คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอน 3
นิยายเรื่องนี้ยังไม่ได้รีไรต์ค่ะ
รุ่งเช้า...เสียงเห่าขรมของลูกหมาสามตัวที่วิ่งวนรอบตัวผกามาศซึ่งอยู่ในชุดเสื้อชมพูสดช๊อกกิ้งพิ้ง กางเกงเลกกิ้งกระชับตัวสีดำเหมือนกับเดือนเสี้ยว ต่างกันตรงที่หญิงสาวร่างอวบคาดผมด้วยเส้นเชือกเปิดหน้าผากนูนสวย แบ่งผมสองข้างทำมวยเป็นหมวยน้อยดูเด็กลงกว่าเดิมอีก
“คุณลุงล่ะคะ?”
เดือนเสี้ยวผูกเชือกจูงกับปลอกคอลูกหมาที่ดิ้นพล่าน ไม่ยอมโดนมัด แต่มีหรือจะสู้แรงของเธอได้ ทั้งสามตัวพยายามกระชากให้หลุดจากพันธนาการ เท่านั้นไม่พอยังกัดกันจนเชือกพันกันวุ่น สุดท้ายต้องแยกตัวผู้สองตัวออกจากกัน โดยผกามาศจับจูงเจ้าโกโก้พี่ใหญ่ที่ทำตัวพาลเกเรหาเรื่องพี่น้องนั้น ส่วนกาแฟกับหนูครีมถูกแบ่งคนละข้างโดยหญิงสาว
“มานู่นแล้ว เดินพุงกระเพื่อมมาเชียว...ตาแก่เฝ้าหน้าร้านไก่ทอด”
“คุณป้าว่าคุณลุงอีกแล้ว”
ทว่าคนที่ยกมือป้องปากกระซิบ หัวเราะร่วนชอบใจ
“แหม...นินทาเบาแบบนี้ไม่ได้ยินหรอก”
“ไปได้แล้ว สาวๆ”
อรรถรับสายจูงไปจากร่างอวบ หัวเราะร่วนเมื่อแกล้งปล่อยเชือกแล้วหนูครีมร้องแง่งใส่เชือกที่พันลำตัวอ้วนกลม ดิ้นหนีจนหงายท้องตะกายขาขึ้นฟ้าเรียกเสียงขบขันจากทุกคนในที่นั้น จนเดือนเสี้ยวต้องช่วยให้หลุดแล้วเปลี่ยนมาจูงเจ้าตัวยุ่งนี้ตามหลังคู่สามีภรรยาที่นำหน้าออกไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้าน
ระยะทางเกือบสามกิโลเมตรที่เดินวนรอบเรียกเหงื่อได้พอดู ยิ่งเจ้าตัวยุ่งทำสามออกแรงดึงดันจะให้หลุดจากเชือกเพื่อวิ่งได้เป็นอิสระก็ทำให้คนจูงถึงกับต้องออกแรงรั้งมากขึ้น เหนื่อยได้ไม่น้อยแม้พวกมันจะเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ ก็ตาม
“แรงดีไม่มีตกจริงๆ พวกนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ลูกหมา”
ชายเพียงหนึ่งเดียวในนั้นเหนื่อยหอบ ขณะนั่งลงบนม้าหินอ่อน ถอดหมวกแก๊ปมาพัดคลายร้อนก่อนจะเลยไปพัดให้ภรรยาที่ซับใบหน้าด้วยผ้าขนหนูลวกๆ
“วัยซุกซนก็แบบนี้ล่ะค่ะ คุณลุงคุณป้าเหนื่อยหรือยัง”
“ไม่หรอก ป้ายังแข็งแรง...พอที่จะสู้กับเจ้าหมิงไปอีกนาน”
“คุณจะไปสู้อะไรเขา ฮึ?”
