ตอนที่ 11 : Illusion poison 9 ♜ Can you be my ...? (110%) END
Illusion poison 9. Can you be my...?
“กู?” ผมทวนคำอย่างงงงวย เดี๋ยวนะผมเคยไปอเมริกาหรอวะ ใบหน้านวลเริ่มขึ้นสีเรื่อยๆเมื่อทบทวนเรื่องเล่าของอีกคนอีกที หัวใจรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินว่าออสตินคอยเฝ้าดูมาโดยตลอด
“เออ มึงนั่นแหละ” ออสตินตอบ เบือนหน้าไปอีกทาง แก้มระบายสีแดงจางๆ เพิ่งรู้ว่ามันก็เขินเป็นกับเค้าเหมือนกันแฮะ ผมเอามือไปจิ้มแก้มมันเบาๆก่อนจะยืดแก้มทั้งสองข้างอย่างนึกสนุก
“งั้นมึงก็แก่กว่ากูหลายปีเลยอ่ะดิ โห่ อย่างงี้ให้กูเรียกว่าพี่ตินดีป่ะ พี่ตินของน้องเจม คิก” ผมหัวเราะคิกคัก
“เอาดิ ถ้าไม่กลัวกูจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่เผลอทำต่อจากเมื่อกี้ล่ะก็นะ” ร่างสูงส่งยิ้มกวน ผมถลาลงจากเตียงแทบจะในทันที
“เออ ไม่เรียกก็ได้วุ้ย”
“หึๆ”
แกร๊ก...
เสียงเปิดประตูไร้การเคาะบอกทำให้คนทั้งสองหันไปมองผู้มาใหม่ ภามยืนถือตะกร้าอยู่หน้าห้องผู้ป่วย ลังเลใจว่าจะเดินเข้ามาดีหรือไม่ สุดท้ายร่างเล็กก็ทำใจกล้าเดินมาหาผมกับออสติน
“มาทำไม” ผมถาม ถึงจะไม่รู้สึกโกรธหรือแค้นอะไรภามแต่ก็ไม่อยากให้ภามมาเจอกับออสตินอยู่ดีเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับออสติน
“มาเยี่ยมพี่ตินน่ะ เอ่อ ผมวางกระเช้าผลไม้ตรงนี้นะฮะ” ภามตอบ ในน้ำเสียงไม่มีวี่แววของความอาฆาตอะไรหลงเหลืออยู่ ภามในวันนี้เหมือนถูกถอดคราบภามที่คิดแผนลักพาตัวและทำร้ายร่างกายออสตินไปจนหมดเหลือเพียงเด็กน้อยใสซื่อคนนึงเท่านั้น
แต่...ก็ไม่รู้ว่าใต้หน้ากากจะแอบซ่อนอะไรเอาไว้อีก
“มาทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยถามประโยคเดียวกันเป๊ะ ผมจับแขนออสตินไว้บีบเบาๆไม่ให้เขาคิดอะไรบุ่มบ่ามกลางโรงพยาบาล
“ภะ ภามมาเยี่ยมพี่ตินไงฮะ”
“เยี่ยมกูทำไม”
“ผม...ผมแค่อยากจะมาขอโทษ” ภามสะอื้น ขอบตาแดงก่ำจะร้องไห้ เห็นเจเรมี่จับแขนออสตินอย่าปกป้องแล้วก็ได้แต่ยิ้มสมเพชตัวเองในใจ ภามรู้เรื่องที่ออสตินตามหาเจเรมี่มานานแล้วคิดว่าออสตินคงจะล้มเลิกความตั้งใจไปเองหากหาไม่พบจึงได้แต่คอยเอาอกเอาใจร่างสูงอยู่ไม่ห่างหวังว่าสักวันออสตินคงจะหันกลับมามองตัวเองบ้าง
“กูไม่ได้โกรธอะไรมึงเพราะสิ่งที่มึงทำลงไปทั้งหมดมันเกิดมาจากตัวกูทั้งนั้น” ออสตินถอนหายใจจับมือเล็กที่เกาะกุมอยู่บนแขนเบาๆ “อย่างที่เห็น กูตามหาคนที่สำคัญที่สุดสำหรับกูพบแล้ว กูไม่คิดจะปล่อยมือจากเจเรมี่หรอกนะมึงก็น่าจะรู้”
ภามพยักหน้า
“ต่อไปนี้กูขอไม่ให้มึงมายุ่งเรื่องของกูกับเจเรมี่อีกถ้ามึงยังอยากเป็นน้องชายของกูต่อล่ะก็นะ...”
“พะ พี่ติน!!” ภามอุทานออกมา น้ำใสไหลอาบแก้มเล็ก ความสุขเอ่อล้นภายในหัวใจที่เคยด้านชาเพราะการกระทำของคนป่วยบนเตียง ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ออสตินไม่เคยใจแข็งกับภามได้ซะที แม้จะเอ่ยปากไล่หรือโดนอีกฝ่ายทำอะไร ก็ไม่เคยผูกใจเจ็บเลย เพราะภามยังเด็กอาจแยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
“สัญญากับกูได้มั้ย?”
