คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอน 5
สองมือเรียวบางยกขึ้นพนมไหว้พี่ชาย ก่อนที่เมธาวี วิลล์จะโถมตัวสู่อ้อม
กอดกำยำด้วยความคิดถึง เกือบหกเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน น้องสาวของมหิศรเป็นดาราสาวชื่อเสียงโด่งดัง และกำลังก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ใครต่อใครต่างเรียกขานว่าเจ้าหญิงแห่งวงการนั้น กลับเลือกที่จะหยุดอนาคตแสนรุ่งโรจน์ เพื่อสมรสกับข้าราชการสถานทูตแห่งหนึ่ง ภายหลังจากคบหากันมานานกว่าหนึ่งปี และเธอเองก็ต้องเดินทางไปฮันนีมูนเกือบสองอาทิตย์ แล้วกลับมาเคลียร์คิวงานที่ติดค้างไว้ทั้งหมด ก่อนจะติดตามสามีไปประชุมยังประเทศในภูมิภาคนี้อยู่เนืองๆ อีกทั้งคนเป็นพี่ก็ธุรกิจรัดตัว จะหาเวลามาตรงกันก็ยากพอดู
“คิดถึงพี่หมิงจัง ได้ข่าวว่าไปสำราญอยู่ที่มาเก๊าตั้งหลายวันเหรอคะ”
มหิศรที่โอบร่างเพรียวไว้ พร้อมกับดันให้ออกเดินสู่ตัวบ้านนั้น ได้แต่ยิ้มๆ เพราะป่านนี้คนเป็นแม่คงเล่าเรื่องของรุ่งอรุณให้ฟังหมดแล้ว รู้ดีว่าผู้หญิงในบ้านคุณานุรักษ์มิได้ปลื้มแฟนสาว หากเขาก็หาสาเหตุไม่ได้ เพราะหล่อนนั้นแสนน่ารักกับเขาเป็นหนักหนา
คงจะเป็นเพราะ ‘หวง’ เขากระมัง
“ถามแบบนี้ฟังใครเล่าอะไรมาล่ะ”
“เปล่า”
“จริงเหรอ เออ...เมย์ พี่ถามหน่อยสิ...ยายตุ๊ต๊ะนี่เป็นคนโปรดของคุณแม่มากรึไง?”
คำถามนี้ทำให้เมธาวีถึงกับนิ่วหน้า พลางหยุดเดินเอาดื้อๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย แล้วตอบปฏิเสธไปแทบจะทันที เธอชอบเดือนเสี้ยวไปไม่น้อยกว่ามารดา แต่ขณะเดียวกันก็เกลียดรุ่งอรุณเข้าไส้ นั่นไม่ใช่เพราะมารดายัดเยียดความรู้สึกนี้ให้ ทว่าได้พบและสัมผัสด้วยตัวเองต่างหาก
ถ้าไม่รีบแต่งงานกับเรมอน วิลล์ ป่านนี้คงจะโดนฉกตัวไปแล้วแน่ๆ และที่หล่อนคนนั้นพลาดหวังจากชายคนรัก แล้วทำเนียนหักเหไปหาพี่ชายของเธอ ทำทุกวิถีทางจนได้เป็นแฟนกันแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องเคียดแค้นอะไรกันบ้างล่ะน่า
แล้ว...เรื่องอะไรจะยอมให้คนดีๆ อย่างมหิศรไปติดบ่วงนางมารร้ายได้เล่า และถ้าเลือกได้ก็ขอเป็นคนใกล้ตัวอย่างเดือนเสี้ยวที่ได้สัมผัสแล้ว รู้ว่าอย่างน้อย...เธอบริสุทธิ์ สดใส อีกทั้งจิตใจมิได้ร้ายกาจเช่นรุ่งอรุณ!