ภรรยาค้อนใส่สามีนั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้ แล้วมองเดือนเสี้ยวที่ปลดเชือกจากลูกหมาให้พวกมันได้วิ่งเล่นในบริเวณสนามเด็กเล่นให้สมกับที่ถูกกักกันเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“แล้วนี่พ่อตัวดี เขาจะไปเมืองจันฯกับเรารึเปล่าวันนี้”
“ลองถามคนดูแลประจำตัวดีกว่ามั้ง เมื่อคืน...ตกลงกันได้รึยัง”
เดือนเสี้ยวส่ายหน้ากับคำถามของอรรถ นั่นทำให้ไม่นึกแปลกใจเพราะมหิศรเองมี แม้จะไม่ทีท่าว่าไม่ชอบใจที่คนเป็นแม่พยายามยัดเยียดคนดูแลส่วนตัวให้กับเขาโดยที่ไม่ถามความสมัครใจก่อน แต่สุดท้ายก็จำยอมคงมิใช่เพราะจำนน หากเพราะเห็นความจำเป็นเสียมากกว่า และแม้ชายชราจะคุยกับภรรยาแต่สายตาแลมองเสี้ยวหน้าของร่างอวบที่หน้าเสียเพราะไพล่คิดถึงวีรกรรมที่ทำต่อชายหนุ่ม แถมก้มหน้าหรุบตามองพื้นอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไร ป้าจัดการเอง”
“ตามใจคุณ...เฮ้ย!”
หญิงสาวพูดไม่ทันจบก็ต้องอุทานลั่น ใจหายวาบเมื่อหนูครีมจอมซนวิ่งพรวดออกจากสนามหญ้าออกไปบนถนนตัดหน้ารถยนต์คันโตสีดำปราบที่เจ้าของเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ก่อนที่คนในรถจะเปิดประตูรถแล้วก้าวฉับๆ มายังร่างอวบที่กอดลูกหมานอนตัวสั่นระริกไว้ในอ้อมอก
“ไอ้หมาบ้า!!”
“เอ่อ...ขอโทษแทนลูกหมามันด้วย”
หญิงสาวร่างเพรียวระหงในชุดลำลองแบรนด์เนม สวมแว่นตากันแดดอันโต ยืนเท้าสะเอวมองเดือนเสี้ยวที่คุกเข่าอุ้มลูกหมาด้วยแววตาโกรธขึ้ง แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยขอโทษแต่อารมณ์ยังไม่เย็นลงสักเท่าไหร่
“คราวหน้าก็ดูมันให้ดี ถ้าเกิดมันตายมา จะซวยรถฉันเปล่าๆ...หมานรก!”
เดือนเสี้ยวถึงกับสะอึกเมื่อได้ยิน หน้าใสเข้มขึ้นด้วยไม่ชอบใจขณะมองตามนิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปที่ป้ายแดง หากฝ่ายเป็นต่อเมื่อเห็นคนมีความผิดทำหน้าเฉยคล้ายไม่สำนึก อีกทั้งมีสองสามีภรรยาอุ้มลูกหมาอีกสองตัวตามมาสมทบก็ยิ่งทำโมโห เพราะคิดว่าจะถูกรุม เช่นนั้นจึงหันมามองสองคนด้วยแววตาเหยียดหยามโดยลืมไปว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“หนูครีม”
“มันไม่เป็นไรแล้วค่ะ...คุณป้า”
“ขอโทษแทนหนูครีมด้วยแล้วกัน ไม่มีอะไรแล้ว...พวกผมขอตัวก่อนนะหนู”
อรรถแตะแขนภรรยาที่จับจ้องใบหน้าเชิดสูงของร่างเพรียวระหงตรงหน้าด้วยความไม่ชอบใจนักกับกิริยาก้าวร้าวไม่เห็นหัวผู้ใหญ่เมื่อฝ่ายสาวคราวลูกเบะปากหยันใส่ พร้อมส่ายศีรษะไปมาคล้ายกับว่าพวกคนตรงหน้านี้ปัดความรับผิดชอบ จากนั้นหล่อนทำเสียงคล้ายเยาะด้วยความสมเพชขึ้นจมูกดังชัดเจน แล้วสะบัดก้นไปขึ้นรถ ขับกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว
“มารยาททราม!”