“สัญญาครับ!”
“กูให้มึงมาลาออสตินแปปเดียวทำไมมานานจังวะ” เสียงของฟาเรนไฮดังขึ้น ผมหันไปตั้งท่าว่าจะสวัสดีเพราะพี่ฟาเป็นพี่ชายของไอ้ศา แต่อีกฝ่ายโบกมือประมาณว่าไม่ต้อง ผมเลิกคิ้วแปลกใจ
“ให้เมียเพื่อนมาไหว้กูแบบนี้เดี๋ยวกูก็แก่ตายกันพอดี เสร็จยังวะภาม เครื่องบินมันไม่ได้รอให้มึงวิ่งขึ้นไปเพราะมัวแต่โอ้เอ้หรอกนะเว้ย”
“เสร็จแล้วน่า พี่ฟาบ่นจัง” ภามบ่นอุบ
“เครื่องบิน?”
“ไม่ต้องทำหน้างงครับไอ้เพื่อนติน กูต้องไปทำงานที่ต่างประเทศซักระยะ วิกเตอร์เลยกะจะให้ภามไปเรียนต่อที่นู้นจะได้ไม่ก่อเรื่องให้มึงเดือดร้อนอีก” ฟาเรนไฮพูดเหน็บ คนโดนกล่าวถึงพอเดาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ในใจระหว่างที่ตนเองสลบไป ที่ภามเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้เป็นฝีมือใครไม่ได้นอกจากวิกเตอร์
“ไปนานแค่ไหนวะ” เขาสงสัยเพราะที่ผ่านมาไอ้ฟาก็หายไปจัดการพวกไวท์อายส์อยู่พักหนึ่ง พอจบเรื่องไอ้เพือนตัวดีก็ทำท่าจะไปไหนอีกแล้ว
“สักเดือนสองเดือน กูกะว่าให้ภามพอปรับตัวกับที่นู่นได้ก่อนถึงค่อยกลับมา”
“พี่เจเรมี่ฮะ...” บทสนทนาระหว่างเพื่อนถูกขัดด้วยเสียงเรียกของภาม ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นภามเรียกผมว่าพี่
“ครับ น้องภาม?” สุภาพมาก็สุภาพตอบไปสิครับ ขืนพูดกูมึงเหมือนเดิมจะโดนหาว่ารังแกเด็กรึเปล่าก็ไม่รู้
“ผมไม่อยู่ฝากดูแลพี่ตินด้วยนะฮะ” พูดเสร็จก็ส่งยิ้มนิดๆให้คนโดนฝากฝังที่ไม่ต้องให้ใครมาบอกผมก็ดูแลออสตินอยู่แล้ว หลังจากนั้นภามกับฟาเรนไฮก็รีบบึ่งแท็กซี่ไปขึ้นเครื่อง สองสามวันต่อมาหมออนุญาติให้ออสตินออกจากโรงพยาบาลได้แล้วถึงหมอไม่อนุญาติผมว่ามันก็ต้องหาข้ออ้างไปบอกกับหมอให้ปล่อยมันออกมาจากโรงพยาบาลเร็วๆนั่นแหละ มันบอกผมว่ามันไม่ชอบที่จะต้องนอนอยู่เฉยๆให้ใครมาดูแล
ยิ่งเป็นผมด้วยแล้วมันยิ่งอยากรีบๆหายเข้าไปใหญ่
“ทะเล?” ผมทวนคำ เลิกคิ้วแปลกใจหลังพาออสตินมาส่งที่พอยชั่นคลับ แล้วก็โดนวิกเตอร์มัดมือชกจัดทริปพักผ่อนให้คนป่วยไปฟื้นฟูจิตใจ(?)ไกลถึงทะเล
“พอดีไอ้ฟามีบ้านพักอยู่แถวนั้น มันบอกให้กูพาไอ้ตินกับน้องมันไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง อีกอย่างกูจะไปทำธุระแถวนั้นพอดี” วิกเตอร์อธิบาย
“กูไม่ไปได้มั้ย?” ผมไม่ค่อยถูกกับทะเลเท่าไหร่
“มึงจะปล่อยให้ออสตินไปคนเดียวรึไง”
อึก...
วิกเตอร์พูดแทงใจ ผมนิ่งไปนิดนึงแบบขอใช้ความคิด ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป ใครที่ไหนจะโง่ปฏิเสธข้อเสนอไปเที่ยวฟรีแถมพักฟรีวะ ติดที่ว่ามันคือทะเลนี่สิ
“แต่กูมีเรียนที่มหาลัย....”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้มอ.มึงปิดเตรียมจัดกิจกรรมของมหาลัยหรอวะ”
ผมเชื่อแล้วล่ะว่าไม่มีใครสู้กับคนที่ชื่อวิคเตอร์นี่ได้จริงๆ!
ผลสุดท้ายผมจึงจำใจยอมรับปากตกลงไปทริปพักผ่อนของวิคเตอร์จนได้
...
