คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอน 4
เดือนเสี้ยวที่นั่งกอดหนูครีมไว้บนตัก พลางก้มลงปรามเสียงเบาเป็นระยะๆ เมื่อคนขับรถกิตติมศักดิ์ให้นั่งอย่างมหิศรนั้นปรายตามองบ่อยครั้ง เมื่อมันจะตะกายจากตักไปยังฝั่งคนขับอยู่เรื่อย
“หมิง...ลุงขอโทษนะที่ต้องวานให้เรามาขับรถให้ วันหยุดทั้งทีแทนที่จะได้พัก”
อรรถที่กุมมือภรรยาไว้นั้น เอ่ยบอกขณะที่มหิศรกำลังเลี้ยวรถสู่ทางยกระดับ เพื่อออกจากฝั่งทิศใต้ของกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จันทบุรี
“ไม่เป็นไรครับ อีกอย่างคุณลุงก็มีอาการปวดหลังกำเริบ ผมจะปล่อยให้คุณแม่ขับรถกลับเองก็คงไม่ได้”
มหิศรสบตาสามีใหม่ของมารดาผ่านทางกระจกมองหลัง ก่อนจะเลยไปมองตามารดาด้วยแววตาลุแก่โทษ เพราะเขาเองนั่นแหละที่คิดว่าท่านแกล้ง หากที่ไหนได้มารู้เหตุผลก็ตอนที่ป้าวรรณแอบกระซิบบอกตอนที่เดินหนีเดือนเสี้ยวขึ้นไปจัดการอาบน้ำพร้อมกับเก็บเสื้อผ้าเครื่องใช้ เผื่อต้องไปค้างที่จันทบุรีสักคืน
“ขอบใจนะหมิง...ลูกชายของแม่น่ารักเหลือเกิน”
“ครับ”
ชายหนุ่มหันกลับมามองท้องถนนเช่นเดิม ในใจกะคร่าวๆ ว่าคงจะถึงที่หมายในเวลาบ่ายสองโมง โดยที่รถของอรรถนั้น ลูกชายของเขาซึ่งเป็นสัตว์แพทย์จะนำกลับไปให้เอง เพราะมิเช่นนั้นก็ต้องเทียวมารับรถอีกรอบหนึ่ง หรือเขากับยายตุ๊ต๊ะนี่ต้องกระเตงลูกหมาขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ กันสองคน
“หนูแตงโม”
“ขาคุณป้า”
เสียงหวานหยดจากร่างอวบทำให้มหิศรถึงกับเหลียวมองไปนอกรถ เบ้ปากนิดๆ ให้กับเธอที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีเขียวตองอ่อนแนบเนื้อ อีกทั้งแขนกุดมีระบายตรงไหล่ซ้ายเป็นรูปดอกไม้ ระย้าด้วยขนนกย้อมสี ส่วนเส้นผมหยิกสลวยเจ้าตัวนั้นรวบเป็นมวย เปิดหน้าผากนูนสวยเด่นชัดเพราะไรผมเป็นรูปหัวใจ ไร้ซึ่งเครื่องประดับใดๆ
ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงสีขาวฉลุลายคล้ายลูกไม้ หากมองไปยังรองเท้าเป็นชนิดส้นเตี้ยสานไขว้กัน ทำให้เธอดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาบ้างในสายตาของชายหนุ่ม แต่จะให้ตรึงตาจนมองซ้ำ คงเป็นไปได้ยากสำหรับคนที่มีแฟนสวยราวกับนางฟ้าเดินดินเช่น...เขา
“หยิบกาแฟสดให้พี่เขาดื่มหน่อยสิลูก...ขับรถไกลๆ แบบนี้พี่เขาจะง่วงเอาได้”
ผกามาศสะกิดสามีให้ช่วยย้ำ ซึ่งอรรถเองก็ต้องรับลูกอย่างช่วยไม่ได้
