ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อบุตรสาวผู้โง่เขลาหวนคืน (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #3 : บางสิ่งที่เพิ่มเข้ามา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      78
      12 ก.ค. 67

    คนร้อนใจ เร่งเดินอ้อมเรือนไปหยิบตะกร้าสานสะพานขึ้นไหล่ ก้าวพ้นเขตรั้วไม้ได้ก็จ้ำอ้าวไปทางทิศใต้เพียงลำพัง 

    หมู่บ้านหลงเซิ้งที่บิดาเลือกมาตั้งรกรากทำมาหากิน อยู่ห่างจากกำแพงเมืองหลวงไม่มาก เพียงก้าวขาออกจากเรือนก็มองเห็นกำแพงสูงตระหง่าน ใช้เวลาเดินเท้าเพียงครึ่งชั่วยามก็เข้าสู่ความเจริญ

    หากยึดเอาเมืองหลวงแคว้นจิ้งเป็นศูนย์กลาง เดินเท้าขึ้นไปทางใต้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม จะถึงเทือกเขาสลับซับซ้อนทอดยาวติดกัน มีเส้นทางลัดเลาะตัดผ่านไปตามเชิงเขา ให้ผู้คนใช้สัญจรไปมาระหว่างอำเภอ รอบทิวเขาทั่วทุกสารทิศจะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านน้อยใหญ่ ด้วยเป็นพื้นที่ป่ากว้างขวางยากจะประมาณได้ หมู่บ้านที่กระจัดกระจายเหล่านั้น จึงอยู่กันคนละเขตการปกครอง แบ่งออกเป็นอีกหลายอำเภอ 

    ส่วนสามทิศที่เหลือเป็นที่ราบเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านเข้าไปจับจองทำการเกษตรจนเต็มพื้นที่ หากเดินทางด้วยม้า จะใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งวัน จึงจะได้เห็นเนินเขาเล็ก ๆ สักลูก 

    ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่า คนที่อาศัยอยู่นอกกำแพงเมืองส่วนมาก นอกจากทำนาปลูกผักแล้วยังยึดอาชีพล่าสัตว์หาของป่าเลี้ยงชีพอีกทาง มิได้รอความหวังฝากโชคชะตาไว้กับฟ้าฝนเพียงอย่างเดียว 

    เช่นนั้นบ้านไหนมีบุรุษเอาการเอางาน ความเป็นอยู่ไม่แย่แน่นอน แต่มีไม่น้อยที่สตรีต้องหาเลี้ยงปากท้องรวมถึงคนในครอบครัว ส่วนสาเหตุเป็นเพราะหย่าร้างส่วนหนึ่ง ที่เหลือล้วนถูกความตายพรากคนที่รักจากไป  

    เช่นเดียวกันกับครอบครัวนาง ที่สูญเสียเสาหลักไปเมื่อหลายปีก่อน 

    หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามกรอบหน้า แหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้ปุยเมฆบดบัง เห็นชัดว่าดวงสุริยันต์ยังคงเอนเอียงอยู่ฝั่งทิศบูรพา ทว่าอากาศกลับร้อนอบอ้าวจนแผ่นหลังเปียกชุ่ม เดิมที...คิดจะเดินต่อไปจนพ้นทางโค้งข้างหน้าจึงจะเลี้ยวเข้าป่า 

    แต่ด้วยความรีบร้อน จึงลืมเตรียมน้ำกินติดมาด้วย จำได้ว่าลึกเข้าไปในป่าบริเวณที่หยุดยืน มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติไหลผ่านอยู่สายหนึ่ง เมื่อรู้สึกกระหายน้ำ ทั้งยังไม่มีอาหารตกถึงท้องนับแต่ย้อนกลับมา ทันใดนั้นความทรมานก่อนสิ้นลมก็ผุดวาบขึ้นมาตอกย้ำ ส่งผลให้คนรักตัวเองย้ำเท้าเข้าป่าโดยไม่ลังเลอีก

