คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอน 1 รีไรต์
เสียงร้องหง่าวของแมวตัวอ้วนกลม ลายสลิดขนสีเทาเข้มดังกระทบหูเจ้าของมันซึ่งเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา นอนเหยียดยาวบนโซฟา สองมือสอดผสานรองต้นคอ พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ทำงานมาตลอดทั้งเช้าเกือบสี่ชั่วโมง แม้จะดูเหมือนหลับทว่าหัวสมองก็มิได้พักแม้แต่นิดเดียว
“เนี้ย”
สัตว์หน้าขนกระโดดจากพื้นขึ้นมาที่หน้าท้องแข็งแกร่ง ย่ำเท้าเล็กๆ โดยเฉพาะคู่หน้านั้น ออกแรงกดเน้นๆ ผ่านไปสักพักมันยกแข้งขึ้นมาเลียทำความสะอาด ก่อนจะกระดิกหู สะบัดหัวดุกดิก เมื่อโดนมือเรียวยาวลูบไล้ด้วยความเอ็นดู แต่พอเปลี่ยนเป็นขยี้ด้วยความหมั่นเขี้ยว มันก็เอี้ยวหน้ามางับฟันกับสันมืออยู่สองสามครั้ง จึงยอบตัวนอนคู้ หันหน้ามาทางเจ้านายของมัน
“โคยูกิ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาบ่งบอกว่ามีสายเลือดบูชิโดผสมอยู่
“เนี้ย”
“ยังร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกหรือ...ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ต้องร้องว่าเมี้ยว”
“เนี้ย”
ชายหนุ่มผู้นี้นามคัตสึโมะโตะ พระนาย พัชรวิทย์ ได้แต่ยิ้มจางๆ ก่อนที่จะผุดลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับพนักโซฟา โดยที่สัตว์เลี้ยงรู้สึกตัวและกระโดดผลุงลงไปบนพื้น แล้วเดินเชิดหน้าออกไปทางประตูหน้าบ้าน บริเวณแถวนี้มีแมวสาวอีกตัวอยู่บ้านติดกัน และดูท่าทางจะเป็นเจ้าถิ่น เพราะฉะนั้นมันต้องไปซูฮกเสียแล้ว
ร่างสูงโปร่งบีบสันจมูกช่วงหัวคิ้ว แล้วเลื่อนนิ้วชี้กับหัวแม่มือไปยังปลายคิ้ว คลึงเพื่อระบายอาการตึงอยู่หลายครั้ง จนรู้สึกดีขึ้น จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบแว่นกันแสงขึ้นมาสวม แต่อยู่ๆ ดีๆ ก็วางลงเช่นเดิม แล้วลุกขึ้นเดินโหย่งๆ ขึ้นไปชั้นสอง อาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปสำนักพิมพ์
เพียงแค่สองชั่วโมงก็ใช้เวลาประชุมร่วมกับทีมงานเสร็จ จึงปลีกตัวไปออกกำลังกายยังฟิตเนสเซ็นเตอร์ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง สถานที่แห่งนี้คือที่หมายสำหรับสอดส่องสาวขาวสวย อกอวบอึ๋ม เอวคอด จนเห็นสะโพกผาย แบบสาวเชฟบ๊ะๆ แล้วล่ะก็ นั่นแหละ...ใช่เลย!