“ทำไมหน้าเป็นตูดแบบนั้นวะมึง” ผมทักองศาที่ทำคิ้วขมวดจนจะเป็นก้อนอะไรสักอย่างอยู่แล้ว ถามเด็กสามขวบดูก็รู้ไอ้ศามันไม่มีความอยากไปเที่ยวพอๆกับผมเลยสักนิด
“นอนไม่พอ” แล้วก็เดินฉับๆไปช่วยออสตินยกของขึ้นรถทันที ผมออกจะงงกับท่าทีของเพื่อนรักหน่อยๆ เหมือนมันไปงอนใครมาอย่างไงอย่างงั้น
“มันเป็นอะไรของมัน” ผมพึมพำเบาๆ
“หึๆ” แล้ววิกเตอร์ที่เดินมาได้ยินบทสนทนาก็หัวเราะในลำคอก่อนเดินผ่านผมไปช่วยองศายกของ ทิ้งให้ผมยืนงงคูณสองอยู่กับที่
“ผมยกเองได้ ขอบคุณ” องศาโวยวายแย่งกระเป๋าเดินทางจากมือวิกเตอร์ ยัดลงหลังรถ ก่อนเข้าไปนั่งพร้อมปิดประตูดังปัง
หรือว่าเพื่อนผมกับเพื่อนของออสติน...อะจี๊ยๆกัน
“ยืนมองอะไรวะเจเรมี่ มานี่เร็วๆ” ออสตินกวักมือเรียกให้ผมไปขึ้นรถ เอาว่ะ ถึงแล้วค่อยถามไอ้ศามันก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันและวิกเตอร์ ผมกับออสตินนั่งข้างหลังส่วนไอ้ศาโดนบังคับให้ไปนั่งข้างหน้า ทำให้มันทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมาเข้าไปใหญ่
“ขับไม่ไหวบอกนะจะได้สลับกันขับ” ออสตินบอกกับวิกเตอร์ซึ่งอาสาขับรถให้ครึ่งทางแรก
“ฮ้าววว” ผมยกมือปิดปากหาว กว่าจะได้หลับเพราะไอ้คนที่มันบอกว่าห้องโดนยึดมันก่อกวนผมตลอดน่ะสิครับ กว่าจะได้นอนก็ปาไปนู่น ตีสามกว่าๆ แหกขี้ตาตื่นมาทันเวลานัดวิกเตอร์ได้ก็บุญเท่าไหร่แล้วเนี่ย
“ง่วงหรอ” เสียงนุ่มถาม มือหนาโอบไหล่ผมให้พิงหัวไปทางเขาหนุนต่างหมอน
“อื้ออ” ผมงึมงำรับคำ เคลิ้มนิดๆเวลาออสตินลูบหัวผมเพื่อกล่อมให้หลับ
“นอนไปก่อนก็ได้ ถึงแล้วเดี๋ยวปลุก”
“ถึงมึงไม่ให้นอนกูก็จะนอนอยู่ดีนั่นแหละ” ผมหลับตาลง เผลอถูหน้ากับหัวไหล่ร่างสูงอย่างลืมตัว ทำไมตัวของออสตินมันนุ่มแบบนี้วะ
ฟอด...
“เฮ้ย!”
ผมสะดุ้ง คนตัวโตใช้จังหวะตอนที่ผมกำลังเคลิ้มก้มหน้าลงหอมแก้มผมดังฟอด ตาสว่างเลยครับคราวนี้ มึงไม่อายเพื่อนแต่กูอายนะเว้ยไอ้บ้า
“หน้าแดงเป็นมะเขือเทศแล้วมั้ง” ไอ้ศาเอ่ยแซว
“หึๆ ทำอย่างเหมือนกับไม่เคย” แทนที่จะสำนึกผิดออสตินกลับหัวเราะแถมยังทำหน้าพอใจที่ไอ้ศามันแซวผมอีก
“ยะ หยุดเลยกูไม่พิงมึงแล้วไอ้คนชอบฉวยโอกาส” หันไปอีกด้าน พิงกระจกก็ได้วะ แข็งๆดีกว่าโดนลักหลับอายไอ้สองคนข้างหน้า
“อย่างอนสิ” มือหนารั้งเอวบางเข้ามาแนบตัว ออสตินกอดผมจากข้างหลังวางคางเกยไหล่ผมพร้อมกระซิบเสียงอ้อนๆ
“มะ ไม่ได้งอน เขยิบไปหน่อยดิกูจะนอน”
“ไม่เอาอ่ะกอดแบบนี้แหละดีแล้ว กูจะหลับด้วย” แล้วผมกับมันก็หลับกันไปทั้งสองคน ไม่สนสายตาที่มองผ่านกระจกหลังของวิกเตอร์หรือเสียงหัวเราะแปลกๆในลำคอขององศา ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ผมตื่นเพราะได้ยินเสียงวิคเตอร์คุยโทรศัพท์ เขาแวะจอดรถที่จุดพักรถ องศาเองก็หลับไปอีกคนเหมือนกัน
“ลงมายืดเส้นยืดสายหน่อยมั้ย กูจะไปซื้อกาแฟ” ผมพยักหน้าให้วิกเตอร์เดินไปซื้อของ ก่อนปลุกออสตินเพราะผมปวดฉี่ จะลุกเลยก็ไม่ได้เพราะมันกอดผมอยู่
