ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gang Of Heaven - คณะเดินทางกู้พิภพ

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 6 : ราชสีห์ยักษ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 85
      6
      20 ก.พ. 64

    หลังจากที่กลุ่มของทองอินทร์เดินออกมาจากเหมืองใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้นพวกเขาก็พบกับปีศาจกลุ่มหนึ่งที่ตั้งโล่และอาวุธอื่นๆเพื่อล้อมกรอบพวกเขาไว้ ในตอนนั้นพวกเขาก็ชักอาวุธออกมาในทันทีเพื่อเตรียมปะมือกับพวกมัน

    “เจ้าพวกมนุษย์น่าโง่ ส่งแร่นั่นมาให้เรา แล้วเราจักไว้ชีวิตพวกเจ้า!!”

    “ฝันไปเถิด ถ้าพวกเจ้าใคร่อยากจะได้ ก็มาเอาไปสิ!!” ทองอินทร์พูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง

    “ตู้มๆๆๆๆ!!” จู่ๆก็มีเสียงระเบิดอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลัง ทำเอากลุ่มปีศาจถึงกับกระเด็นไปคนละทางและเสียขบวนรบ และในตอนนั้น กลุ่มของทองอินทร์ก็บุกเข้าไปตีฝ่าพวกมันในทันที

    “ฆ่ามัน!!”

    พวกของทองอินทร์จัดการพังแนวรับของพวกมันอย่างรวดเร็ว และทะลวงฝ่าพวกมันออกไป พวกมันบางส่วนถึงกับต้องรีบวิ่งออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นในทันที และในตอนนั้น หญิงสาวสองคนก็เดินมาจากด้านหลังแนวรับของพวกมัน จากนั้นก็เดินมาหาพวกของทองอินทร์ในทันทีเพื่อมาคุยกับพวกเขา

    “ระเบิดของเราใช้ได้ผล พวกท่านว่ามั้ย??”

    “เออ แม่หญิงทั้งสอง พวกท่านเป็นใครกันงั้นหรือ??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย

    “ข้าชื่อเทียนซื่ออ้าย ส่วนนี่คุณเชอร์รี่ พวกเราสองคนพยายามหาทางเอาตัวรอดจากพวกปีศาจหน่ะ” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “หือ เจ้าก็เป็นคนจีนเช่นนั้นหรือ?? นึกว่าจะไม่เจอเสียแล้ว??” ชิงเสียนถามไป

    “อ้อ นี่เจ้าเป็นแมนจูงั้นหรือ แต่ข้าไม่ถือหรอก” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “ข้าก็เป็นคนอังกฤษ ว่าแต่ พวกเจ้าทั้งสองมาทำอะไรที่เมืองนี้งั้นหรือ??” เทเรซ่าถามไป

    “พ่อข้าย้ายมาที่นี่นานแล้ว ตั้งแต่พวกปีศาจออกอาละวาด พวกข้าสองคนก็พยายามหาทางเอาตัวรอดหน่ะ ว่าแต่ ที่พวกมันมารุมล้อมเจ้า พวกมันต้องการอะไiงั้นหรือ??” เชอร์รี่ถามไป

    “พวกเรามาหาแร่เหล็กวิเศษหน่ะ พวกข้าไปเจอลายแทงในสุสานเก่าหน่ะ ตอนนั้นพวกมันกำลังขุดหาอยู่” นาราพูดขึ้น

    “ข้าคิดแล้วไม่มีผิด ตอนแรกพวกปีศาจมิได้บุกเข้ามาในเมืองนี้ พวกมันคงต้องเข้ามาหาอะไรซักอย่างแน่ๆ” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “แต่พวกเราไม่เกี่ยวนะ พวกเรามิได้หลอกล่อพวกมันออกมานี่!!” โชพูดขึ้น

    “พวกข้ามิโทษพวกท่านหรอก ดีแล้วหล่ะที่พวกท่านมาที่นี่” ซื่ออ้ายพูดขึ้น 

    “ตอนนี้พวกเราต้องรีบหาโรงตีเหล็กก่อน จะได้เอามาทำเป็นอาวุธได้” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “ใช่ แต่ว่าที่นี่ถูกทำลายหมดแล้ว คงต้องไปหาเอาข้างหน้าหล่ะ” คาวีพูดขึ้น

    “นี่ก็มืดมากแล้ว พวกเราน่าจะพักกันที่นี่ก่อน รุ่งเช้าค่อยว่ากัน” วารีพูดขึ้น

    “ก็นั่นสิ ข้าเองก็เพลียมากแล้วเช่นกัน อีกอย่างจะได้ดูอาการของเมรีด้วยว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า” ฉางหลงพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีม้าตัวหนึ่งซึ่งหลงมาจากไหนก็ไม่รู้ มันวิ่งมาทางพวกเขาด้วย

    “เฮ้ย ม้านี่ นึกว่าม้าจะถูกพวกมันจับไปกินหมดแล้วเสียอีก” อองโม่โยพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ออเรเลียก็เป่าปากเรียกม้าตัวนั้น ทำเอาม้าตัวนั้นถึงกับหยุด และเดินมาทางเธอในทันที จากนั้นเธอก็คอยลูบหัวม้าอย่างเอ็นดู

    “โห นี่เจ้าเรียกม้ามาได้ด้วยเหรอ เยี่ยมไปเลย??” อเล็กซถามอย่างสงสัย

    “ก็ข้าเป็นทหารม้าเก่านี่ ข้าพอจะรู้วิธีทำให้มันเชื่องด้วย แล้วม้าตัวนี้ก็ได้ลักษณะดี” ออเรเลียพูดขึ้นจากนั้นก็ลูบหัวมันต่อ

    “แต่ว่า เราต้องหาอานม้าให้มันด้วยหน่ะสิ ไม่อย่างงั้นจะขี่ได้ยังไงกันหล่ะ” เวียงพิงค์พูดขึ้น

    “ไม่แน่ ในคอกม้าอาจจะยังมีอานม้าอยู่ก็ได้” นรสิงห์พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงลุงคงที่วิ่งไล่ตามม้าตัวนั้นมา พร้อมกับอานม้าที่อยู่ในมือเขา ทำเอาทุกคนถึงบางอ้อในทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    “เฮ้อ หาเรื่องตลอดเลยตาแก่เนี่ย พวกเจ้าว่ากระนั้นหรือไม่??” แม็กซิมถามไป และในตอนนั้นเอง แสนคำสมิงก็ไปห้ามลุงคงไว้ และเอาอานม้าในมือของลุงคงมา จากนั้นก็ยื่นไหเหล้าให้กับลุงคงไป

    “อ่ะก๊ะๆๆๆ เมรัยของพี่!!”