จากหญิงสาวสิบคนที่เข้ามาใช้บริการ คัดออกมาได้แค่สามเท่านั้น คนที่หนึ่งเดินบนสายพานลู่วิ่ง หน้าตาใช้ได้ แต่ทว่าบึ้งตึงตลอดเวลาเหมือนยักษ์ขมูขีขี้โมโห คนที่สองปั่นจักรยาน สนใจแต่สมาร์ทโฟนในมือ พอเงยหน้าขึ้นเมื่อได้กลิ่นหนุ่มหน้าตาดีมาวนเวียนอยู่ไม่ห่าง
และแล้วชายหนุ่มเองหันหลังกลับไม่ทัน เมื่อเห็นชัดๆ ว่าเป็นป้าวัยสี่สิบปี ส่วนคนที่สาม รายนี้อยู่ในชุดสีชมพูสดใส ผิวกายขาวนวลเนียน คาดผมอันโตรูปมินนี่เมาส์ทำให้ดูเป็นคนน่ารักคิกขุ สร้างความหวังให้แก่เขา แต่แล้วก็หน้าตึงเมื่อเป้าหมายกำลังหมุนตัวมาจนแทบจะชน แถมทำเสียวคว้าอาวุธร้ายประจำตัวนั่น เป็นหญิงเทียม จนต้องก้าวถอยหลังกรูดหนีออกไปพร้อมกับความผิดหวัง
สุดท้ายก็มาเตร็ดเตร่อยู่แถวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กล้องในมือของเขาถูกยกขึ้นมาบันทึกภาพถ่ายในมุมมองของนักชิมริมทาง หลายต่อหลายร้านน่าสนใจ ทว่าด้วยเวลาไม่มากนักจึงตัดสินใจเลือกเพียงแค่ร้านเดียว และเป็นร้านที่คิดว่าพอจะทำให้หายคิดถึงถิ่นฐานบ้านเกิดได้มากพอควร
กลิ่นแกงกะหรี่หอมกรุ่นกระทบจมูกโด่งเป็นความประทับใจแรกจนเผลอสูดกลิ่นเข้าเต็มปอด ยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้รินหลั่งได้ไม่อยาก สัมผัสที่สองเป็นสไตล์การตกแต่งร้านที่มีรถกระบะเปิดท้ายคันเล็กสีเขียวเพนท์ลายดอกซากุระสีชมพูกับขาวดูน่ารักคิกขุจอดอยู่ นับว่าโชคดีที่เจ้าของได้เช่าห้องแถวสองชั้นห้องสุดท้าย ซึ่งมีพื้นที่ข้างๆ เหลือพอ พอจะจัดเป็นที่นั่งพื้นที่เอาท์ดอร์สำหรับลูกค้าบางส่วนที่ต้องการรับลมธรรมชาติด้วย แม้ว่าจะต้องแลกกับค่าเช่าเพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็ตามที
“พี่นกยูง”
เสียงดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้หญิงสาวร่างอ้วนด้วยน้ำหนักตัวหนักถึง 65 กิโลกรัมอย่างดุจหทัย พี่สาวของคนเรียกเฉกเช่นดวงชีวา ค่อยๆ หันมามอง พยักหน้ารับแล้วยกมือรับไหว้หลานชายตัวน้อยที่พนมมือตรงหว่างอกอย่างงดงาม พร้อมกับสิ่งยิ้มไปให้เป็นรางวัลอีกด้วย
“พี่ฟ้าลั่นเป็นไงบ้าง”
“ยายกระแต้ว! ไปเรียกมันว่าฟ้าลั่น...ขืนหลุดพูดให้ได้ยินล่ะก็ นังแฟนนี่มันได้ตบเธอแก้มตุ่ยแน่”
คนถูกปรามหัวเราะร่วน
“ว่าแต่พี่ฟ้าลั่นของเธอไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก แพทเทิร์นเดิมๆ...ฟูมฟายน้ำตาท่วมเป็นเผาเต่า”
“อ้อ”
“แล้วก็เล่าเรื่องของไอ้ผู้ชายคนนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อที่จะฟัง แล้วก็ทำเป็นอดข้าวอดน้ำจนเป็นลมเป็นแล้ง เผลอเมื่อไหร่มันแอบจกข้าวของพี่กินทุกที”
คนเล่าเองก็ไม่วายแอบล้อเลียนชื่อเก่าของเพื่อนหญิงเทียม
“แต่ที่หนูรู้ แล้วก็จำแม้ว่าพี่ฟ้าลั่นจะโซแซด (So sad) แค่ไหน แต่แกจะต้องแอ๊บสวยด้วยชุดเสื้อผ้าเว่อร์ๆ เริ่ดหรูอลังการใช่มั้ยอ่ะ”
“อือ...หมั่นไส้เหมือนกัน วันหลังจะได้เด็กขนไปซ่อน แล้วให้มันใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงบอล เหมือนตอนที่มันยังไม่เฉาะ ดูสิมันจะทำหน้ายังไง”
เพียงเท่านี้ คู่พี่น้องที่อายุห่างกันเกือบห้าปี ก็ต่างหัวเราะร่วน
“พี่นกยูงทำไม่ลงหรอก”
“เออนี่! เพิ่งวางสายจากนังฟ้าลั่นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอรู้มั้ย? มันโทรมากรี๊ดๆ กับพี่...บอกว่าเจอว่าที่หวานใจคนใหม่ด้วย ไปเล่นฟิตเนสอั๊พแอนด์ดาวอะไรนั่นน่ะ เอากับมันสิ! เมื่อวานมันยังนอนซมซบตักพี่ แต่วันนี้กลับสิบเอ็ดรอดอเหมือนเดิม...มันน่าไปช่วยกู้ซากมั้ยล่ะ!”
