ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : องค์ที่ 11 เจ้าชายแห่งอคาด้า
เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์ทอประกาย รุ่งอรุณของวันใหม่จึงมาเยือน หลังจากที่ทั้งคู่รับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
ราฟาเอลโร่ก็ออกเดินทางพร้อมกับวิหคเพลิง ที่ตอนนี้โบยบินได้อย่างคล่องแคลวว่องไว และเร็วพอกันกับก้าวพริบตาหรืออาจจะเร็วเสียยิ่งกว่า บรรยายในเช้านี้ชั่งดูอึมครึม ทำให้รู้สึกหดหู่ขึ้น ยิ่งพุ่งผ่านป่าลึกมากขึ้นเท่าไหร่ เส้นทางก็ยิ่งดูทึบมากขึ้นเรื่อยๆ
หากแต่เปลวเพลิงที่ส่องสว่างเจิดจ้า จากตัววิหคเพลิงที่บินอยู่ข้างกายเขา ทำให้ทุกอย่างรอบทั้งคู่กลับแจ่มชัด แม้จะพุ่งไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วปานสายฟ้า ก็ไม่มีทีท่าว่าเปลวเพลิงนั้นจะมอดดับ
เมื่อทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ปลายอุโมงค์ในรังของเจ้าวิหคเพลิง ที่ราฟาเอลโร่พบเจอวิหคเพลิงเป็นครั้งเเรก
มันโผบินผ่านร่างของราฟาเอลโร่พี่ค่อยๆ เดินลงมาตามแนวราบของพื้นถ้ำ มันบินเข้าสู่รังเบื้องหน้า และกลับสู่ร่างจริงที่มีใหญ่เทียบเท่าได้กับบ้านหลังหนึ่ง
ราฟาเอลโร่ที่กำลังจ้องมองวิหคเพลิงเปลี่นกายสุู่ร่างจริงของมัน เขาก็รู้สึกได้ถึงช่องว่างอันอ้างว้างที่เกิดขึ้นภายจิตใจ มันหาใช่การลาจากเขารู้ดี แต่ก็อดที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวไม่ได้
“ดูแลตัวเองให้ดี แล้วข้าจะมาเยี่ยม”
วิหคเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าก้มหัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวราฟาเอลโร่ ลงมาชนกับตัวของเขา โดยไม่ต้องกล่าวคำพูดใดๆ
ราฟาเอลโร่โอบกอดรอบศรีษะของวิหคเพลิงตรงหน้า และซุกหน้าของเขาเข้าไปในขนสีส้มแดงบนหัวมัน หลังจากนั้นวิหคเพลิงก็ได้ดึงขนที่ลำคอของมันออกมา
และมอบให้กับราฟาเอลโร่ ขนนกสีส้มปนแดงที่ตอนนี้เปลวไฟได้มอดดับลงแล้ว ลดขนาดของตัวมันลง และเข้าพันรอบต้นแขนของมือข้างที่ยื่นเข้ามาหามัน
“ขอบคุณนะ”
ราฟาเอลโร่ลูบไปที่ขนอันอ่อนนุ่มบนหัวของมันอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะกลับออกมา
รถม้าที่ดูโอ่อ่าสวยงาม พร้อมด้วยเหล่าผู้คุ้มกันที่ประดับยศบนอกนับสิบ ได้ทำการจอดเทียบตรงแนวรั่วเถาวัลย์ ที่สร้างขึ้นล้อมรอบบ้านหลังหนึ่ง
ที่แทบจะมองไม่เห็นเพราะปกคลุมด้วยพืชตระกูลไม้เลือน และมีต้นแอปเปิ้ลตั้งต้นใหญ่ตระหง่านอยู่หน้าบ้าน
ผู้มาเยือยที่ก้าวลงจากรถม้า เป็นชายที่มีเรือนผมสีน้ำตาลเข็ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ร่างกายสูงโปร่งที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ประดับประดาอัญมณีราคสูงลิบ