    “เอาเถิด ถือว่าเป็นรางวัลที่แกหาอานม้ามาให้” แสนคำสมิงพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ท่านเป็นเทพนี่ ท่านพอจะติดต่อกับสวรรค์ได้หรือเปล่า ว่าเมื่อไหร่จะส่งกำลังมาช่วย??” วาทินหันไปกัดหลี่เจาต่อ

    “ตอนนี้พวกเขากำลังจัดเตรียมทัพอยู่ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย” อิริยะพูดขึ้น 

    “ข้าว่า สงครามในครั้งนี้ อาจจักมีพวกเกรย์โอลวันมาร่วมด้วย” ทูตเบลล์จู่ๆก็พูดเรื่องนี้ขึ้น

    “เกรย์โอลวัน ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานเรื่องนี้นะ แต่มันนานมากแล้ว” มาร์คัสพูดขึ้น

    “แล้วพวกนี้มันเป็นผู้ใดกันงั้นหรือ??” กุมารเทพหันไปถามเธอ

    “เจ้าคงจะยังมิรู้ แต่ข้าเคยได้ยินมาแค่ครั้งเดียว พวกมันมาจากต่างมิติ ครั้งหนึ่งมันเคยรุกรานโลกของเรา เหล่าเทพจากสวรรค์เกณฑ์กำลังเข้าต่อรบกับพวกมัน แต่พวกมันไม่สามารถฆ่าตายได้ที่โลกนี้ เหล่าเทพจึงทำได้แค่ผนึกพวกมันไว้หน่ะ” ทูตเบลล์พูดขึ้น

    “ใช่แล้วพ่อกุมาร พระอิศวร เทพของเจ้าก็นำกำลังไปต่อกรกับพวกมันด้วย เสียทั้งยักษ์และคนธรรพ์ไปมากโข” หลี่เจาพูดขึ้น 

    “แล้วทำไมพวกมันถึงออกอาละวาดอีกได้ อนาเลีย ท่านพอจะบอกได้หรือเปล่า??” เมรีถามอนาเลียไป

    “ก็ได้ๆ เมื่อปีศาจถูกปลดปล่อย พวกมันบางส่วนก็ถูกปลดปล่อยด้วย ข้าพอจะรู้ว่าจะผนึกพวกนั้นเยี่ยงไร” อนาเลียพูดขึ้น

    “เกรย์โอล์วัน อย่าบอกนะว่าหนึ่งในนั้นก็มีไอ้ดาบคู่นั่นด้วย??” รีปเปอร์ถามอย่างสงสัย

    “งานนี้พวกเราคงจักรับมือพวกมันลำบากเสียแล้ว” เวียงพิงค์พูดขึ้น

    “ข้าว่าอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอนาคตเลย ตอนนี้เราจะเอาเยี่ยงไรต่อเล่า??” มายะถามอย่างสงสัย

    “เห็นทีคงต้องเดินทางไปถึงพิษณุโลกก่อน แล้วค่อยว่ากัน” ธิดาพูดขึ้น และในตอนนั้น ทั้งไวโอเล็ตและสมบาติก็พยายามดูฤกษ์ยามเท่าที่พวกเขาจะดูได้ และเมื่อดูจบ พวกเขาก็พูดขึ้นในทันที

    “รุ่งเช้า จักมีบางสิ่งเดินทางมาหาเรา ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร” สมบาติพูดขึ้น

    “ใช่ ข้าเองก็เห็น แต่ข้าเห็นแค่หมอกสีดำกำลังเคลื่อนมาทางเรา” ไวโอเล็ตพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น เราก็ตั้งรับพวกมันในเมืองเลยสิ ที่นี่ชัยภูมิค่อนข้างเป็นต่อ หากเรานำกำลังดักสกัดพวกมันไว้ และล่อให้พวกมันมา เราก็อาจจักต้านมันไว้ได้” ทองอินทร์พูดขึ้น

    “นั่นสิท่านพี่ ข้าเห็นพ้องด้วยท่าน!!” กุมารเทพพูดขึ้น

    “ข้ายังพอมีระเบิดเหลือ ข้าจักติดตั้งมันเอาไว้ดักทางมันเอง” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “เอาหล่ะ คืนนี้พวกเจ้าพักผ่อนกันก่อนเถิด วันรุ่งพรุ่งนี้เราอาจต้องรับมือพวกมัน” ทองอินทร์พูดขึ้น และในระหว่างนั้นเอง จู่ๆอนาเลียก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเข้าหูเธอ

    “ซิลลินเรีย!!” อนาเลียทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็ไปพักผ่อนตามคนอื่นๆในทันที 

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตรอยต่อระหว่างนครสวรรค์และพิษณุโลก กองกำลังของเดอเวสได้เคลื่อนทัพมาเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดหย่อน พวกเขาเดินทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุด ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมีอมนุษย์คนหนึ่งกำลังยืนอยู่แถวนั้น เดอเวสสั่งให้กองกำลังของเขาหยุดในทันที จากนั้นก็ตะโกนเรียกชายคนนั้นไป

    “เจ้าหน่ะ เจ้าเป็นใคร??”

    อมนุษย์ตัวนั้นได้ยินก็เดินเข้ามาใกล้พวกของเดอเวส เดอเวสเกือบจะชักดาบของเขาออกมาแล้ว แต่จู่ๆหมอนั่นก็พูดกับเดอเวสไป

    “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ชักดาบออกมา!!”

    “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เจ้าเป็นใคร??” เดอเวสถามชายคนนั้นไป

    “ข้าอาชิซะ ข้าก็เป็นพวกเดียวกับเจ้านั่นแหละ” เขาตอบไป

    “งั้นหรือ เหตุไฉนพลังของเจ้าถึงดูแปลกไป??” เดอเวสถามอย่างสงสัย

    “ข้ามิใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับเจ้า ข้าเหนือชั้นกว่าเยอะ” อาชิซะพูดขึ้น

    “งั้นหรือ เช่นนั้นคงต้องลองฝีมือกันหน่อย!!” เดอเวสพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ชักดาบออกมาในทันที จากนั้นก็ฟันไปที่อาชิซะไป แต่อาชิซะหลบได้ จากนั้นก็ชักดาบของขึ้นมาต่อในทันที

    “เคร้ง!!”

