คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ยังไม่หลุดพ้น
พี่เค่ออิง อย่าหาว่าข้าใจดำเลยนะ พี่รีบตาย ๆ ไปซะเถอะ ข้าไม่อยากเห็นสภาพน่าสมเพชของพี่อีกแล้ว"
ถ้อยคำแล้งน้ำใจของพี่ชายคนโต คำกล่าวโทษจากผู้ให้กำเนิด บวกกับความรังเกียจของน้องสาวคนเล็ก เปรียบไปแล้วก็เหมือนดั่งเหลียงเค่ออิงถูกสัตว์กินเนื้อที่เลี้ยงดูอย่างดี รุมฉีกกระชากร่างรวมถึงหัวใจจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีขอบเขตจำกัด แต่ถึงกระนั้นคนจิตใจบอบช้ำอย่างหนัก ก็ยังอยากรู้เหตุผลที่แท้จริง
"เหตุใดทุกคนทำกับข้าเช่นนี้"
เหลียงหลานหลิงหยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวไป ยกมือขึ้นปิดจมูกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ ที่ถูกรั้งให้ต้องทนสูดดมกลิ่นอาจมต่อ
"อย่าโทษพวกข้า! ใช่ว่าท่านแม่จะไม่ซื้อยามาให้พี่กิน แต่เป็นเพราะพี่เองต่างหากที่อ่อนแอเอง ในเมื่อรักษาไม่หาย เหตุใดต้องสิ้นเปลืองเงินไปกับคนใกล้ตายอย่างท่านด้วย พวกข้ายังต้องกินต้องใช้ทุกวัน จะให้กลับไปอดมื้อกินมื้อเช่นเดิม ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ พี่เคยทำเพื่อพวกเรามาตลอดมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ช่วยทำอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ตายไปแบบนี้ก็ดีแล้ว แล้วข้าจะถือว่าพี่ไม่เคยติดค้างข้า" กล่าวจบก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องตัวเอง
เหลียงเค่ออิงดวงตาแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เวลานี้ความรู้สึกนางว่างเปล่า การกระทำแสนอำมหิตของคนอันเป็นที่รัก ได้ปลดเปลื้องทุกพันธนาการ นางสิ้นอาลัยกับชีวิตแล้ว
ดวงตาพร่ามัวปิดลงช้า ๆ ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะขาดห้วง
"ชาติหน้า ขออย่าได้เกิดมาร่วมสายเลือดกับคนเหล่านี้อีก"
นี้คือสำนึกสุดท้ายของสตรี ที่ถูกคนอันเป็นที่รักรวมหัวกันทอดทิ้ง
"เค่ออิง...เค่ออิง...สายป่านนี้แล้ว เหตุใดยังไม่ลุกออกมาอีก"
เสียงทุบประตูดั่งสนั่นบวกกับน้ำเสียงอันคุ้นเคย ฉุดกระชากร่างที่นอนนิ่งสะดุ้งลุกพรวดขึ้นนั่ง สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ทั้งยังไอโขลก ๆ อยู่นาน
หลังจากปรับลมหายใจให้คงที่ มีสติพอจะระลึกได้ เหลียงเค่ออิงก็ยกมือขึ้นลูบคล้ำสำรวจร่างกายเป็นอย่างแรก ตัวนางมิได้ผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งยังอุ่นราวกับคนมีชีวิต หญิงสาวตาเบิกโพลงเฝ้าจับลมหายใจเข้าออก หัวใจที่ยังเต้นกระหน่ำอยู่ในอก เร่งให้นางทดสอบด้วยการกวาดสายตามองทุกสิ่งอย่างในห้อง
พบว่าเสื้อผ้าที่พับวางไว้บนโต๊ะไม้ยังเป็นชุดเก่า ๆ ที่มีแต่รอยปะชุน ผ้าห่มคลุมกายก็ยังคงเป็นผืนเดิม หลังคาเรือนยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ความเป็นอยู่ที่อัตคัดเช่นนี้ หรือว่า...