บรรยายกาศรอบตัวที่ดูภูมิฐาน น่ายำเกรง แต่ปะปนคละคลุ้งไปด้วยความเย่อหยิ่งจางๆ ทำให้รู้ว่าศักดินาและชาติกำเนิดนั้นสูงสุด
เด็กชายที่ก้าวออกมาพร้อมกันนั้น แม้จะอายุเพียง 11-12 ปี แต่ก็ดูมาดมั่น ในตาสีดำเป็นประกาย ปอยผมที่ลู่ไปกับแรงลมนั้นมีสีดำสนิท แต่ผิวที่ขาวราวหิมะต้นเหมันต์ มันช่างตัดกันกับริมฝีปากที่แดงดุจกุหลาบแรกแย้ม
“เชิญเสด็จองค์ราชาแห่งอคาด้าพะยะคะ ท่านคอพิอุสได้เตรียมการต้อนรับรอด้านใน เชิญเสด็จด้านในเลยพะยะคะ”
เกรนเดลและเหล่าโนมจำนวนหลายสิบที่ออกมาต้อนรับการมาเยือนของแขกคนสำคัญ เปิดประตูให้เขาได้เดินเข้าไปด้านใน เมื่อถึงห้องโถงก็พบกับคอพิอุสที่ลุกขึ้นยืนรับแขกตามมรรยาท เขาค้อมศรีษะลงเล็กน้อยเพื่อถวายการเคารพ ก่อนที่จะกล่าวเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง ที่หัวมุมโต๊ะคนละฝากฝั่ง
“เชิญประทับพะยะคะองค์ราชา หมายจะทรงเสวยชาไหมฝ่าบาท”
คอพิอุสกล่าวถามด้วยความสนิทสนม
“ดีเลยเพราะข้าเองก็รู้สึกกระหายเหลือเกิน แล้วก็อย่าได้มากพิธีเลยท่านชาย ยศฐาท่านก็ไม่ได้ต่ำศักดิ์ พูดปกติกับข้าเถิด”
องค์ราชากล่าวกับคอพิอุสอย่างให้เกียรติ
“หามิได้ฝ่าบาท พระองค์เป็นถึงองค์ราชา แอเธอเรด บรอสมันด์ ที่ปกครองอคาด้าให้กลายเป็นนครที่รุ่งเรืองที่สุดในตอนนี้”
“ตามใจท่านเถิด ถึงจะบอกว่ายังห่างไกลกับแอสโทรเฟียมากนัก ก็คงเป็นเรื่องหยุมหยิมที่ไม่น่าเสียเวลาเอามาพูด”
แอเธอเรดพยายามไม่ดึงดันคอพิอุส เมื่อรู้ว่าคงไม่ได้ผล
“ทรงอ่อนล้ากับการเสด็จไหมฝ่าบาท มิทรงมีเหตุจำเป็นใดเลยที่จะต้องเสร็จมาด้วยพระองค์เอง”
คอพิอุสกล่าวเป็นเชิงถามถึงเหตุในการมาเยือนของแอเธอเรด
“ใจจริงข้าก็อยากมาส่งอลูคาร์ดด้วยตัวข้าเอง แล้วก็มีเรื่องที่จะขอคำปรึกษา อาจจะถึงขั้นขอความช่วยเหลือ”
“พระองค์มีเรื่องอันใดหรือฝ่าบาท”
คอพิอุสกล่าวถามเพื่อเปิดประเด็น
“ข้าได้ยินเรื่องการบุกโจมตี ฝั่งเอลฟ์มีการสู้รบด้วยแล้วใช่ไหม”
แอเธอเรดกล่าวพร้อมกับมีสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“ใช่พะยะคะ เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ยังถือว่าเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย ตอนนี้ยังมิได้หนักหนาอะไร”
“ในส่วนของข้า พวกมันเคลือบคลานขึ้นมาจากหลุมราวกับซากศพที่คืนชีพได้ เข้าโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งที่ไร้การป้องกัน ตอนนี้เรายังคงควบคุมมันได้ แต่มิอาจล่วงรู้ว่าอีกนานเท่าไร ท่านคิดว่าเหล่าขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์จะเกียวข้องด้วยหรือไม่”