“ไม่เอาน่าคุณมาศ อย่าอารมณ์เสียเลย...แล้วอีกอย่างหนูครีมนี่ก็เป็นฝ่ายทะเล่อทะล่ามุดใต้ท้องรถของเขาเองด้วยนา”
“อันนั้นฉันไม่เถียง แต่ไอ้ท่าทางที่แสดงออกแบบนั้นบ่งบอกว่าจิตใจสุดแสนจะต่ำเหลือประมาณ คงคิดว่าตัวเองดีที่สุดอยู่คนเดียวล่ะมั้ง ส่วนเรื่องหนูครีม มันก็เป็นแค่ลูกหมาตัวเล็กๆ จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรกัน”
“คุณป้าขา...แดดเริ่มร้อนแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”
ร่างอวบที่ผละไปผูกปลอกคอให้กับลูกหมาทั้งสามตัวแล้วยื่นสายให้อรรถ ก่อนจะเข้าไปลูบแขนนุ่มที่คล้ำแดดจากการลงมือทำสวนช่วยสามีในบางครั้งบางครา และเมื่อมารดาของมหิศรยิ้มกลับมาให้ก็รีบยิ้มตาหยีให้พร้อมกับคล้องแขนออกเดินตามทางตัวหนอนออกจากสนามเด็กเล่นแห่งนั้น
“แตงโม...เก็บของเสร็จรึยัง?”
ผกามาศถามขึ้น ตอนที่กลับถึงบ้านขณะที่เดือนเสี้ยวกำลังจะผละไปอาบน้ำ และเมื่อร่างอวบตอบกลับมาแล้วจึงพยักหน้าให้แล้วเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่บัดนี้ร่างเพรียวระหงของหญิงสาวคนก่อนเหตุนั่งใกล้กับลูกชายจนแทบจะเกยตัก จึงกระแอมเสียงดังขัดจังหวะพร้อมกระแทกตัวนั่งตรงข้าม เหยียดมองด้วยหางตาบ้าง
“หมิง!”
นางทำน้ำเสียงเข้มจัด กระแทกตัวนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ขณะที่สามีปลีกตัวขึ้นชั้นสอง
“อะไรครับ”
“วันนี้ขับรถไปส่งแม่ที่เมืองจันหน่อยนะ เดี๋ยวทานอาหารเช้าสักพัก...แล้วสายๆ ประมาณ 10 โมงค่อยออกเดินทาง”
มหิศรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ส่วนรุ่งอรุณนั้นหน้าเสีย ลดมือที่ยกไหว้มารดาของแฟนหนุ่มเมื่อนางมิได้ใส่ใจจะรับไหว้สักนิดเดียว หล่อนรู้แล้วว่าวันนี้ทำผิดพลาดจากไม่กี่สิบนาทีก่อนที่แสดงกิริยาก้าวร้าวต่อหน้า แต่กระนั้นก็ยังฝืนยิ้มหยดย้อย สำรวมท่าทีเพื่อเรียกคะแนนกลับคืน
“คุณแม่คะ...รุ่งต้องกราบขอโทษด้วยที่เมื่อกี้จำไม่ได้”
“ตกลงตามที่แม่บอกนะ...แล้วก็อย่าเลทล่ะกัน ไปถึงโน่นเย็นหรือค่ำ แม่ล่ะสงสารยายแตงโมแย่เลยที่จะได้เหลือเวลาอยู่กับพ่อแกน้อยลงไปอีก”
“แต่ผมมีนัดแล้ว”
พ่อลูกชายมองคู่รักที่รีบยิ้มรับ ดีใจหนักหนาที่เขามิได้รับปากมารดา
“เห็นคนอื่นดีกว่าแม่กว่าเชื้อ ก็ได้...แม่กลับพร้อมลุงอรรถ ส่วนเจ้าแตงโมก็ไม่ต้องไป พ่อเขาเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้น หายช้านิดช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงธีร์...มันก็คงรอลูกสาวได้อยู่แล้ว แค่สองเดือนเองที่แม่จะให้แตงโมอยู่กับเราน่ะ”
คนเป็นแม่ได้ทีพูดยาวเหยียด พลางถอนหายใจคล้ายระอาให้ความไร้น้ำใจของลูกชายเหลือเกิน
“..........”
ยิ่งลูกชายเงียบ ผกามาศก็ยิ่งโมโห เม้มปากแน่นเมื่อมองสบตากับรุ่งอรุณที่ดูเหมือนว่าจะตั้งหลักได้แล้ว และรู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมาอีกนิดเมื่อมหิศรเลือกหล่อน!