“หือ ถึงไหนแล้ววะ...” มันบิดขี้เกียจ ลงจากรถตามผมมาด้วย
“ใกล้ถึงแล้วละมั้ง รออยู่นี่แหละกูไปฉี่แปปเดียว” ผมบอกมัน เดินฉับๆๆ จะอั้นไม่อยู่แล้ว
“กูไปด้วย” ร่างสูงรีบเดินตามไป จุดพักรถที่นี่ค่อนข้างมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดพักกันมากมาย รวมถึงผู้ชายหลายคนที่มองเจเรมี่ไม่วางตาตั้งแต่ก้าวลงจากรถ จะให้เขาปล่อยเด็กน้อยไปเข้าห้องน้ำคนเดียวให้พวกเก้งกวางมันเข้ามาทำความรู้จักน่ะหรอ ไม่มีทาง
“ตามมาทำไมเล่า กูแค่ไปฉี่เฉยๆนะออสติน อีกอย่างไอ้ศามันยังหลับอยู่บนรถขืนโดนใครลากไปทำมิดีมิร้ายล่ะก็วิกเตอร์ได้มาเอากูตายดิ” ตอนก่อนวิกเตอร์จะไปซื้อของมันกำชับอย่างดีว่าเฝ้าองศาให้ด้วย ผมตวัดสายตาดุๆไปให้ออสติน แม่งจะอะไรนักหนาวะ เดี๋ยวปั๊ดฉี่ราดตรงนี้ซะเลย
“ก็ได้ เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วอย่าไปเถลไถลที่ไหนนะเข้าใจ?”
“ครับๆ” ผมจำใจรับคำ มันเป็นพ่อผมหรือไงวะ จะไปไหนมาไหนต้องคอยเฝ้าตลอด ผมคิดยิ้มๆเมื่อเข้าใจถึงความห่วงแม้บางทีอาจกลายเป็นหวงของออสติน มันรอผมมานานถ้าไม่หวงนี่สิแปลก
“สวัสดีครับ” ผมชะงักมือจะเอื้อมไปเปิดน้ำล้างหน้า มองผู้ชายตัวสูงใจกล้าเข้ามาทักผม
“ครับ?”
“มาเที่ยวหรอครับ”
มาซักผ้ามั้ง...คิดประชดในใจ ผมพยักหน้านิดๆ ยิ้มเจื่อนกลับไป ถ้าออสตินมาเห็นคงระเบิดลงแหงๆ ทางที่ดีรีบกลับไปที่รถดีกว่า
“อ่า...ขอตัวก่อนนะครับ” ชิงตัดบทก่อนที่ผู้ชายตรงหน้าจะอ้าปากถามอะไรอีก
“เดี๋ยวสิ...”
หมับ
ชายแปลกหน้าคว้าข้อมือของผมเอาไว้ เฮ้ย มือคนหรือก้ามปูวะจับแน่นชิบหาย ผมพยายาทสะบัดออกแต่ก็สู้แรงมันไม่ไหว
“จะทำอะไรของมึงวะ ปล่อยกู!”
“รีบไปไหนล่ะยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” มันไม่สะทกสะท้านกับเสียงตวาดของผมเลยสักนิด สมัยนี้เค้าทักทายคนไม่รู้จักกันแบบถึงเนื้อถึงตัวเลยหรอครับพี่น้อง
“กูไม่มีอะไรจะคุย ปล่อยได้แล้วครับ”
“พูดไม่เพราะเลย ปากดีแบบนี้น่าจูบสั่งสอนสักทีสองทีนะครับ” มันยิ้มแสยะ
“ใครบอกจะจูบเมียกูวะ” ออสตินดึงผมให้ไปหลบอยู่ข้างหลัง ไอ้คนโรคจิตนั่นชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำว่าเมียจากปากของร่างสูง ผมรับเกาะแขนออสตินทันที
“อะไรวะมีผัวแล้วก็ไม่บอก” มันสบถก่อนจะรีบเดินหนีไปเพราะสายตาของคนรอบข้าง ผมถอนหายใจโล่งอกที่ออสตินโผล่มาทันจังหวะไม่งั้นจะโดนไอ้โรคจิตมันทำอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้
“ปล่อยให้คลาดสายตาหน่อยไม่ได้เลยนะ” คนที่โดนผมเกาะแขนว่าเสียงนิ่ง
“กูแค่มาฉี่เฉยๆเองนะ ใครจะไปรู้ว่าจะมีไอ้โรคจิตวะ” ผมบ่นอุบอิบ ออสตินทำเพียงงืมงำเสียงในลำคอ เราเดินกลับไปที่รถ ไอ้ศาตื่นแล้ว มันทำหน้างอเมื่อเห็นผมสงสัยจะไม่ชอบที่ถูกทิ้งให้อยู่กับวิกเตอร์สองคน รอก่อนนะเว้ยเพื่อนเดี๋ยวกูจะซักเรื่องของมึงตอนไปถึงทะเลแน่ๆ วิกเตอร์แลกเวรคนขับกับออสตินผมเลยปืนขึ้นไปนั่งเบาะหน้า