ดวงชีวาขำจนน้ำตาเล็ดกับที่สาวที่บ่นกระปอดกระแปดยืดยาว
“เห็นผู้ชายที่ไร? ต่อมเจ็บมันลืมทำงานทุกทีแหละพี่”
“คงงั้น”
คนเป็นพี่ขยับผ้ากันเปื้อนสกรีนชื่อร้าน ‘อิ๊กคิว’ ชั่วครู่ พลางส่งรายละเอียดที่ต้องการให้จัดอาหารกล่องเบนโตะให้แก่ลูกค้าประจำของนกยูงแคตเตอริ่ง คุยกันสักพักพอเข้าใจจึงปลีกตัวไปเดินสำรวจภายในร้าน ดวงหน้าหวานเจือด้วยรอยยิ้ม เมื่อคะเนจำนวนโต๊ะรองรับลูกค้าพบว่ามันมากขึ้น ท่ามกลางการจัดแต่งร้านให้ดูดีมีสไตล์ด้วยฝีมือเพื่อนของแฟนนี่
ปลายนิ้วชี้ที่แตะเข้ากับพื้นโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ ปาดไปมาสองครั้งแล้วยกขึ้นดู ผงกศีรษะพอใจเมื่อมันไร้ฝุ่น บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ ดอกกุหลาบสีหวานในแก้วเหลี่ยมทรงเตี้ยไม่มีกลีบช้ำ ทิชชู่เนื้อดีถูกพับสอดเป็นเกลียวในแก้ว ชุดเครื่องปรุงรสสะอาดสะอ้าน ไร้คราบดำสกปรกเกาะเหนียวหนึบ
ดุจหทัยตอนนี้ยืนเหม่อมองไปนอกร้าน ใจของคนเป็นพี่รู้สึกยินดีต่อชีวิตที่เริ่มจะมั่นคงของดวงชีวา ซึ่งอดีตพลาดท่าเสียทีต่อความเย้ายวนของรักในวัยเรียนไม่ได้ วันวานเธอเสียใจ กล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ในอก แต่แอบร่ำให้โทษตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวที่ไม่ดูแลน้องให้ดี ถึงกระนั้นหากไม่สั่งตัวเองให้เข้มแข็งและมีจุดยืนต่อความถูกต้อง และที่สำคัญให้อภัยและให้โอกาสกับโยธิน สามีของน้องสาว วันนี้ก็คงจะไร้ซึ่งความสุขอย่างแน่นอน
“พี่นกยูง”
ปลายนิ้วเรียวแตะเข้าที่ปลายหางตา กระพริบไล่หยาดน้ำใสให้หายไปอย่างเร็วที่สุด
“มีอะไรรึเปล่า”
“เห็นร้านสวยดีน่ะ...พี่ชอบมาก ไม่คิดว่าเพื่อนแฟนนี่จะฝีมือดีแบบนี้...ไอ้ชั้นหนังสือรูปดอกซากุระ น่ารักดี...เดี๋ยวให้ช่างไปติดในห้องนอนสักอันดีกว่า”