    อาชิซะใช้ดาบของเขายันกับดาบของเดอเวส และในตอนนั้นอาชิซะก็ใช้ดาบตีเข้าที่ม้าเล็กน้อย แต่ก็ทำเอาม้าถึงกับยกหน้าขึ้นมาและทำเอาเดอเวสถึงกับตกจากม้าในทันที

    “เป็นไรหรือเปล่า??” อาชิซะถามไป

    “ไม่เป็นไร ฝีมือเยี่ยมยุทธ์นี่ เหตุไฉนเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า??” เดอเวสถามกลับไป

    “เจ้ารู้จักพวกเกรย์โอล์วันหรือเปล่า??” อาชิซะถามอย่างสงสัย

    “ข้าเคยได้ยิน พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติ ที่เดินทางมายังโลกใช่หรือเปล่า??” เดอเวสถามอย่างสงสัย

    “ในมหาสงครามครั้งใหญ่ ข้าเคยเป็นทัพหน้าในการต่อสู้กับพวกเทพเจ้า แต่ข้าพลาดท่าแพ้ให้กับเห้งเจีย และก็ถูกไอ้สามตานั่นผนึกข้าไว้!!” อาชิซะพูดอย่างโกรธแค้น

    “สามตา เจ้าหมายถึงพระอิศวรงั้นหรือ??” เดอเวสถามอย่างสงสัย

    “ก็ประมาณนั้น แต่ข้าจะไปล้างแค้นมันซักวันหนึ่ง รอให้ประตูสวรรค์ถูกทำลายก่อนเถิด!!” อาชิซะพูดขึ้น

    “เฮ้อ เหตุไฉนเจ้าไม่ไปที่หน้าประตูเลยหล่ะ??” เดอเวสถามไป

    “พลังของข้ายังมิเข้มแข็งพอ เนื่องจากข้าสละพลังของเกรย์โอล์วันไปบางส่วน ข้าจำเป็นต้องสูบพลังไอวิญญาณเพิ่ม เพื่อให้เข้มแข็งขึ้น” อาชิซะพูดขึ้น

    “แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าไม่อยากจะเสียเวลาแล้วหล่ะ” เดอเวสพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง อาชิซะก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาเดอเวสถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก

    “เฮ้อ เจ้านี่ร้ายกาจยิ่งนัก แต่ข้าไม่ยอมแพ้เจ้าหรอก!!” เดอเวสพูดขึ้น 

     

    ณ เมืองพิษณุโลก ในตอนนั้นกองกำลังปีศาจก็ยังคงเดินทัพเพื่อจัดการตามล่าตัวมนุษย์ที่เหลืออยู่ในเมือง และที่คุมขังปีศาจสาวเล็บยาวตัวนั้น กลุ่มสุนัขในก็พยายามเฝ้าไม่ให้เธอคุ้มคลั่งมากเกินไป และในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีแสงสีดำประหลาดลอยมาใกล้กับพวกสุนัขในที่เฝ้าหน้าประตู สุนัขพวกนั้นรีบคุกเข่าต้อนรับแสงสีดำนั่นไปในทันที

    “ถวายคำนับ!!”

    “พวกเจ้า ยัยนั่นมันเป็นเยี่ยงไรบ้าง??” แสงสีดำนั้นถามไป

    “มันหิวกระหายอยู่ตลอดเวลาเลยนายท่าน ท่านจะใช้มันจริงหรือ??” สุนัขตัวนั้นถามไป

    “ข้าให้พลังมันกับมือ มันมีความสามารถยิ่งกว่าที่พวกเจ้าคิด” แสงสีดำนั่นตอบไป

    “ขอรับนายท่าน เราจักจับตามันไว้ครับ!!”

    “ว่าแต่ ท่านจะใช้มันเมื่อใดขอรับ??” สุนัขอีกตัวหนึ่งถามอย่างสงสัย

    “รอให้พวกมันเข้าใกล้พิษณุโลกเสียก่อนเถิด ข้าจักต้อนรับไอ้พวกคณะเดินทางโง่เง่านั่น” แสงสีดำนั่นพูดขึ้น และปีศาจตัวนั้นก็กรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้แต่ปีศาจสุนัขในยังหวาดกลัวกับเสียงร้องของมัน

    “สมกับเป็นปีศาจที่ข้าสร้างขึ้นมาจริงๆ” แสงสีดำนั่นพูดขึ้น

     

    ณ เส้นทางแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเดินทางไปยังเมืองอ่างทอง ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด เสียงฝีเท้าของกองกำลังกองหนึ่งเดินทัพและเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วโดยไม่มีหยุดหย่อน เพื่อเดินทางไปที่ไหนซักแห่ง และที่ดูน่าสนใจก็คือ ปีศาจยักษ์ตัวหนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าคล้ายราชสีห์ แต่รูปร่างลำตัวคล้ายกับหมีป่า สวมเกราะเหล็กและถือกระบองเล็กคู่ดูน่าเกรงขาม เสียงฝีเท้าของมันดังสะเทือนเลื่อนลั่น และในตอนนั้น เฟยหลิงที่กำลังเที่ยวเล่นอยู่แถวนั้น ก็เหาะไปสังเกตการณ์กองกำลังพวกนั้น จากนั้นก็พูดขึ้น

    “โห มีเป็นร้อยๆเลยแหะ พวกนั้นจะไปทำอันใดกันแน่??” เฟยหลิงถามไป และในตอนนั้นเอง จู่ๆ กองกำลังอีกกองหนึ่งก็เหลือบไปเห็นตัวเฟยหลิงเข้า แล้วก็ได้เตือนภัยกันยกใหญ่ 

    “เฮ้ย พวกเทพ!!”

    ในตอนนั้นพวกมันพยายามขว้างหอกใส่เฟยหลิงไป แต่เธอก็หลบได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ชักดาบของเธอออกมา แล้วก็พุ่งลงมาใส่พวกปีศาจในทันที

    “รนหาที่จริงๆไอ้พวกนี้!!”

    เฟยหลิงเหาะลงพื้นมา จากนั้นก็จู่โจมปีศาจพวกนั้นในทันที

    “ย้าก!!”

    เฟยหลิงใช้ดาบโซ่ของเธอฟาดฟันปีศาจพวกนั้นอย่างรวดเร็ว พวกสุนัขในพยายามวิ่งเข้ามาหมายจะจู่โจมแต่เธอก็กระโดดหลบและเหวี่ยงโซ่ดาบเพื่อเล่นงานพวกมันต่อ แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ปีศาจลูกเสี้ยวเสือโคร่งและหมูป่าสามตัวก็ถือค้อนและโล่มาเพื่อล้อมเธอเอาไว้ จากนั้นก็เตรียมบดขยี้เธอในทันที

    “พลรบพยัคฆ์เหลืองงั้นหรือ ไม่เลว!!”