“มึงไปก่อเรื่องอะไรวะเจม พี่ตินทำหน้ายังกะตูดหมา” ไอ้ศาถาม ผมเกือบหลุดหัวเราะ ก็อย่างที่มันว่าแหละครับตั้งแต่ขึ้นรถมาออสตินไม่พูดอะไรกับผมสักคำ มันขมวดคิ้วทำหน้าอมพะนำคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
“กูเปล่าสักหน่อย” ผมยักไหล่ ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นาแค่ไปฉี่เอง
ออสตินไม่ได้ตอบอะไรมันเหลือบสายตามามองผมแปปเดียวแล้วก็มองถนนเบื้องหน้าต่อ เออ เงียบให้ได้ไปตลอดนะ จากนั้นไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็มาถึงจุดหมาย บ้านพักตากอากาศสีขาวเด่นตั้งอยู่บนเนินหญ้าโอบล้อมด้วยหาดทรายส่วนตัวน่าลงไปวิ่งเล่น สังเกตดีๆจะเห็นเปลือกหอยมากมายประดับประดาบนกำแพงรอบด้าน ไอ้ศากับครอบครัวมันเรียกที่นี่ว่า 'บ้านเปลือกหอย' เพราะทั้งในและนอกตัวบ้านล้วนแล้วแต่มีเปลือกสีสะอาดตาฝังอยู่เต็มไปหมดน่ะสิครับ
“สวัสดีครับลุงแมน” ผมยกมือไหว้คนดูแลบ้าน เคยเห็นหน้าลุงแกสองสามครั้งตอนไปเที่ยวเล่นบ้านคุณชายศา ใบหน้ายิ้มแย้มถึงแม้จะมีริ้วรอยบ้างตามวัยกับหัวล้านๆเป็นเอกลักษณ์ของลุงแมนทำให้ลุงแมนดูเป็นผู้ชายวัยสูงอายุใจดีคนหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณเจม คุณศา ไม่เจอกันนานเลยนะครับเนี่ย”
“ก็ลุงเล่นหนีมาอยู่ในที่ไกลหูไกลตาแบบนี้นี่ครับ” ไอ้ศาหัวเราะเบาๆ
“ฮ่าๆ ที่นี่มันสบายกว่ากรุงเทพฯน่ะสิครับคุณศา ไอ้ผมมันเป็นคนนอกเมืองมาแต่ไหนแต่ไรเลยชอบที่สบายๆท้องฟ้าโปร่งแบบนี้มากกว่า”
หลังจากทักทายกันสักพักเราก็ยกสัมภาระทั้งหมดลงมาจากรถ ผมกับออสตินนอนห้องเดียวกัน ส่วนไอ้ศาขอนอนห้องตัวเอง วิกเตอร์เลยได้ไปนอนที่ห้องรับแขกอีกห้องที่อยู่ติดกัน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ คนหมู่มากลงความเห็นให้ไปเล่นน้ำทะเลก่อนตอนเย็นถึงจะได้เข้าไปในตลาดหาอะไรกินกัน ไอ้ผมหรอจะปฏิเสธแพลนเที่ยวพักผ่อนของวิกเตอร์ได้ มันว่าไงผมก็ต้องว่าตามมันแหละ
อยู่แค่ที่หาดคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“มึงไปทำอะไรให้ออสตินมันโกรธรึเปล่าวะ” ทุกอย่างเหมือนจะลงตัวดียกเว้นออสตินที่ไม่ยอมคุยกับผม เวลาจะบอกอะไรก็ฝากให้วิกเตอร์ไม่ก็ไอ้ศามาพูดกับผมแทน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
หรือมันจะเมนส์มา?
ผมเก็บเรื่องของออสตินเอาไว้ทีหลัง หอบข้าวหอบของที่จำเป็นไปนั่งเล่นบนหาดทรายมองไอ้ศาเล่นน้ำทะเลสบายใจเฉิบ ผมเสียบหูฟังไม่ทันมองคนที่แอบย่องมาข้างหลัง
พรืบ!
“...!!” อยู่ๆตัวของผมก็ถูกยกขึ้นพาดบ่าพุ่งไปยังทะเลอย่างรวดเร็ว ผมใจหล่นตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทั้งทุบทั้งตีหลังคนอุ้มรัวๆ
“อย่านะเว้ย กูไม่เล่นน้ำ!”
“ทนหน่อยแล้วกันนะมึง” วิกเตอร์บอก ทนอะไรของมันวะ? แล้วผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมันวิ่งลงน้ำเรื่อยๆจนระดับน้ำอยู่บริเอว
“วะ วิกเตอร์อย่า...”