“เอ้านี่! ลุงซื้อมาเมื่อกี้ ของหมิงก็เอสเพรสโซ่นะ ลุงจัดการให้แล้ว”
“เดี๋ยวก็ได้ครับ”
“ได้ไงล่ะ ดูดๆ ไปเถอะน่า หรือว่าเราคิดอะไรกับลูกสาวของแม่ บอกไว้ก่อนนะ...ห้ามเด็ดขาด”
คำถามนี้ทำให้ลูกชายถึงกับกระแอม มิใช่แก้เก้อ หากต้องการตั้งสติต่างหาก เขาเองชักจะรู้สึกว่ามารดาชอบเอ่ยนำไปทางนี้อยู่เรื่อย หรือว่าจะมีอะไรมากกว่าการคุยเล่นหัวหรือเปล่า
“หรือว่าเราคิดลึก ฮึ! ยายแตงโม”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้างั้นก็ยกให้พี่เค้าถึงปากเลย...ส่วนคุณอรรถ สงสัยเจ้าตัวยุ่งสองตัวนี่จะหิวแล้ว ดิ้นพล่านเชียว”
เมื่อมฤคินทร์เห็นว่ามารดาให้ความสนใจลูกหมาตัวผู้ คู่ที่ต่างก็โอบอุ้มไว้บนตัก หันหน้าไปทางสามีที่หยิบขนมปังไส้กรอกป้อนให้พวกมันที่งับแล้วกลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจึงถลึงตาพร้อมกับสั่งห้ามเดือนเสี้ยวที่ดึงทิชชู่แบบเปียกมาเช็ดมือตัวเองให้สะอาดเอี่ยมก่อนที่จะจัดแจงหลอดสีน้ำตาลให้หงายสู่ปากของเขา
“ดื่มกาแฟค่ะ จะได้ไม่ง่วง”
เดือนเสี้ยวขยับแก้วให้เข้าไปใกล้ จนหลอดชิดริมฝีปากของชายหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด เพราะไม่ชอบให้ผู้หญิงที่มิใช่คนรักมาดูแลถึงขนาดนี้ แม้ว่าร่างอวบกลมนี้จะเป็นคนของมารดา อีกทั้งตัวเองเป็นฝ่ายอนุญาตอีกแล้วด้วย
“อย่าบ้าจี้”
“อะไรคะ?”
“เธอมันรอบจัด...ฉันรู้”
คำกล่าวหาชนิดที่เสียงรอดไรฟันให้ได้ยินกันสองคนนั้น เป็นผลให้ร่างอวบถึงกับสะอึก หน้าม้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไอ้สายตาเหยียดหยามนั่นกระมังส่งผลให้นิ้วที่จับหลอดถึงกับบีบบี้มันให้สมกับความแค้นเคืองที่รู้สึก
...คนหลงตัวเองว่าสมบูรณ์พร้อมมากจนผู้หญิงทุกคนต้องหลงเสน่ห์ทุกคนเลยหรืออย่างไร? ดังนั้นคนแบบนี้คงต้องเชิดใส่ซะแล้ว จะได้แผลงฤทธิ์ไม่ออก
แค่คิด...เดือนเสี้ยวก็อยากตะโกนก้องให้โลกได้รับรู้ว่า มิได้สนใจใคร่ดีมหิศรอย่างที่เขาคิดไปเอง...หากที่ทำได้ก็คงเพียงแค่พูดเปรย ทำนองไม่ใส่ใจจะดีกว่า
“คุณหมิงคิดมาก”
“ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น แล้วก็ได้สัมผัสด้วยตัวเองเสมอ”
“แตงโมเชื่อค่ะว่าคุณหมิงเก่ง แต่มันไม่เกี่ยวกับที่คุณหมิงต้องดื่มกาแฟ ดื่มสิคะ...สักนิดก็ได้ มันช่วยให้กระปรี้กระเปร่า รับรองว่าขับรถได้ปร๋อเชียว”
“ฉันไม่ดื่ม!”
