คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รู้ซึ้งถึงจิตใจ
เสียงสนทนาตอบโต้กันอย่างออกรส ระคนเสียงหัวเราะสนุกสนาน เปล่งประสาทดังลอดผ่านประตูไม้บานเก่าเข้ามาในห้องอันมืดมิด ฉุดรั้งม่านดวงตาขุ่นมัวให้ค่อย ๆ ขยับเปิดขึ้น
ใบหน้าซูบตอบเอียงไปตามเสียงแห่งความครึกครื้นช้า ๆ แม้ไม่อาจเห็นบรรยากาศภายนอกได้ด้วยตา ทว่าเหลียงเค่ออิงก็จินตนาการถึงสีหน้าทุกคนได้อย่างชัดเจน
พวกเขากำลังมีความสุข ในขณะที่นางเผชิญความทรมานจวนเจียนจะขาดใจ
นับแต่จำความได้ มารดาปลูกฝังให้นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณมาตลอด นางเชื่อฟังทุกคำสั่งสอนไม่เคยต่อต้าน เป็นบุตรีที่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบเสมอมา
ทุกคราที่เห็นมารดากลัดกลุ้มกับค่าใช้จ่ายจิปาถะ บุตรสาวเช่นนางจะร้อนใจจนไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ หากไม่ลงมือเก็บผักที่ปลูกรอบเรือน ก็จะเข้าป่าหาผักหาสมุนไพรนำไปขาย เงินที่ได้มาจากความอุตสาหะแม้เพียงน้อยนิด คนคำนึงถึงแต่ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่เคยคิดแบ่งเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
เหลียงเค่ออิงยกให้เป็นสิทธิ์ขาดมารดาทั้งหมด นางยอมอดเพื่อให้คนในเรือนได้อิ่มท้อง ไม่ว่าปัญหาใดนางเต็มใจแบกรับไว้แต่ผู้เดียว
จนถึงวันที่โชคเข้าข้างคนคิดดีทำดี เหลียงเค่ออิงบังเอิญพบสมุนไพรหายากกลางป่าถึงสามต้นด้วยกัน วันนั้นนางหาเงินเข้าบ้านได้สองร้อยแปดสิบตำลึง ซึ่งนับว่าเงินก้อนใหญ่ก้อนแรก ในชีวิตทุกคนเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่ามารดากล่าวชื่นชมในความกตัญญูของนางไม่หยุดปาก ทำให้นางตื้นตันใจอย่างที่สุดจึงตั้งปณิธานว่า ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวแรงกำลัง จะไม่ทอดทิ้งคนสกุลเหลียงให้ลำบาก ยินดีช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อทดแทนพระคุณผู้ให้กำเนิด
นับจากวันนั้น ความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัวดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ทว่าในความปรีดา กลับมีเหตุให้ผิดสังเกตอยู่หลายหน ในยามที่อยู่ต่อหน้าคนรู้จักคุ้นเคยกัน ความดีที่นางกระทำอย่างตั้งมั่น มักถูกพี่ชายหรือไม่ก็น้องสาวฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา คนทั้งสองเอ่ยอ้างได้อย่างไม่มีความละอายใจ เพราะมีมารดาช่วยส่งเสริม
คล้อยหลังคนเหล่านั้น ยามอยู่กันตามลำพังกับนาง บุพการีมักจะยกเหตุผลเดิม ๆ มาอ้าง จนนางจำได้ขึ้นใจ เหลียงเค่ออิงเป็นคนให้ความสำคัญกับผู้ให้กำเนิดยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง หากท่านว่าดี นางย่อมเห็นว่าถูกต้อง ไม่เคยนึกเคลือบแคลงหรือทักท้วงให้ต้องขุ่นเคืองใจ
"เจ้าก็รู้ว่าความกตัญญู เป็นเรื่องที่แคว้นจิ้งเราให้ความสำคัญที่สุด วันข้างหน้าอาหมิงต้องเข้าสอบคัดเลือกขุนนาง หากทุกคนเชื่อว่าพี่ชายเจ้าเป็นคนมีสามัญสำนึก รู้จักแบ่งเบาภาระในเรือน ก็จะมีแต่เสียงชื่นชม ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้เขาอีกทางหนึ่ง เพื่อความก้าวหน้าของสกุลเหลียง แม่จำเป็นต้องยกย่องอาหมิงแทนเจ้า เจ้าเองก็อย่าได้น้อยใจไปเลย คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเขา แม่รู้ว่าเงินพวกนี้ เป็นเจ้าที่หามาก็พอแล้ว"
