ตอนที่ 10 : Illusion poison 8 ♜ Reason (100%)
Illusion poison 8. Reason
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงลั่นไกดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผมหลับตาปี๋กอดออสตินไว้แน่น มือหนายกขึ้นมาวางไว้บนหัวของผมเบาๆ ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
“มันจบแล้ว” องศาถอนหายใจแต่สายตาก็ยังคอยระแวงระวังเพทายด้วยความไม่ประมาท คนโดนจ้องทำเพียงสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงไม่ร้อนใจสักนิดเมื่อได้ยินเสียงปืนข้างนอกเงียบไป
“องศา!” เสียงคุ้นเคยของเจย์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะวิ่งเข้ามาคว้าองศาไปกอดหมับ ที่เจย์เข้ามาในโกดังได้แสดงว่าไวท์อายส์แพ้แล้ว
“มันเจ็บนะเจย์” องศายันหัวทุยๆของหนุ่มหน้าสวยเอาไว้หลังจากโดนพุ่งเข้าชาร์จเต็มรัก เขารู้สึกปวดบริเวณท้องน้อยคงเพราะถูกมัดติดกับเก้าอี้แน่นไปแถมยังโดนเพทายชกตอนถูกลักพาตัว
ว่าแต่ทั้งที่พวกของตัวเองแพ้ทำไมเพทายยังยืนยิ้มอยู่ได้วะ?
“ไงมึง” ลมหนาวลากไวท์อายส์อีกสามคนที่เหลือเข้ามาวิกเตอร์ดึงเชือกที่ผูกข้อมือภามแน่นเพราะเด็กนั่นไม่ยอมหยุดดิ้นสักที
“ไงวะ” เพทายยักคิ้วตอบคำทักทายของลมหนาว เดินไปแปะมือไฮไฟว์กับร่างสูงราวกับรู้จักกันมานาน ผมเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งหมดในโกดัง การ์ดกับเดย์ถูกยิงแต่ไม่โดนจุดสำคัญพวกเขาเลยได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจไปให้คนทรยศของไวท์อายส์ ส่วนภามถูกวิกเตอร์หิ้วปีกพร้อมกับโวยวายเสียงดังลั่นว่า
“ไอ้ทายมึงทำแบบนี้กับพวกกูทำไม!”
“กูแค่เบื่อวิธีการสกปรกๆของพวกมึงเท่านั้นเอง” เพทายยกยิ้มไม่รู้สึกอะไรเมื่อถูกตราหน้าเป็นคนทรยศ "ไวท์อายส์ดีแต่ลอบกัดกูไม่ชอบ อีกอย่าง...กูไม่ใช่เครื่องมือให้ใครมาใช้เพื่อทวงแค้นเพราะรักที่ไม่สมหวัง”
“หุบปากนะ!” ภามตะโกน
“หรือไม่จริง?” เพทายสวนกลับ
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ลมหนาวเดินไปที่หน้าต่างจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ภามหน้าแดงเหมือนจะร้องไห้เขามองผมที่กอดออสตินไว้แน่นดวงตาฉายแววอาฆาตปิดไม่มิด
“ถ้าไม่มีมึงสักคนเจเรมี่! อยู่เฉยๆต่อไปก็ดีแล้วแท้ๆ สะเออะหน้ามาให้พี่ตินเห็นทำไม!!”
“ภาม...” ออสตินเรียกชื่อคนที่พาลใส่ผมเบาๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ร่างเล็กหยุดพูด "กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก”
ถ้อยคำแสนธรรมดาทว่าทิ่มแทงเข้าไปในใจของผู้ฟังจนรู้สึกเจ็บจนอยากร้องไห้ ภามส่งเสียงสะอื้นเบาๆ หากไม่ถูกมัดอยู่ร่างเล็กคนจะรีบวิ่งหนีตั้งแต่เห็นออสตินส่งสายตาเยียบเย็นมาให้แล้ว
“มาทบทวนข้อตกลงกันใหม่...ต่อจากนี้ถ้าพวกมึงคิดจะกัดพอยชั่นอีกล่ะก็จงกัดให้ตายไม่งั้นจะกลายเป็นพวกมึงที่โดนกัดเอา” วิกเตอร์ลากเก้าอี้มากระแทกลงนั่งเฉียดหน้าเดย์เพียงไม่กี่เซนต์ "แล้วก็ช่วยกลับไปบอกพรรคพวกของมึงด้วยว่านับแต่นี้ธุรกิจของไวท์อายส์ล้มละลายกลายเป็นของพอยชั่นโดยสมบูรณ์”
“มึงทำอะไรร้านกู!” เดย์รู้้สึกเหมือนโดนคนตรงหน้าสูบวิญญาณออกจากร่าง ไวท์อายส์มีเพียงคลับเล็กๆไม่เป็นที่รู้จักให้พอหายใจหายคอในธุรกิจด้านนี้เท่านั้น หากโดนยึดไปเท่ากับว่าพวกเขาถูกตัดขาดจากการค้าที่เพียรพยายามสร้างกันมาหลายปี
“แค่ให้ฟาเรนไฮไปกว้านซื้อผู้ถือหุ้นของมึง” ความหมายคือวิกเตอร์แอบส่งฟาเรนไฮไปทำให้ผู้คุมบังเหียนให้ความสนับสนุนของไวท์อายส์มาเป็นผู้อยู่ในอาณัติของพอยชั่นคลับเรียบร้อยแล้ว
“วิกเตอร์!!” เดย์กัดฟันกรอด
“หึๆ ไม่เคยมีใครเตือนหรอวะไอ้เดย์...ว่าอย่ามาหาเรื่องกับพอยชั่นถ้ามึงไม่สามารถหาคนที่มีมันสมองที่เก่งกว่าวิกเตอร์ได้น่ะ” เจย์หัวเราะ
คนที่สามารถล้มวิกเตอร์ได้เพียงกระดิกนิ้ว
ตั้งเกิดมาเขาเคยเห็นแค่คนเดียว!