คนสับสนกระโจนลงจากเตียงผลักประตูโผล่พรวดออกไป เหลียงฉานเห็นบุตรสาวคนรองถลาออกมาอย่างรีบร้อน จึงแจกแจงหน้าที่
"รีบไปหุงข้าวก่อนไป อาหมิงกับหลิงเอ๋อร์ลุกออกมาจะได้กินร้อน ๆ "
คำสั่งมารดามิได้ไหลเข้าสู่หัวสมองเหลียงเค่ออิง หญิงสาวเร่งสอบถามในส่วนที่ตนยังค้างคาใจก่อน
"พี่ใหญ่ยังไม่เข้าเรียนที่สำนักศึกษาอีกหรือ!"
เหลียงฉานมองสีหน้าตื่นตะลึงของบุตรสาวอย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดถึงได้ถามถึงเรื่องที่เป็นไปได้ยากเช่นนั้น ทว่าหญิงม่ายกลับฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมา เหลียงเค่ออิงเป็นคนหัวอ่อน แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเชื่อฟังนางเสมอ เหลียงฉานคิดจะใช้วิธีการเดิม ๆ เคี่ยวเข็ญบุตรสาวหาเงินเข้าบ้านมากขึ้น
เพราะนางเองก็หวังให้บุตรชายคนเดียวได้เล่าเรียนสูงขึ้นไปอีก หากเหลียงหมิงเข้าเรียนตอนอายุสิบแปด อย่างช้า...คงอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดปีก็น่าจะสอบขุนนางได้ อนาคตต้องรุ่งโรจน์ไปได้ไกลแน่
มารดาผู้มีใจเอนเอียงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ปั้นสีหน้าเศร้าทว่าแววตากลับเจือแววคาดหวัง
"บ้านเราขัดสนเช่นนี้ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเล่าเรียนกัน หรือหากว่าเจ้าอยากช่วยส่งเสริมพี่ใหญ่ ก็คงต้องขยันให้มากกว่านี้ ถึงตอนนั้นเขาคงเข้าเรียนได้สมใจเจ้า"
ถ้อยคำชี้นำให้ทำตามจุดประสงค์ ไม่อาจล่อลวงคนสับสนในขณะนี้ได้ เหลียงเค่ออิงยังจมอยู่กับความสับสน ว่าสิ่งที่เห็นจริงหรือเท็จ เพื่อให้ตัวเองตื่นจากความฝันอันเลวร้าย นางบิดเนื้อตัวเองเต็มแรง ความเจ็บทำให้ดวงตาเหลียงเค่ออิงเบิกกว้างขึ้นสุดขีด
"ตอนนี้ข้าอายุสิบเจ็ดหรือยัง" ละล่ำละลักถามมารดาเสียงหลง
"อะไรกัน! นอนตื่นสายวันเดียวถึงกับสติเลอะเลือนเชียวหรือ"
"ท่านแม่ตอบข้าก่อน ว่าข้าอายุสิบเจ็ดหรือยัง"
"เจ้าเกิดปลายฤดูใบไม้ผลิ อีกสองเดือนข้างหน้าถึงจะครบสิบเจ็ดปีเต็ม"
คนฟังเรี่ยวแรงหดหายจนต้องทิ้งร่างอิงผนังเรือนเพื่อช่วยทรงตัว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านางย้อนกลับมาอยู่กับครอบครัวที่ไม่มีความจริงใจอีกครั้ง เนื่องจากตอนที่สิ้นลมได้ผ่านพ้นเดือนเกิดไปแล้ว
นางคงมีกรรมหนัก ขนาดตายไปแล้ว แดนปรโลกยังผลักไสให้ย้อนกลับมาชดใช้กรรมอีกรอบ
เหลียงฉานเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของบุตรสาวก็เกิดใจเสีย กลัวว่าเงินยี่สิบอีแป๊ะที่พึ่งได้มาเมื่อวาน จะต้องสูญไปกับค่าสมุนไพรรักษาอาการป่วยเหลียงเค่ออิง
"เค่ออิง...ไม่เป็นไรใช่ไหม"