"เค่ออิงคนดี...ดูน้องสาวเจ้าสิ ช่างเป็นสตรีที่มีใบหน้าหมดจดที่สุด เกิดในตระกูลต่ำต้อยแท้ๆ แต่ยังงดงามจับตากว่าใคร แม่คิดว่านางต้องได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่แน่ เช่นนั้น...เราจะให้นางตากแดดตากลมจนใบหน้าหมองคล้ำ มือเท้าหยาบกร้านมิได้ งานบ้านพวกนี้เจ้าก็ช่วยทำแทนไปก่อนนะ หากหลิงเอ๋อร์ได้ดีมีวาสนา เจ้าเองก็จะสบายไปด้วย"
บุรุษที่ใช้เงินนางเข้าเรียนในสำนักศึกษาคือเหลียงหมิงเป็นพี่ชายคนโต ส่วนสตรีที่มารดาวาดหวังว่าจะได้ครองคู่กับบุรุษผู้มั่งคั่ง คือเหลียงหลานหลิงน้องสาวคนเล็ก
ทั้ง ๆ ที่ประสบพบเจอกับความไม่เที่ยงธรรมอยู่หลายหน เห็นกับตาว่ามารดาให้ความสำคัญกับพี่น้องทั้งสอง มากกว่าบุตรสาวคนรองอย่างตน แต่คนที่ยึดมั่นในคำว่าครอบครัว เชื่อในความผูกพันของสายเลือด ไม่เคยจะนึกถึงเรื่องเสียเปรียบได้เปรียบ เก็บเอามาคิดเล็กคิดน้อยให้วุ่นวาย
ขอเพียงเห็นพวกเขามีรอยยิ้ม แม้ว่ามิใช่เรื่องน่ายินดีของตน ความปรีดาของทุกคนล้วนส่งผลต่อจิตใจนาง เป็นแรงผลักดันให้นางฝ่าฟันกับความเหนื่อยยาก
เพียงเห็นว่าพวกเขามีความสุข นางกลับมีความสุขยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
เมื่อนึกถึงความทุ่มเทมากมายที่เฝ้ากระทำด้วยใจ ริมฝีปากแตกระแหงพลันแย้มยิ้มบางเบา แต่ครานี้แววตาคนป่วย เต็มไปด้วยความเศร้าตรมระคนสังเวชตัวเอง
ตระหนักแล้วว่า...ทุกสิ่งที่บุพการีปฏิบัติต่อนาง มาจากความรู้สึกส่วนลึกที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งจิตใจ แท้จริงแล้ว...ท่านไม่เคยใยดีว่านางจะอยู่หรือตายด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นนางที่คิดเข้าข้างตัวเอง
หลงคิดไปว่าตนมีความสำคัญต่อทุกคนในเรือนนี้ เข้าใจเองว่าพวกเขาห่วงใยรักใคร่นาง เฉกเช่นเดียวดันกับนาง ที่กังวลในความเป็นอยู่พวกเขาทุกลมหายใจเข้าออก แต่เปล่าเลย...
เป็นเวลากว่าหกวันแล้วที่นางนอนซมเพราะพิษไข้ป่าเล่นงาน ความเฉยชาจากผู้ให้กำเนิดเป็นสิ่งแรกที่กระทบจิตใจอันเปราะบาง
ยามหมดประโยชน์คนดีที่ได้รับคำชมไม่ขาดปาก ก็ได้กลายเป็นตัวถ่วง สร้างแต่ความลำบากให้ทุกคนแทน สีหน้าเหนื่อยหน่าย แววตาไร้ซึ้งความอนาทร มารดาเผยให้นางเห็นทุกคราในยามที่ท่านยกข้าวต้มเปล่า ๆ เข้ามา
แทบไม่อยากเชื่อว่า จิตใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดา จะไร้ความเมตตาแม้กระทั่งบุตรที่ตัวเองอุ้มท้องมาเก้าเดือน ทุกครั้ง...สตรีที่นางเทิดทูลกว่าชีวิตจะวางชามข้าวเอาไว้ ปรายตามองนางราวกับสำรวจว่าใกล้หมดลมหายใจหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังไม่สิ้นลมก็เดินจากไปทันที ไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการกล่าวให้กำลังใจ ไม่ยื่นมือมาสัมผัสแตะต้องกายเหมือนที่ทำกับพี่ชายและน้องสาว
ที่น่าหดหู่กว่านั้น...อาหารที่มารดาเมตตามอบให้นางครั้งล่าสุด คือมื้อเช้าเมื่อวานนี้ วันนี้แม้แต่น้ำก็ยังไม่ตกถึงท้อง
เหลียงหลานหลิงน้องสาวที่นางเฝ้าถนอมราวกับไข่ในหิน ก็ตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่วันแรกที่มาช่วยผลัดเปลี่ยนชุดให้ ทั้งยังหลุดถ้อยคำบั่นทอนจิตใจ ทำร้ายความรู้สึกให้ได้ยินอยู่หลายประโยค
พอผ่านไปได้ราว ๆ สามสี่วัน เห็นว่าอาการนางไม่ดีขึ้น น้องสาวคนงามก็ไม่เหยียบเข้ามาในห้องนี้อีกเลย
ส่วนเหลียงหมิงผู้เป็นพี่ชายคนโตนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนเห็นแก่ได้ ทั้งยังเกียจคร้านหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ด้วยความที่เป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัว เพียงเขาเอ่ยปาก มารดาก็พร้อมจะรับฟังและทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