ตูมมม
“อะ...แค่กๆ” ผมกลืนน้ำทะเลลงท้อง เค็มโครตๆเลยว้อยยย
“สัส! วิกเตอร์มึงเหวี่ยงเจมลงไปแบบนั้นได้ไง” ไอ้ศาที่เล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงของหนักกระทบน้ำก็หันมาก่อนจะสติหลุดเมื่อเห็นเจเรมี่กระตุยน้ำแบบคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
“น้ำลึกแค่เอวเองไม่จมหรอก”
“กูไม่สนว่ามันจะลึกแค่ไหนไอ้บ้า! เจมมันว่ายน้ำไม่เป็นแถมกลัวน้ำทะเล มึงไม่รู้หรือไง!!”
“เจเรมี่!!” คล้ายว่าได้ยินเสียงออสตินดังแว่วๆ ผมเป็นโรคกลัวน้ำทะเลเพราะเคยโดนแมงกระพรุนไฟตอนมาเที่ยวกับพวกไอ้ศา จากนั้นมาผมก็ขยาดไม่เคยลงเล่นน้ำทะเลอีกเลย
“อะ...ฮึก” ตัวผมเบาหวือ ด้วยความกลัวขึ้นสมองทำให้ยากที่จะรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นอนอยู่ขนเตียงในห้องพักแล้ว นาฬิกาตั้งโต๊ะตรงหัวเตียงตีบอกเวลาหกโมงเย็น นี่กูหลับไปนานขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ย?
“ฮื่อ” ทรงตัวยืนได้ไม่ทันไรผมก็หน้ามืดจนต้องฟุบลงไปกับเตียงอีกรอบ นึกอยากตะกุยหน้าวิกเตอร์ขึ้นมานิดๆแม่งรู้ทุกเรื่องทำไมเรื่องสำคัญอย่างผมกลัวทะเลทำไมมันไม่รู้วะห้ะ
แกร๊ก...
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมเงยหน้ามองร่างสูงที่ดูตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นสภาพไม่สู้ดีของผม ออสตินจ้องร่างเล็กอยู่สักพัก
“เดี๋ยว..”
ปัง!
แล้วก็หันหลังกลับปิดประตูเสียงดังไม่สนคำร้องของผม นี่ผมทำอะไรให้มันโกรธโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า?
“ฟื้นแล้วหรอวะเจม” องศาเข้ามาดูอาการ ออสตินคงบอกมันว่าผมฟื้นแล้วละมั้ง พยักหน้าให้เพื่อนรักนิดๆ
“แต่งตัวไปไหนวะ” ผมถาม องศาเลิกคิ้วก้มมองตัวเองที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น
“กะจะออกไปเที่ยวตลาดสักหน่อย” เออ ดีมากกก เพื่อนรักไม่สบายนอนพะงาบเหมือนปลาขาดน้ำอยู่แบบนี้มันจะออกไปเที่ยวสังสรรค์ นี่แหละว่ะเพื่อนผม ฮ่าๆๆ
“กูไปด้วยดิ” ผมบอกมันยันตัวลุกขึ้นช้าๆ ไม่ยักหน้ามืิดแล้วแฮะ
“ไหวหรอวะ”
“ไหวดิระดับเจเรมี่ซะอย่าง J”
ความจริงก็คือแค่ลุกยังไม่ไหวเลยครับ เฮ้อออ
ไอ้ศาเลือกนั่งร้านอาหารกึ่งผับคือด้านหน้าก็เป็นร้านอาหารธรรมดาๆแต่ในร้านมีโซนผับอยู่อีกด้าน เสียงเพลงดังกระหึ่มแบบไม่เกรงใจใครดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ กระนั้นคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็ไม่มีใครคิดติดใจอะไรเพราะชินกับเสียงดังๆซะแล้ว ผมคิดไม่มีผิดว่าออสตินก็มาด้วย เห็นมะถ้ามัวแต่นอนพักผมคงไม่ได้มาเฝ้ามันแบบนี้หรอก ออสตินมองหน้าผมแปปเดียวแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ออสติน” ผมเรียกมัน งานนี้ต้องเคลียร์ละครับ ผมไม่ชอบเลยเวลามันทำท่าทางเหมือนไม่สนใจผมแบบนี้
“มีอะไร” เสียงทุ้มถามกลับแต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้าผมอยู่ดี
เอ๊ออ เล่นแบบนี้ใช่ป่ะ
จากที่ตั้งใจจะเป็นฝ่ายยอมง้อแล้วเมื่อเห็นออสตินไปส่งสายตาหวานๆใส่ผู้หญิงโต้ะข้างๆแถมยังจงใจตอบส่งๆผมก็ยั้วะดิ