“ว่าแต่พี่หิวยัง แล้วนี่ปุ้มกับอ๋อยมันหายไปไหน? หนูยังไม่เห็นมันเลย สงสัยแอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับเจ้าหนุ่ยร้านข้างๆ นี้แน่ๆ กลับมาจะหักเงินเดือนซะให้เข็ด”
ดวงชีวาจบการตลาด แต่งกยิ่งกว่าพนักงานบัญชี ถามหาเด็กในร้านหายหน้าไป ทำให้หล่อนต้องมาวุ่นอยู่กับการหุงข้าวสำหรับทำซูชิ
“พี่ใช้ให้ไปซื้อกับข้าว”
“อ๋อ”
“แล้วสั่งอะไรไปบ้างอ่ะ เผื่อหนูจะได้กินด้วย”
น้องสาวถาม พลางเดินย้อนกลับเข้าในครัว โดยมีร่างอ้วนตามเข้าไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันทำงาน ร้านนี้ให้บริการตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงสามทุ่มของทุกวัน ยิ่งอยู่ในย่านหน่วยงานราชการและมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นทำเลทองในการทำมาหากินเลยทีเดียว
“หลายอย่าง”
“มีขนมจีนแกงเขียวหวาน...แล้วก็ทอดมันมั้ยพี่? อยากกินแบบชาวเมืองเพชร เหมือนที่เราเคยไปทำบุญบ้านเพื่อนหนู”
“คงมีแหละ”
“แล้วอะไรอีกคะ”
คนถามมีรูปร่างแค่อวบๆ กำลังหยิบของสดจำพวกทูน่า ปูอัด ปลาหมึกสด แล้วก็เครื่องทำหน้าซูชิอื่นๆ อีกหลายอย่างออกมาจากตู้เย็น
“พวกส้มตำอะไรนี่แหละ...ไก่ย่างอีกตัว เผื่อให้หมูหยองกินกับข้าวด้วย”
“ขืนกินหมดตัว รับรอง...อ้วนเป็นหมูเหมือนพี่นกยูงแน่”
เพียงแค่พูดเปรย ทว่าอีกฝ่ายที่ฟังกลับรู้สึกแสลงหูจนออกอาการหน้างอ ค้อนตาคว่ำใส่
“ดูพูดเข้า! ใครอ้วนเป็นหมู”
“พี่นั่นแหละ”
ดุจหทัยรับหม้อข้าวไปซาวถึงกับหยุดมือ ไอ้เรื่องรูปร่างแสนตุ้ยนุ้ยด้วยน้ำหนักเกินพิกัดควรจะเป็นกิโลกรัมคือฝันร้ายที่เจ้าของมันพยายามจะลืมเลือน แม้มันจะหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันผ่านหน้ากระจกก็ตามที
“นี่ยายนกแต้วแว้ว...พี่รู้ว่าตัวเองอวบระยะสุดท้าย เธอไม่จำเป็นต้องมาย้ำหรอก”
“ไม่อวบ! นี่มันอ้วนแล้ว!!”
“อวบ!!”
พี่สาวกระแทกเสียงกลับไป
“อ้วน!!”