    พวกมันสามตัวพยายามดันโล่เข้าหาตัวเธอ แต่เธอก็กระโดดเหาะขึ้นฟ้าไป จากนั้นก็ร่ายพลังใส่พวกมันจากด้านบน ทำเอาพวกมันถึงกับถอยออกไป จากนั้นเธอก็ฟาดฟันพวกมันอย่างต่อเนื่อง แล้วก็เหวี่ยงโซ่ดาบใส่หน้าพวกมันทั้งสามตัวจนกระเด็นไป ปีศาจตัวอื่นๆเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพากันถอนกำลังในทันที เพราะว่าต่อกรกับเฟยหลิงไม่ได้ 

    “เฮ้อ นึกว่าจะแน่ซักแค่ไหน!!” เฟยหลิงพูดขึ้น จากนั้นตัวเธอก็เหาะขึ้นฟ้าหายไปในทันที

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในป่าเขตเมืองสิงห์บุรี ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืน ซึ่งในย่านนี้มีแต่ปีศาจเผ่นผานอยู่มากมาย แต่ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าเสียงหนึ่งก็วิ่งเข้ามาใกล้ปีศาจพวกนั้นอย่างรวดเร็ว

    “ตึกๆๆๆๆๆ”

    “ฉับ!!”

    เสียงฝีเท้านั่นเป็นเสียงของชายคนหนึ่งใช้ดาบคาตะนะฟันหัวผีดิบตัวหนึ่งไป จนผีดิบตัวอื่นๆถึงกับต้องหันมาดูในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

    “ฉึก!!”

    ชายคนนั้นไล่ฟันผีดิบตัวอื่นต่อ มันพยายามจะเล่นงานเขาแต่ฝีมือของเขาเหนือชั้นมาก จนกระทั่งพวกมันตายกันหมด จากนั้นเขาก็ใช้แขนของเขาหนีบดาบและรีดเอาเลือดของมันออกไม่ให้เปื้อนคมดาบ จากนั้นก็ไปค้นหาอะไรบางอย่างที่ร่างของมันในทันที แต่ค้นไปค้นมาก็ไม่เจออะไรเลย

    “ไม่มีแหะ วันนี้จะหาเจอหรือเปล่าเนี่ย ฮิเดกิ??” และเมื่อเขาไม่เจออะไร ประกอบกับมีผีดิบอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาใกล้เขา ตัวเขาตอนนั้นก็รีบหนีเข้าไปในป่าและหลบซ่อนตัวจากผีดิบกลุ่มนั้นในทันที

     

    เช้าวันต่อมา ในวันนั้นกลุ่มของทองอินทร์ก็รีบตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ พวกเขาก็รีบจัดการวางแนวป้องกันที่ประตูด้านเหนือ ซึ่งเป็นประตูที่สมบาติทำนายว่าจะมีปีศาจบุกเข้ามา พวกเขาแบ่งกำลังบางส่วนไปซ่อมประตู บางส่วนไปตั้งปืนเพื่อยิงสกัดพวกมันเอาไว้ด้วย

    “ลุง ยกของมาตรงนี้หน่อย เร็ว!!” มาเรียน่าบอกกับลุงคงซึ่งทำหน้าที่แบกของเพื่อไปยันประตูไว้ ซึ่งเขาทำหน้าที่แบกของได้ดีกว่าคนอื่นมากๆ

    “โห ให้ลุงแกยกคนเดียวนี่ก็น่าจะพอแล้วหล่ะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น

    “พวกมันจะต้องพังประตูเข้ามาด้านในแน่ๆ เราต้องแบ่งคนไว้ยันพวกมันตอนที่บุกเข้ามาที่นี่ด้วย” นรสิงห์พูดขึ้น

    “ใช่ แต่ถ้าพวกมันปีนบันไดขึ้นมาหล่ะ??” ธิดาถามอย่างสงสัย

    “ถ้าพวกมันปีนขึ้นมา เราก็ส่งคนขึ้นไปยันพวกมันเอาไว้ แค่นั้นพอ” มายะพูดขึ้น

    “แต่พวกมันน่าจะมีเป็นร้อย เรามีแค่ไม่ถึง 30 คนเองนะ” โชพูดขึ้น

    “เราต้องพยายามตัดกำลังพวกมันให้ได้มากที่สุด ให้พวกมันเหลือน้อย ก่อนที่มันจะบุกเข้ามา” คาวีพูดขึ้น

    “ตอนนี้ข้าได้วางระเบิดตามรายทางไว้แล้ว ถ้าพวกมันบุกมาได้ ฉันจะจัดชนวนเลย” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “เราต้องให้พลยิงจัดการให้ราบ เราควรจะวางปืนไว้และยิงพวกมันให้ราบ” วารีพูดขึ้น

    “ท่านสมบาติ ท่านคิดว่าพวกมันจะมีมากเพียงใด??” แม็กซิมถามอย่างสงสัย

    “ถ้าดูจากที่ข้าเห็นแล้ว ข้าว่าพวกมันน่าจะยกกันมาเป็นร้อย” สมบาติพูดขึ้น

    “หะ นี่เราจะสู้กับพวกมันเป็นร้อยเลยงั้นหรือ พวกเราจักต้านมันได้นานแค่ไหน??” วาทินถามไป

    “เจ้ามิต้องห่วงดอก ถึงอย่างไรพวกมันก็มีแต่พวกปลายแถวซะส่วนใหญ่” ฉางหลงพูดขึ้น

    “ให้พวกมันมาเถิด ข้าจักสังหารพวกมันให้สิ้น” ซื่ออ้ายพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง อนาเลียก็มีท่าทางแปลกๆอย่างเห็นได้ชัด เธอมองไปทางนั้นทีทางนี้ที ทำเอาคนอื่นๆถึงกับแปลกใจ

    “นี่ อนาเลีย เจ้าเป็นอะไรไป ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว??” เทเรซ่าถามอย่างหาเรื่องเธอไป

    “มิต้องห่วง ข้าไม่ข้าเจ้าดอก เก็บดาบของเจ้าเสียเถิด!!” อนาเลียตอบกลับไป 

    “พวกท่านนี่ก็ยังหาเรื่องกันมิมีหยุดหย่อนเลบนะ” ไวโอเล็ตพูดขึ้น

    “แต่ท่านอนาเลีย ท่านมีอันใดไม่สบายใจ ท่านบอกพวกข้าได้นะ” นาราพูดกับเธอไป แต่อนาเลียไม่ตอบอะไร และแกล้งทำเป็นว่าเธอสบายดี แต่ความจริงเธอได้ยินเสียงประหลาดๆเข้าหูตลอดเวลา 

    “นางดูเหมือนร้อนรนไม่ได้สติ ข้าว่า พลังของนางกำลังกัดกินตัวนางอยู่” หลี่เจากระซิบบอกกับอิริยะไป

    “หากนางเกิดคลั่งขึ้นมา ข้าจักปลิดชีวิตนางเอง” อิริยะตอบกลับไป

    “ว่าแต่ หากจักหาโล่ใหม่ของข้าได้ที่ไหนกันเล่า??” อองโม่โยถามไป และในตอนนั้นออเรเลียก็หยิบโล่ของปีศาจอันหนึ่งให้กับเขาไป