น้ำเสียงกระด้างตอบกลับมา พร้อมกับดึงแว่นตาจากช่องเก็บตรงคอนโซลรถมาสวมแล้วตั้งอกตั้งใจขับรถ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าเดือนเสี้ยวจะจัดการกับกาแฟแก้วนั้นอย่างไรดี ร่างอวบปั้นหน้านิ่ง ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อการกระทำแสนหยาบคายนั่น เพราะรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ผิดที่ไปทำให้บรรยากาศสวีทหวานของมหิศรกับแฟนสาวแปรเปลี่ยนเป็นกร่อยสนิทไปถนัดตา
และยิ่งตอนนี้หนูครีมทำจมูกฟุตฟิตพร้อมกับตะกายหมายจะไปหาพี่น้องอีกสองตัวซึ่งกำลังเพลินกับขนมปังหอมอร่อยจนเธอต้องปรามเสียงดุดันให้สงบลง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปรับขนมพร้อมกับชาเย็นจากผกามาศที่มองมาพร้อมส่งยิ้มปลอบใจคนตัวอวบที่โดนฤทธิ์ของลูกชายฟาดงาใส่
“ตาหมิงร้ายกาจเกินไปแล้ว คุณเห็นรึเปล่า”
นางกระซิบบอกอรรถที่ลอบมองลูกเลี้ยงเช่นกัน
“ลูกชายของมาศไม่ใช่คนโง่ แค่คุณพูดย้ำบ่อยๆ อย่างนี้ ...เขาก็รู้หมดน่ะสิว่าคุณต้องการอะไร”
คำตอบนี้ทำให้ภรรยาที่แกล้งซบบ่าถึงกับอึ้ง เพราะลืมนึกไปว่าไอ้ที่พูดกระตุ้นบ่อยครั้ง แถมคงจะเผลอมีท่าทางลุ้นสุดตัวไปหน่อยกระมัง พ่อลูกชายถึงได้ทำหน้าตึงใส่เดือนเสี้ยวตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าบ้าน ภายหลังจากก่อกวนเสียจนร่างอวบขวัญกระเจิง
แต่ถึงอย่างไร...หญิงสาวตรงเบาะหน้าก็มีความเข้มแข็งและอดทนมากพอดู เพราะไม่แม้แต่จะวิ่งโรมาฟ้องนางสักคำเดียวกับกิริยาหยาบคายของมหิศร แต่ถ้าเป็นรุ่งอรุณคงไม่แน่! และเมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ นางก็คงต้องหยุดรุกเร้าก่อนจะดีกว่า
+++++
การเดินทางเกือบห้าชั่วโมงสู่สวนวิจิตศิลป์...ของอรรถนั้น สร้างความอึดอัดใจแก่เดือนเสี้ยวที่ต้องนั่งเกร็งเพราะไม่อยากจะขยับตัวให้กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของมหิศรที่ดูเหมือนจะทำสีหน้าเฉยชาตอบโต้คนตัวอวบ ซึ่งพยายามจะโอนอ่อนเข้าหา
เพราะรู้ดีว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้น มีความสำคัญต่อเธอที่จะต้องทำงานแลกกับความรู้ที่ควรจะได้รับจากมหิศร ที่จริงแล้วการลงทะเบียนเรียนคอร์สสั้นๆ เกี่ยวกับจัดทำเวปไซต์หรือแม้แต่ใช้เวปไซต์สำเร็จรูปมาฝึกหัดด้วยตัวเองก็ได้ แต่ว่ามารดาของเขามิให้ทำเช่นนั้น เพราะนอกจากจะเสียเงินที่สู้อุตส่าห์เก็บออมแล้ว ยังเสียเวลาอีกด้วยสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐาน อีกทั้งหัวช้าในเรื่องเทคโนโลยีเช่นเธอ
“ถึงแล้ว...โอยเมื่อยจริงๆ”
เดือนเสี้ยวรีบกุลีกุจอลงจากรถไปเปิดประตูด้านหลังให้กับผกามาศพร้อมกับพากันเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างตา ส่วนอรรถลงไปยืนยืดเส้นยืดสายอยู่สักพัก ก่อนจะเดินไปสมทบกับลูกเลี้ยงที่เดินลิ่วไปรับลมเย็นตรงบริเวณระเบียงบ้าน คาดว่าคงมีเรื่องให้คิดหรืออย่างไรก็ได้กอดอก ทำหน้าเคร่งเครียด แม้เด็กรับใช้ตัวผอมบางจะยกน้ำมาให้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรสักคำ
อรรถเองมองตามสายตาของลูกเลี้ยงจากตรงจุดนี้มองลงไปจะเห็นสวนลองกองกับเงาะ อีกทั้งทุเรียนกระจายทั่วสวน และถ้ามองออกไปไกลโพ้นจะเป็นสวนยางขนาดหลายสิบไร่ ด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ลงไปอย่างต่อเนื่องชนิดคอยเก็บเล็กผสมน้อย ได้ผลตอบกลับคืนมาเป็นที่ดินผืนงามเมื่อในวันเกษียณจากตำแหน่งนายอำเภอในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก
เรียกได้ว่ามันคือความภาคภูมิใจของข้าราชการคนหนึ่งที่พอจะเก็บออมได้ตามกำลังเท่าที่มี ทรัพย์สมบัติชนิดนี้ ชายชราเองตั้งใจจะยกให้ลูกชายคนเดียวซึ่งเป็นสัตวแพทย์โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง และอีกความตั้งใจก็จะตัดแบ่งยกให้กับเดือนเสี้ยว เพราะว่าตอบแทนบุญคุณที่ธีร์ บิดาของเธอช่วยต่อชีวิตโดยการให้เลือดแก่เขา เมื่อครั้งประสบอุบัติเหตุรถชนตอนเดินทางกลับจากรับศพภรรยาเก่าซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจจากโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
“แย่หน่อยนะ”
“อะไรครับ”
มหิศรลดแก้วน้ำดื่มลง แล้วทรุดตัวนั่งหมิ่นๆ บนขอบระเบียงไม้ ตะแคงตัวหันหลับมาหาเจ้าของเสียงทักจากด้านหลัง
“ขับรถมาไกล”
“ไม่หรอกครับ คุณลุง...ผมชอบที่ตรงโน้น มันเป็นส่วนหนึ่งของไร่นี้หรือเปล่า”
ชายหนุ่มชี้ปลายนิ้วเรียวยาวไปยังฝั่งซ้ายของสวน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของกระท่อมหลังเล็กที่เดือนเสี้ยวอาศัยอยู่กับบิดาของเธอ และนี่เป็นครั้งที่สองเองกระมังที่ชายหนุ่มคราวลูกเดินทางมายังสวนแห่งนี้ อีกทั้งไม่เคยมีทีท่าจะใส่ใจรายละเอียดของสวนแห่งนี้สักนิดเดียว
“บ้านของธีร์มันน่ะ”
“ธีร์”
มหิศรทวนชื่อ พยายามเค้นให้ออกว่าเคยเห็นหน้าคนผู้นั้นมาก่อนหรือไม่
“พ่อของหนูแตงโม...คนที่เป็นพ่อครัวเอกของสวนลุงไง จำได้หรือเปล่า”
“อ้อ...ลุงที่ทำขาหมูทอดยำรถชาดดีคนนั้นเอง”
“ใช่ อยากแกล้มเหล้ามั้ย ลุงจะบอกให้”
อรรถแค่ถาม เพราะเมื่อเดือนเสี้ยวที่มาตามให้ไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทุกคนที่เดินทางต่างลงความเห็นว่าจะกลับมาทานที่นี้ แทนจะหยุดพักรถรับประทานระหว่างทางเมื่อมหิศรจอดรถเติมน้ำมันตรงทางด่วนมอเตอร์เวย์ ชายชราก็สั่งหญิงสาวโดยไว
“แตงโม สูตรเดิม...บอกพ่อเราด้วย เออ...ว่าแต่มีผักดองมั้ย จะได้แก้เลี่ยน”
“เดี๋ยวหนูไปดูก่อนค่ะ แต่ตอนนี้คุณป้าให้เรียนว่ารอทานกลางวันที่โต๊ะอาหารกับคุณเมย์แล้วค่ะ”
ภายหลังจากบอกเสร็จ เดือนเสี้ยวก้าวไปหามหิศรแล้วยอบตัวจะเก็บแก้วน้ำที่เขาวางไว้ข้างตัว กำลังจะคว้าได้อยู่แล้ว สุดท้ายก็ฉวยได้แต่ลมเมื่อชายหนุ่มแกล้งยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนจงใจวางลงบนถาดหนักๆ โดยระวังมิได้เกิดเสียงดังเพราะยังเกรงใจอรรถที่ยืนมองทั้งคู่อยู่
“ตุ๊ต๊ะ”
“คุณหมิง...หนูชื่อแตงโมค่ะ”
หญิงสาวสวนทันควันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแลดูสุภาพ เพราะในเมื่อร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคุกคามเธอก่อน แล้วเรื่องอะไรถึงต้องทำหงอยกลัวด้วย ในเมื่อไม่เคยคิดกับเขามากไปกว่าคำว่า...ลูกชายของผกามาศ ภรรยาของอรรถที่ให้ความเอ็นดูราวกับลูกสาวคนสุดท้องกระนั้น
ในสมองบอกตัวเองว่าต้องยึดหลัก...แข็งแกร่งแต่ไม่ก้าวร้าว!