“เอาล่ะ...แม่จะขึ้นไปอาบน้ำ แล้วก็คงจะออกไปเลย ไม่ต้องรอทานอาหารเช้าหรอก”
นางว่าแล้วก็ลุกจากโซฟาไปเลย ทำคอแข็งไม่แม้แต่จะมองลูกชายที่รู้สึกลำบากใจ เขารู้ว่าที่มารดามาหาถึงนี่ ก็คงเพราะคิดถึงตัวเองมากแค่ไหน ด้วยระยะหลังๆ นี้ต้องขลุกอยู่กับงานประมูลระบบสารสนเทศของหน่วยงานแห่งหนึ่ง โดยเพิ่งจะเสร็จสิ้นปิดงานไปเมื่อก่อนจะไปฉลองความสำเร็จกับแฟนสาวที่มาเก๊า
สายตาคมเข้มมองตามร่างอวบของมารดาไปด้วยความรู้สึกลำบากใจ ชายหนุ่มนั่งนิ่งทว่าเพียงครู่ก็หันไปเอ่ยบอกให้แฟนสาวกลับไปก่อน โดยออกไปส่งถึงที่รถ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเง้างอดแค่ไหน แต่เพราะคำสัญญาที่จะรีบกลับมาหาพร้อมกับนัดทานอาหารเย็นใต้แสงเทียน ก็พอจะทำให้หล่อนหายงอนได้
“คุณหมิง...อย่าลืมนัดของรุ่งนะคะ...รีบไปรีบกลับ รุ่งคิดถึง”
“ครับ”
“รุ่งรักคุณที่สุดค่ะ”
กลีบปากเคลือบด้วยลิปสติกเนื้อดีกดลงตรงสันกราม ก่อนจะเรื่อยไปถึงเรียวปาก แต่แล้วต้องหยุดชะงักชั่วครู่เพราะสายตาตื่นตระหนกของเด็กสาว...ใช่ หล่อนคิดว่าเด็กสาว เพราะท่าทางนั่นเอง กระตุ้นให้หล่อนอยากอวดว่าแฟนหนุ่มน่ารักน่า อีกทั้งหล่อนรักเขาแค่ไหน
และพัวพันนัวเนียไม่ถอย แม้ร่างอวบจะขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ ก็ตาม
“ที่บ้านคุณนี่...มีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นด้วยเหรอคะ”
รุ่งอรุณกระซิบตรงหูของชายหนุ่มเมื่อโถมเข้าสู่วงแขนแกร่งก่อนจะผละออกไปยืนปั้นหน้ายักษ์ใส่เดือนเสี้ยวที่ขนกรงลูกหมาออกมาวางตรงตำแหน่งที่ไม่ห่างจากตรงที่หล่อนยืนอยู่เท่าไหร่นัก
“ใคร?”
มหิศรที่หันหลังให้ถามขึ้น แต่แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อเหลียวมองไปเห็นเดือนเสี้ยวนั่นเอง
“ยายตุ๊ต๊ะ”
“คนใช้ใหม่เหรอคะ...รุ่งเห็นตามไปรับใช้คุณลุงกับคุณแม่ที่สวนสาธารณะด้วย”
“เอาล่ะ...คุณกลับไปก่อนเถอะ ขับรถดีๆ นะ”
“เดี๋ยวสิคะ รุ่งอยากรู้”
ร่างเพรียวระหงของแฟนสาวที่ไม่ยอมพลิกตัวเพื่อจะเข้าไปนั่งในรถได้นั้น ส่งผลให้มหิศรต้องออกแรงเล็กน้อยดันให้หล่อนเข้าไปจนได้ นั่นเพราะไม่อยากให้ความมันยืดยาว ด้วยร่างอวบที่ยืนมองนิ่ง ไม่ขยับสักนิดคือสาเหตุที่ควรจะจัดการมากกว่า “ตัวก่อปัญหาระหว่างเขากับมารดา”
เมื่อรุ่งอรุณจากไป มหิศรจึงเดินย้อนมาตามทางเชื่อมระหว่างถนนที่แฟนสาวจอดรถกับโรงรถที่ดูเหมือนว่าคนก่อเหตุจะเปลี่ยนไปวุ่นวายกับข้าวของที่กองไว้ข้างรถกระบะสี่ประตูคันโตนั่นเสียแล้ว นอกจากกรงลูกหมาแล้วยังมีอาหารของพวกมันหลายถุง นมกระป๋องสำหรับหมาเด็กที่ยังไม่หย่านมอีกเป็นลัง งานนี้สงสัยว่าคู่สามีภรรยาจะทุ่มทุนไปมากโข