“ไอ้พวกพอยชั่น!!” ไวท์อายส์จะไม่มีวันลืมความเจ็บปวดที่พอยชั่นมอบให้ในวันนี้อย่างแน่นอน
ผมมองวิกเตอร์สลับกับเดย์ไปมา
นี่ผม...เดินเข้ามาอยู่ท่ามกลางคนอันตรายพวกนี้ได้ไงกันนะ?
“อาการคนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่ร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอกับเสียเลือดมากไปเท่านั้น พักผ่อนอีกสองสามวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับหมอ!” ผมยกมือไหว้คุณหมอรูปหล่อในชุดกราวน์สีขาวดูภูมิฐาน อ่า ถ้าผมกับคณิตศาสตร์ญาติดีกันได้เมื่อก่อนตอนนี้ผมอาจอยากฝันเป็นหมอก็ได้นะ คิดดูดิคนในเครื่องแบบ เท่ชิบ สาวๆกรี๊ดตรึ๊มมม!
“ครับ หมอขอตัวก่อนถ้ามีอะไรกดปุ่มตรงหัวเตียงเรียกพยาบาลได้เลยนะครับ”
กดปุ่มเรียกหมอมารักษาหัวใจผมได้ป่ะ กร๊ากกกก
เฮ้ย ผมล้อเล่นนนน อย่าริคิดจะเอาไปบอกออสตินเชียว!
คุณหมอเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปแล้วส่วนผมก็เดินไปลากเก้าอี้มานั่งตาแป๋วเฝ้าคนป่วยซึ่งกำลังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงพลางคิดย้อนไปยังเหตุการณ์เสี่ยงตายที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน
วิกเตอร์เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ผมแอบเข้าไปในโกดังได้สำเร็จเขาก็โทรเรียกกำลังเสริมมาช่วยจัดการกับพวกไวท์อายส์ พอดีกับที่ฟาเรนไฮจัดการรวบหัวรวบหางตัดช่องทางธุรกิจของพวกนั้นได้สำเร็จ พอยชั่นเลยเอาชนะไวท์อายส์ได้เป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่ที่ไวท์อายส์เริ่มสร้างความวุ่นวายเพราะอิจฉา มันจะไม่เลยเถิดมาถึงขนาดใช้อาวุธสู้กันหากออสตินไม่หักอกภามซะก่อน
คิดๆแล้วผมเองก็มีส่วนผิดที่อยู่ๆก็เดินเข้าไปในชีวิตของออสตินทำให้ทุกอย่างวุ่นวายแบบไม่ได้ตั้งใจ
'อย่าห่วงไปเลย...ต่อให้ย้อนเวลาได้ไอ้ตินมันก็จะเลือกมึงอยู่ดี'
'ถึงมึงไม่เดินเข้ามาในชีวิตมันตอนนี้ เดี๋ยวมันก็จะหามึงจนเจอแล้วเดินเข้าไปในชีวิตมึงเอง'
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ออสตินพูดเหมือนรู้จักผม ไม่ได้นึกเอะใจอะไรคิดว่าคงจำคนผิดแต่เร็วๆมานี้ทุกคนเอาแต่พูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ไหนจะภาม วิกเตอร์หรือแม้แต่กระทั่งองศาที่ปิดเป็นความลับไม่ยอมบอกผม
'พี่ตินฟื้นเมื่อไหร่ก็ถามเอาเองละกัน'
แม่งเป็นเพื่อนที่ทิ้งให้ผมคิดมากอยู่คนเดียว ถ้าไม่เกรงใจที่แม่งเจ็บแผลนะจะตัดเพื่อนกับมันซะให้เข็ด ฮึ!