คนถูกถามส่ายหน้า "ข้าสบายดี ท่านแม่ไม่ต้องตกอกตกใจไปหรอก" ตอบกลับเสียงเบา สายตาเหม่อลอย เนื่องจากยังเรียกสติคืนกลับมาได้ไม่สมบูรณ์
ผู้เป็นมารดาได้ฟังก็พ่นลมออกทางปากด้วยความโล่งอก
"แม่ก็นึกว่าเจ้ากำลังไม่สบาย เห็นหน้าซีดออกปานนั้น ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แม่จะบอกอะไรให้นะ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ตาม จะต้องระมัดระวังตัวให้มาก เพราะหากเจ้าล้มป่วยลงแม่คงกังวลใจไม่น้อย หากอยากให้แม่สบายใจก็จงดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจที่แม่พูดหรือไม่"
ผู้เป็นบุตรสาวมองหน้าบุพการีไม่กระพริบตา หากไม่เคยประสบกับจิตใจอันดำมืดด้วยตัวเองมาก่อน คำห่วงใยจากมารดาคงทำให้นางซาบซึ้งใจจนน้ำตาซึมได้ไม่ยาก ทว่ายามนี้ใจคนฟังกลับหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
เมื่อแยกแยะออกว่าอะไรคือความจริงใจ สิ่งใดคือแกล้งทำ ใจนางก็ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์อีก
"เจ้าค่ะ ข้ารับปากว่าต่อจากนี้จะดูแลตัวเองให้ดี จะรักตัวเองให้มาก ขอบคุณท่านแม่ที่คอยเตือนข้า"
"เข้าใจก็ดีแล้ว แม่จะเข้าไปดูหลิงเอ๋อร์ในห้อง เจ้าก็ไปทำกับข้าวได้แล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำไม่ใช่หรือ"
เหลียงฉานกล่าวพลางก้าวไปเปิดประตูห้องบุตรสาวคนเล็ก พอจบประโยคร่างนางก็หายลับไปพร้อมกับบานประตูที่ปิดสนิทลง
เหลียงเค่ออิงไม่สนใจเสียงพูดคุยที่ดังลอดออกมา นางเดินเข้าครัวราวกับคนไร้วิญาณ จนมายืนเหม่อมองกองขี้เถ้าหน้าเตาไฟ ในใจนึกทบทวนถึงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตก่อน ตั้งแต่จำความได้จนถึงช่วงเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดลอย
ถึงจะได้รับโอกาสได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครา ทว่าเหลียงเค่ออิงกลับขาดความเชื่อมั่น หวั่นใจลึก ๆ ว่าทุกอย่างนับจากนี้จะเปลี่ยนไปตามความรู้สึกนาง แต่ทุกคำตอบกำลังรอคอยนางอยู่เบื้องหน้า ความเป็นไปในอีกไม่กี่ชั่วยามต่อจากนี้ จะช่วยคลายปริศนาว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังมั่นใจได้ อย่างไรตนก็ย้อนกลับมาก่อนพบสมุนไพรล้ำค่าสามต้นนั้นแน่แท้ จบความคิด...คนมีความหวังพลันคลี่ยิ้มกับตัวเอง
สิ่งที่จะทำให้ทุกคนเห็นว่านางยังเป็นคนเดิม คงไม่พ้นต้องทำตัวเรียบง่ายยอมให้พวกเขากดขี่ แต่ไม่เป็นไร...ขอเพียงสมุนไพรสามต้นนั้นยังฝังรากอยู่ที่เดิม หนนี้เงินที่ได้มานางจะเก็บซ่อนให้มิดชิด สิ้นความคิดก็นั่งลงติดเตา ลงมือปรุงอาหารง่าย ๆ ขึ้นมาสองจาน เสร็จแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะตามปกติ
เหลียงหมิงได้ยินเสียงจานชามกระทบโต๊ะ จึงเปิดประตูห้องออกมาชะโงกดูอาหารเช้า ในขณะเดียวกันประตูห้องเหลียงหลานหลิง ก็เปิดกว้างออกมาพร้อมกัน
"เค่ออิง...เจ้าทำเป็นแต่น้ำแกงไข่กับผัดผักหรือไง เนื้อหมู เนื้อไก่ เหตุใดไม่รู้จักซื้อหามาทำกินบ้าง"
จบประโยคเหลียงหลานหลิงก็เดินนวยนาดมาดูกับข้าว แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับถ้อยคำพี่ชาย
คนถูกถามยังไม่ทันได้อ้าปากตอบ พลันมีเสียงมารดาเอ่ยสวนขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
"วันนี้เค่ออิงของเราจะหาของป่าไปขายอีก นางต้องซื้อไก่ตัวอ้วน ๆ มาแน่ แม่เองก็นึกถึงน้ำแกงไก่หอม ๆ เหมือนกัน เปลี่ยนไปกินเนื้อสักวันคงไม่ถึงกับหมดตัวหรอก จริงไหมเค่ออิง"
เหลียงฉานส่งยิ้มสื่อความนัยให้บุตรสาวคนขยัน ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่คนมองรู้ได้ทันทีว่าตนกำลังถูกบีบบังคับให้ทำตาม
"ผักในสวนก็พึ่งตัดไปเมื่อวาน ขึ้นเขาไปก็ไม่รู้จะเจอของที่พอจะขายได้หรือเปล่า ข้าไม่กล้ารับปากว่าเย็นนี้เราจะมีเนื้อกินกัน"
เหลียงฉานมิได้รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินถ้อยคำแบ่งรับแบ่งสู้ ขอเพียงนางยืนกรานว่าจะกิน ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดเหลียงเค่ออิงก็ขวนขวายหามาได้เสมอ
"แม่เชื่อว่าเจ้าทำได้ ถึงอย่างไรเย็นนี้เจ้าต้องซื้อไก่กลับมาแน่ แม่เชื่อในความสามารถของเจ้า มา ๆ อาหมิง มากินข้าวกันเถอะ หลิงเอ๋อร์มานั่งลงตรงนี้ ฝืนใจกินมื้อเช้ารองท้องไปก่อน มื้อเย็น...แม่รับรองว่าอาหารต้องถูกปากพวกเจ้าทั้งสองแน่"
ผลักภาระให้บุตรสาวคนรองเสร็จสิ้น ก็หันไปกล่าวเอาใจบุตรที่รักยิ่งทั้งสอง
"เช้านี้ข้าไม่รู้สึกหิว"
คนที่ไม่อาจฝืนใจนั่งร่วมโต๊ะได้เอ่ยขัดบรรยากาศชื่นมื่น ก่อนจะเดินออกไปให้พ้นภาพครอบครัวสุขสันต์ แต่เสียงเจราของคนทั้งสามกลับรั้งให้นางหยุดฟังตรงหน้าประตูทางออก
"ข้าว่าพี่เค่ออิงต้องเร่งขึ้นเขาแน่เลย เช่นนั้นข้าจองน่องไก่นะเจ้าคะ"
"ได้อย่างไร ข้าเป็นพี่ น่องไก่ต้องเป็นของข้าสิ"
"ท่านแม่! ท่านดูพี่ใหญ่สิ ท่านต้องตัดสินเรื่องนี้ ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะ"
"เอาล่ะ ๆ พวกเจ้าทั้งสองแบ่งกันคนละน่องก็แล้วกัน เช่นนั้นถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว" ผู้เป็นมารดาคลี่คลายข้อวิวาท หลุดเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูเบา ๆ
เสียงพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่ของคนทั้งสาม ทำให้คนฟังนิ่งค้าง เนื่องจากไม่คุ้นหูบทสนทนานี้มาก่อน
ความคิดเห็น