“ตุ๊ต๊ะ...ใครเหรอคะ”
แม้เมธาวีจะรู้ดีว่าหมายถึงใครคนไหน แต่ก็แกล้งไขสือไปอย่างนั้น คนสนิทของมารดาจะมีใครได้นอกจากร่างอวบที่เพิ่งจะมีวิวาทะกับพี่ชายของเธอเมื่อก่อนหน้านี้ ถ้าไม่เสียมารยาทเมียงมองและเงี่ยหูฟังก็คงไม่รู้หรอกว่าต่างคู่ก็แรงไม่แพ้กัน
“ยายแตงโม...ตัวอวบเหมือนหมูเด้งนั่นไง”
และแต่ล่ะคำที่เรียกขาน ช่างน่าฟังนักนี่! แค่คนได้ฟังยังสะอึก แล้วคนถูกป้ายสีอย่างนี้ จะไม่ให้เสียใจเพราะโดนย่ำยีความรู้สึกได้อย่างไรกัน
“พี่หมิงใจร้าย”
“.........”
“แตงโมน่ารักออก ไปเรียกซะเสียเลย”
“พี่เรียกตามที่เห็น”
มหิศรก้มลงถอดรองเท้า และเมื่อเสร็จสิ้นแล้วเงยหน้าก็สายตากระทบเข้ากับร่างอวบที่รีบมาประคองเมธาวีที่เพิ่งจะตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว โดยเสสบตากับร่างเพรียวระหงที่ยื่นมือโอบเธอสู่วงแขนอย่างแสนรัก
“แตงโม เดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่แล้วเหรอ”
คำถามจากน้องสาวของชายหนุ่ม เป็นผลให้เดือนเสี้ยวถึงกับอึกอัก นึกคิดด้วยความน้อยใจว่าสองพี่น้องจะรุมล้อจนเธอรู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกหรือ ยิ่งร่างสูงกำยำมองมาไม่วางตา ก็ก้มหน้าปิดปากเงียบกริบโดยไม่ได้ดีขึ้น แม้ว่ามือบางของเมธาวีจะลูบคล้ายปลอบโยน
“..........”
“เอ้า! เงียบซะแล้ว”
เมธาวีหัวเราะเบาๆ พลางดันตัวของเดือนเสี้ยวให้ออกเดินไปพร้อมกัน
“แต่เมย์ไม่เรียกหรอกนะ เมย์เป็นเพื่อนของแตงโม ไม่ใช่ตายักษ์ขี้โมโหแบบพี่หมิง...คนอะไรใจก็ร้าย ปากก็เสีย พูดจาอะไรไม่น่าฟัง...จริงมั้ย”
“ค่ะ”
เดือนเสี้ยวมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่เดินลิ่วนำไปยังห้องอาหาร โดยไม่สนใจทั้งคู่ที่กระซิบกระซาบกันสักนิดเดียว เธอตัดสินใจหยุดเดิน แล้วหมุนตัวมาจับสองมือของเมธาวีไว้ ตั้งใจจะระบายความอัดอั้นออกมา ภายหลังรู้ว่ามีหญิงสาวตรงหน้านี้เป็นพวกของตัวเอง
“คุณเมย์คะ”
“หือ?”