    เหลียงเค่ออิงหยิบกระบอกทำจากไม้ไผ่มากรอกน้ำ หลังดื่มน้ำดับกระหายจนเต็มท้อง ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินต่อไป เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในการเข้าป่าครานี้ ย่อมต้องเป็นโสมขาวสามต้น ที่เคยตกเป็นของนางในครั้งก่อน 

    ระหว่างย่ำเท้าก้าวเดิน สตรีผู้มุ่งมั่นพบเห็นเห็ดดอกงาม ๆ ผุดจากดินมากมาย คนรีบเร่งเพียงจดจำลักษณะต้นไม้เด่น ๆ เอาไว้ ตั้งใจจะย้อนกลับมาเก็บตอนกลับออกมา  

    เดินวนเวียนทั่วป่าจนถึงเวลาเที่ยงวัน เหลียงเค่ออิงจึงหยุดพักเหนื่อยใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ฝรั่งป่าลูกเล็กที่เด็ดระหว่างทางถูกกัดกินช้า ๆ สายตาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว กวาดสำรวจดูว่าควรเดินไปทางไหนดี

    ขึ้นชื่อว่าป่า ไม่ว่าจะมองทางใดล้วนไม่เห็นความแตกต่าง ต่อให้เป็นคนที่ชำนาญเส้นทาง ก็ยังพลัดหลงให้ได้ยินข่าวลืออยู่เนือง ๆ

    ถึงจะจำได้ว่าสมุนไพรเหล่านั้น เกิดในบริเวณที่มีต้นไม้ล้มพาดทับกันระเกะระกะบดบังสายตา แต่ทุกแห่งหนที่ย่างก้าวผ่านมา ก็พบเห็นต้นไม้ล้มระเนระนาดเป็นระยะ แต่เมื่อปรี่เข้าไปดูก็ต้องผิดหวังทุกทีไป

    ดังนั้นการที่จะหาจุดเล็ก ๆ ในผืนป่าแสนกว้างใหญ่นั้น มันมิใช่เรื่องง่ายเลย

    แต่ในที่สุดความพยายามก็สำฤทธิ์ผล เหลียงเค่ออิงทรุดกายนั่งกับพื้น จ้องมองต้นพืชล้ำค่าแววตาเปล่งประกาย พลันรู้สึกใจชื่นขึ้นเมื่อโชคดียังอยู่ข้างตน ไม่รอช้า...คนอยู่ในห้วงอารมณ์สุขใจลงมือขุดโสมขาวสามตันขึ้นจากดิน บรรจงวางลงในตะกร้าอย่างทะนุถนอม 

    หารู้ไม่ว่าโสมมีราคา ถูกคนผู้หนึ่งหมายตาเช่นกัน  

    ครั้นสมดั่งใจหมาย เหลียงเค่ออิงเดินออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าเบิกบาน พอมาถึงจุดที่เห็ดกินได้ผุดขึ้นกลาดเกลื่อน จึงเลือกเก็บเอาไปแค่พอทำกิน เสร็จแล้วเร่งฝีเท้าออกจากป่าลึกจนมาถึงแหล่งน้ำใสสะอาดที่เดิม นางย่ำเท้าผ่านสายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ไปยืนบนหินก้อนหนึ่ง นำเห็ดที่เก็บมาล้างทำความสะอาดที่ละดอก

    ฝ่ายคนที่ตามหลังมาเริ่มเบื่อหน่ายกับการรอ ตัดสินใจก้าวออกจากที่ซ่อน เดินเข้าไปหาสตรีผู้ครอบครองโสมล้ำค่า

    "แม่นาง!" 

    เสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ส่งผลให้คนไม่ระวังตัวสะดุ้งโหยง เสียหลักผลัดตกจากหินที่เหยียบยืน หัวเข่ากระแทกกับขอบหินเจ็บจนชา ยังดีที่มีสัญชาตญาณเป็นเลิศ ใช้ฝ่ามือยันพื้นไว้ก่อนที่ใบหน้าจะกระแทกเข้ากับหินน้อยใหญ่ใต้น้ำ

    พอพ้นจากการได้แผลบนใบหน้าอย่างเฉียดฉิว คนขวัญเสียจึงหันขวับไปมองต้นเสียงทันใด พอเห็นว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง สตรีผู้อยู่ในท่วงท่าน่าละอายก็รีบยันกายลุกขึ้นยืน  

    ความเจ็บร้าวที่เข่าทั้งสองข้าง ไม่สร้างปัญหาในยามเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

    "เมื่อครู่...เรียกข้าหรือ" 

    เหวินหยุนซีไม่พูดพล่าม "ข้าต้องการซื้อโสมในตะกร้าเจ้า จะเรียกราคาเท่าไรก็ว่ามา ข้ายอมจ่าย" 

    เหลียงเค่ออิงสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่มเข้ามาโดยไม่มีเค้าลาง เกิดคำถามซ้ำ ๆ ว่าชายผู้นี้มาโผล่ตรงหน้านางได้อย่างไร การที่พบเจอคนแปลกหน้าระหว่างทาง ทำให้คนที่พึ่งย้อนกลับมาได้คิด เป็นไปได้ว่าเรื่องราวเดิม ๆ อาจหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว ซึ่งนับว่าเป็นเศษเสี้ยวที่ล้ำค่ามาก

    แต่คนที่เพิ่มเข้ามาอย่างกะทันหัน ซ้ำยังยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า นางจะรับมืออย่างไร

    "เจ้าไม่ขาย?" คนรีบร้อนย้ำถามอย่างไม่สบอารมณ์ " หรือที่ยืนนิ่งเป็นเพราะต้องการโก่งราคา" 

    วาจาดูแคลนเรียกสติเลื่อนลอยให้คืนกลับ นางเที่ยวตระเวนขายของป่าไปตามแหล่งรับซื้อหลายแห่ง แต่ยังไม่เคยพบเจอผู้ใดพูดจาชวนหาเรื่องไม่เลือกหน้าเช่นนี้มาก่อน 

    ช่างเป็นบุรุษอารมณ์ร้อน เหมือนบรรดาคุณชายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีผิด เมื่อรู้สึกไม่ถูกชะตา ก็ย่อมไม่อยากทำการค้าด้วย

    "ข้ายังไม่คิดจะขายตอนนี้ ท่านไปหาซื้อที่อื่นเถอะ" ถึงจะไม่ชอบในความกระด้างของเขา นางก็ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามอุปนิสัยที่เป็นคนอ่อนน้อม

    คำปฏิเสธส่งผลให้ดวงตาบุรุษรูปร่างสูงสง่าหรี่ลงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะกวาดมองหญิงสาวชาวบ้านหน้าตาพอดูได้ขึ้นลงช้า ๆ

    จากที่ประเมินด้วยสายตา สตรีอวดดีตรงหน้าคงมีความเป็นอยู่ไม่สู้ดีนัก ที่เสี่ยงอันตรายเดินเข้ามาในป่าลึก คงมีเพียงเหตุผลเดียวคือหาผักและสมุนไพรไปแลกเงิน แล้วเหตุใดกัน ถึงกล้าบอกปัดลูกค้าผู้ร่ำรวยเช่นเขา 

    หากรู้ว่านางเป็นคนเจรจาความยากเช่นนี้ เขาช่วงชิงเอามาเป็นของตนตั้งแต่แรกเสียก็สิ้นเรื่อง แต่ในเมื่อพลาดโอกาสนั้นแล้ว จำต้องยอมรับผลการตัดสินใจของตัวเอง