“ตุ๊ต๊ะ...ยายเมย์เป็นยังไงบ้าง”
คนตรงหน้าไม่ยอมอ่อนให้สักนิด จนเดือนเสี้ยวเป็นฝ่ายอ่อนใจแทน สงสัยคงต้องยอมโดนเรียกด้วยชื่อนี้ไปโดยปริยายแล้วล่ะมั้ง
“ตอนนี้อาการแพ้น้อยลงแล้วค่ะ ทานอาหารได้มากขึ้น...อาหารที่ชอบมากเป็นพิเศษช่วงนี้ก็คงเป็นตำซั่วรสจัด ลาบปลาหมึกกับข้าวมัน แล้วก็ยำแหนมสด ส่วนเรื่องจิตใจก็ปลอดโปร่งมากขึ้นหลังจากที่กินอิ่มนอนหลับได้เป็นปรกติ สำหรับเรื่องเดินทางก็มีบ้างที่ไปเปลี่ยนบรรยากาศไปย่ำทะเลบ้างเป็นบางวัน”
“พูดมาก”
คำเปรยตอกหน้านี้เป็นผลให้เดือนเสี้ยวที่เจื้อยแจ้วสาธยายบอกเขาถึงกับหยุดชะงัก ทำอะไรไม่ถูก นอกจากตากลมโตเบิ่งมองมหิศรพร้อมๆ กับกัดปากอิ่มไว้แน่น แก้มใสเห่อร้อนเพราะอายอรรถที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาถาม แล้วเธอรายงานให้ทราบทุกเรื่องทุกอย่างที่พอรู้
มันผิดตรงไหน? ถ้าคนข้างหน้าไม่ซื่อบื้อ ก็คงจะรู้เธอทำตามหน้าที่ และดีที่สุดแล้ว!
“หมิง”
อรรถท้วงเบาๆ แต่ดูเหมือนมหิศรที่ยืนกอดอก กวาดสายตาไปทั่วตัวของเดือนเสี้ยวจะไม่ได้ยิน หรือบางทีอาจจะตั้งใจไม่ฟังเองก็เป็นได้
“แตงโม...ไปเตรียมอาหารไป เดี๋ยวลุงจะไปอาบน้ำสักครู่”
“ค่ะคุณลุง”
ร่างอวบพยักหน้าพร้อมรีบรับคำแล้วหมายจะเดินตามชายชราไปอย่างไว แต่อยู่ๆ ก็ต้องร้องอุ๊ยเมื่อเรียวแขนถูกดึงรั้งจากชายหนุ่ม มองเขาด้วยความไม่เข้าใจเช่นกันว่าแค่เธอดันไปขวางคู่รักที่จะจู๋จี๋กันโดยบังเอิญเท่านั้น เขากลับเอามาคิดเป็นเดือดเป็นแค้นมากขนาดนี้เชียวหรือ
“จะไปไหน”
คราวนี้เขากระชากให้เธอถอยหลังกลับ และหยุดนิ่งจนได้ ไม่สนใจว่าแก้วในถาดจะตกหล่นหรือไม่
“มีอะไรคะ...แตงโมมีงานต้องทำ คุณหมิงก็รู้ว่าตุ๊ต๊ะตุ้ยนุ้ยแบบนี้ ถ้าขืนยังชักช้าเข้าไปอีก แล้วจะไปทันดูแลคุณๆ รับประทานอาหารกันได้ยังไง”
