คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอน 2
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยโชยกระทบจมูกโด่งของมหิศร คุณานุรักษ์ ชายหนุ่มซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งบึกบึนแข็งแรงเพราะเคยเป็นหน่วยนาวิกโยธินมาก่อน เพียงแค่ย่างเท้าเข้าสู่ตัวบ้านไม่กี่ก้าว เสียงทักด้วยความดีใจจากแม่บ้านดังขึ้น พร้อมกับเสียงเห่าขรมของลูกหมาสามตัวที่วิ่งพรวดเข้ามาแย่งงับขากางเกง ราวกับรู้จักกันมาก่อนกระนั้น ก็ทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้วสงสัย
“อะไรกัน...เจ้าหมาพวกนี้”
น้ำเสียงฉุนเฉียวเมื่อพวกมันไม่ยอมล่าถอยให้เขาได้เดิน
“ใจเย็นๆ ค่ะ พวกมันก็แค่อยากเล่นด้วยเท่านั้น”
“ป้าวรรณ”
แม่บ้านเก่าแก่รีบเข้ามาหา พลางไล่หนึ่งในตัวกลมเหล่านั้นให้ออกไปจากเจ้านายหนุ่มแต่ดูท่ามันจะดื้อเหลือเกิน ยิ่งห้ามมันยิ่งงับแน่นขึ้นอีก จะให้สะบัดขาหนีจนมันลมกลิ้งก็ให้นึกสงสาร
“คุณมาศสั่งป้าว่า...คุณหมิงเดินทางกลับมาเหนื่อยๆ ให้ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน ท่านรอทานอาหารเย็นตอนสองทุ่มค่ะ”
“ทานเลยก็ได้ คุณแม่จะได้ไม่ต้องรอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ เชิญที่ห้องอาหารเลยค่ะ...อุ๊ย! หนูครีม ปล่อยคุณหมิงก่อนเหอะ”
“หนูครีม? ชื่อหมาเหรอเนี่ย”
มหิศรเหยียดปากก่อนจะหัวเราะขำ ขณะเลิกคิ้วถามคล้ายไม่อยากจะเชื่อหู ก้มลงช้อนหมาตัวเมียสีขาวครีมไว้มือเดียว จ้องตามันไม่กระพริบ ก่อนจะวางมันลงพื้นตามเดิม หมดความสนใจโดยไม่รู้ว่าเดือนเสี้ยวซึ่งแอบอยู่หลังเสารีบก้าวมาคว้ามันไว้ในอ้อมอกอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีกสองตัวพยายามตะเกียกตะกายขึ้นหน้าตักบ้างเช่นกัน
“ร้ายจังพวกแกเนี่ย...ซนดีนัก ถ้าเขาจับไปทำหมาหัน พี่แตงโมช่วยไม่ได้หรอกนะจะบอกให้”
งี๊ดๆๆๆ
เจ้าโกโก้ พี่ใหญ่สุดร้องหงิงๆ ซุกหน้ากับอกคล้ายจะออดอ้อนจนหญิงสาวต้องใจอ่อน โอบลูกหมาทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนแล้วรีบพาลงไปขังไว้ในกรงพร้อมกับชามนมใบโตให้กินกันอิ่มหนำ ก่อนจะรีบย้อนกลับขึ้นตึกเพราะมารดาของมหิศรสั่งไว้ให้ไปทำความรู้จักกับลูกชายที่กลับจากต่างประเทศในวันนี้
+++++
สองสามีภรรยาสูงวัยกำลังนั่งละเลียดสลัดผัก พลางพูดคุยกันเรื่องข่าวเด่นประจำวันหลายต่อหลายเรื่องต่างหันมองผู้มาใหม่ ผกามาศนั้นถึงกับวางส้อมโดยไว ลุกขึ้นรวดเร็วแล้วอ้าแขนกว้างรับร่างกำยำเข้าอ้อมกอดด้วยความคิดถึงเป็นอย่างมาก
แต่แล้ว...กลับทำจมูกฟุดฟิด ขณะจะหอมแก้มสากของลูกชาย
“นี่ตาหมิง! ไปตกถังน้ำหอมมารึไง?”