น้องสาวย้ำกลับมาชัดเจน ไม่ยอมแพ้
“เชอะ! อ้วนก็ได้ย่ะ”
คนเป็นพี่ตีหน้าบึ้ง หันไปเทข้าวสารในสัดส่วนพอเหมาะคนให้เข้ากัน ก่อนจะจัดการหุงด้วยหม้อไฟฟ้า จากนั้นสาละวนอยู่กับการเตรียมหน้าซูชิ ซึ่งร้านนี้มีให้เลือกเกือบยี่สิบอย่างนั้น ด้วยความคล่องแคล่ว
“แหม! ขี้งอนจัง จะเลขสามแล้วนะพี่”
“ไมได้งอน แต่...โกรธ”
ริมฝีปากสีระเรื่อราวกุหลาบนั้น ยื่นยาวออกมา เผยว่าเจ้าของมันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ที่จริงก็บอกหลายทีแล้วนะว่าพี่นกยูงน่ะอ้วน เรามาลดความอ้วนกันใหม่ดีมั้ยพี่? คราวนี้หนูเอาด้วย”
“ถึงจะอ้วนก็มีความสุขย่ะ”
ดุจหทัยยักไหล่
“อย่าได้แคร์ว่างั้น! พี่นกยูง... รู้ตัวรึเปล่าว่าพี่น่ะนะกำลังกิน...กิน แล้วก็กินเพื่อดับความเครียด...หนูพอรับได้ แต่จริงๆ พี่กำลังกินประชดเฮียสันต์”
ดวงชีวาจี้ใจดำร่างอ้วนที่ถึงกับอึ้ง เถียงไม่ออก ใจยอมรับว่าทำอย่างที่น้องสาวพูดจริงๆ กระนั้นก็สั่งสมองตัวเองว่าอย่าได้ใส่ใจคำพูดพวกนี้เลย
“ไม่จริง...ใครบอกเธอว่าพี่กำลังประชดเขา”
“ก็หนูนี่แหละบอก”
“พี่ลืมเขาแล้ว”
ร่างอ้วนคนไข่ในมือแรงๆ จนมันแทบกระฉอกออกมานอกชาม ก่อนจะวางบนโต๊ะเมื่อรู้ว่าไม่สามารถจะถือมันไว้ในมือได้อีก เจ้าตัวพยายามกลั้นน้ำตาใสๆ ไม่ให้กลิ้งหยดบนแก้มนวลเนียน
“ลืมแล้ว...ว่าเขาเป็นใคร”
“พี่นกยูง”
มือที่จับไม้ตีไข่ ยกขึ้นโบกไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้อีก
“หนู...หนูขอโทษ”
น้องสาวรามือจากงาน ไปยืนกอดพี่สาวทางด้านหลัง แล้วซบหน้าถูไถกับแผ่นหลังออดอ้อน จนคนโดนง้อแกล้งขืนตัวหนีไปอย่างนั้นเอง
“อย่าโกรธนกกระแต้วนะ...หนูลืมตัว”
“ต่อไป ห้าม! พูดถึงชื่อนี้อีก พี่ไม่ชอบ”
“ก็มันลืมตัวนี่นา”
หล่อนแก้ต้วเสียงอ่อย
“ถ้าไม่อยากให้พี่เสียใจ ก็ระมัดระวังหน่อยนะกระแต้ว”
พี่สาวปลดแขนเรียวที่กอดเอวหนาของตัวเองออก ก่อนจะทำงานของตัวเองไปเงียบๆ อากัปกิริยาเมินเฉยทำให้คนก่อเรื่องใช่จะสบายใจ แต่เมื่อเกิดเหตุแล้ว คงต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ลบค้างความขุ่นข้องหมองใจดีกว่าจะไปพูดหรือง้อให้ฟอนฟืนมันปะทุขึ้นมา เช่นนั้นน้องสาวจึงตัดใจ ทำงานไปเงียบๆ กระทั่งเสียงดังแปดหลอดของปุ้มและอ๋อย สองพี่น้องต่างลืมตัว หันมายิ้มให้กันอย่างเก้อเขิน
“พี่นกยูง...พี่กระแต้ว...อิ๊กคิวไปไหนคะ”