    บุรุษผู้ไม่เคยรังแกคนด้อยกว่ากดโทสะเอาไว้ เตือนตัวเองว่าอย่าได้เผลอใช้สายตาเหี้ยมโหดข่มขู่นาง ยอมลดทิฐิเลือกใช้วิธีขอความเห็นใจโน้มน้าวเป็นหนที่สอง

    "ข้าจำเป็นต้องใช้โสมในตะกร้าเจ้า อย่างน้อยแบ่งขายให้ข้าสักต้นก็ยังดี" 

    เอ่ยกับเจ้าของ ทว่าสายตากลับจับจ้องไปที่ช่อดอกสีแดงสดของพืชสรรพคุณเลิศ ยิ่งเพ่งพิศ ก็ยิ่งเห็นว่าโสมขาวของนาง ตรงตามความต้องการไม่ผิดเพี้ยน 

    คำว่าจำเป็นต้องใช้ ไปกระตุ้นมโนสำนึกของเหลียงเค่ออิงเข้า ในขณะที่ถามไถ่อาการคนแปลกหน้า ใจนางเต็มไปด้วยความกังวลที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

    "ท่านไม่สบายหรือ"  

    ทั้งที่ประหลาดใจกับท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของหญิงสาวไม่น้อย แต่เจ้าของร่างสูงก็พยักหน้าน้อย ๆ ยอมรับว่านางเข้าใจถูกต้อง แววตาดำมืดจับจ้องอากัปกิริยาสตรีตรงหน้าไม่ละไปไหน

    เหลียงเค่ออิงก้มตัวลงไปเลือกเอาโสมต้นที่เล็กที่สุดขึ้นมา เดินเข้าหาคนซื้อก่อนจะส่งของในมือให้ 

    เหวินหยุนซีรับเอาไว้ ยังไม่ทันได้สอบถามถึงจำนวนเงินที่ต้องจ่าย มือของเขาก็ถูกหญิงสาวที่พึ่งพบหน้ารวบจับไว้แน่น

    เหลียงเค่ออิงจับเพราะต้องการทดสอบอาการ แต่คนถูกจับถึงกับเสียอาการชะงักงันไปชั่วอึดใจ ทว่ายังคงเก็บซ่อนสีหน้าได้ดี

    ทันใดนั้นรอบกายเหวินหยุนซีบังเกิดเสียงขยับเคลื่อนไหวแผ่วเบาจากทุกสารทิศ คล้ายมีบางอย่างจะพุ่งเข้าหาสตรีไม่รู้ความ จนชายหนุ่มต้องรีบส่งสัญญาณห้ามอย่างเร่งด่วน

    ส่วนคนที่รอดตายอย่างหวุดหวิด ยังคงไม่รู้เรื่องราวใด ไอร้อนที่พวยพุ่งจากฝ่ามือเขา ทำให้นางเผลอตัวไปชั่วขณะ ลืมนึกถึงความไม่เหมาะสมระหว่างหญิงชาย ใช้สองมือโอบประคองมือใหญ่อย่างห่วงใย

    "มือท่านร้อนมาก ป่วยหนักขนาดนี้เลยหรือ" 

    เหลียงเค่ออิงสิ้นสงสัยแล้วว่าเหตุใด ชายผู้นี้ต้องการสมุนไพรที่ตนเก็บมา 

    โสมขาวมีฤทธิ์เย็น ช่วยเสริมพลังหยินให้ร่างกาย ฝ่ามือเขาร้อนรุ่มราวกับไฟแผดเผาเช่นนี้ ทั่วกายคงมีพลังหยางมากเกินความจำเป็น จึงส่งผลให้พิษไข้รุนแรง

    "ก็หนักหนาอยู่ แต่คงไม่ถึงกับตาย" 