“คุณแม่ครับ”
มหิศรท้วงเบาๆ พลางถอนตัวออกห่าง ประคองให้ท่านนั่งลงที่เดิม แล้วร่างสูงนั้นยกมือไหว้อรรถ ซึ่งตบเบาะเก้าอี้ข้างตัวเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ลูกเลี้ยงนั่งข้างๆ...กว่าจะจีบแม่ของชายหนุ่มคนนี้ได้ ก็ใช้เวลาเทียวไล้เทียวขื่อกว่า 10 ปี นั่นคงเพราะลูกชายที่ห่วงคนเป็นแม่ว่าจะโดนผู้ชายหลอก จึงไม่ยอมให้มีรักใหม่สักที
“เป็นยังไงเรา...เที่ยวสนุกรึเปล่า”
“ครับ
ผมเองยังอยากให้คุณลุงกับคุณแม่ไปด้วย เวนิสที่มาเก๊าก็ไม่เลวนัก เผลอๆ อาจจะชวนกันไปสวีทต่อที่อิตาลีเลยก็ได้”
“อืม...น่าสนใจ ไปมั๊ย...คุณมาศ”
มารดาค้อนใส่ เพราะยังเคืองไม่หายที่ลูกชายไม่ยอมฟังคำขอร้องเรื่องคู่ครองสักนิดเดียว
“กลัวติดใจจนไม่อยากกลับ...ทีนี้ตาหมิงคงดีใจจนเนื้อเต้นที่ไม่ต้องมีแม่มาคอยบ่น คอยว่า คุณเองก็เห็น...ขนาดลองวีคเอ็นด์อย่างนี้ ลูกชายของมาศยังไม่คิดจะโผล่ไปเยี่ยมที่เมืองจันท์เลย ปล่อยให้สองตายายขับรถปุเลงๆ มาหาถึงกรุงเทพฯ”
“แม่เรา...น้อยใจจนกินอะไรแทบไม่ได้ หมิง...ดูสิ ผอมไปเกือบสองขีดได้มั๊ง”
อรรถแหย่ภรรยาที่บ่นยืดยาว ตอนนี้ทำหน้าตูมค้อนส่งใส่สามีด้วยอีกคน
“ไม่เอาน่า นานๆ ได้เจอลูกทีหนึ่ง อย่าไปบ่นเรื่องสาวๆ ของเขาเลย”
“ใช่สิ! พูดถึงสาวๆ ฉันเพิ่งนึกออก...วรรณ ไปดูสิ...ยายแตงโมอยู่ไหนเนี่ย”
สิ้นเสียงสั่ง ร่างตุ้มตุ้ยของแม่บ้านสูงวัยรีบขยับไปตามหญิงสาวที่เจ้านายเอ่ยถึง ทว่าแค่ขยับออกจากห้องก็พบร่างอวบกลมรีบเร่งเดินมาหาอยู่แล้ว
“เอ้า! มาแล้ว นั่งข้างป้าเลย”
“สวัสดีค่ะ”
เดือนเสี้ยวมิได้รอให้มหิศรได้เอ่ยปากถามว่าเป็นใคร เมื่อนั่งลงแล้วจึงรีบยกมือไหว้พร้อมทักทายเพื่อแสดงความเคารพบวก ในฐานะที่เขาอาวุโสกว่ารวมถึงเป็นลูกชายของผกามาศ
“ชื่อแตงโมรึเรา”
“ใช่ แกมีปัญหาอะไร...ตาหมิง”
“เปล่าครับ”
“ถ้างั้นก็ทานข้าวก่อนแล้วกัน อิ่มแล้วค่อยคุยกันก็ได้”
อาหารตรงหน้านอกจากต้มขาหมูแล้วยังมีรสชาติจัดจ้านจำพวก ปลาเก๋าราดพริก ปลกดุกทะเลผัดฉ่า แกงป่าเนื้อ และที่สำคัญของโปรดที่ลูกชายของผกามาศชอบมากเป็นพิเศษคือยำปูม้าดอง ทุกอย่างถูกลิ้มชิมรสจนชายหนุ่มถึงกับเติมข้าวสวยเป็นจานที่สอง
“ไปมาเก๊ามา อาหารที่นั่นรสชาดคงจืดชืดไม่ถูกใจล่ะสิ”
“คุณแม่รู้ใจผม”
“ย่ะ...แค่อ้าปากแม่ก็เห็นลิ้นไก่”
คนเป็นแม่ย้อนเข้าให้ เพราะรู้ว่าไอ้ที่ทำหน้ายิ้มๆ นั่นคงนึกถึงอะไรบางอย่างที่มันคงจะร้อนแรงจนลืมแม่ลืมเชื้อได้
“เป็นลูกผู้ชาย แถมหนุ่มแน่นอย่างนี้ มันก็ต้องมีบ้างใช่มั๊ยล่ะหมิง”