“มันเป็นการบุกโจมตีที่ยังมิอาจทราบจุดประสงค์พะยะค่ะ ข้าเกรงว่าสิ่งที่พระองค์ทรงหวาดเกรงอาจจะบังเกิดขึ้น”
แต่แล้วการสนทนาก็ถูกรบกวน ด้วยการมาเยือนของราฟาเอลโร่ที่กลับจากการเดินทางสั้นๆ ได้ก้าวเข้ามาในภายในห้องโถง
“ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
คอพิอุสเองที่เป็นคนกล่าวให้เขาเข้ามาหาหลังจากกลับมา
“ฝ่าบาทนี่คือ ราฟาเอลโร่ลูกศิษย์ในการดูแลของข้า น่าจะมีอายุที่ไล่เลี่ยกันกับบุตรของพระองค์”
ราฟาเอลโรได้หยุดยืนเคียงข้างเกรนเดล ด้านหลังของคอพิอุส จากองศาตรงนี้ทำให้เขามองก็เห็นเจ้าชายที่นั่งถัดจากบิดาของเขา ที่กำลังยิ้มและพยักหน้าให้ราฟาเอลโร่
“ท่านเห็นชอบเช่นไร หากราฟาเอลจะพาเจ้าชายออกไปเดินเล่นรอบๆ และจะได้ทำความรู้จักกันด้วย”
สีหน้าของ แอเธอเรด ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวว่า
“หากท่านคิดว่าเห็นควร ไปเถอะอลูคาร์ด”
แล้วเด็กทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องโถงพร้อมกันก่อนที่บทสนา จะเริ่มต่อ
“ท่านคอพิอุส เด็กคนนั้นคงไม่ได้มีสายเลือดที่ต่างจากเราอย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่”
คอพิอุสที่เริ่มรู้สึกได้ถึงการดูหมิ่น แต่ก็มิได้แสดงถึงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกออกมา
“ทูลฝ่าบาท จะมีสายเลือดใดก็หาได้สลักสำคัญมิใช่หรือ”
“ท่านคิดเช่นไรถึงได้อุปการะอสรพิษเช่นนั้น”
บรรยากาสรอบด้วยคอพิอุสเริ่มคุกรุ่น ท่านั่งพิงหลังตามสบาย บัดนี้ตั้งตรงและโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย
“แอเธอเรด บรอสมันด์ ท่านเป็นถึงราชา ที่ปกครองผู้คนนับล้าน หาแต่ทรงมีฤทัยที่คับแคบ และดูแคลนผู้อื่น แต่เพียงเปลือกนอกอย่างนั้นหรือ”
แม้จำเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ใจความของประโยคที่กล่าวทำให้แอเธอเรดถึงกับนิ่งเงียบ พระองค์ทรงก้าวผิด และดูเหมือนจะทรงรู้ตัวดี
เด็กทั้ง 2 เดินออกมาจนถึงบริเวณหน้าน้ำตกที่ราฟาเอลโร่ใช้เป็นที่ฝึกซ้อม
“โห เป็นน้ำตกที่ใหญ่โตและสวยงามทีเดียว ป่าแถวนี้ช่างอุดมสมบูรณ์ แสดงว่ามีสัตว์ป่าเยอะใช่หรือไม่”
ราฟาเอลโร่ที่รู้สึกตะหงิดๆ กับคำถามแต่ก็ตอบไปอยู่ดี
“พะยะคะ เจ้าชาย”
อลูคาร์ดตรงติ่งไปยังชั้นเก็บอาวุธที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อสังเกตุเห็นมัน
“อาวุธครบมือเลยทีเดียว หยิบยืมใช้ได้ใช่ไหม”
อลูคาร์ดที่ตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าราวกับเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่
“พะยะคะ แต่พระองค์จะทรงเอาไปทำอะไร”
“เราไปล่าสัตว์กันดีไหม ข้าเลือกชิ้นนี้”