“แตงโมเคยโมโห บางทีก็พาลโกรธคุณหมิงเหมือนกันที่เอาแต่ใจ เรียกแตงโมว่าตุ๊ต๊ะบ้าง หมูเด้งบ้าง...หลังสุดนี่ก็ประชดว่าชื่อเบาหวิวด้วย”
“แต่ล่ะชื่อ...พี่หมิงนี่! แต่เมย์ชอบชื่อหมูเด้งนะ น่ารักดี...เมย์ขอยกเว้นเรียกชื่อนี้ได้หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำขอนี้ ร่างอวบถึงกับหน้ามุ่ย จนเมธาวีหัวเราะเบาๆ
“คุณเมย์อ่ะ”
“ล้อเล่นน่ะ”
“เมื่อกี้แตงโมย้อนคุณหมิงด้วยแหละ ว่าขอเรียกว่าคุณล่ำบึ้กจะโกรธมั้ย แต่พอดีคุณเมย์มาเสียก่อน เลยยังไม่ทันรู้ผล”
“ฮ่าๆ เก่งจริง เอาเล้ย! ย้อนซะมั่ง...พี่หมิงจะได้รู้ตัวบ้าง ว่าตัวเองไม่ใช่จะเที่ยวไปเรียกใครต่อใครเขาตามแต่ใจอย่างนั้น เอ้านั่นคุณลุงกับคุณแม่รอทานอาหารอยู่”
หญิงสาวทั้งคู่รีบเดินไปยังโต๊ะอาหารที่ห่างไปแค่สามเมตร เมื่ออรรถเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน ส่วนผกามาศเดินนำเด็กรับใช้ออกจากห้องครัว เวลานี้เกือบจะบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ทั้งคณะที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ต่างก็หิวโซกันแล้วแน่
“เมย์...มานั่งได้แล้ว มัวแต่คุยไร้สาระอะไรอยู่ได้”
คนเป็นพี่ตวัดเสียงเข้มใส่ร่างเพรียวที่คล้องแขนเดือนเสี้ยว หัวเราะต่อกระซิกกันเข้ามาใกล้ จนน้องสาวที่นั่งลงข้างๆ นึกหมั่นไส้กับท่าทีหัวเสียเกินเหตุ เธอจึงทำไม่สนใจนอกจากหยิบตะเกียบขึ้นมาเพื่อจะรับประทานเย็นตาโฟเจ้าอร่อยของจันทบุรีที่...
“แตงโม มานั่งข้างป้าสิลูก...ทานด้วยกันก่อน”
ผกามาศชักชวนร่างอวบ แต่เธอกลับส่ายหน้าพร้อมขออนุญาตไปดูแลบิดาที่ล้มป่วยเป็นไข้หวัด โดยเจ้าตัวถึงกับถอนหายใจโล่งอกเมื่อนางไม่ขัด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงรีบรุดลงจากเรือนใหญ่ไปกระท่อมหลังเล็กข้างสวนผลไม้โดยไว ทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อน้องสาวของมหิศรลุกขึ้นมาขวางไว้เสียก่อน
“คุณเมย์ มีอะไรให้แตงโมรับใช้เหรอคะ”
“เปล่า”
ร่างเพรียวบางทำเสียงสูง กลั้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าเดือนเสี้ยวมิได้อยากจะอยู่นานให้พี่ชายของเธอได้เหน็บแนมให้เจ็บใจเล่นอีกอย่างแน่นอน แต่ว่าที่คุณแม่มีของบางอย่างให้จึงต้องยื้อยุดร่างอวบไว้เสียก่อน
“เมย์ว่าจะเอาเสื้อไหมพรมตัวนี้ให้แตงโมตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ลืมทุกที”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เกรงใจแย่”