บิดาเลี้ยงแกล้งแซวอีกทั้งตักขาหมูลงบนจานให้อีกด้วย
“ในเมื่อแข็งแรงขนาดนี้...เอ้า กินขาหมูตุ๋นเห็ดหอมเพิ่มไปอีกหน่อยแล้วกัน ฝีมือหนูแตงโม...ลุงเองติดใจจนต้องให้ทำให้กินบ่อยๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มหิศรเองก็ไม่แปลกใจเพราะหุ่นอันแสนอวบอั๋นของสาวน้อยที่นั่งละเลียดยำวุ้นเส้น น่าขำนัก หากตอนนี้จะมาลดความอ้วนคงจะไม่ทันแล้วกระมัง เขาละสายตาจากเธอแล้วเลื่อนจานให้กับอรรถที่ตักอาหารชนิดนั้นให้
“คุณลุงไม่อ้วน ยังไงก็สบายๆ อยู่แล้ว”
“ใครบอก แม่เรากำชับให้เลาะไอ้ตรงที่เป็นไขมันออก เหลือแต่เนื้อแดงแบบนี้มันจะไปอร่อยเหมือนต้นตำรับเท่าไหร่เชียว”
“น้อยๆ หน่อยเถอะค่ะ ไอ้อาหารอิ่มไขมันพวกนี้”
“โทษยายแตงโมดีกว่าที่ทำอาหารอร่อยเกินไป จนลุงนิสัยเสีย”
เดือนเสี้ยวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะย่นคอเมื่ออรรถชี้นิ้วคาดโทษอย่างเอ็นดู เด็กสาวตัวน้อยเมื่อ 17 ปีก่อน ตอนนั้นเธอยังอายุแค่ 4 ขวบ ใบหน้าเกรอะกรังด้วยหยาดน้ำตา ขี้มูกย้อยถูกปาดถูไปมาด้วยมือป้อมๆ ส่วนอีกข้างเขย่าร่างของผู้เป็นพ่อที่นอนจมกองเลือดอยู่ในสวนผลไม้ของเขา หากคนงานไม่ไปเจอเข้า ไม่รู้ว่าป่านนี้ชะตากรรมของสองพ่อลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง
“หมิงอิ่มแล้วเหรอลูก...ถ้างั้นก็ทานสละลอยแก้วปิดท้ายแล้วกัน ไม่หวานหรอกน่า...เชื่อแม่”
ผกามาศรีบสั่งให้แม่บ้านรีบเสริ์ฟของหวานให้ลูกชายโดยไว เมื่อเห็นว่าเขารับประทานได้มากก็นึกชอบใจ กระทั่งทั้งหมดย้ายมานั่งในห้องโฮมเธียเตอร์ที่สองชายหญิงสูงวัยมักจะมานั่งชมรายการสารคดีรวมถึงข่าวเป็นประจำ หากวันนี้กลับมีเรื่องต้องพูดคุยกันมากกว่า
“อิ่มเหลือเกินคุณมาศ สงสัยว่าพรุ่งนี้ต้องเริ่มไดเอ็ดอีกแล้วสิเนี่ย”
“คงงั้นแหละค่ะ สงสัยป้าต้องกำชับพ่อธีร์ของเราให้ทำแต่น้ำพริกผักลวกให้ลุงอรรถทานทุกมื้อซะแล้ว”
ชายหนุ่มยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบ กวาดสายตามองหญิงสาวที่มารดากำลังเอื้อมมือไปลูบต้นแขนอวบโผล่เสื้อแขนกุดสีฟ้าสด ราวเอ็นดูหนักหนา ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะเอ็นดูใครเป็นพิเศษ เพราะกับรุ่งอรุณ ที่เคยพบเจอกันครั้งหนึ่งในงานแต่งของลูกสาวคนกลาง พูดจากันแทบนับคำได้
“เอาล่ะ...เข้าเรื่องของเราดีกว่า ตาหมิง...แม่จะให้หนูแตงโมมาเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของลูก”
“ห๊า! คุณแม่พูดอะไรนะครับ”
คราวนี้เขาถึงกับสำลัก พ่นน้ำชาจนหกเลอะเทอะ