เจ้าชายอลูคาร์ดที่หยิบคันธนูขึ้นมาง้าง ไม่ได้สังเกตุเลยว่ากำลังเกิดสิ่งผิดปกติ
“พระองค์จะทรงไปจริงๆหรือพะยะคะ”
“อืม เจ้าเองก็เลือกสิ”
ราฟาเอลโร่ก็ออกเดินทางพร้อมกับวิหคเพลิง ที่ตอนนี้โบยบินได้อย่างคล่องแคลวว่องไว และเร็วพอกันกับก้าวพริบตาหรืออาจจะเร็วเสียยิ่งกว่า บรรยายในเช้านี้ชั่งดูอึมครึม ทำให้รู้สึกหดหู่ขึ้น ยิ่งพุ่งผ่านป่าลึกมากขึ้นเท่าไหร่ เส้นทางก็ยิ่งดูทึบมากขึ้นเรื่อยๆ
หากแต่เปลวเพลิงที่ส่องสว่างเจิดจ้า จากตัววิหคเพลิงที่บินอยู่ข้างกายเขา ทำให้ทุกอย่างรอบทั้งคู่กลับแจ่มชัด แม้จะพุ่งไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วปานสายฟ้า ก็ไม่มีทีท่าว่าเปลวเพลิงนั้นจะมอดดับ
เมื่อทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่ปลายอุโมงค์ในรังของเจ้าวิหคเพลิง ที่ราฟาเอลโร่พบเจอวิหคเพลิงเป็นครั้งเเรก
มันโผบินผ่านร่างของราฟาเอลโร่พี่ค่อยๆ เดินลงมาตามแนวราบของพื้นถ้ำ มันบินเข้าสู่รังเบื้องหน้า และกลับสู่ร่างจริงที่มีใหญ่เทียบเท่าได้กับบ้านหลังหนึ่ง
ราฟาเอลโร่ที่กำลังจ้องมองวิหคเพลิงเปลี่นกายสุู่ร่างจริงของมัน เขาก็รู้สึกได้ถึงช่องว่างอันอ้างว้างที่เกิดขึ้นภายจิตใจ มันหาใช่การลาจากเขารู้ดี แต่ก็อดที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวไม่ได้
“ดูแลตัวเองให้ดี แล้วข้าจะมาเยี่ยม”
วิหคเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าก้มหัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวราฟาเอลโร่ ลงมาชนกับตัวของเขา โดยไม่ต้องกล่าวคำพูดใดๆ
ราฟาเอลโร่โอบกอดรอบศรีษะของวิหคเพลิงตรงหน้า และซุกหน้าของเขาเข้าไปในขนสีส้มแดงบนหัวมัน หลังจากนั้นวิหคเพลิงก็ได้ดึงขนที่ลำคอของมันออกมา
และมอบให้กับราฟาเอลโร่ ขนนกสีส้มปนแดงที่ตอนนี้เปลวไฟได้มอดดับลงแล้ว ลดขนาดของตัวมันลง และเข้าพันรอบต้นแขนของมือข้างที่ยื่นเข้ามาหามัน
“ขอบคุณนะ”
ราฟาเอลโร่ลูบไปที่ขนอันอ่อนนุ่มบนหัวของมันอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะกลับออกมา
รถม้าที่ดูโอ่อ่าสวยงาม พร้อมด้วยเหล่าผู้คุ้มกันที่ประดับยศบนอกนับสิบ ได้ทำการจอดเทียบตรงแนวรั่วเถาวัลย์ ที่สร้างขึ้นล้อมรอบบ้านหลังหนึ่ง
ที่แทบจะมองไม่เห็นเพราะปกคลุมด้วยพืชตระกูลไม้เลือน และมีต้นแอปเปิ้ลตั้งต้นใหญ่ตระหง่านอยู่หน้าบ้าน
ผู้มาเยือยที่ก้าวลงจากรถม้า เป็นชายที่มีเรือนผมสีน้ำตาลเข็ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ร่างกายสูงโปร่งที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี ประดับประดาอัญมณีราคสูงลิบ
บรรยายกาศรอบตัวที่ดูภูมิฐาน น่ายำเกรง แต่ปะปนคละคลุ้งไปด้วยความเย่อหยิ่งจางๆ ทำให้รู้ว่าศักดินาและชาติกำเนิดนั้นสูงสุด