    “น่าจักพอแก้ขัดไปได้ก่อน!!” ออเรเลียพูดขึ้น  

    “ข้าจักไปยันพวกมันบนกำแพง เผื่อว่าพวกพวกจักปีนบันไดขึ้นมา” รีปเปอร์พูดขึ้น

    และที่ด้านบนกำแพง กลุ่มคนที่ใช้อาวุธยิงไกลก็พากันติดตั้งปืนใหญ่และปืนเล็กที่ยังเหลืออยู่ไว้บนกำแพง เพื่อยิงสกัดพวกมันเอาไว้ก่อนที่พวกมันจะเข้าประชิดกำแพง 

    “เราน่าจะวางปืนใหญ่ไว้ที่ตรง และบรรจุกระสุนเตรียมพร้อมไว้!!” อเล็กซพูดขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังวางตำแหน่งปืนใหญ่ไป

    “ปืนใหญ่ที่มีก็เหลือกระสุนไม่มาก สงสัยชาวเมืองคงจะใช้มันยิงต่อกรกับพวกมันไปแล้ว” มาร์คัสพูดขึ้น

    “ถ้าพวกมันปีนบันไดขึ้นมาได้ เราคงต้องหนีไปด้านล่างหล่ะ” ชิงเสียนพูดขึ้น

    “ไม่หรอก ข้าว่าพวกมันต้องพังประตูเข้ามาอยู่แล้ว” เมรีพูดขึ้น

    “เอื้องเหนือ เจ้าใช้หน้าไม้เป็นนะ??” เวียงพิงค์ถามเธอไป

    “ใช้งานไม่ยากดอก ข้าเองก็เคยยิงเช่นกัน” เอื้องเหนือพูดขึ้น แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเตรียมตัวกันได้เสร็จดี จู่ๆ กุมารเทพและทูตเบลล์ก็เหาะมาหาพวกของทองอินทร์อย่างหน้าตาตื่น ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะเห็นอะไรบางอย่างมา

    “ท่านพี่ พวกปีศาจมันมากันแล้ว!!” กุมารเทพพูดขึ้น

    “พวกมันมีกำลังเท่าใดกันเล่า??” ทองอินทร์ถามอย่างสงสัย

    “ข้าว่า น่าจักมีมิต่ำกว่าร้อย” ทูตเบลล์พูดขึ้น

    “ไปบอกพวกเราให้เตรียมพร้อม เราจะปะทะกับพวกมัน!!” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เตรียมพร้อมไปประจำที่ของพวกเขากันในทันที เพื่อเตรียมรับมือเหล่าปีศาจที่กำลังจะโจมตีเมืองต่อ

     

    ที่ด้านนอก กองกำลังปีศาจกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นก็ได้เดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง ในกองทัพปีศาจ ประกอบไปด้วยพลรบสุนัขในและลิงลมจำนวนหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจก็คือปีศาจราชสีห์ยักษ์ซึ่งดูคล้ายจะเป็นจ่าฝูง และเมื่อพวกมันค่อยๆเดินเท้าเข้ามาใกล้ประตูเมือง ซึ่งพวกของทองอินทร์ได้รออยู่แล้ว

    “ยิงมันเลย!!”

    “ปังๆๆๆๆ”

    “ตู้ม!!”

    กลุ่มของมาร์คัสที่เตรียมปืนไว้แล้วในตอนนั้นก็ระดมยิงใส่พวกปีศาจ พวกนั้นถึงกับต้องตั้งโล่เพื่อป้องกันตัว แต่ลูกปืนของพวกเขาก็สามารถทะลุโล่ของพวกมันมาได้

    “เฮ้อ เป็นยังไงบ้างหล่ะไอ้พวกผีบ้า!!” เมรีตะโกนออกไป

    “ระวังด้วย พวกมันมากันเป็นร้อยเลย เราคงยันมันได้ไม่นาน” เอื้องเหนือพูดขึ้น ในขณะที่จุดชนวนปืนใหญ่และยิงออกไป

    “พี่ ดูไอ้ตัวใหญ่นั่นสิ ต้องเป็นจ่าฝูงของพวกมันเป็นแน่!!” อเล็กซพูดขึ้น

    “พวกเรา ระดมยิงไปที่เจ้ายักษ์นั่นเลย!!” มาร์คัสตะโกนขึ้น จากนั้นคนอื่นๆก็ระดมยิงใส่สิงห์ยักษ์ตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่ากระสุนแทบจะไม่ระคายผิวเลย

    “บ้าเอ้ย มันแทบไม่เป็นอะไรเลย!!” เวียงพิงค์พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง สิงห์ตัวนั้นก็วิ่งเข้ามาหมายจะพังประตูเมือง ชิงเสียนที่ยิงสกัดอยู่ด้านบนก็ตะโกนบอกกับคนอื่นๆในทันที

    “มันจะพังประตูแล้ว ระวังด้วย!!” ชิงเสียนตะโกนออกไป 

    “โครม!!”

     ประตูเมืองนั้นพังอย่างง่ายดาย และสิงห์ตัวนั้นก็ร้องคำรามออกมา แล้วก็ให้ลูกน้องของมันบุกเข้าไปในเมืองทันที ซึ่งกลุ่มของทองอินทร์ก็ได้รอพวกมันอยู่แล้ว และในตอนนั้น เชอร์รี่ก็จุดชนวนระเบิดที่เธอตั้งไว้ในทันที

    “ตู้ม!!”

    ระเบิดพวกนั้นได้ทำลายกลุ่มปีศาจสุนัขในและกลุ่มลิงลมก็กระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง และในตอนนั้น มาเรียน่าที่เพิ่งจะดัดแปลงปืนไฟที่มีหลายกระบอกติดกัน เธอจุดชนวนและยิงอัดพวกมันเข้าไปในทันที

    “ปังๆๆๆๆๆ” อานุภาพของปืนไฟพวกนั้นทำเอาพวกปีศาจถึงกับล้มลงไปกองกันมากมาย

    “พวกเรา บุกเลย!!”

    ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็เข้าปะทะกับพวกปีศาจที่ยังเหลืออยู่ในทันที พวกเขาฟาดฟันเหล่าปีศาจพวกนั้น เสียงการปะทะดังไปทั่วเมือง

    “เข้ามาเลย ไอ้พวกระยำ!!” คาวีพูดขึ้น จากนั้นก็ฟันหัวปีศาจสุนัขตัวหนึ่งจนมันแน่นิ่งไป

    “ระวังนะ ไอ้พวกลิงพวกนี้มันตั้งค่ายกลได้” เชอร์รี่บอกกับคนอื่นๆไป 

    “เรารู้ตั้งกะปีมะโว้แล้ว!!” วารีพูดขึ้น จากนั้นก็ใช้ดาบคาตะนะฟันพวกมันจนโล่ของพวกมันแตก และถีบมันจนกระเด็นไป

    “พวกมันกำลังอ่อนแอ ดันให้มันกลับออกไป!!” แสนคำสมิงพูดขึ้น จากนั้นก็ใช้ดาบสองมือของเขาฟาดลิงลมตัวหนึ่งจนดับดิ้น

    “ระวังพวกมันล้อมกรอบพวกเรา!!” นรสิงห์พูดขึ้น จากนั้นก็หลบหอกของปีศาจลิงลมและฟันขาพวกมันจนขาด

    “ไอลิงพวกนี้มันไวมากเลย บ้าเอ้ย!!” ซื่ออ้ายโดนพวกมันล้อมกรอบ และในตอนนั้นเอง โชก็วิ่งเข้าไปฟาดฟันพวกมัน โดยที่ซื่ออ้ายพยายามฟาดพัดใส่พวกมันไปด้วย

    “อย่าโดนพวกมันล้อมสิ!!” โชพูดขึ้น และในตอนนั้น อองโม่โยก็ใช้โล่ฟาดพวกมันจนกระเด็นออก และมันก็กระเด็นไปติดหอกของออเรเลีย เธอควบม้าและยกหอกขึ้นมาและเหวี่ยงมันไปทันที

    “นี่เจ้ายกมันขึ้นมาได้งั้นหรือ??” อองโม่โยถามไป

    “พอได้ ไอ้ลิงพวกนี้มันไม่หนักเท่าไหร่” ออเรเลียพูดขึ้น

    “กินลูกปืนใหญ่ซะ!!” มาเรียน่าพูดขึ้น จากนั้นก็ยิงปืนใหญ่มือของเธอใส่พวกมันจนกระเด็นไป และในตอนนั้น ลุงคงก็จับร่างของสุนัขในตัวหนึ่งมาแล้วเหวี่ยงมันไปใส่ปีศาจตัวอื่น

    “อ่ะก๊ะๆๆๆๆ!!”

    “เข้ามาเลย ไอ้พวกหมานรก!!” เทเรซ่าตะโกนออกมา จากนั้นก็ไล่ฟันพวกมันอย่างสนุกมือ

    “พวกมันมีน้อยลงแล้ว เยี่ยมไปเลย!!” แม็กซิมพูดขึ้น จากนั้นก็ฟันหัวลิงลมตัวหนึ่งไป

    “ระวังด้วย พวกมันอาจจะมีจ่าฝูงของพวกมัน” รีปเปอร์บอกกับทุกคน และในตอนนั้นมันตัวหนึ่งจะฟันรีปเปอร์ที่ด้านหลัง แต่ในตอนนั้นอนาเลียก็ใช้มนต์ของเธอสะกดมัน และรีปเปอร์ก็ใช้ดาบฟันร่างของมันจนขาดครึ่ง

    “ระวังหลังของเจ้าให้ดีเถิด!!” อนาเลียพูดขึ้น หลี่เจาและอิริยะทั้งคู่ก็จัดการฟาดฟันพวกมันจนพวกมันถึงกับแตกกระเจิงไปคนละทาง

    “พวกมันยังมีจ่าฝูงเหลืออยู่ ระวังด้วย!!” หลี่เจาตะโกนออกมา

    “นั่นสิ แต่ทำไมมันถึงยังไม่เข้ามาเล่า??” อิริยะถามอย่างสงสัย

    “ข้าไม่กลัวหรอก ให้พวกมันเข้ามา!!” มายะพูดขึ้น จากนั้นก็ไล่ฟันพวกมันไป

    “ไวโอเล็ต เจ้าหลบมาด้านหลัง เร็ว!!” สมบาติพูดขึ้นและใช้ปืนสั้นไล่ยิงมัน

    “ข้าก็ใช้ปืนเป็นนะ!!” ไวโอเล็ตพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เอาปืนสั้นมาใส่กระสุนและยิงพวกมันไป และในตอนนั้นฉางหลงก็มาช่วยคุ้มกันพวกเขาทั้งคู่ โดยที่เขาใช้กังฟูทั้งเตะและต่อยมันไป

    “พวกเจ้าระวังด้วย ยิงใส่พวกมันด้วย!!” ฉางหลงพูดขึ้น

    “รีบถอยออกไปเลยไอ้พวกนรก!!” วาทินพูดขึ้น จากนั้นก็ไล่ฟันพวกมันจนหนีออกไป

    “พวกมันถอยกลับไปแล้ว ฆ่ามัน!!” นาราตะโกนออกมา จากนั้นเธอก็เตะเข้าที่ก้านคอของสุนัขในตัวหนึ่งจนล้ม จากนั้นก็เหยียบหัวมันซ้ำ ส่วนทองอินทร์ ในระหว่างที่เขากำลังฟาดฟันกับพวกมัน จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ ทำเอาเขาถึงกับต้องกำดาบไว้แน่น

    “ท่านพี่ ระวังด้วย มันมาแล้ว!!” กุมารเทพพูดขึ้น

    “ท่าทางจะตัวใหญ่ใช่เล่น” ทองอินทร์พูดขึ้น แล้วก็ปรากฏร่างของสิงห์ยักษ์ที่วิ่งเข้ามาเพื่อพุ่งชนพวกเขา

    “พวกเจ้า ระวัง!!” ธิดาตะโกนออกมา แต่ในตอนนั้น ลุงคงแกก็ใช้ร่างของแกพยายามยันกับสิงห์ตัวนั้นไว้ และดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครกันเลย 

    “ปีศาจราชสีห์ยักษ์ พลรบปีศาจในตำนาน!!” กุมารเทพพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง พวกพลปืนที่อยู่ด้านบนกำแพงก็ระดมยิงใส่หัวของสิงห์ยักษ์ตัวนั้นในทันที ตัวมันก็เริ่มจะเซไปแล้ว แต่จู่ๆมันก็ร้องคำรามขึ้นมา

    “โฮก!!”

    เสียงคำรามของมันทำเอาทุกคนถึงกับตกใจ แม้แต่ลุงคงก็ยังหวั่นใจเล็กน้อย และเมื่อลุงคงเผลอ มันก็ผลักลุงคงออกไป จากนั้นก็จะใช้กระบองหนามของมันฟันเข้า แต่แสนคำสมิงก็ใช้ดาบของเขายันมันเอาไว้

    “เคร้ง!!”

    “บ้าเอ้ย พละกำลังมหาศาลยิ่งนัก!!” แสนคำสมิงพูดขึ้น และในตอนนั้น มาเรียน่าก็เอาปืนใหญ่มือของเธอมายิงใส่มัน แต่ก็แทบไม่ระคายผิวของมันเลย

    “ตู้ม!!”