พูดถึงองศาแล้วนึกขึ้นมาได้ มันมักจะมีบรรยากาศแปลกๆระหว่างไอ้ศากับวิกเตอร์เสมอ ผมเดาออกว่าวิกเตอร์เป็นห่วงไอ้ศามากแค่ไหน รู้อีกว่าไอ้ศามันก็อยากอยู่ใกล้ๆวิกเตอร์ตลอดเวลา แต่เหมือนมีเส้นกั้นบางๆระหว่างสองคนนั้นที่ผมคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักทีว่ามันคืออะไร
แถมผู้ชายที่ชื่อเพทายก็แสดงอาการแบบออกนอกหน้าว่าชอบองศาซะเหลือเกิน
ก๊อกๆ
“ไงวะเจม” ตายยากจริงๆครับเพื่อนคนนี้ คิดถึงไม่ทันไรก็โผล่หัวมาทันที ผมหันไปทักทายองศาที่หิ้วน้ำเต้าหู้กับขนมนมเนยมาเติมเสบียงให้ผมถึงที่
“พี่เพทายไม่ได้มาด้วยหรอวะ?” ผมสงสัย เพทายเป็นคนที่ดีมากในสายตาผม ถึงตอนแรกที่เจอเขาจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกพอยชั่นก็ตามแต่ที่จริงแล้วเขาไม่เคยเป็นพวกไวท์อายส์แค่เห็นว่าน่าสนุกเลยยอมทำตามที่กลุ่มไวท์อายส์บอกก็เท่านั้น
“ขอกูอยู่เงียบๆ สงบๆ สักวันเหอะว่ะ” องศาพูดไปก็หน้าซีดไป ผมหัวเราะ อย่างที่บอกแหละครับ เพทายชอบองศาถึงขนาดตามติดเป็นเงาตามตัวไม่ปล่อยให้รอดสายตา ออกจะแปลกใจที่วันนี้เขาไม่ยักมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวไอ้ศาแฮะ
“รำคาญกูหรือไงครับ องศา” เพทายยิ้มแป้นถือวิสาสะเปิดประตูพรวดเข้ามาไม่มีเคาะขออนุญาต
“เอาของกินไปจัดใส่จานก่อนนะ” แล้วเพื่อนของผมก็หลบฉากออกไปทันที
“เดี๋ยวดิ! อ้าว เจเรมี่อยู่ด้วยหรอเรา”
“แหม่ ไม่ได้อยู่เลยครับพี่ทาย นั่งหัวโด่เป็นก้างขวางคอพี่มาสองสามวันแล้วเนี่ย” ผมพูดขำๆ พี่ทายยื่นมือมาลูบหัวผมก่อนจะขอตัวไปวอแวไอ้ศาต่อ แอบได้ยินเสียงไอ้ศาตะโกนไล่มาแว่วๆ
ไม่รู้งานนี้เพื่อนของผมจะทนเป็นก้อนน้ำแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันนะ
“ไอ้เจมมมมมม” ตัวป่วนประจำห้องอีกกลุ่มคือไอ้กั้วกับไอ้พายที่มักขนอะไรๆมาเล่นเป็นเพื่อนผมเฝ้าออสตินทุกวัน
“มาถึงก็แหกปากเลยนะมึง ขืนทำออสตินหงุดหงิดจนฟื้นกูไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน”
“โห่ ไรว้า ไอ้เรารึก็อุส่าห์กลัวพี่แกจะเหงาเลยมาเล่นเป็นเพื่อนมึงเนี่ย”
“พูดงี้พรุ่งนี้กูไม่มาแล้วนะเว้ย!”
“โธ่ววววว คุณกั้วคุณพายคร้าบบ อย่างอนดิ หน้าจะเป็นตูดอยู่แล้วนั่นอย่าทำหน้าแบบนั้นด้วยมันไม่เข้ากับมึง” ไอ้กั้วทำหน้างอนตุ๊บป่องพองแก้มเป็นสาวน้อยซึ่งแม่งไม่เข้ากับมันอย่างแรงใครที่ไหนจะใจอ่อนวะหน้าเหมือนลิงกินกล้วยซะขนาดนั้น ฮ่าๆๆ
“มึงว่ากูขี้เหร่หรอเจม!!”