เด็กชายที่ก้าวออกมาพร้อมกันนั้น แม้จะอายุเพียง 11-12 ปี แต่ก็ดูมาดมั่น ในตาสีดำเป็นประกาย ปอยผมที่ลู่ไปกับแรงลมนั้นมีสีดำสนิท แต่ผิวที่ขาวราวหิมะต้นเหมันต์ มันช่างตัดกันกับริมฝีปากที่แดงดุจกุหลาบแรกแย้ม
“เชิญเสด็จองค์ราชาแห่งอคาด้าพะยะคะ ท่านคอพิอุสได้เตรียมการต้อนรับรอด้านใน เชิญเสด็จด้านในเลยพะยะคะ”
เกรนเดลและเหล่าโนมจำนวนหลายสิบที่ออกมาต้อนรับการมาเยือนของแขกคนสำคัญ เปิดประตูให้เขาได้เดินเข้าไปด้านใน เมื่อถึงห้องโถงก็พบกับคอพิอุสที่ลุกขึ้นยืนรับแขกตามมรรยาท เขาค้อมศรีษะลงเล็กน้อยเพื่อถวายการเคารพ ก่อนที่จะกล่าวเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง ที่หัวมุมโต๊ะคนละฝากฝั่ง
“เชิญประทับพะยะคะองค์ราชา หมายจะทรงเสวยชาไหมฝ่าบาท”
คอพิอุสกล่าวถามด้วยความสนิทสนม
“ดีเลยเพราะข้าเองก็รู้สึกกระหายเหลือเกิน แล้วก็อย่าได้มากพิธีเลยท่านชาย ยศฐาท่านก็ไม่ได้ต่ำศักดิ์ พูดปกติกับข้าเถิด”
องค์ราชากล่าวกับคอพิอุสอย่างให้เกียรติ
“หามิได้ฝ่าบาท พระองค์เป็นถึงองค์ราชา แอเธอเรด บรอสมันด์ ที่ปกครองอคาด้าให้กลายเป็นนครที่รุ่งเรืองที่สุดในตอนนี้”
“ตามใจท่านเถิด ถึงจะบอกว่ายังห่างไกลกับแอสโทรเฟียมากนัก ก็คงเป็นเรื่องหยุมหยิมที่ไม่น่าเสียเวลาเอามาพูด”
แอเธอเรดพยายามไม่ดึงดันคอพิอุส เมื่อรู้ว่าคงไม่ได้ผล
“ทรงอ่อนล้ากับการเสด็จไหมฝ่าบาท มิทรงมีเหตุจำเป็นใดเลยที่จะต้องเสร็จมาด้วยพระองค์เอง”
คอพิอุสกล่าวเป็นเชิงถามถึงเหตุในการมาเยือนของแอเธอเรด
“ใจจริงข้าก็อยากมาส่งอลูคาร์ดด้วยตัวข้าเอง แล้วก็มีเรื่องที่จะขอคำปรึกษา อาจจะถึงขั้นขอความช่วยเหลือ”
“พระองค์มีเรื่องอันใดหรือฝ่าบาท”
คอพิอุสกล่าวถามเพื่อเปิดประเด็น
“ข้าได้ยินเรื่องการบุกโจมตี ฝั่งเอลฟ์มีการสู้รบด้วยแล้วใช่ไหม”
แอเธอเรดกล่าวพร้อมกับมีสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“ใช่พะยะคะ เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ยังถือว่าเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย ตอนนี้ยังมิได้หนักหนาอะไร”
“ในส่วนของข้า พวกมันเคลือบคลานขึ้นมาจากหลุมราวกับซากศพที่คืนชีพได้ เข้าโจมตีหมู่บ้านหลายแห่งที่ไร้การป้องกัน ตอนนี้เรายังคงควบคุมมันได้ แต่มิอาจล่วงรู้ว่าอีกนานเท่าไร ท่านคิดว่าเหล่าขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์จะเกียวข้องด้วยหรือไม่”
“มันเป็นการบุกโจมตีที่ยังมิอาจทราบจุดประสงค์พะยะค่ะ ข้าเกรงว่าสิ่งที่พระองค์ทรงหวาดเกรงอาจจะบังเกิดขึ้น”
แต่แล้วการสนทนาก็ถูกรบกวน ด้วยการมาเยือนของราฟาเอลโร่ที่กลับจากการเดินทางสั้นๆ ได้ก้าวเข้ามาในภายในห้องโถง
“ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
คอพิอุสเองที่เป็นคนกล่าวให้เขาเข้ามาหาหลังจากกลับมา
“ฝ่าบาทนี่คือ ราฟาเอลโร่ลูกศิษย์ในการดูแลของข้า น่าจะมีอายุที่ไล่เลี่ยกันกับบุตรของพระองค์”
ราฟาเอลโรได้หยุดยืนเคียงข้างเกรนเดล ด้านหลังของคอพิอุส จากองศาตรงนี้ทำให้เขามองก็เห็นเจ้าชายที่นั่งถัดจากบิดาของเขา ที่กำลังยิ้มและพยักหน้าให้ราฟาเอลโร่
“ท่านเห็นชอบเช่นไร หากราฟาเอลจะพาเจ้าชายออกไปเดินเล่นรอบๆ และจะได้ทำความรู้จักกันด้วย”
สีหน้าของ แอเธอเรด ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวว่า
“หากท่านคิดว่าเห็นควร ไปเถอะอลูคาร์ด”
แล้วเด็กทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องโถงพร้อมกันก่อนที่บทสนา จะเริ่มต่อ
“ท่านคอพิอุส เด็กคนนั้นคงไม่ได้มีสายเลือดที่ต่างจากเราอย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่”
คอพิอุสที่เริ่มรู้สึกได้ถึงการดูหมิ่น แต่ก็มิได้แสดงถึงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกออกมา
“ทูลฝ่าบาท จะมีสายเลือดใดก็หาได้สลักสำคัญมิใช่หรือ”
“ท่านคิดเช่นไรถึงได้อุปการะอสรพิษเช่นนั้น”
บรรยากาสรอบด้วยคอพิอุสเริ่มคุกรุ่น ท่านั่งพิงหลังตามสบาย บัดนี้ตั้งตรงและโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย
“แอเธอเรด บรอสมันด์ ท่านเป็นถึงราชา ที่ปกครองผู้คนนับล้าน หาแต่ทรงมีฤทัยที่คับแคบ และดูแคลนผู้อื่น แต่เพียงเปลือกนอกอย่างนั้นหรือ”
แม้จำเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ใจความของประโยคที่กล่าวทำให้แอเธอเรดถึงกับนิ่งเงียบ พระองค์ทรงก้าวผิด และดูเหมือนจะทรงรู้ตัวดี
เด็กทั้ง 2 เดินออกมาจนถึงบริเวณหน้าน้ำตกที่ราฟาเอลโร่ใช้เป็นที่ฝึกซ้อม
“โห เป็นน้ำตกที่ใหญ่โตและสวยงามทีเดียว ป่าแถวนี้ช่างอุดมสมบูรณ์ แสดงว่ามีสัตว์ป่าเยอะใช่หรือไม่”
ราฟาเอลโร่ที่รู้สึกตะหงิดๆ กับคำถามแต่ก็ตอบไปอยู่ดี
“พะยะคะ เจ้าชาย”
อลูคาร์ดตรงติ่งไปยังชั้นเก็บอาวุธที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อสังเกตุเห็นมัน
“อาวุธครบมือเลยทีเดียว หยิบยืมใช้ได้ใช่ไหม”
อลูคาร์ดที่ตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าราวกับเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่
“พะยะคะ แต่พระองค์จะทรงเอาไปทำอะไร”
“เราไปล่าสัตว์กันดีไหม ข้าเลือกชิ้นนี้”
เจ้าชายอลูคาร์ดที่หยิบคันธนูขึ้นมาง้าง ไม่ได้สังเกตุเลยว่ากำลังเกิดสิ่งผิดปกติ
“พระองค์จะทรงไปจริงๆหรือพะยะคะ”
“อืม เจ้าเองก็เลือกสิ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น