ร่างอวบประชด แต่มันกลับไปเข้าทางร่างสูงใหญ่ที่หยัดมุมปากยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะแค่ยั่วโมโหนิดๆ หน่อยๆ หญิงสาวตรงหน้าก็ยอกย้อนเอาคืนแบบไม่ให้เวลาทอดนานไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่างนี้สิ...ถึงจะเรียกว่ามีรสชาด! ถึงตอนนี้จะกลับคำไม่รับคนตัวอวบให้เป็นผู้ดูแลส่วนตัวในระยะเวลาสั้นๆ กับมารดาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเขากลับกลอก และถ้าอย่างนั้นแล้วเขาคงมีสิทธิ์แกล้งให้หนำใจในข้อกล่าวหาที่คิดเองว่าจะมาอ่อยยั่วให้หมดรักในตัวแฟนสาวนั่นเอง
“อ้อ...ไม่ชอบชื่อตุ๊ต๊ะนี่รึ! ถึงได้เสียงเขียวใส่ฉัน”
“.........”
มหิศรได้ที เมื่อร่างอวบเงียบกริบ แต่ยังมิทันได้เอ่ยปาก อยู่ๆ หญิงสาวหน้าตูม เอ่ยโพล่งสวนขึ้นมาเสียก่อน
“แตงโมไม่ชอบค่ะ”
“อืม...นั่นสินะ ตุ๊ต๊ะอาจจะดูไร้ระดับไปนิด ถ้าอย่างนั้น...”
คราวนี้เดือนเสี้ยวถึงกับหวั่นกับสรรพนามใหม่ที่ถูกยัดเยียดให้ด้วยความไม่เต็มใจ
“ฉันจะเรียกให้ดูน่ารักกว่าเดิมนิดนึงก็ได้ ยาย...หมูเด้ง!”
“มะ...หมู...เด้ง”
หญิงสาวทวนชื่อของตัวเองแผ่วเบา โดยไม่รู้ว่ามันไปจุดประกายความคิดให้กับร่างสูงใหญ่ที่ก้มตัวลงมาจนหน้าแทบจะชิดแก้มนวล รู้ทั้งรู้ว่าเขาขี้แกล้ง แต่จะให้ถอยก็ไม่ได้ในเมื่อข้างหลังเป็นระแนงไม้ระเบียง ขณะที่มือแกร่งถือวิสาสะเลื่อนมาจับต้นแขนไว้แน่น
“หรือไม่ชอบ ถ้างั้นเป็น...เบาหวิวดีมั้ย เผื่อเธอจะรู้ว่าตัวเองล่องลอยได้เหมือนปุยนุ่น!”
“แตงโมมีสิทธิ์เลือกอย่างนั้นเหรอคะ”
สายตาคมเข้มสีน้ำตาลเข้มมองไม่วางขณะที่เขายืดกายออกห่าง อยากรู้ฤทธิ์คนตัวอวบอีกสักครา
“แล้วแต่เธอ”
“ถามหน่อยเถอะค่ะ...ถ้าแตงโมจะขอเรียกคุณหมิงว่า...คุณล่ำบึ๊ก จะโกรธมั้ย”
“ว่าไงนะ?”
คิ้วดกดำเข้มจัดเลิกขึ้น คล้ายไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และเมื่อคนตัวอวบสะบัดแขนออก มหิศรเองก็ยอมปล่อยแต่โดยดี นั่นก็เพราะเห็นร่างเพรียวบางของเมธาวี ผู้เป็นน้องสาวคนกลาง เดินออกจากตัวบ้านที่สร้างเชื่อมกับระเบียงชมวิวนี้ และเมื่อเห็นโอกาส เธอจึงรีบเดินหนีมหิศร สวนกับร่างเพรียวระหงที่ยิ้มกว้างให้
ความคิดเห็น