วมตัวของเหล่าภูตปีศาจจำนวนมาก เงาดำมืดที่พยายามแผ่ขยายปรากฏขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา จึงจำเป็นจะต้องมีการกระจายตัวของผู้เชียวชาญในการต่อสู้โดยใช้ทักษะเวทย์ เพื่อออกควบคุมสถานะการณ์ และตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนการก่อตัวที่จะนำไปสู่ภัยร้ายที่ไม่อาจควบคุมได้
”ราฟาเอลโร่ เจ้าตรวจฝั่งนั้นเสร็จรึยัง จะร่วมตัวกันแล้วนะ”
หลังจากการต่อสู้กับปีศาจจำนวนหลายสิบ ก็จะมีการรวมตัวเพื่อรายงานในสิ่งที่จบลงหลังการสู้รบ ทั่งกลุ่มจะปรากฏกายในอาภรณ์ที่ไม่ต่างกัน ชุดนั้นถูกสร้างให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะ จากการถักทอด้วยไหมเวทย์มายา สีของเปลือกไม้โอ๊คถูกเลือกเป็นสีของชุดจึงใช้ได้ดีในการอำพลาง ชุดกระชับที่พอดีตัวเสริมความคล่องแคล่วให้แก่กายเนื้อ มันคงทนต่อเวทย์ และต้านทานแรงเฉือดจากใบมีด
สมาชิกทั้งหมดในกลุ่มประกอบด้วยเอลฟ์ 6 และมนุษย์ 2 ผู้นำของกลุ่มคือเอลฟ์สาวที่ทรวดทรงองค์เอวงดงาม ที่มีเรือนผมสีทองอ่อน ถูกเปียแกะไปด้านหลัง ความยาวถึงเอว ปอยผมหน้าม้าที่ระกับหน้าผาก ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่ควร และมันก็มิเข้ากันเลยกับสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของเจ้าตัว
“ฝั่งเจ้าเป็นยังไง โอโดลาส”
โอโดลาสเป็นเอลฟ์หนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกำยำ ใบหน้าคมเข้มแต่เรือนผมสีบลอนด์กลับให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน
“เป็นปีศาจระดับล่างจำนวน 28 ตน ไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ผิดปกติใดๆ บนการหยาบ และบริเวณโดยรอบก็ไม่บ่งบอกถึงอันตรายครับ”
“แล้วฝั่งของเจ้าละราฟาเอลโร่”
“เป็นปีศาจระดับล่างจำนวน 18 และระดับขุนพลจำนวน 1 ตน ไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกถึงอันตรายครับ”
“ดีมาก งั้นทุกคนแยกย้ายได้ ขอบคุณสำหรับวันนี้”
"ขอบคุณครับ/คะ"
สิ้นเสียงของผู้นำกลุ่ม ทุกคนก็เก็บของที่จำเป็นของตน และแยกย้ายกัน
อลูคาร์ดที่คว้าข้าวของคล้องกายเรียบร้อยแล้ว หันเดินตรงมายังทิศทางที่ราฟาเอลโร่อยู่ และเอ่ยถาม
“กลับกันเลยไหมเอล”
ราฟาเอลโร่ที่เสร็จจากการง่วนอยู่กับรองเท้าของตัวเอง และลุกขึ้นยืน”
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า”
อลูคาร์ดที่เอ่ยถาม แต่แทบจะมิมีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นอกเสียจากการโจมตีที่พุ่งมายังเขา ราวกับหยาดฝน กำแพงดินถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องร่างกายจากการโจมตี
อลูคาร์ดถึงกับโล่งอก เมื่อแรงสั่นสะเทือนที่กระแทกกำแพงดินนั้นหายไป แต่ร่างกายต้องแข็งทื่อพร้อมกับขนที่ลุกไปทั้งตัว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดต้นคออยู่ อลูคาร์ดหันหลังกลับ เสี้ยววินาทีที่เขาเห็นใบหน้าของราฟาเอลโร่ ก่อนที่ร่างกายจะถูกตรึงไว้บนกำแพงดินที่ตัวเองสร้างขึ้น
“ปล่อยข้านะ”
อลูคาร์ดที่เกรี้ยวกราวเพราะมิเข้าใจถึงเหตุที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไหร่บ้างพะยะคะ ทรงเจ็บหรือไม่เมื่อถูกโจมตี ทรงวาดกลั่วหรือไม่เมื่อกระทำอันใดมิได้ หมู่สัตว์ที่ถูกพระองค์ล่าก็รู้สึกเช่นเดียวกันหรืออาจแย่ยิ่งกว่า”