“อะไรกัน...เรานี่ ไม่รู้จักสำรวมซะบ้าง”
ผกามาศแสร้งดุก่อนจะทำเฉไฉ เพื่อลอบสบตาเต้นระริกกับเดือนเสี้ยวซึ่งเอี้ยวตัวช่วยรับชามขาหมูพะโล้เพื่อวางตรงหน้าชายหนุ่ม ที่มองเห็นเล็บมือทาสีฟ้าปลายเล็บ ส่วนด้านล่างวาดลวดลายเป็นดอกไม้สีขาวกระจุ๋มกระจิ๋มดูน่ารัก แต่สำหรับเขากลับเหยียดยิ้ม ทำนองดูถูกว่าร่างอวบตรงหน้านี้ช่างแต่งตัวเก่งเหลือเกินก็แค่นั้น
“ขอโทษครับ...ผมตกใจ”
“แค่ตกใจ แต่แหกปากร้องซะลั่นบ้านแบบนี้นะเหรอ แม่ว่าหมิงตั้งใจจะโวยวายใส่แม่มากกว่ามั๊ง”
“คุณมาศ
ไม่น่าเอาน่า”
สามีปราม แต่ทว่ากลับกลั้วหัวเราะเมื่อภรรยาทำหน้างอใส่เขา อีกทั้งลูกชายที่ส่งยิ้มแหยคืนไปให้ หากไม่กี่วิ ร่างสูงนั้นขยับนั่งตัวตรง ไม่มีท่าทางสบายๆ ให้เห็นเช่นก่อนหน้า
“ตกลงว่าเด็กของคุณแม่นี่...จบโภชนากรมาหรือครับ”
“เปล่า”
มหิศรขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วก็คลายลง ยิ้มคล้ายจะเยาะเดือนเสี้ยว ตั้งใจจะหาเรื่องเหน็บให้ฝ่อไปเลย
“ผมก็คิดว่าไม่ใช่เหมือนกัน เพราะไม่งั้นคงไม่อ้วนตุ๊ต๊ะแบบนี้หรอก สงสารคนสอนที่ลูกศิษย์กลายเป็นหมูเด้ง”
“เอ๊ะ! หมิงนี่”
คนเป็นแม่โน้มกายจากโซฟาตัวใหญ่ ไปตีแขนกำยำสุดแรง นึกอายแถมโกรธแทนเดือนเสี้ยวที่อ้าปากค้างก่อนจะหุบฉับเมื่อรู้สึกตัว เผลอสะบัดค้อนใส่สายตาคมเข้มที่มองไม่หลบเช่นกัน
“ผมพูดความจริง คุณแม่ไม่น่าเก็บมาเป็นอารมณ์”
“ย่ะ! พ่อคนมีเหตุผล”
“แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน เพราะรู้สึกพักนี้ผมเองก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเท่าไหร่”
“แน่ใจเรอะเราที่พูดแบบนี้”
มหิศรยิ้มมุมปาก ขณะที่ตบเบาะข้างตัว เรียกให้ร่างอวบขึ้นนั่ง แต่ดูเหมือนเธอจะสนใจแต่บีบนวดให้มารดาซึ่งหรี่ตามองลูกชายคนโตด้วยไม่ไว้วางใจ
“เธอ...ตุ๊ต๊ะ มานั่งตรงข้างๆ ฉันนี่สิ”
“หมิง...น้องชื่อแตงโม”
คราวนี้อรรถเป็นคนแก้ไขให้ แต่ชายหนุ่มกลับไม่จำ เรียกย้ำและซ้ำกันสองครั้งซ้อนจนร่างอวบจำใจลุกขึ้นมานั่ง แต่ยังรักษาระยะห่างเกือบสองช่วงตัวจนแทบจะเกยพนักโซฟาอีกด้าน
“จบอะไรมานะเรา ถึงได้อาสาจะมาดูแลฉัน”
“การโรงแรมค่ะ”
คำตอบนี้ทำให้คนที่เดือนเสี้ยวต้องมาดูแลถึงกับเคาะนิ้วกับพนักโซฟาอย่างต้องการใช้ความคิด พร้อมกับใช้สายตาพิศมองร่างอวบว่าอย่างน้อยคงจะอดทนกับอารมณ์ของเขาได้ไม่มากก็น้อยล่ะน่า
“การโรงแรม...ไอ้ที่เข็นรถใส่สบู่แชมพูจำพวกนั้นนะเรอะ เออดี...นี่แสดงว่าปูเตียงให้ตึงก็ได้ หรือขัดห้องน้ำก็เก่งใช่มั้ย”
“ก็...”