“อย่าพูดแบบนี้สิ รู้มั้ยว่าเมย์กับคุณแม่ช่วยกันไปเลือกให้ พอเห็นลายน้องหมากับสีฟ้าอ่อนๆ อย่างที่แตงโมชอบก็รีบซื้อมาให้เลย เอาไปใส่นะ...ไม่ใช่เก็บเข้าตู้”
เดือนเสี้ยวถึงกับซึ้งในน้ำใจของหญิงสาวกับมารดาของเธอ ร่างอวบประนมมือไหว้รับของ ก่อนจะเข้าไปกราบตักของผกามาศอีกครั้ง ความอ่อนน้อมที่ได้เห็นในสายตาของมหิศรมิได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากมายนัก นอกจากคิดไปว่าคงจะอ้อนกันจนได้ของเป็นประจำเท่านั้น
“ขอบพระคุณคุณป้ามากค่ะ”
มือเหี่ยวตามวัยยกลูบศีรษะทุยของเดือนเสี้ยวเบาๆ
“อย่างที่พี่เมย์บอกนั่นแหละ เอาไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ เราน่ะชอบเก็บจริงๆ ของที่ป้าให้ ของพวกนี้ถ้าไม่ใช้ นานๆ ไปก็เสียหมด”
“ค่ะ แตงโมจะใส่อวดคุณป้าเย็นนี้เลย”
“ดีแล้ว แล้วเย็นนี้ ป้าจะให้แตงโมขึ้นมาช่วยดูแลหมิงเขาเสียหน่อย นานๆ มาที่นี้ทีนึง เผื่ออยากจะดื่มเหล้าเคล้ามองดาว เกิดเพลินแล้วขาดตอนจะแย่เอาได้ถ้าไม่มีคนคอยเสิร์ฟกับแกล้มให้อย่างต่อเนื่อง”
เดือนเสี้ยวพยักหน้ารับ แต่แล้วเมื่อสบตานิ่งเฉยของมหิศรที่มองตรงมาไม่มีหลบ ทำให้เธอเองต้องเป็นฝ่ายถอยด้วยการหรุบตาหนี พร้อมกับลามารดาของเขาอีกครั้ง กระทั่งร่างอวบลับหายไปจากห้องรับประทานอาหาร
“คุณมาศ ทานอาหารเถอะ ลูกชายรอเงกแล้ว”
“ที่จริงแล้ว เมย์ว่าคุณแม่ไม่น่าหิ้วท้องมาทานที่บ้านเลย อาหารพวกนี้แวะทานที่ร้านอร่อยกว่าเยอะ”
“ก็พี่ชายของเราน่ะสิ บ่นกระปอดกระแปดว่าช้าบ้างล่ะ...ร้อนบ้างล่ะ แม่เองไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ชายของเราเรื่องมาก!”
คำบอกนี้เรียกเสียงหัวเราะจากอรรถ ขณะที่คนถูกกล่าวหาทำหน้าเหรอ เมื่อถูกใส่ไคล้ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง แต่ใจก็รู้ดีว่ามารดาแกล้งอำไปอย่างนั้นเอง
“แล้วนี่ตกลงว่าจะค้างหรือเปล่าคะ”
มหิศรพยักหน้า ได้เห็นอย่างนี้น้องสาวจึงฉีกกว้าง
“ดีใจจัง เมย์จะได้ปรึกษาพี่หมิงเรื่องบริษัทที่เราร่วมทุนกันไว้...เห็นคุณแม่บอกว่าพี่หมิงรับแตงโมไปเป็นผู้ดูแลส่วนตัวชั่วคราวเหรอคะ แต่ดูเหมือนลุงธีร์จะยังไม่หายไข้เลย แล้วจะทำยังไงกัน”
“แล้วพี่ต้องทำยังไงล่ะ?”
คำถามย้อนคำถามของเมธาวี เป็นผลให้หญิงสาวทำหน้ามุ่ยใส่
“พี่หมิงคะ!”