อลูคาร์ดตระหนักถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการที่จะสื่อในทันที่ หากแอเธอเรดเป็นผู้ที่มีใจกว้างดุจท้องทะเลอันกว้างใหญ่ อลูคาร์ดก็กว้างยิ่งกว่า
ถึงบัดนี้จะเป็นเพียงเด็กเล็ก แม้การเป็นลูกชายคนรองที่ทำให้รายต่อหลายผู้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ก็มิได้ทำให้เขารู้สึกว่าต้องกระทำตัวเช่นนั้น มิจำต้องเห็นแก่ตัวหรือง้อแง่เลยแม้แต่น้อย
เพราะการสูญเสียมารดาเมื่อครั้งเยาว์วัย และด้วยพลานามัยของพระเชษฐาที่ประสูติมาแล้วมีพระวรกายที่เปราะบางจนต้องพึ่งพิงเขาอยู่ร่ำไป ด้วยเหตุที่บิดามิอาจจัดสรรเวลาให้ ทั้งคู่จึงจำต้องใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่กับเชษฐามีเพียงกันและกัน อลูคาร์ดจึงกลายเป็นผู้ที่ช่างเห็นอกเห็นใจ ช่างสังเกตุ และค่อยคียงข้างผู้อื่นเสมอ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ไปอีกแล้ว แล้วปล่อยข้าลงด้วย”
อลูคาร์กล่าวอย่างนิ่งเฉย แต่เป็นน้ำเสียงที่ตระหนักรู้ และดังพอที่จะได้ยิน ราฟาเอลโร่นิ่งเงียบเขาตัวรู้ว่าตนกระทำเกินความจำเป็น แต่ก็ยินยอมที่จะปล่อยอลูคาร์ด แม้จะไม่แน่ใจว่า เจ้าชายตรงหน้าจะรู้สึกเเค้นเคียงเขาหรือไม่
“โอ้ยเจ็บชะมัด เจ้าก็เล่นแรงเกิน”
“โปรดอภัยด้วยพะยะคะ”
อลูคาร์ดหันมายิ้มกับราฟาเอลโร่อย่างมันเลศนัย
“ถ้ารู้สึกผิด ต่อแต่นี้ก็พูดเหมือนคนปกติเขาพูดกัน เจ้าชื่อราฟาเอลโร่ใช่ไหม ข้าอลูคาร์ด บรอสมันด์ เรียกแค่ชื่อก็พอเข้าใจนะ”
อลูคาร์ดที่มาเยื้อนมีกำหนดการพำนักอยู่เป็นระยะเวลาราว 2 ปี เพื่อฝึกฝนและขัดเกลาฝีมือของตัวของตน ก่อนการเสด็จกลับของแอเธอเรด องค์ราชาก็ได้ทรงแสดงอีกมุมที่ยากจะเห็น แอเธอเรดสวมกอดลูกชายอย่างรักไร่ พร้อมกับกล่าววาจาอย่างอ่อนโยน
“อย่าหุนหันพลันแล่น เป็นศิษย์ที่ดีจงเชื่อฟังอาจารย์ จงหนักแน่น และรักษาตัวให้ดีจนกว่าจะได้กลับ พ่อและพี่รอค่อยเจ้าอยู่”
“พะยะคะเสด็จพ่อ ข้าฝากท่านพี่ด้วยนะพะยะคะ”
แอเธอเรดยิ้มน้อยๆ กับคำพูดของบุตรชาย ก่อยที่จะหันไปหาคอพิอุส
“ท่านคอพิอุส เอ็นดูบุตรของข้าด้วย และวันนี้หากมีสิ่งใดที่ข้าทำให้ขุ่นเคือง ก็โปรดอภัยความมิแยกแยะของข้าด้วย”
“พระองค์ทรงมีหทัยกว้างเสมอฝ่าบาท ทรงอย่าได้วิตกเรื่องท่านชายเลย ขอให้ทรงเสด็จกลับโดยปลอดภัยพะยะคะ”
หลังจากการกล่าวคำอำ แอเธอเรดที่ทรงเสด็จมาเยือนโดยการใช้ตราประทับเวทย์ที่มีไม่กี่ชิ้น ซึ่งยากที่ใครจะได้ครอบครอง ตราประทับเวทย์จะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าราชวงค์เอลฟ์ และเสริมเวทย์สุดท้ายโดยองค์กษัตริย์ของแอสโทรเฟียเท่าน้ั้น
องค์แอเธอเรดได้ทรงเสด็จจากไปพร้อมกับวัตสันที่กำลังจะผ่านพ้น และต้นเหมันต์ที่กำลังจะมาเยือน
หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นราฟาเอลโร่และอลูคาร์ด ก็กลับสนิทสนมกันนิ่งนัก แม้ราฟาเอลโร่จะเป็นเด็กสุขุมที่พูดน้อย แต่อลูคาร์ดก็ร่าเริงและไม่ถือตัวเลยแม้แต่นิด การรำเรียนของทั้งคู่ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ถึงแม้จะฝึกในลานฝึกเดียวกัน แต่อลูคาร์ดยังคงอยู่ในขั้นพื้นฐานของการการใช้พลังเวทย์ และไม่สารถมองเห็นซึ่งอนูพลังเวทย์ได้ การสัมผัสและจดจำความรู้สึก จึงเป็นหนทางเดียวของเขา ซึ่งมันต้องใช้เวลา แต่ราฟาเอลโร่นั่นเชียวชาญในขั้นที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย เขาสามารถใช้พลังเวทย์ในรูปแบบต่างๆ ขณะต่อสู้กับศัตรูได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง หรือเสริมสร้างความคงทนด้วยธาตุต่างๆ ให้ทั่งกายเนื้อ และศาสตราวุธ