เมื่อนางล้มป่วยลง คนที่คำนึงถึงแต่ตัวเองเช่นเหลียงหมิง จึงใช้สิทธิ์การเป็นบุตรชายคนโต ยื่นคำขาดต่อหน้าทุกคนวันตั้งแต่วันแรก ๆ จะยอมให้ซื้อสมุนไพรมาต้มให้นางกินบรรเทาอาการเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่เขาใช้เป็นข้ออ้างที่จะเก็บเงินเอาไว้ นางได้ยินกับหูว่า จะสิ้นเปลืองไปกับคนใกล้ตายไปทำไม เก็บเงินค่ารักษาเอาไว้ซื้อของที่อยากได้จะไม่ดีกว่าหรือ
ทว่ายาต้มเพียงหม้อเดียว อย่างไรก็ไม่อาจมีฤทธิ์วิเศษทำให้อาการนางดีขึ้นมาได้ภายในไม่กี่ชั่วยาม
แต่ช่างน่าขันนัก...ที่ข้ออ้างอันไร้ศีลธรรม กลับได้รับความเห็นชอบจากทั้งมารดาและน้องสาว
เมื่อได้ข้อสรุปที่เป็นผลดีต่อพวกเขา ความเฉยชาก่อนหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต คนทั้งสามปล่อยให้นางเผชิญกับความทรมาน ทิ้งให้นอนรอความตายอย่างไร้ความปราณี
เมื่อไม่ได้รับยารักษาอาการ ทั้งยังขาดคนดูแลเอาใจใส่ กระทั่งข้าวน้ำก็ไม่มีตกถึงท้อง เช่นนั้นทุกชั่วยามที่ผ่านพ้นไปร่างกายจึงมีแต่แย่ลง
ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงเข่า ก่อนหน้านั้นยังรู้ว่าหนาวเย็นไม่ต่างจากถูกน้ำแข็งห่อหุ้มทั้งสองข้าง ทว่ายามนี้กลับชาจนไร้ความรู้สึก ลำคอแห้งเป็นผง ดวงตาพร่าเลือน บางครามืดมิด ในบางขณะมองเห็นเพียงเลือนราง
คนใกล้จะสิ้นลมรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ยกมือขึ้นปัดสิ่งของใกล้มือให้ร่วงลง
เสียงของแตกกระจายดังออกมา ทำให้คนทั้งสามที่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยชะงักค้าง พลางส่งสายตามองกัน
"ท่านแม่ ท่านเข้าไปดูพี่เค่ออิงเองนะ ข้าไม่อยากเข้าไปเห็นสภาพน่าสะอิดสะเอียนอีก กลัวกินข้าวไม่ลง"
เหลียงหลานหลิงแสดงกิริยารังเกียจทั้งสีหน้าและท่าทาง ผู้เป็นมารดาเองก็ไม่ต่างกันนางวางชามข้าวลงกระแทกโต๊ะดังลั่น
"มันจะอะไรกันหนักหนา จะให้ข้ากินข้าวดี ๆ สักมื้อไม่ได้เลยหรือไง"
ส่งเสียงด่านำไป ก่อนจะลุกไปกระชากประตูห้องคนป่วยอย่างแรง ทันใดนั้นกลิ่นอับ กลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ที่ร่างการขับถ่ายออกมา ก็พวยพุ่งตีเข้าจมูกจนคนทั้งสองที่นั่งรอ จนทนไม่ไหวต้องลุกตามมาดู
ทั้งสามยืนบดบังแสงเทียน เพ่งมองร่างบนเตียงแววตาเฉยชาไม่ต่างจากมองต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉา
"ท่านแม่ ข้า...ข้าหิวน้ำ ขอน้ำให้ข้ากินหน่อย"
น้ำเสียงแหบแห้ง มิได้ทำให้คนสายเลือดเดียวเกิดความเวทนาได้ ทุกคนพร้อมใจกันเอามือปิดจมูกแล้วเดินถอยออกมาสามก้าว
"กลิ่นเหม็นเน่าราวกับตายมาได้สามวันเช่นนี้ ใครจะกล้าเอาน้ำไปให้กิน พี่ใหญ่...ท่านเอาเข้าไปให้นางสิ"
เหลียงหลานหลิงโยนภาระให้พี่ชาย
"เจ้าจะบ้าหรือไง จะตายก็ตายไปสิ เหตุใดต้องให้ลำบากข้าด้วย"
เหลียงหมิงขึ้นเสียงใส่น้องสาวคนเล็ก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกไปนอกเรือน เสียงปิดประตูดังสนั่นกระทบใจผู้เป็นมารดา จนเกิดมีโทสะขึ้นมาเช่นกัน
"เค่ออิง เห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำให้พี่ใหญ่เขาหงุดหงิดอีกแล้ว กว่าเขาจะกลับเรือนมากินข้าวกับข้าแต่ละมื้อ ก็ต้องรออีกหลายวัน เจ้าไม่น่าทำให้เสียเรื่องเลย"
ต่อว่าคนป่วยก่อนจะรีบตามบุตรชายคนโตไป เหลือเพียงเหลียงหลานหลิงที่ยังยืนเบ้หน้า มองพี่สาวอย่างขยะแขยง
ความคิดเห็น