“เมย์...รู้จักคำว่ามารยาทมั้ย คุณลุงนั่งก็นั่งอยู่ด้วย อีกอย่างนี่เวลาทานข้าว...เราไม่ควรจะไปพูดเรื่องของคนอื่นแบบนี้”
ชายหนุ่มปรามเสียงดุ ชนิดไม่ไหว้หน้าน้องสาวที่หน้าม้านจนต้องหรุบตามองชามเย็นตาโฟ อายบิดาเลี้ยงที่ท่านเองก็ไม่คิดจะมองเธอให้ต้องรู้สึกอายสักนิดเดียว และเป็นผกามาศมากกว่าที่เป็นเดือดเป็นแค้นแทนที่เขาหักหน้ากลางวงอาหาร จนต้องเอ่ยเสียงเขียวใส่เขา
“เมย์...ลูกอย่าไปพูดถึงยายแตงโมให้พี่ชายเราอารมณ์เสียเลย เดี๋ยวพาลจะกินข้าวไม่ลง”
“คุณมาศ”
สามีทำเสียงปราม มิให้ผกามาศฉุนเฉียวใส่มหิศร เพราะพูดคุยทำความเข้าใจกันแล้วว่าเรื่องที่จะอุ้มสมให้กับลูกชายนั้นต้องอย่าโฉ่งฉ่างเหมือนก่อนหน้าที่ผ่านมาอีก และเมื่อนางสบตาที่ทอดมองด้วยความเป็นห่วง จึงมีท่าทีอ่อนลง
“เอาล่ะ...อย่างที่ตาหมิงพูดนั่นแหละ ถูกแล้วพวกเราอย่ามัวแต่พูดเรื่องคนอื่นอยู่เลย ไหนยายเมย์...เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าเมื่อวานไปโรงพยาบาลแล้วหมอว่าไงบ้าง”
เมธาวีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองมารดา แล้วจากนั้นจึงสนใจเล่าแต่เรื่องของตัวเองโดยไม่พาดพิงเดือนเสี้ยวให้ผู้เป็นพี่ชายระหายหูแม้แต่สักครั้ง แม้อยากจะพาดพิงแหย่หนวดเสือเล่นก็ตาม ทั้งหมดไม่รู้หรอกว่าบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวคุณานุรักษ์เกือบจะมีปากเสียงกันนั้น มองพวกเขาด้วยรู้สึกเสียใจ ก่อนจะเดินหงอยๆ ออกไปจากตัวบ้าน
+++++
บิดาของเดือนเสี้ยวเป็นชายร่างผอมสูงนอนเอนบนเก้าอี้โยกตรงชานกระท่อม พักผ่อนให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเนื่องจากป่วยไข้นั้น ทำให้ลูกสาวซึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นกลางจากแค่ทั้งหมดสามขั้นถึงกับระมัดระวังมิให้เกิดเสียงดังตึงตัง ซึ่งจะไปรบกวนให้คนที่นอนหลับสนิทสะดุ้งตื่นได้
เมื่อเป็นดังนี้ ร่างอวบจึงค่อยๆ เลี่ยงเข้าครัว เพื่อจะทำอาหารเย็นจำพวกอาหารอ่อนให้บิดา ส่วนขาหมูทอดยำคงต้องเป็นฝ่ายลงมือแทน ดังนั้นจึงเปิดตู้เย็นดูว่าบิดาได้เตรียมขาหมูเผาไว้แล้วหรือยัง และก็เสียใจแทนมหิศรที่อดกินเสียแล้ว
“ปากร้ายดีนัก สวรรค์ลงโทษ...อดกินเลย!”
แม้มือจะง่วนหยิบของสดจำพวกหมูไก่ แต่ไม่วายค่อนแคะชายหนุ่มที่บัดนี้รับประทานอาหารเสร็จแล้ว และเดินลงจากบ้านใหญ่พร้อมกับน้องสาวที่ชักชวนมาเยี่ยมธีร์ เพราะเขามีน้ำใจทำอาหารที่อยากทานให้บ่อยๆ ตามที่ร้องขอ
ถึงไม่เต็มใจ...แต่ก็โดนลากมาจนได้!
“อ้าว! ลุงธีร์พักผ่อนอยู่”
และดูเหมือนว่าที่คุณแม่ก็ชะงักเช่นเดียวกับเดือนเสี้ยว ดังนั้นเธอจึงจุ๊ปากใส่พี่ชายแล้วดึงรั้งเขาไว้เมื่อร่างสูงใหญ่จะหันหลังหลับให้ตามขึ้นไปบนกระท่อม
“อะไรเล่ายายเมย์!”