    ฝ่ายคนที่ถูกเข้าใจว่าป่วยหนักไม่ได้ชักมือกลับ เต็มใจตอบเท่าที่ตอบได้ ความจริงแล้วสาเหตุที่ร่างกายร้อนรุ่มราวกับคนมีไข้สูง มีสาเหตุมาจากตัวเขาเองที่เร่งฝึกปรืออย่างหนัก จนมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน การที่ฝีมือต่อสู้รุดหน้าข้ามขั้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ลมปราณทั่วร่างแปรปรวน คนที่ยังไม่คุ้นชินอย่างเขาจึงยังควบคุมมิได้

    ครั้นร่างกายขาดสมดุล หยางทำลายหยินจนรู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองร้อนกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก แต่กลับไม่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งความผิดปกตินี้คืออันตรายอย่างแท้จริง

    เพราะหากไม่เร่งปรับสภาพร่างกายให้คงเดิม ไม่ช้า...จะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนถึงแก่ชีวิตในที่สุด

    "ไม่ตายก็ดีแล้ว เช่นนั้นท่านรีบกลับเรือนไปเสียเถอะ กินน้ำบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้คอแห้ง อย่าลืมกินข้าวให้มาก ๆ ด้วย จะได้มีเรี่ยวแรงต่อสู้กับพิษไข้ ถ้าหนาวก็ห่มผ้าให้หนา ๆ " 

    ครั้นนึกถึงอาการที่ตนเคยเผชิญอย่างเดียวดาย เหลียงเค่ออิงถึงกับระงับความอาดูรไม่ไหว ขอบตาผ่าวร้อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่จำต้องกัดฟันข่มความสะเทือนใจเอาไว้ ค่อย ๆ ปล่อยมือร้อนให้เป็นอิสระ

    การกระทำอันนุ่มนวลทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบในใจ ทว่ายังไม่ละทิ้งความสงสัย เหตุใดคนไม่เคยพานพบกัน ถึงได้ดูห่วงใยในตัวเขามากมายเพียงนี้  

    ทุกวาจาที่ไหลผ่านหูเขาสัมผัสได้ว่ากลั่นออกมาจากจิตใจ มิใช่การเสแสร้งแกล้งสอพลออย่างสตรีอื่น 

    "โสมต้นนี้ข้าจะให้ราคาเจ้าหนึ่งร้อยตำลึง พอใจหรือไม่" ชายหนุ่มเสนอราคาให้เต็มที่ เพื่อตอบแทนน้ำใจสตรีแปลกหน้า 

    แม้ขุนเขาเรียงรายหลายลูกในแคว้นจิ้ง จะยังคงหลงเหลือความอุดมสมบูรณ์อยู่มากก็ตาม แต่โสมขาวนั้นกลับหาได้ไม่ง่ายเลย

    ที่นอนสงบอยู่ในคลังสมบัติและโรงหมอส่วนใหญ่ เป็นโสมตากแห้งที่เก็บเอาไว้นานกว่าหนึ่งปีขึ้นไปแล้ว แต่อาการที่เขาเป็นต้องใช้โสมที่ขุดขึ้นจากดินใหม่ ๆ และจำเป็นต้องหาให้ได้ก่อนเที่ยงคืน และนี้คือเหตุผลที่ต้องขึ้นเขาเข้าป่ามา

    "ท่านเก็บเงินไว้รักษาตัวเองเถอะ แล้วอย่าเที่ยวเสนอเงินให้ใครพร่ำเพรื่ออีก ยามอับจนก็ไม่พ้นเป็นตัวท่านเองที่ลำบาก อีกอย่าง...โสมขาวต้นนี้ ข้าก็เลือกต้นที่เล็กที่สุดให้ท่าน ถึงมันจะมีราคาสูง แต่ชีวิตคนสำคัญกว่ามาก"

    ทว่ายามนี้เหลียงเค่ออิงไม่อาจฉุดอารมณ์ตัวเอง ให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดแสนสาหัสได้ คนเคยตายมาแล้วหนหนึ่งย่อมไม่คำนึงถึงเงินทอง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×