“เปล่า กูไม่หิวแล้วว่ะ ไป ด้านนู้นกันไอ้ศากูอยากแดกเหล้า” ผมไม่สนคำท้วงหรือสายตาห้ามปรามขององศาและวิกเตอร์ ลากแขนเพื่อนตัวเองข้ามไปโซนผับพร้อมสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทันที ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนคอยมองผมอย่างเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ตามไปวะ” วิกเตอร์เอาเท้าเตะขาเก้าอี้ของออสตินเบาๆเชิงสั่งให้เขารีบตามร่างเล็กสองร่างไป
“ไม่บอกกูก็จะไปอยู่แล้วน่า” ออสตินตามเจเรมี่เข้าไปในผับ ลอบสังเกตอาการของคนรักอยู่ห่างๆ เขาอยากให้เจเรมี่คิดอะไรบางอย่างได้เองจึงทำปั้นปึ้งใส่ตัวเล็กมาตลอดช่วงบ่ายเกือบมาดหลุดตอนเห็นเจเรมี่จมน้ำทะเลแล้ว
“ดื่มน้อยๆหน่อยดิวะเจม มึงยังไม่หายเลยนะเว้ย” องศาหยิบแก้วให้พ้นระยะคว้าหมับของเจเรมี่ ก่อนชูสูงหนีการป่ายมือสะเปะสะปะของเพื่อนรักที่เริ่มหน้าแดงหน่อยๆแล้ว
“รู้แล้วน่า” มันไม่ให้ผมก็สั่งใหม่ดิจะยากอะไร
“เจม” องศาเรียกเสียงเข้มเมื่อเห็นผมสั่งบริกรให้เอาเครื่องดื่มมาให้ใหม่อีกแก้ว
“กูหงุดหงิดนี่นา! มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอกไอ้ศา”
“เรื่องอะไร”
“จะอะไรถ้าไม่ใช่พี่ตินของมึงอีกล่ะวะ แม่ง โกรธอะไรก็ไม่บอกแล้วกูจะรู้ตัวป่ะ กูไม่สบายก็ไม่ยอมมาดูแลขนาดฝืนสังขารมากับมันด้วยมันยังเอาแต่มองคนอื่นอยู่ได้”
“หึงหรือไง?”
“ก็เออดิ!”
“หึหึ ทีนี้เข้าใจความรู้สึกกูรึยัง”
“เข้าใจอะ...ออสติน!” เหล้าเข้าปากแล้วทำให้ผมพูดมากผิดปกติใครถามอะไรก็ตอบเค้าไปแบบไม่นึกเอะใจสักนิดว่าเสียงไอ้ศาแม่งเปลี่ยนไปเป็นเสียงห้าวของใครบางคนที่ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ สติกลับมาอีกทีก็ตอนที่โดนออสตินล้วงไต๋แล้ว ฮืออ ผมเกลียดแอลกอฮอล์
“ที่ปั๊มกูก็รู้สึกเหมือนมึงตอนนี้นั่นแหละ รู้รึยังว่าเวลาหวงห่วงใครแล้วเค้าไม่รู้ตัวเลยมันเป็นยังไง” ออสตินดึงผมเข้าไปซุกอก ดิ้นสู้แรงมันอยู่สักพักจึงยอมปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ
“ก็กูไม่รู้นี่...” เสียงเล็กเถียงกลับไม่ยอมแพ้
“แล้วตอนนี้รู้รึยัง”
“อื้อ...” ผมโอบรอบคอร่างสูง ออสตินย่นจมูกนิดๆได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างเล็กพลางนึกถึงครั้งแรกในพอยชั่นคลับที่เจเรมี่อกหักกินเหล้าประชดชีวิตจนมองเขาเป็นแฟนเก่าของตัวเอง จะว่าไปต้องขอบคุณไนท์ที่ทำให้เขากล้าเดินเข้ามาในชีวิตของไอ้ตัวเล็กถึงมันจะทำให้เจเรมี่ร้องไห้แต่ถ้าไม่มีไนท์ออสตินก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองจะอยู่ที่ไหนทำอะไรบ้างที่แน่ๆคือเขาไม่กล้ามากอดเจมอยู่แบบนี้แน่นอน
“กลับบ้านกัน”
ออสตินโทรบอกวิกเตอร์ว่าจะพาเจมกลับไปนอนพักก่อนเพราะเจมยังไม่หายดีทั้งยังดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปพอสมควร ออสตินอุ้มร่างบางมาวางไว้บนเตียงนุ่มก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำออกมาพร้อมกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูผืนหนึ่ง
“อื้ออ” ผมส่งเสียงประท้วงเพราะสัมผัสเย็นชื้น ออสตินยกยิ้มอ่อนโยนเอื้อมมือมาลูบหัวกล่อมผมให้หลับ เริ่มเช็ดตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสมำ่เสมอ เวลาผ่านไปซักพักผมลืมตาตื่นเพราะรู้สึกคันๆคอ ออสตินไม่อยู่ในห้องหรือมันจะกลับไปหาวิกเตอร์แล้วทิ้งผมไว้คนเดียว?