เหมันต์ได้ล่วงเลยไปแล้วถึง 2 ครา เหมันตฤดูที่มาเยือนในครานี้ได้ล่วงเข้าเป็นปีที่ 2 หลังการจากลาของแอเธอเรด ทุกสิ่งผ่านพ้นไปอย่างเร็วราวกับสายลมที่ต้องใบพฤกษาให้ร่วงหล่นในสารทฤดู การเติบโตอย่างงดงามและแข็งแกร่งของทั้งคู่ก็เช่นกัน
อลูคาร์ดที่ตอนนี้แกนพลังเวทย์เป็นสีแดงเข็ม และการฝึกฝนในขั้นที่ 1 ของเขาก็เชียวชาญและทรงพลัง ขณะที่ราฟาเอลโร่ได้รับความลับของพลังเวทย์จากการฝึกฝนกับคอพิอุส จึงทำให้แกนพลังเวทย์ของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วจนตอนนี้กลายเป็นสีเหลือง ร่วมทั้งการฝึกฝนในขั้นที่ 2การหลอมร่วมพลังเวทย์มากว่าหนึ่งให้แปลเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ใหม่ ก็เป็นไปได้ด้วยดี
ตอนนี้ทั้งสองมักจะได้ฝึกปรือฝีมือด้วยการออกทำภาระกิจจริงด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง เพราะการร่วมตัวของเหล่าภูตปีศาจจำนวนมาก เงาดำมืดที่พยายามแผ่ขยายปรากฏขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา จึงจำเป็นจะต้องมีการกระจายตัวของผู้เชียวชาญในการต่อสู้โดยใช้ทักษะเวทย์ เพื่อออกควบคุมสถานะการณ์ และตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนการก่อตัวที่จะนำไปสู่ภัยร้ายที่ไม่อาจควบคุมได้
”ราฟาเอลโร่ เจ้าตรวจฝั่งนั้นเสร็จรึยัง จะร่วมตัวกันแล้วนะ”
หลังจากการต่อสู้กับปีศาจจำนวนหลายสิบ ก็จะมีการรวมตัวเพื่อรายงานในสิ่งที่จบลงหลังการสู้รบ ทั่งกลุ่มจะปรากฏกายในอาภรณ์ที่ไม่ต่างกัน ชุดนั้นถูกสร้างให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะ จากการถักทอด้วยไหมเวทย์มายา สีของเปลือกไม้โอ๊คถูกเลือกเป็นสีของชุดจึงใช้ได้ดีในการอำพลาง ชุดกระชับที่พอดีตัวเสริมความคล่องแคล่วให้แก่กายเนื้อ มันคงทนต่อเวทย์ และต้านทานแรงเฉือดจากใบมีด
สมาชิกทั้งหมดในกลุ่มประกอบด้วยเอลฟ์ 6 และมนุษย์ 2 ผู้นำของกลุ่มคือเอลฟ์สาวที่ทรวดทรงองค์เอวงดงาม ที่มีเรือนผมสีทองอ่อน ถูกเปียแกะไปด้านหลัง ความยาวถึงเอว ปอยผมหน้าม้าที่ระกับหน้าผาก ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่ควร และมันก็มิเข้ากันเลยกับสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของเจ้าตัว
“ฝั่งเจ้าเป็นยังไง โอโดลาส”
โอโดลาสเป็นเอลฟ์หนุ่มรูปร่างสูงโปร่งกำยำ ใบหน้าคมเข้มแต่เรือนผมสีบลอนด์กลับให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน
“เป็นปีศาจระดับล่างจำนวน 28 ตน ไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่ผิดปกติใดๆ บนการหยาบ และบริเวณโดยรอบก็ไม่บ่งบอกถึงอันตรายครับ”
“แล้วฝั่งของเจ้าละราฟาเอลโร่”
“เป็นปีศาจระดับล่างจำนวน 18 และระดับขุนพลจำนวน 1 ตน ไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกถึงอันตรายครับ”
“ดีมาก งั้นทุกคนแยกย้ายได้ ขอบคุณสำหรับวันนี้”
"ขอบคุณครับ/คะ"
สิ้นเสียงของผู้นำกลุ่ม ทุกคนก็เก็บของที่จำเป็นของตน และแยกย้ายกัน
อลูคาร์ดที่คว้าข้าวของคล้องกายเรียบร้อยแล้ว หันเดินตรงมายังทิศทางที่ราฟาเอลโร่อยู่ และเอ่ยถาม
“กลับกันเลยไหมเอล”
ราฟาเอลโร่ที่เสร็จจากการง่วนอยู่กับรองเท้าของตัวเอง และลุกขึ้นยืน”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น