“อ้าวๆ พูดเองนะมึง กูเปล่า”
แล้วสงครามย่อมๆระหว่างจากั้ว พาย กับผมก็ปะทุขึ้น เสียงเจี๊ยวจ้าวดังเป็นนกกระจอกแตกรังทำให้พยาบาลเข้ามาดุญาติผู้ป่วยบ่อยๆว่าอย่ารบกวนผู้ป่วยพักฟื้น พวกผมก็เงียบได้เฉพาะตอนที่เจ้แกอยู่ในห้องเท่านั้นแหละครับ ฮ่าๆ
“มึงคิดจะเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนเลยหรอวะ” ไอ้กั้วนอนแอ้งแม้งอ่านนารูโตะอยู่บนโซฟา มันเงยหน้ามาถามผม
“คงงั้น กูอยากอยู่ตอนที่ออสตินตื่น”
“ถ้าเหนื่อยพักก่อนก็ได้นะ กูอยู่เฝ้าให้” ไอ้ศาอาสา ผมส่ายหน้าพรืด
“กูไม่เป็นไรจริงๆครับมายเฟรนด์” พูดเสร็จก็ยิ้มแฉ่งชูสองนิ้วให้พวกมันที่กำลังเป็นห่วง แต่ผมอยากให้คนแรกที่ออสตินเจอตอนที่ตื่นขึ้นมาเป็นผมนี่นา
ไม่นานพวกมันก็ขอตัวกลับกันจนเหลือแค่ผมคนเดียวในห้อง หมอเข้ามาตรวจอาการของออสตินอีกครั้งก็บอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าทำไมออสตินถึงยังไม่ตื่น
“หลับนานๆระวังจะเป็นง่อยนะครับ” ผมกระซิบแซวมันเบาๆ เขี่ยปอยผมปรกหน้าคมคายนั่นออก เสียงลมหายใจเข้าออกดังแผ่วเบา
“ตื่นมาเมื่อไหร่พากูไปสวนสนุกอีกนะ ออสติน” ครั้งที่แล้วยอมรับว่าผมมีความสุขมากที่ออสตินมันใส่ชุดมาสคอตกระต่ายมาง้อผม ถือเป็นความทรงจำดีๆที่มาหลังจากสิ่งแย่ๆที่ผมได้รับ
ออสตินคือ 'ฟ้าหลังฝน' ของผม
ผมเอื้อมมือไปจับมือเย็นซีดเบาๆ ฟุบหน้าลงกับขอบเตียง เผื่อมันจะหนาวมือ
“จะว่าไปมันก็ตลกดีนะออสติน” ผมพึมพำพูดกับคนบนเตียง
"กูอกหักแถมยังเมาจนโดนมึงกด จากนั้นมึงก็ตามตื๊อกูมาเรื่อย จนกู...เริ่มรู้สึกแปลกๆ มึงเข้ามาหากูในช่วงที่แย่ที่สุดและทำให้กูมีช่วงเวลาที่ดี รู้ป่ะ กูคิดถึงพี่ไนท์น้อยลงทุกครั้งที่เจอกับมึงเลยนะ ไอ้พายเตือนกูว่าอย่าใช้มึงเพื่อลืมพี่ไนท์ กูเลยสับสน พอมาคิดจริงๆแล้วเป็นมึงนั่นแหละที่ทำให้กูลืมพี่ไนท์ไปเอง กว่ากูจะรู้ว่าชอบมึงก็ตอนที่เห็นภามจูบมึงนั่นแหละ” ยกมือไปแตะริมฝีปากอุ่นเบาๆ ผมเคยจูบเขาที่ตรงนี้ และเขาก็เคยบอกรักผมที่ตรงนี้เช่นกัน “บนชิงช้าสวรรค์นั่นเป็นครั้งแรกที่กูจูบมึงโดยไม่เมา พอคิดจะจริงจังสารภาพว่ากูก็เริ่มชอบมึง มึงกลับหายหัวไปซะดื้อๆ แล้วกูก็ยอมเสี่ยงชีวิตพามึงกลับมา...แบบนี้คือกูชอบมึงมากใช่มั้ย หืม?”
ผมพล่ามอะไรคนเดียววะเนี่ย เฮ้อ
“รีบๆตื่นได้แล้ว ปล่อยให้รอนานเดี๋ยวไม่ชอบชะเลย”
จุ๊บ...
ผมก้มลงจุ้บกู๊ดไนท์คิสมันอย่างที่เคยทำ ใครจะว่าผมแรดขึ้นก็ไม่สนละทีนี้ ก็ออสตินเป็นของผมนี่ ไม่รู้ไม่ชี้ -_-///
“คิดจะลักหลับกูรึไง"
“อะ อื้อ”
ทันใดนั้นคนที่นอนแช่เป็นผักปลาก็ตอบสนองการจูบของผมอย่างโหยหา ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มจางๆ ผมเบิกตากว้างกอดเขาไว้แน่น
ออสตินฟื้นแล้ว!