ชายหนุ่มยืนกอดอกมองร่างอวบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบย่อมและคุ้นตาออกมาวางเป็นอันดับสุดท้าย ก่อนจะชี้นิ้วไล่เพื่อตรวจเช็คว่าครบตามจำนวนหรือไม่ และขณะที่กำลังจะหมุนตัวเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย เธอถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อมือใหญ่ยื่นมาขวางไปเฉียดฉิวจากหน้าอกอวบเพียงนิดเดียว
“คะ?...คุณหมิง”
“เธอเป็น...ใคร”
น้ำเสียงที่ได้ยิน เข้มและขุ่นพร้อมๆ กับใบหน้าของมหิศรคืบคลานเข้าใกล้เดือนเสี้ยวที่ขยับถอยจนสะโพกไปชนกับประตูรถด้านคนนั่งตอนหลัง ยิ่งเห็นว่าเธอดูจะกลัวเกินเหตุ ก็นึกสนุกที่จะแกล้งให้สั่นขึ้นไปอีก ในเมื่ออยากจะมาดูแลเขานัก...ก็ต้องรู้จักกันให้มากขึ้น จะดีกว่ามิใช่หรือ
ยิ้มร้ายผุดขึ้นทำให้เดือนเสี้ยวถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ทำใจดีสู้เสือ...ที่ตัวโตเหลือเกิน
“แตงโม”
“ตอบไม่ตรง...คำถาม”
เขาพูดแบบนี้ทำให้หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความสงสัย สมองว้าวุ่นจนแทบกระเจิงเพราะลมหายใจร้อนรินรดเหนือขมับเมื่อร่างสูงใหญ่ขยับเข้าชิด หวามไหวเสียจนต้องหลับตาปี๋หนีการรุกรานเช่นนั้น ภาวนาให้เขาเลิกเล่นบ้าๆ แบบนี้เสียที
“ยาย...ตุ๊...ต๊ะ!”
ตอนแรกราบเรียบ หากตอนท้ายดุดันและดังก้องตรงใบหูจนเดือนเสี้ยวสะดุ้งลืมตาโพลง แต่แล้วต้องหลับตาลงเช่นเดิม เพราะ...ใบหน้าของมหิศรอยู่ใกล้เหลือเกิน
“ฉันถาม...แต่เธอตอบไม่ตรง...คำถาม แล้วก็ลืมตามองฉันด้วย ทำกิริยาแบบนี้...เสียมารยาท!”
“ขุ...คุณ...หมิง ก็...ออกไปห่างๆ...ก่อนสิคะ”
มือใหญ่ที่ข้างหนึ่งตบหลังคารถจนเดือนเสี้ยวสะดุ้ง ตาเบิกโพลง อาการนั้นทำให้มหิศรหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่
“ลืมตาได้ซะที”
“คุณหมิง”
“เรียกจังวุ้ย...กลัวฉันจำชื่อตัวเองไม่ได้หรือไง?”
มหิศรทำเสียงเข้มเจือรำคาญ ทำให้เดือนเสี้ยวถึงกับหน้าเสีย ดวงหน้าใสจึงได้แต่ก้มมองตัวเองเท่านั้น มิกล้าจะเงยหน้าสบตาลูกชายของผกามาศสักนิด แต่ทว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมเพราะชายหนุ่มตบมือข้างเดียวก่อนหน้ากับหลังคารถอีกครั้ง จนคนในอ้อมแขนต้องเงยขึ้นมองอย่างจำยอม
“ให้มันรู้ซะบ้างว่าฉันเป็นใคร...เธอเป็นใคร”
“คุณหมิง...เป็นลูกชายคนโตของคุณป้า แล้วก็เป็นพี่ชายของคุณเมย์ อ้อ! ละ...แล้วก็...กำลังจะเป็นคุณลุงอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วด้วยค่ะ ส่วนฉัน...เอ๊ย...หนู...เอ๊ย...แตงโมเป็นเด็กรับใช้ของคุณท่าน และกำลังจะมาเป็นคนดูแลคุณหมิงในสองเดือนนี้”
“หึหึ...เธอนี่มัน”
ร่างอวบที่พาซื่อตอบเขา ทำให้คนถามถึงกับส่ายหน้าเบาๆ
“ทำไมเหรอคะ”
“ซื่อบื้อ!”