    “ปืนใหญ่ฉันยิงไม่เข้าเลย แบบนี้เราลำบากแน่” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “ทุกคน เล็งไปที่หัวมัน!!” มาร์คัสพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ระดมยิงเขาที่หัวของมัน แต่มันก็เอากระบองเหล็กของมันตีไปที่กำแพงเมือง จนกำแพงเมืองถึงกับสั่นไหว และคนที่อยู่บนกำแพงต้องกระโดดลงมาในทันที

    “ตุ๊บ!!”

    “โห ไอ้บ้านี่ มีใครเห็นจุดอ่อนมันบ้าง??” ชิงเสียนถามอย่างสงสัย

    “ข้าก็ไม่รู้ พ่อกุมาร ช่วยกันหน่อยสิ!!” คาวีพูดขึ้น ในขณะที่ประดาบกับมัน แต่มันก็จับคาวีเหวี่ยงออกไปจนไปนอนกองกับพื้น

    “เราต้านพละกำลังมันไม่ได้หรอก เราต้องเล่นที่ขามันให้มันล้ม ไม่เช่นนั้นเราก็เหนื่อยเปล่า!!” วารีพูดขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งเขาไปฟันที่ขาของมัน แต่ก็โดนเกราะที่มันสวมไว้ มันจะฟาดวารีซ้ำแต่นรสิงห์ก็มาช่วยเอาไว้ นรสิงห์พยายามหลอกล่อให้มันเหวี่ยงกระบองพลาด

    “ทางนี้โว้ยไอ้ยักษ์!!” นรสิงห์พยายามหลอกล่อ ในขณะที่คนอื่นๆก็พยายามเล่นงานที่ขาของมันเพื่อให้มันล้ม

    “เราต้องทำลายเกราะขาของมันก่อน!!” ธิดาตะโกนออกมา

    “ถ้าถอดเกราะขาของมันออกมาได้ ก็ค่อยดีหน่อย” เวียงพิงค์พูดขึ้นจากนั้นก็ยิงหน้าไม้ใส่หน้ามันไป แต่มันก็แทบไม่เป็นอะไรเลย 

    “นี่ ตาลุง จัดการเกราะขาของมันที!!” เมรีพูดขึ้นในขณะที่ยิงธนูหลอกล่อมัน 

    “อ่ะก๊ะๆๆๆ” ลุงคงวิ่งเข้าไปจับที่ขาของมัน จากนั้นก็พยายามทุบเกราะที่ขาของมันเพื่อทำลายแนวป้องกัน มันพยายามจะฟันเข้าที่หลังของลุงคง แต่หลี่เจาก็เอาทวนของเขามาค้ำมันเอาไว้ เขายันกับมันจนมันยกหลี่เจาขึ้นมาและฟาดเข้าที่หลังของหลี่เจา จนหลี่เจากระเด็นออกไป

    “ท่านหลี่เจา!!” อิริยะตะโกนออกมา จากนั้นก็ปามีดบินใส่หน้ามันอย่างต่อเนื่อง และในตอนนั้น ลุงคงก็เอาเกราะที่สวนเท้าของมันออกจนได้ แต่มันก็เตะเข้าที่ชายโครงของลุงแก จนออเรเลียต้องควบม้าเข้ามาและแทงเข้าไปที่ขาของมันในทันที

    “โฮก!!” 

    “สะใจหรือเปล่าไอ้ยักษ์!!” ออเรเลียถามไป แต่มันก็คำรามออกมาจนเธอตกจากม้า อองโม่โยวิ่งเข้าไปช่วยเธอโดยการใช้โล่กันกระบองมัน แต่มันก็ตีโล่ของเขาจนแตก แล้วก็เหวี่ยงเขาจะกระเด็นออกไป

    “ตุ๊บ!!”

    “บ้าเอ้ย ข้าไม่ยอมหรอก!!” อองโม่โยพูดขึ้น จากนั้นก็กำดาบแล้ววิ่งไปฟันมันในทันที เทเรซ่าและคนของเธอก็วิ่งเข้าไปช่วยฟันมันอย่างต่อเนื่อง

    “เอาเลย เอาให้มันล้ม!!” เทเรซ่าตะโกนขึ้นมา จากนั้นก็รุมฟันมันจนมันแทบจะล้มแล้ว

    “ระวัง กระบอง!!” แม็กซิมตะโกนออกมา จากนั้นมันก็ฟันลงมาแต่รีปเปอร์ช่วยกันเอาไว้

    “บ้าเอ้ย พละกำลังมหาศาลจริงๆ” รีปเปอร์พูดในขณะที่ยันดาบกับมันเอาไว้ 

    “เราต้องเล่นที่หัวมัน เพราะนั่นเป็นจุดเดียวที่เราทำได้” ไวโอเล็ตพูดขึ้น

    “แต่จะเอายังไงหล่ะ หัวของมันก็แข็งยิ่งนัก??” สมบาติถามไป และในตอนนั้นเอง นาราก็วิ่งขึ้นไปและกระโดดกล่องลังแถวนั้น และขึ้นไปบนหัวของสิงห์ยักษ์ จากนั้นก็พยายามต่อยเข้าที่ตามันไป

    “รีบจัดการขามัน เร็ว!!” นาราตะโกนออกมา 

    “โช ฉางหลง จัดการเลย!!” มายะพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็จัดการเล่นงานที่ขาของมันอย่างต่อเนื่อง พวกเขาทั้งฟันและแทงให้ขาของมันเสีย จนกระทั่งตอนนี้ขาของมันก็เดี้ยงไปทั้งสองข้างแล้ว

    “มันล้มแล้ว เป็นไงบ้างหล่ะไอ้ยักษ์??” โชถามไป แต่ในตอนนั้นเอง มันก็ดันจับตัวนาราได้ แล้วเหวี่ยงเธอออกไป จากนั้นมันก็เหวี่ยงแขนของมันไปโดนทั้งโชและฉางหลงจนกระเด็นออกไป

    “ตุ๊บ!!”

    “มันตาบอดแล้ว รีบยิงถล่มมันเลย!!” ฉางหลงตะโกนออกมา อนาเลียเห็นดังนั้นจึงพยายามใช้มนต์ของเธอสะกดมันไม่ให้มันฟื้นตัว และตอนนี้มันก็เริ่มขยับตัวไม่ได้แล้ว

    “รีบยิงใส่ที่หัวของมัน!!” อนาเลียตะโกนออกมา

    “ข้าจัดการเอง!!” วาทินตะโกนออกมา จากนั้นก็วิ่งหลบหมัดของมันและกระโดดขึ้นท้ายทอยของมันและกระหน่ำแทง ในขณะที่คนอื่นๆก็ยิงถล่มเข้าที่หน้าของมันอย่างต่อเนื่อง

    “ยิงเข้าไป มันจนล้มแล้ว!!” อเล็กซตะโกนออกมา

    “เอาระเบิดไปกินซะ!!” เชอร์รี่พูดขึ้น จากนั้นก็เอาระเบิดที่เธอทำขึ้นขว้างใส่หน้าอกมันในทันที

    “ตู้ม!!”