“พี่หมิงอย่าเพิ่งไปสิคะ อยู่เป็นเพื่อนเมย์ก่อน”
“เราไม่ควรที่จะรบกวนคนป่วย”
มหิศรปราม แต่น้องสาวไม่ฟังสักนิด สุดท้ายก็ได้แต่รอ เพราะจะให้เธอเดินกลับไปคนเดียวก็คงจะไม่ไหว เพราะดูระยะทางอาจจะไม่ไกล หากหนทางเลี้ยวลดอีกทั้งเวลากลับก็คงพลบค่ำพอดีเพราะมัวแต่เมาท์สนุกปากกับยายหมูเด้งปากเปราะนั่นเป็นแน่นั้น มันก็น่าห่วงอยู่ทั้งสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ลื่นล้มเพราะน้ำขังในหลุมชื้นแฉะ
ทว่ากลับมีผลพลอยได้อีกอย่าง คงเป็นการได้จับตาดูคนอะไร ที่ถามเพียงหนึ่ง...ตอบไปถึงสิบกระนั้น!
“พี่จะรอเรา รีบทำธุระให้เสร็จแล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ”
เมื่อว่าที่คุณแม่เดินจากไปยังด้านข้างที่คาดว่าจะเป็นห้องครัวแล้วนั้น มหิศรจึงเดินไปยังระเบียงตรงที่บิดาของเดือนเสี้ยวนอนหลับอยู่ตรงส่วนใกล้กับแนวระเบียงไม้ ส่วนด้านที่ติดกับผนังจะมีเก้าอี้หวายสองตัวขนาบกับโต๊ะตรงกลางซึ่งมีแจกันพลูด่างวางไว้ให้ความสดชื่น ชายหนุ่มจึงทรุดนั่งลงตรงนั้น
ภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็นเป็นสวนผักพื้นบ้าน และผักสวนครัวหลากหลายชนิด ที่รู้จักก็คงจะเป็นชะอม มะเขือ แล้วก็พวกกะเพรา โหระพากระมัง ตรงมุมรั้วมีสุ่มไก่ เลี้ยงไว้กินเนื้อและไข่ นี่คงเป็นชีวิตพอเพียงสำหรับใครต่อใครหลายคน เรียบง่ายหากเปี่ยมด้วยความสุขในชีวิต
ชายหนุ่มคิดอะไรเพลินๆ โดยไม่ได้สังเกตว่าเมธาวีแอบอยู่หลังประตูห้องครัวมองมายังเขา ก่อนจะผลุบกลับเข้าไปหาเดือนเสี้ยวที่กำลังล้างผักอยู่ วันนี้เธอจะมาช่วยร่างอวบนี้ทำผักดองไว้ให้ทั้งที่บ้านนี้แล้วก็บ้านกรุงเทพฯ อีกทั้งเผื่อสำหรับเรมอนซึ่งชอบทานกับสเต็กเป็นพิเศษ
“แตงโม”
“ขาคุณเมย์”
เจ้าบ้านขานรับ แต่เจ้าตัวยังง่วนอยู่กับงาน จนคนเรียกต้องมายืนข้างๆ ช่วยทำงานด้วย แต่ปรากฏว่าร่างอวบทำเสร็จสิ้นแล้วจึงช่วยยกตะกร้าแตงกวาที่สะเด็ดน้ำแล้วมาช่วยหั่นให้ แม้จะถูกห้ามก็ไม่ฟัง
“หั่นอย่างนี้ใช้หรือเปล่า”
เมธาวีจิ้มปลายมีดกับแตงกวาลูกเล็ก แล้วถูกผ่าครึ่งแล้วผ่าอีกครึ่งจะได้ทั้งหมดสี่ซีก ขณะที่คนถูกถามกำลังหั่นกะหล่ำปลีใบอวบลงตะกร้าอีกใบอย่างคล่องแคล่ว ร่างอวบพยักหน้าแล้วยืนมองว่าที่คุณแม่ซึ่งทำงานด้วยความเงอะงะ ทว่าตั้งใจเป็นอย่างยิ่งจนเธอถึงกับอมยิ้มในภาพที่เห็น
จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันตระเตรียมผักหั่นชิ้นจนเสร็จสิ้นไม่ว่าจะเป็นแตงกวา กะหล่ำปลี แครอทจักเป็นดอกคล้ายดาวกระจาย และสุดท้ายก็คงเป็นหอมแขกหัวใหญ่ที่ฝานเป็นชิ้นหนาสักประมาณครึ่งเซนติเมตรจากนั้นเดือนเสี้ยวทำการผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำตาลสัดส่วนหนึ่งต่อสอง เหยาะเกลือคนจนเข้ากันแล้วยกหม้อขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนละลาย ขณะที่เมธาวียืนเช็ดน้ำตาป้อยๆ เพราะฤทธิ์ของสาร...ในหัวหอมที่จะกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาทำงานจนหลั่งน้ำใสออกมา
“โอย...แตงโมเก่งจริงๆ ไม่ร้องสักแอะ ไม่เหมือนเมย์”
“โธ่...ก็คุณเมย์ไม่เคยเข้าครัวนี่คะ ก็เลยไม่รู้ว่าเวลาหั่นหัวหอมน่ะต้องเอาไปแช่น้ำ หรือแช่เย็นสัก 15 นาทีก็ได้ เพราะความเย็นจะช่วยให้ปฏิกิริยาระหว่างสารซัลเฟอร์กับเอนไซม์ที่ปกติมันจะอยู่กันคนละด้าน...”
เมธาวียกมือห้ามเมื่อได้ยินคำอธิบายแสนยุ่งยากนั่น สบตากับเดือนเสี้ยวที่อมยิ้มขำ
“ตอบเป็นภาษาวิชาการเลยหรือนี่”
“ใช่ค่า”
ว่าที่คุณแม่ทำหน้านิ่วกับคำตอบรับแสนเริงร่าของอีกฝ่าย ดวงหน้ากลมใสน่ารักน่าหยิก มองเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ...เธอปรารถนาว่าในสายตาของมหิศรจะเป็นไปในแนวเดียวกับที่เธอรู้สึก ไม่อยากให้ภาพมายาของรุ่งอรุณหลอกตาจนมองไม่เห็นความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ในใจมืดดำ
“แล้วไงต่อล่ะ”
“สารสองตัวนี้ถ้าเราหั่นปุ๊บ มันจะวิ่งปรู๊ดมาเจอกันแล้วก็...บึ้ม!!”
เสียงดังทำให้หนูครีมที่กำลังกินนมอยู่ในชามใบโตอยู่ตรงมุมห้องครัวถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหมดความสนใจกับสองสาวที่หัวเราะร่วนให้กัน หมาน้อยตัวอวบวิ่งออกไปตรงกลางบ้านโดยไม่ลืมสำรวจบริเวณที่ผ่านให้ถ้วนทั่ว ตามประสาวันอยากรู้อยากเห็นและดูเหมือนว่าโทรศัพท์สีดำเลื่อมที่หล่นตรงพื้นเรือนคือเป้าหมายเหมาะสำหรับลับฟันที่กำลังขึ้นให้หายคันเสียหน่อย
“สรุปว่า...บึ้ม นี่คือน้ำตาของเมย์เหรอ”
“เปล่าค่ะ ที่จริงไอ้ซัลเฟอร์มันจะถูกเร่งปฏิกิรยาโดยเอนไซม์ที่อยู่คนละด้านให้ลอยละลิ่วออกไปได้ไกล พอเจอกับน้ำหล่อเลี้ยงนัยน์ตาของเรามันจะเกิดกรด...”