ได้ยินคำถามปนดูถูกในอาชีพทำให้เดือนเสี้ยวถึงกับอึ้ง พูดเถียงไม่ออกเลยทีเดียว ร้อนถึงผกามาศต้องเอื้อมมือมาบีบแขนของหญิงสาวเบาๆ ให้ขวัญและกำลังใจ
“หมิง!”
“คุณแม่ ทนเห็นลูกรักโดนผมต้อนไม่ได้หรือไงครับ”
ลูกชายแกล้งยียวนใส่มารดา จนนางค้อนตาคว่ำ แต่ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นลูก ก็รับสมอ้างเอาเสียเลยจะเป็นอะไรไป
“ลูกรัก...อ๋อ...แตงโมนะรึ หมิงนี่รู้ใจแม่จริงๆ ถ้าใครมาว่า แม้แต่ลูกชายตัวดี แม่ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน”
“ผมก็ว่างั้นล่ะครับ ไม่งั้นคุณแม่คงไม่มีท่าทีเอ็นดูกันมากขนาดนี้”
“แน่นอนย่ะ รู้แล้วก็ยั้งๆ ไว้บ้างสิ”
ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากอรรถที่ละสายตาจากจอทีวีมามองมหิศรที่เบ้หน้าใส่เดือนเสี้ยวซึ่งทำหน้าปุเลี่ยนๆ และคิดเอ่ยปากตอบเขาให้ไวดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นแม่ลูกต้องมามีปากเสียงเพราะเธอเป็นแน่
“คุณหมิงคะ”
“อะไร?”
คนตัวอวบลอบกลืนน้ำลายกับน้ำเสียงเข้ม
“วิชาการโรงแรม...คือการเรียนเกี่ยวกับทุกด้านที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการบริหาร การให้บริการ โภชนาการ หรือแม้แต่การดูแลทำความสะอาดห้องพักแขก อย่างเติมสบู่แชมพูอะไรอย่างที่คุณหมิงคิด”
“แล้วไง?”
“ก็ไม่แล้วไงค่ะ แตงโมแค่จะบอกให้เข้าใจแค่นั้นเอง”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจอยู่ดี อากัปกิริยานี้ทำให้เดือนเสี้ยวที่เอี้ยวตัวไปทางเขา นั่งหลังตรงสองมือไขว้ทับกันบนตัก ดูเป็นการเป็นงานนั้น ถึงกับนึกโมโหอยู่ในใจ อยากจะย้อนให้มากกว่านี้อีก หากยังเกรงเพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของผกามาศ ถ้าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำยียวน แล้วไม่มีผู้ใหญ่สองคนคอยขนาบแบบนี้แล้วล่ะก็
คงจะได้เห็นดีกันไปข้างหนึ่ง...