ปุ้มเป็นคนถามขึ้น เมื่อได้รับคำตอบก็รีบลิ่วไปหาลูกชายของนายจ้าง ส่วนอ๋อยแกะอาหารเทใส่จาน ไม่นานนักอาหารเย็นก็เพียบพร้อม สำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อหนูน้อยร่างจ้ำม่ำที่เหงื่อพราวเต็มหน้า เส้นผมหยิกหยอยเหมือนหมูหยองแสนอร่อย ก็เปียกชุ่มด้วยเหงื่อไม่แพ้กัน
“วันนี้...อิ๊กคิวยังไม่ได้หอมแก้มป้านกยูงเลยลูก”
“หอมมากๆ แก้มช้ำหมดนะคับ”
เด็กชายภูริภัทรตอบอย่างเร็วรี่ จนคนอ้อนขอถึงกับเบ้ปาก ขำไม่ออก
“ไม่คิดถึงป้าเหรอ”
“คิดถึงคับ...วันนี้พ่อท๊อปให้อิ๊กคิวไปนอนกับป้านกยูงด้วย อิ๊กคิวจะเล่านิทานก่อนนอนให้ป้านกยูงฟังด้วย...แล้วก็เอียงแก้มมาสิคับ จะได้จุ๊บๆๆ กัน”
ดุจหทัยยิ้มแป้น ก่อนจะทำตามที่โดนสั่ง หัวเราะอารมณ์ดีเมื่อเจ้าหลานชายระดมจูบแก้มจนน้ำลายแทบเปื้อนไปทั่ว จากนั้นจึงเป็นฝ่ายจูบหน้าผาก แก้ม แล้วก็คางกลับคืนไปให้ด้วย
“ปากหวานแบบนี้รักตายเลย...เนอะ”
“คับ”
สองป้าหลานต่างหยอกเย้ากันอย่างชื่นมื่น
“ป๋มป้อนข้าวป้านกยูงนะคับ แล้วป้าก็ป้อนนกยูงนะ แลกกัน...ดีมั้ยอ่ะ”
“อิ๊กคิว”
ดวงชีวาขัดขึ้นเสียก่อน ใช่ว่าจะเดาใจเจ้าหมูน้อยตัวนี้ไม่ออก เพราะจากการที่ได้ยินลูกชายเล่าว่าวันเสาร์ก่อนไปนอนบ้านพี่สาวของหล่อนแล้วเจอกับน้องเหมียวตัวอ้วน มันน่ารักแล้วก็ช่างออดอ้อน พอกลับมาบ้านก็เซ้าซี้จะขอเงินคนเป็นป้าไปซื้อแมวเลี้ยงไว้ดูเล่นสักตัว
“เอาใจป้าเขาเนี่ย? อยากได้อะไรรึเปล่า”
เด็กชายทำส่ายศีรษะปฏิเสธ
“แม่รู้ทันเรานะเจ้าตัวแสบ แล้วก็ไม่ต้องเอาใจป้าเขามาก ทั้งเราทั้งป้า...ตอนนี้กลมจนแทบจะกลิ้งได้แล้ว”
โยธินกลับเป็นฝ่ายหัวเราะก๊าก
“ผมว่าเหมือนแม่ลูกช้างน้อยมากกว่า อ้าปากสิครับ...ผมป้อนอ้อยควั่นให้ สดๆ เลยนะพี่เมีย”
“ท๊อป!”
“ขอโทษครับพี่เมีย”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ เมื่อโดนดุจหหัยชักสีหน้า เค้นเสียงขุ่นใส่
“ฉันเป็นแม่ช้าง! แกก็พ่อช้างแหละ อ้วนเหมือนกัน...ทำเป็นหัวเราะคนอื่น”
“โธ่! ล้อเล่นคร๊าบ...ถึงจะชอบกัดพี่เมีย แต่ผมก็คอนเฟิร์มเหมือนเดิมนะว่าผมชอบให้พี่เมียตัวกลมๆ น่ารักออก สุรปว่าอย่าลดความอ้วนเลยนะพี่เมียนะ”
“พูดจาอย่างนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
ดุจหทัยยิ้มแยกเขี้ยวใส่ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรอีก ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งในร้านดังขึ้น ดึงความสนใจและสายตาให้ปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งของลูกค้าคนแรกของวันนี้...
ความคิดเห็น