ร่างอวบพยายามนึก ขณะที่ยกหม้อลงจากเตา แล้วคนมือเป็นระวิง หวังให้มันหายระอุจากความร้อน
“อ๋อ...นึกออกแล้ว กรดซัลฟุริกน่ะเอง มันแสบๆ คันๆ จนร่างกายของเราต้องหลั่งน้ำตามาชะล้างเพื่อลดอาการระคายเคือง”
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าที่แตงโมบอกให้เอาไปแช่เย็น...เราก็สตาฟฟ์มันไว้เหรอ”
“จะว่างั้นก็ได้ค่ะ แต่ความจริงแล้วความเย็นทำให้มันเกิดปฏิกิริยาช้าลง”
ร่างเพรียวระหงนั้นพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ พร้อมกับช่วยหยิบผักใส่หม้อน้ำดองผักช้าๆ สลับกับการคนให้ทั่วเพื่อคลุกเคล้าให้เข้ากัน รอจนมันสลบถึงจะรามือได้ ส่วนร่างอวบกลมหันไปจัดการทำข้าวต้มหมู และยำปลาสลิดเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง เนื่องจากบิดาไม่ชอบอาหารรสจืดเท่าไหร่นัก แม้ไม่สบายเจ็บคอ ก็ยังร้องขอกับข้าวรสจัดเคียงอยู่ดี
“แตงโมนี่เก่งเนอะ...ทั้งทำกับข้าว แถมเข้าใจไอ้เรื่องทิปส์เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ด้วย เมย์ล่ะสบายเหมือนใจคุณแม่ที่พี่หมิงได้คนดูแลเก่งๆ แบบนี้”
“พูดชมเกินไปแล้วค่ะ”
“จริงๆ”
เมธาวีเอ่ยย้ำกับเดือนเสี้ยวที่ถ่อมตัว ว่าที่คุณแม่ได้รับมอบภารกิจให้เป็นฝ่ายกระตุ้นร่างอวบนี้ให้คล้อยตามในสิ่งที่มารดาต้องการให้เป็นไปตามที่ใจหวัง แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นสิ่งที่น้องสาวของมหิศรเองก็ปรารถนาไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้เดือนเสี้ยวจะมีคุณสมบัติด้อยกว่ารุ่งอรุณมากมาย ทว่าในเมื่อคือคนที่ถูกเลือกแล้ว คงจะหลีกเลี่ยงได้ยาก!
“ตกลงว่าคุณเมย์จะเอาไปฝากคุณเรมอนด้วยใช่มั๊ยคะ
“ใช่จ้ะ”
“ถ้างั้นแตงโมจะเอากระปุกใหญ่ใส่ให้ ส่วนของบ้านนี้เอาไว้นิดเดียวก็พอ เพราะของเก่ายังมีอยู่ รบกวนคุณเมย์หยิบโหลในตู้ออกมาหน่อยค่ะ เดี๋ยวแตงโมจะได้ตั้งน้ำร้อนไว้ลวกโหลให้ปลอดเชื้อก่อน”
เดือนเสี้ยวบอก ขณะที่มือก็คนเครื่องยำแล้วนำไปราดบนปลาสลิดที่ทอดจนกรอบ ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เมื่อเมธาวีหยิบของตามที่ร่างอวบบอก แล้วช่วยตั้งน้ำร้อนให้ด้วยเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายดูยุ่งเหลือเกิน สุดท้ายเกือบครึ่งชั่วโมงสองสาวก็ร่วมแรงช่วยงานกันจนเสร็จสิ้น
และคงจะเพลิดเพลินเสียจนไม่ได้สนใจว่าบัดนี้ร่างสูงของมหิศรยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่ง ใบหน้าบึ้งตึงยืนตระหง่านค้ำประตูห้องครัว ยิ่งเห็นสองสาวง่วนทำงานจนลืมว่าในบ้านนี้ยังมีตัวป่วนอีกตัวที่โดนหิ้วห้อยต่องแต่ง แม้จะดิ้นรนหนี แต่เขาก็ไม่ยอมวาง!
“ยายหมูเด้ง!!”
เสียงดังและเข้มจัดเสียจนเดือนเสี้ยวที่ยกถาดอาหาร และกำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อออกจากครัวถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็น...
ความคิดเห็น