“มึงตื่นแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย ปล่อยให้กูรอตั้งนาน” ผมอยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆ คนตัวสูงโอบเอวผมเอาไว้หลวมๆ
“ถ้าตื่นเร็วกูก็ไม่ได้ยินคนที่เพ้อให้กูฟังน่ะสิ”
“อะ อย่าบอกนะว่ามึงได้ยินที่กูพูดหมดเลย?” ผมหน้าขึ้นสี ชักอยากมุดดินหนีอยู่ร่อมร่อ ตื่นแล้วก็น่าจะบอกกันบ้างปล่อยให้พูดอยู่คนเดียวตั้งนานสองนาน แถม...สารภาพไปหมดแล้วด้วยว่าอะไรเป็นยังไง
“งั้นกูจะไม่บอก” ออสตินยิ้มมุมปาก ผมตีแขนมันดังปั้กมันหัวเราะออกมาอีกรอบแล้วดึงผมเข้าไปกอดซึ่งผมก็ซุกเข้าหาอกแกร่งเหมือนกัน
“ไม่เห็นต้องกอดกูแน่นขนาดนี้ก็ได้เจเรมี่ รู้แล้วน่ะว่าคิดถึง” เขาลูบหัวทุยๆของคนในอ้อมแขนได้ยินเจเรมี่กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ เพราะเจมเอาหน้าซุกที่อก ออสตินเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร
“พูดอะไรกูไม่ได้ยิน” ออสตินจับผมให้นั่งตักหันหน้าไปหาร่างสูงพร้อมกับส่งสายตาตั้งคำถาม
“อย่าทิ้งกูไปอีกนะ”
พูดเอง อายเอง ใจเต้ยเอง เจเรมี่เอ๊ยเจเรมี่
“หึๆ ชอบมึงตอนคิดถึงกูแบบนี้จัง หายตัวไปเล่นๆสักสองสามวันดีป่ะ” ร่างสูงเอ่ยยั่วได้รับคำตอบเป็นการตีแขนดังเพี๊ยะพร้อมกับใบหน้างอง่ำ
“ออสติน!!”
“ครับๆ...สัญญาว่าจะไม่หายไปไหน กว่ากูจะตามหามึงเจอมันใช่ง่ายๆซะเมื่อไหร่ล่ะ” ออสตินรับคำ หันมาพึมพำกับตัวเองในช่วงหลังๆ ทว่าผมกลับได้ยินเต็มสองหู
แม่งต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ ทุกคนพูดแนวเดียวกันหมดเลย
คิดในใจก่อนนึกได้ว่าต้องโทร.หาองศาบอกว่าออสตินฟื้นเรียบร้อยแล้วไม่งั้นเพื่อนพี่ชายมันได้มาถล่มโรงพยาบาลเล่นกันพอดีเห็นวิกเตอร์บ่นบ่อยๆว่าถ้าออสตินไม่ฟื้นภายในอาทิตย์นึงจะไปหาเรื่องผู้อำนวยการข้อหารักษาคนไข้ไม่มีประสิทธภาพ
“ว่าไง” สัญญาณรอสายดังขึ้นไม่กี่ทีไอ้ศาก็รับสายด้วยเสียงมึนๆ เหนื่อยๆ ให้เดาไอ้คนต้นเหตุมันก็ไม่ใช่ใครนอกจากพี่เพทายนั่นแหละ
“ออสตินฟื้นแล้วนะมึง!” ผมบอกมันส่วนคนที่ได้ยินชื่อตัวเองขมวดคิ้วเล็กน้อย เอาหูมาแนบโทรศัพท์อีกด้านทำให้ตอนนี้
ใบหน้าของสองคนห่างกันแค่คืบ
“เฮ้ย จริงดิวะ ไอ้ทาย พี่หนาวไอ้เจมบอกว่าพี่ตินฟื้นแล้ว เออๆ รู้แล้วน่า...” องศาบอกปัดใครสักคนในสาย หายไปคุยกับลมหนาวเรื่องของออสตินสักพักก่อนได้ข้อสรุปว่า
“เดี๋ยวกูไปหาพรุ่งนี้นะ พี่หนาวบอกว่ามีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยที่คลับไม่มีคนดูแล...”
“โอเค เจอกันพรุ่งนี้ ฝันดีเว้ยมึง” ผมกดวางสายกะจะหันหน้าไปคุยกับออสตินสักหน่อย ลืมว่ามันแอบฟังผมกับศาคุยกัน ปลายจมูกเลยเฉียดแก้มมันไป ไม่รู้ทำไมผมกลับใจเต้นแปลกๆขึ้นมาซะได้
'โธ่เว้ย ยังไงก็ไม่ชินอยู่ดี' ร่างเล็กนั่งคิดถึงอาการใจเต้นตึกตักๆ ของตัวเองจนไม่เห็นสายตาของอีกคนที่กำลังยื่นหน้าเข้าใกล้ ไม่เจอหลายวันแถมยังโดนพวกไวท์อายส์ตลบหลังลักพาตัวไปเป็นกระสอบทรายให้ซ้อมเล่นมานอนเป็นเจ้าชายนิทราไปสองสามวันอีก ไม่ต้องมีใครบอกออสตินรู้ดีว่าตัวเองคิดถึงเจเรมี่มากแค่ไหน
“อ๊ะ” เสียงเล็กอุทานเมื่อโดนคนป่วยจุ้บที่หน้าผาก ผมเด้งตัวออกจากตักออสตินพร้อมกับยกมือขึ้นกุมบริเวณที่โดนจูบไว้ทันที
“จะ จะทำอะไรอ่ะ” พูดตะกุกตะกัก
“ทำเหมือนไม่เคยโดนกูจูบ สะดุ้งเป็นสาวน้อยเลยนะมึง”
“ใครสาววะไอ้บ้า!” ผมหน้าแดงกำ่ ก็รู้ว่าเคยโดนมันทำมากกว่าจูบมาแล้วแต่มัวคิดอะไรเพลินๆอยู่เลยไม่ทันได้ตั้งตัวนี่
“งั้นมึงจะบอกกูว่ามึงแมน?”