“คุณหมิง”
เธอโอดเมื่อถูกเขากล่าวหา และหน้าแดงก่ำเมื่อถูกเขาหัวเราะเยาะซ้ำเข้าให้ ดวงตากลมเจือด้วยด้วยแววขุ่นเผลอสะบัดค้อนใส่ จากนั้นเม้มปากแน่นเชิดหน้าขึ้นแล้วหันหนีไปมองภาพไกลเพื่อให้พ้นจากใบหน้าคมคายที่ยังคงเยาะหยันกับสิ่งที่เขาคิดว่าเธอเป็น!
“แตงโม...แก้มเธอนี่แดงเรื่อ แถมใสเหมือนเนื้อมันด้วยสินะ แต่ไม่รู้จะหวานหรือเปล่า หืมห์?”
ตอนท้าย น้ำเสียงคล้ายเย้าหยอก อีกทั้งปลายนิ้วยาวเกลี่ยผิวเนียนมือ ไล้ไปมานั้น กระตุ้นเลือดกายให้สาวให้สั่นรัว ทั้งกลัวและเกรงหากไม่อาจฝืนกายหนีวงแขนแกร่งโอบล้อมจนกระดิกตัวแทบไม่ได้สักนิดเดียว
“ถ้าฉันจะลองหอมสักฟอด มันจะ...”
“ไม่เอา!”
คนถูกคุกคามรีบห้ามปรามปากคอสั่น
“ทำไม? ไม่เอาน่า...เมื่อกี้เธอยังมองฉันกับแฟนเลย ถ้าอยากลอง ฉันจะสนองให้เอง...ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ เลือกเอาสิว่าจะเป็นอะไรดี”
ลมปากร้อนรินรดติ่งหู ก่อนจะถือวิสาสะขบเม้มเบาๆ ความคิดชั่วแล่นที่จะปราบร่างอวบตรงหน้าส่งผลให้มหิศรพลั้งเผลอใกล้ชิด โดยลืมไปว่าเขาเองมีพันธะกับรุ่งอรุณจนไม่เหมาะจะทำกิริยากอร่อกอติกกับหญิงอื่น
“หือ...ลองหน่อยเถอะ”
เดือนเสี้ยวส่ายหน้าหนี จนเรียวปากร้อนหลุดเลื่อนไปทาบต้นคอชื้นเหงื่อ น้ำเค็มนั่นแหละเรียกสติที่กำลังแล่นด้วยความสนุกนั้นกลับมาอยู่กับตัว ดังนั้นมหิศรจึงค่อยๆ ถอยร่างออกห่างเล็กน้อย ทว่าใบหน้าคมคายกลับแต้มด้วยรอยยิ้มคล้ายจะดูถูกเด็กสาวยามที่เขากวาดสายตามองดวงหน้ากลมซีดเผือด ตาโตเจือน้ำใสเพราะรู้สึกตกใจกับการคุกคามชนิดถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้
“คุณหมะ...หมิง อย่าล้อเล่นแบบนี้อีกนะคะ”
“หึหึ...เธอยังคิดว่าจะมีครั้งที่ 2 อีกรึไง คิดรึว่า...จะได้แอ้มฉันงั้นสิ ตื่นจากความฝันเสียที...เธอไม่มีทางที่จะทำให้ความหวังของคุณแม่สำเร็จหรอก”
“พูดอะไรคะ ไม่เห็นรู้เรื่อง”
ร่างอวบเถียงเสียงเครียด ไม่สบายใจนักกับสิ่งที่เขาคิดและรู้สึกไปแบบนี้ และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนิ่งสนิท ไม่ได้จะทำอะไรอีก จึงรวบรวมแรงกำลังผ่านสองมือผลักร่างสูงกำยำให้ผงะหงายจนได้ และวิ่งหนีเข้าบ้านไปให้เร็วที่สุดโดยไม่อาจฟังเสียงหัวเราะเหยียดหยันของเขา
และดูเหมือนทั้งสองหนุ่มสาวจะไม่รู้สักนิดเลยว่ามีสายตาของผกามาศจับจ้องด้วยความพึงพอใจ ปนกับคาดหวัง...ว่ามหิศรจะต้องตกหลุมรักเดือนเสี้ยวในไม่ช้านี้ ด้วยเหตุที่นางจะทำให้ร่างอวบซึ่งโดนกักตัวเพราะลูกชายตัวดีให้ดิ้นหนีไม่ได้นั้นมีครรภ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ความคิดเห็น