“คุณแม่จะให้ตุ๊ต๊ะมาดูแลผมเมื่อไหร่ครับ”
“น้องพร้อมตลอดแหละ อยู่ที่หมิง...ว่าจะให้ดูแลได้เมื่อไหร่”
ร่างสูงเคาะปลายนิ้วกับพนักโซฟา พร้อมกับกวาดสายตามองร่างอวบที่ยังทำท่าเหมือนคอแข็งใส่เขาอยู่ และอยู่ดีๆ มือเรียวยาวคว้าหมับข้อแขนซ้ายของเธออย่างเร็ว กำมือไปให้รอบไว้หลวมๆ ไม่รับรู้อาการดิ้นขัดขืนเพื่อจะชักหนีให้พ้นการเกาะกุม
“คุณหมิง! จะทำอะไรคะ”
“นี่! ถามหน่อยเหอะ...วันๆ กินอะไรเข้าไป ทำไมมันถึงได้อวบแบบนี้”
“หมิง! ถามบ้าๆ นะแก”
และก็เป็นผกามาศนั่นแหละที่แว๊ดเสียงเขียวใส่ลูกชาย ทว่าสามีกลับปรามด้วยสายตาก่อนที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนภรรยาให้ขึ้นไปพักผ่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะดูรูปการแล้วคงจะสมน้ำสมเนื้อกันพอดู แม้ว่าเดือนเสี้ยวจะดูอ่อนด้อยกว่าไปสักนิดก็ตาม
“ว๊า...ตัวช่วยไปซะแล้ว”
สุ้มเสียงดัดให้ดูน่าหมั่นไส้เหลือเกินในความคิดของหญิงสาวที่ฝืนบิดข้อมือ หากอีกฝ่ายไม่ยอมจนเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากนานสองนาน จนท้ายที่สุดลืมตัวก้มลงไปกัดหลังมือแกร่งสุดเขี้ยวจนเขาร้องจ๊าก อาการนี้ทำให้ร่างอวบที่ไม่ยอมเงยหน้าถึงกับตาเต้นระริกชอบใจ แม้จะโดนอีกมือผลักใสศีรษะแรงๆ ก็ตาม
“เฮ้ย! ยายตุ๊ต๊ะ...ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“ไม่...ใช่มั้ย?”
ประโยคที่สองตามมาติดๆ พร้อมทั้งเพิ่มแรงจนเดือนเสี้ยวหน้าหงาย ตัวเลื่อนไปด้านหลังจนก้นกระแทกพนักโซฟา แม้จะตกใจไปสักหน่อยกับวิธีตอบโต้ของเขาก็ตาม ร่างอวบใช้สันมือด้านในปาดมุมปากแล้วนวดเบาๆ ให้หายปวดจากการเกร็งค้างเป็นเวลานาน โดยไม่รู้ว่ากิริยานั้นกระตุ้นให้เขากรุ่นโมโหขึ้นมาเป็นระลอกสอง ทั้งๆ ที่พายุลูกแรกยังไม่แผลงฤทธิ์ด้วยซ้ำ!
“แสบนักนะ!! นี่นะรึที่ว่าจะมาดูแลฉัน...ไอ้ที่ทำอยู่นี่...เขาเรียกว่าอะไร?”
รอยเขี้ยวคือหลักฐานที่เดือนเสี้ยวปฏิเสธไม่ออก เธอไม่น่าทำเกินกว่าเหตุจริงๆ
“เอ่อ
คือ...”
“ลองไปนอนคิดดูสักคืนสิว่าควรจะประพฤติตัวยังไง ถึงจะได้ชื่อว่ามาดูแล...ไม่ใช่มา...”
ชายหนุ่มหยุดพูด พร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามนำหมายให้ร่างอวบถาม ทว่าเธอกลับนั่งมองเขานิ่ง ไม่มีทีท่าจะตอบสนองให้รู้สึกสมใจว่าหวั่นกลัวกับท่าทางดุดันที่ทำอยู่นี้สักนิดเดียว
“เธอ!”
“คะ?”
เมื่อเห็นเดือนเสี้ยวเอียงคอ ทำหน้าตาบ้องแบ๊วใส่ก็ต้องพ่นลมหายใจออกจากปาก ระบายความไม่พึงพอใจโดยไม่อยากหักคออวบๆ ให้สะบั้นคามือเสียก่อน
“เมื่อกี้เธอทำอะไร?”
“กัดค่ะ”
คำตอบนี้ ทำให้มหิศรที่ลุกขึ้นยืนถึงกับยกฝ่ามือตบหน้าผากของตัวเอง ส่ายหน้ากับคำตอบพาซื่อ ก่อนจะเดินหนีขึ้นห้องนอน ไม่หันมองเดือนเสี้ยวที่หัวเราะคิกชอบใจโดยยกสองมือปิดปากกั้นมิให้เสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอย่างเด็ดขาด ก่อนที่เธอจะลดมันลงแล้วเอ่ยตามหลังไป...
“คุณหมิง...ลูกชายของคุณป้าที่ชอบตีหน้ายักษ์ แถมพูดจาไม่ค่อยรักษาน้ำใจ โดนย้อนซะบ้าง สมน้ำหน้า! เชอะ!”
ความคิดเห็น