ตึกๆๆ
ผมวิ่งลงบันไดมองหาร่างสูง ไม่อยากคิดถ้ามันกลับไปที่ร้านจริงจะรู้สึกยังไง แล้วก็โล่งใจตอนมันเดินขมวดคิ้วออกมาจากครัว
“ลงมาทำไม หายมึนแล้วหรือไง...” คำพูดต่อมากลืนหายไปในลำคอเมื่อเจ้าตัวเล็กพุ่งตัวเข้ามากอดเขาจนเกือบทำข้าวต้มในมือหก ออสตินจะอ้าปากถามแต่ไหล่ที่สั่่นนิดๆนั่นทำให้เขาวางชามข้าวต้มลงแล้วอุ้มอีกคนขึ้นแนบอกแทน
“ฮึก...กูนึก ฮึก ว่ามึงทะ ทิ้งกูไปแล้ว...”
“ทำไมคิดงั้น” ออสตินไม่รู้จะหัวเราะดีหรือปลอบอีกคนดีที่กำลังงอแงสะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ เหมือนยิ่งปลอบเจเรมี่ิยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ
“ก็มึงไม่สนใจกู...”
“กูบอกมึงไปแล้วไงว่ากูหวง กูห่วง ไม่อยากให้ใครมายุ่งหรือมาโดนตัวมึงแค่มึงคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู กูก็หึงแล้วนะเจเรมี่” ออสตินกระชับอ้อมแขน ซุกจมูกลงบนเรือนผมนุ่ม
“กะ กู ฮึก ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ผมกอดออสตินไว้แน่น ทั้งๆที่เจอกันไม่ถึงปีแต่เขามีอิทธิพลกับผมในทุกเรื่อง แค่ออสตินไม่มองหน้า ไม่พูดด้วย ผมก็คิดมากแล้ว นึกภาพไม่ออกเลยหากในวันนึงข้างหน้าเขาทิ้งผมไปเหมือนกับที่พี่ไนท์เคยทำผมจะเป็นยังไง
“อย่าเมินกูไม่สนใจกูอีกนะออสติน” ผมว่า
“สัญญาครับ...มึงก็อย่าให้ใครมาแตะตัวง่ายๆอีกนะ กูไม่ชอบ” ผมพยักหน้า เรานั่งกอดกันได้สักพักต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยเฉพาะผม
“อ๊ะ...” หลังจากร่างเล็กหยุดร้องไห้แล้วออสตินก็จูบซับรอยน้ำตาบนใบหน้านวลนั้นเบาๆ วางอีกคนนอนราบไปกับโซฟา ล็อคเจเรมี่ไว้ในอ้อมแขน ริมฝีปากไล่ชิมความหวานตั้งแต่แก้มเนียน ปากหวาน ไปจนถึงซอกคอขาวนวล
“มาคิดดูแล้วกูไม่มีสิทธิอะไรจะไปห่วงมึงเลยนะเจเรมี่...”
หัวใจคนฟังดิ่งวูบก่อนเจ้าตัวจะยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของคนรัก
“นอกซะจาก...”
ตึกตัก...ตึกตัก
“กูกับมึงจะเป็นอะไรกัน"
เพื่อที่จะได้อยู่ข้างกันตลอดเวลา
เพื่อที่จะได้หวงและห่วงกันได้ตลอดเวลา
เพื่อที่จะได้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมอ่อนข้อให้กันยามเข้าใจผิดหรือทะเลาะกัน
และเหนื่อสิ่งอื่นใด...เพื่อที่จะรักกันและกันตราบเท่าที่ยังหายใจ
“มาเป็นแฟนกูนะ”
END
---------------------------------------
ในที่สุดน้องเจมกับพี่ตินก็ได้เป็นแฟนกันซะที น้องเจมจะตอบว่ายังไงเราก็คงรู้กันเนอะแถมยังอยู่ท่าแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อ -//- ถึงเรื่องราวของพอยชั่นคนแรกจะจบไปแล้วแต่ก็มีหนุ่มพอยชั่นคนใหม่แต่หน้าเก่ามาจ่อรอคิวต่อเป็นเรื่องต่อไปนะคะ จะใครซะอีกถ้าไม่ใช่วิกเตอร์ที่รู้ทุกอย่างยกเว้นหัวใจของตัวเองใน 'Forbidden Poison' ><
ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจ ทุกการเฟบทุกโหวตและทุกคำทวงให้ชีสอัพนิยายบ่อยๆนะคะ
แม้จะอัพช้าไปบ้างก็อย่าว่ากันเลยเนอะ ฮ่าๆ
ใครเจอคำผิดตรงไหนทักกันมาได้เสมอเลยนะคะ ตอนนี้อากาศหนาวแล้วดูแลตัวเองดีๆนะคะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า :D
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หนึ่งคู่
อยากให้มีต่ออ่าาา. อย่าพึ่งจบได้ม่ะ ต่ออีกนะไรท์นะ
ขอให้ภามเจอคนดีๆๆนะ พี่วิกเตอร์นี้จัดการทุกอย่างจริงๆๆนะ
พี่ฟาค่ะกวนจริงๆๆ มาต่อไว้ๆๆนะไรท์
ภามสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันเลยที่เดี๋ยวเมื่อเจอพี่ฟาเข้าไป เค้าสองคนคู่กันใช่ป่ะเนี้ยยยยย
จะรอมาต่อเสมอๆ