“ก็เออดิ!!” ผมตอบรับทันควัน ตื่นมาไม่เท่าไรก็กวนประสาททันที รู้งี้ปล่อยไว้คนเดียวให้ตื่นมาไม่เจอใครก็ดี ผมคิดในใจไม่ได้รู้เลยตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ออสตินที่เห็นผมยืนยันว่าตัวเองแมนแต่ทำท่าทางงอนๆ ก็ต้องยิ้มขำในใจ
'ตัวก็เล็ก เอวบาง ปากแดง หน้าหวานเหมือนผู้หญิงพอเวลางอนหรือไม่พอใจยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ แบบนี้หรอคือคำจำกัดความคำว่าแมนของเจเรมี่'
“ไม่ต้องนินทากูในใจเลยนะ” เอ่ยดักคอ
“รู้ได้ไงวะ” คนเผลอนินทาอีกคนในใจตบที่ว่างข้างเตียงบอกให้เดินมานั่งข้างๆ ส่งสายตาพราวระยับทำให้ผมไม่อยากเข้าใกล้เท่าไรเพราะรู้ว่าสายตาแบบนั้นของออสตินมันสื่อถึงอะไร
“หน้ามึงมันฟ้อง” ผมอ้อมแอ้มตอบยอมนั่งลงที่ออสตินอยากให้นั่งโดยดี ไม่อยากขัดใจร่างสูงเพราะเห็นว่าเขาต้องทนเจ็บแผลฟกช้ำพวกนั้นมากแค่ไหนตอนยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“แล้วตอนนี้...หน้ากูมันบอกมึงว่าอะไร”
ตุบ
ออสตินกดไหล่ผมให้นอนราบลงไปกับเตียงก่อนที่เขาจะล้มตัวลงมานอนข้างๆ จับมือผมไว้แน่น จ้องเข้ามาในตาแล้วถามออกมา
“บอกว่า...”
“ว่า?”
เหมือนมีแรงดึงดูดให้ผมกับเขายื่นหน้าเข้าหากัน ผมมองดวงตาคู่นั้นที่สื่อคำคำนึงออกมาได้อย่างชัดเจน เป็นคำเดียวกับที่ออสตินกระชิบให้ฟังเมื่อครั้งที่มีอะไรกันหลังจากกลับจากสวนสนุก
“รั...อื้ออ” ผมยังพูดไม่จบคนตรงหน้าก็ประกบปากจูบกลืนคำคำนั้นให้หายลงไปในลำคอ มือหนารั้งท้ายทอยเล็กให้ขยับมาหาตัวเองมากยิ่งขึ้น ผมเผลออ้าปากออกเพราะมือหนาที่กำลังสอดเข้ามาในเสื้อเปิดโอกาสให้ลิ้นร้อนเข้ามาสำรวจในโพรงปากหวานทันที
“มะ ไม่เอานะ อื้อออ” ร้องห้ามทว่าไม่เป็นผลเมื่อตอนนี้เครื่องของออสตินกำลังติดหลังจากโดนพักไปหลายวัน ผมดิ้นขลุกขลิกทำให้ร่างหนาต้องขึ้นมาคร่อมล็อคตัวเอาไว้ไม่ให้ดิ้นต่อ
“อย่าครับ กูขอร้องนะออสติน” เสียงหวานสั่นเครือเมื่อเขายอมปล่อยให้ปากเล็กเป็นอิสระแล้วเริ่มซุกไซร้ซอกคอขาวแทน ทว่าคนถูกขอร้องกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมเลยอดสั่นขึ้นมานิดๆไม่ได้
“หยุด...ก็ได้” ออสตินหยุดการกระทำของตัวเองเมื่อร่างของเจเรมี่สั่นสะเทิ้ม เขามองใบหน้าเนียนที่แดงก่ำเพราะสัมผัสของตัวเอง จูบหนักๆอีกครั้งอย่างหมั่นเขี้ยว
“เห็นว่ากูไม่ค่อยมีแรงหรอกนะครับที่รัก ไม่งั้นอย่าหวังว่ามึงจะรอด หึๆ”
กูล่ะเกลียดเสียงหัวเราะของมึงจริงๆ!
“มานอนนี่มา” ออสตินออกคำสั่ง ผมปีนขึ้นไปหนุนแขนตามที่เขาต้องการอย่างว่าง่าย ขืนลองขัดใจสิถึงจะร้องไห้อ้อนวอนมันแค่ไหนแต่ผมคิดว่ามันคงไม่หยุดให้ผมเหมือนเมื่อกี้แน่ๆ
“กูถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” หลังจากเงียบไปสองสามนาทีในที่สุดผมก็เอ่ยปากถึงความสงสัยที่เก็บมานานตั้งแต่พบกัน
“อยากรู้อะไรล่ะ” ร่างสูงพลิกตัวมานอนก่ายพร้อมกับมองหน้าคนขี้สงสัยไปด้วย ดีนะที่วิคเตอร์จองห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีไว้ให้เตียงมันเลยใหญ่หน่อยไม่งั้นไม่เขาก็เจมนี่แหละได้กลิ้งตกหัวกระแทกพื้นแหงๆ
“มึงเจอกูครั้งแรกตอนไหน?”
เป็นคำถามที่คนฟังต้องเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคู่โตมองมาด้วยอยากรู้เต็มพิกัด ออสตินถอนหายใจออกมาตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องราวของตัวเองทั้งหมดให้เจเรมี่ฟัง
“กูเจอมึงครั้งแรกตอนกูเรียนอยู่ไฮสกูลที่อเมริกา...ตอนนั้นกูเพิ่งไปมีเรื่องกับคนในชั้นมา พวกไอ้วิกเตอร์ไม่อยู่กูเลยโดนซ้อมซะอ่วมเพราะมันแม่งยกพวกมารุมกระทืบกู” ผมอ้าปากหวอ เจอที่อเมริกา? ออสตินไม่ใช่คนไทยหรอวะ??
“กูรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหวเลยหนีพวกมันมา หาที่หลบตรงใต้สะพานแล้วกู...ก็เจอกับใครบางคนที่นั่น” ออสตินขยับรอยยิ้มบางๆพลางนึกหวนไปในคืนหิมะตกคืนนั้นที่ได้เทวดาตัวน้อยช่วยเอาไว้ “กูโดนซ้อมมาหนักมากแรงแทบจะยืนยังไม่ไหวแต่ก็กัดฟันหนีพวกมันมาหลบจนได้ อากาศเย็นลงเรื่อยๆ กูคิดว่ากูจะหนาวตายซะแล้ว...แต่อยู่ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งมายืนที่หน้ากู”
“เด็กคนนั้นถามกูว่าเป็นอะไรรึเปล่าก่อนจะถอดผ้าพันคอมาให้คนแปลกหน้าแบบกู...ทั้งๆที่ตัวเองก็หนาวมากแท้ๆ” แก้มกับจมูกแดงๆของเด็กชายยังติดอยู่ในความทรงจำ ถอดมาให้ทั้งที่รู้ว่าตัวเองต้องหนาวอาจเลวร้ายจนถึงขั้นไม่สบาย แต่เด็กชายก็ทำเพียงส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เท่านั้น
“แถมยังบอกว่าจะเอาพาสเตอร์มาทำแผลให้กูอีก นึกๆไปก็ขำดี เด็กอะไรแก่แดดชะมัด”
ผมนอนซุกอ้อมกอดของออสตินเงียบๆ
“แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ไม่ได้กลับมา...แต่เขาก็ทำให้กูผ่านคืนนั้นมาได้ด้วยผ้าพันคอเพียงผืนเดียว หลังจากหายดีกูก็ตามหาเด็กคนนั้นกะจะเอาผ้าพันคอไปคืนแต่ไม่ว่าเท่าไรก็หาไม่พบจนไอ้เจย์สืบได้ความมาว่าเขาเดินทางกลับประเทศไทยไปแล้ว” ออสตินเป็นคนไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร เขาถึงสั่งให้เจย์ไปสืบเรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยมาแต่ก็คว้าน้ำเหลว ยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าขอบคุณ เทวดาน้อยๆก็ไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่งซะแล้ว ยังดีหน่อยที่อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็อยู่ที่ประเทศบ้านเกิดของเขา "หลังจากเรียนจบพ่อกับแม่กูก็อยากให้กูกลับมาทำงานที่ไทย กูเลยกลับมาตามคำขอของท่านแล้วก็ไม่ลืมที่จะตามหาเด็กคนนั้นต่อด้วย”
เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ออสตินไม่สามารถลืมเรื่องในวันนั้นไปได้ คงเพราะจะไม่มีออสตินในวันนี้หากไม่ได้ผ้าพันคออุ่นๆของเด็กน้อยในคืนนั้น
“เด็กคนนั้นช่วยชีวิตมึงเอาไว้อย่างนั้นใช่มั้ย?” ผมพอเดาความรู้สึกของออสตินในเวลานี้ได้ แต่เรื่องทั้งหมดที่ออสตินเล่ามามันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?
“อื้ม แบบนั้นแหละ ต่อนะ หลังจากตามหาหลายปีในที่สุดไอ้เจย์มันก็ค้นพบเบาะแสเป็นข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์” มาถึงตรงนี้ตัวผมก็ชาวูบ “รถเสียหลักตกลงไปในน้ำโชคดีที่ทั้งคนขับและคนนั่งไม่เป็นอะไร แต่ลูกของพวกเขาเกือบจมน้ำตายแต่ก็สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทันแต่กลับสูญเสียความทรงจำบางช่วงเพราะความกลัวขึ้นสมอง”
“หลังจากกูได้ข่าวก็กะจะไปเยี่ยมเด็กคนนั้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเขาจะจำกูได้รึเปล่า ถ้ากูเดินเข้าไปหาแล้วเขาปฏิเสธกู กูจะทำยังไง กูกลัวเลยได้แต่เฝ้ามองอยู่เฉยๆ” ออสตินเล่าเสียงนิ่ง ขณะเดียวกันก็มองปฏิกิริยาของคนในอ้อมกอดไปด้วย "กูรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเด็กคนนั้น เฝ้ามองการเติบโตของเขาห่างๆ กูไม่รู้ว่ากูทำแบบนั้นทำไมคิดว่ากูห่วงเด็กคนนั้นเหมือนน้องชายแต่...หลังจากที่เขาโดนคนอื่นทำร้าย ทำให้เสียใจเจ็บเจียนตายมากูถึงรู้ว่ากูอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...”
เมื่อทราบข่าวจากไอ้เจย์ว่าเทวดาของเขา คนที่เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาโดนคนรักบอกเลิกแล้วทิ้งไปคบคนใหม่ทำให้ออสตินรีบไปหาเด็กคนนั้นทันที ภาพที่เขาเห็นก็คือร่างเล็กที่กอดตัวเองแน่น ร้องไห้โฮออกมาเสียงดังราวกับหัวใจแตกสลายไม่มีชิ้นดี เสมือนมีมีดแหลมๆมากรีดลงที่หน้าอกด้านซ้ายของออสตินช้าๆ ยิ่งเห็นร่างเล็กร้องไห้ออกมาเท่าไร่ หัวใจของเขาก็ร้องออกมาไม่ต่างกัน
เขาสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่อยู่เฉยอีกต่อไปแล้ว ถึงจะโดนปฏิเสธหรืออะไรก็ช่าง เพราะสิ่งสำคัญคือเขาอยากเห็นเด็กคนนั้นมีความสุข อยากให้ยิ้มให้เขาเหมือนวันหิมะตกวันนั้น
นั่นคือทั้งหมดว่าทำไมออสตินจึงรักเจเรมี่แบบไม่มีเหตุผลใดๆ
รักไร้เหตุผล...ที่เจ้าตัวต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจ
“หรือว่าเด็กคนนั้น...” ผมเอ่ยขึ้นดวงตาสั่นระริก
“เด็กคนนั้นก็คือมึง เจเรมี่”
-------------------------------------
ขอโทษที่มาอัพให้ช้านะคะ การบ้านเยอะมากเลยแถมช่วงนี้ซีสเองก็ยุ่งๆเพราะใกล้สอบแล้วด้วย
เรื่องของพี่ตินกับน้องเจมมี่ก็เป็นประการฉะนี้ ไม่แปลกถ้าเพื่อนของพี่ตินจะรู้เรื่องกันหมด ลองจินตนาการตอนพี่แกสั่งให้เจย์ตามหาเจมมี่สิคะ รูปก็ไม่มี มีแค่รูปพรรณตามคำบอกของออสตินกับชื่อเท่านั้น
มาถึงตอนนี้ก็ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามเรื่องราวของพี่ตินกับน้องเจมมี่(ที่กำลังจะจบลงใกล้ๆนี้แล้ว)นะคะ
อ๊ะ แต่ว่ายังมีเรื่องราวของใครอีกหลายคนที่กำลังจะดำเนินมาให้นักอ่านรับฟังรับชมรับอ่าน(?)กันนะ ^_____^
อย่างที่บอกไปหน้าบทความว่าเรื่องพอยชั่นนี้เป็น yaoi series ค่ะ จะมีเรื่องของใครบ้างนั้นนักเขียนขออุ้บไว้นะแต่แอบเห็นนักอ่านหลายๆคนเดาถูกไปคู่หนึ่งแล้วจากคอมเม้น >//<
เจอคำผิดที่ไหนทักได้ตลอดค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกวิว ทุกการติดตาม และ เหนือสิ่งอื่นใดขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ :D
เทคแคร์นะคะ~
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่เจเรมี่ที่จำไม่ได้อาจจะบอกว่าไร้เหตุผลก็ด้ายยยยย
คือจิกเม้าส์กระจุย 55555
เทวดาน้อยยยย
ฟื้นแล้วววว
ฟินเวอร์อ่ะ
มาต่อนะคะ