    “มันยังประคองตัวได้อยู่ จุดอ่อนมันอยู๋ไหนกันแน่เนี่ย??” ซื่ออ้ายถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง กุมารเทพก็พยายามมองหาจุดอ่อนของมัน แล้วเขาก็พบจนได้

    “จุดอ่อนของมันอยู่ที่กลางอกของมัน เราต้องจัดการเสื้อเกราะของมัน!!” กุมารเทพพูดขึ้น

    “แต่จะทำอย่างไรเล่า ตอนนี้มันกำลังคลั่งเลย??” ทูตเบลล์ถามไป และในตอนนั้นเอง ทองอินทร์ก็วิ่งเข้าไปที่ด้านหลังของมัน แล้วพยายามฟันเชือกที่ผูกมัดเกราะของมัน มันพยายามเหวี่ยงหมัดไปมาเพื่อป้องกันตัว แต่คนอื่นๆก็พยายามจัดการไม่ให้มันทำอะไรได้

    “ข้าจะจัดการที่แขนของมัน!!” หลี่เจาพูดขึ้น จากนั้นก็วิ่งเข้าไปปะทะกับมันในทันที หลี่เจาใช้ทวนพยายามเล่นงานมันที่แขนเพื่อช่วยถ่วงเวลาให้ทองอินทร์จัดการที่เกราะของมัน จนกระทั่งทองอินทร์ก็ฟันเข้าที่เชือกที่มัดเกราะของมันจนขาดหมด และเกราะของมันก็หลุดออกมาในทันที

    “เกราะของมันหลุดออกมาแล้ว ตอนนี้หล่ะ!!” เอื้องเหนือตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็ระดมทั้งยิงทั้งฟันเข้าไปที่กลางอกของมัน จนตอนนี้มันเริ่มที่จะรับการโจมตีไม่ไหวแล้วเพราะจุดอ่อนของมันอยู่ที่กลางอกของมันพอดี ตอนนี้มันใกล้จะตายแล้ว จากนั้นทองอินทร์ก็ใช้ดาบของเขาวิ่งเข้าไปแทงมันที่หน้าอกในทันที

    “ฉึก!!”

    สิงห์ตัวนั้นร้องโหยหวนออกมา จากนั้นก็ต่อยทองอินทร์กระเด็นออกไป แต่ร่างของมันก็ค่อยๆล้มลง จากนั้นร่างของมันก็ค่อยๆมอดไหม้ไปเรื่อยๆ คนอื่นๆรีบไปดูทองอินทร์ในทันทีว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ทองอินทร์รู้สึกจุกเล็กน้อย แต่โดยรวมเขาก็ยังไม่เป็นอะไรมาก

    “บ้าเอ้ย มันสิ้นชีพหรือยัง??” ทองอินทร์ถามไป

    “เรียบร้อยแล้วพี่!!” กุมารเทพพูดขึ้น จากนั้นนาราก็ไปหยิบดาบของทองอินทร์ที่ตกอยู่ที่พื้น และเอามาคืนให้กับเขาในทันที

    “พี่อินทร์ นี่ดาบของพี่จ้ะ!!” นาราพูดขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบดาบกลับมา และในตอนนั้นเอง ก็ปรากฏร่างของเฟยหลิงมาหาพวกเขา ทำเอาคนอื่นๆถึงกับตกใจมาก

    “นี่ ท่านเทพองค์นั้นนี่!!” เวียงพิงค์ตะโกนออกมา

    “เป็นอย่างไรบ้างพวกท่าน ท่าทางจะสนุกดีนะ??” เฟยหลิงถามไป

    “สนุกบ้ากระไรเล่า เราจะตายก็เพราะมันนี่หล่ะ” คาวีพูดอย่างหัวเสีย

    “นี่ เจ้าก็มองอยู่นาน แล้วไม่คิดจะช่วยเราเลยหรือ??” เมรีถามไป

    “นั่นสิ ท่านเป็นเทพประเภทไหนกันหล่ะเนี่ย เนอะ??” สมบาติพูดและถามคนอื่นๆไป

    “ข้าเห็นฝีมือของพวกเจ้า ก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าไร้เทียมทานแค่ไหน” เฟยหลิงพูดขึ้น

    “เฟยหลิง ถ้าเจ้ายังจะมาป่วนเราอีก ครั้งหน้าเราอาจไม่เกรงใจหล่ะนะ” หลี่เจาพูดขึ้น

    “แหม่ ท่านหลี่เจา อย่าฉุนไปสิ ข้าจะมาบอกพวกท่านว่า เส้นทางข้างหน้า จะเจอกับไอ้ปีศาจตัวนี้อยู่ แต่มันตัวใหญ่กว่าเดิมด้วยสิ เอาเป็นว่า ข้าไม่รบกวนหล่ะ!!” เฟยหลิงพูดขึ้น จากนั้นเธอก็กระโดดเหาะขึ้นไปบนฟ้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    “เฮ้อ นี่ใช่เทพจริงๆหรือเปล่าเนี่ย??” เอื้องเหนือถามอย่างสงสัย

    “นางเป็นเทพอสูรหน่ะ อย่าไปถือสานางเลย” อิริยะพูดขึ้น

    “แต่เราต้องเดินทางกันต่อนะ ก่อนจะมืดค่ำเสียก่อน” วารีพูดขึ้น

    “แล้วที่นางพูดคืออะไรกัน หมายความว่าเราต้องเจอไอ้ตัวนี้ใหม่เช่นนั่นหรือ??” มาเรียน่าถามอย่างสงสัย

    “แต่ไอ้ตัวนี้เราก็ปราบมันได้ กับตัวใหญ่นั้นคงไม่เท่าไหร่หรอก” โชพูดขึ้น

    “เฮ้อ เมื่อไหร่จะไปถึงพิษณุโลกกันหล่ะเนี่ย??” ฉางหลงถามอย่างสงสัย

    “อีกไม่นานหรอก เราเดินทางกันเร็วปานลับนิ้วมือเช่นนี้ คงจะถึงในไม่ช้า” มายะพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง อนาเลียก็ได้ยินเสียงประหลาดนั่นอีกแล้ว ในคราวนี้รีปเปอร์ถึงกับต้องมาดูเธอในทันที

    “อนาเลีย เจ้าไม่เป็นไรนะ??” 

    “ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าจะหาสาเหตุของเสียงนั่นให้ได้” อนาเลียพูดขึ้น

    “ใช่ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ฆ่าอาจจะบั่นคอเจ้าก็ได้” เทเรซ่าพูดขึ้น

    “นี่ ท่านจะเลิกหาเรื่องนางซักวันมิได้หรืออย่างไร??” วาทินถามไปอย่างโมโห

    “ใจเย็นน้องชาย ไม่มีอะไรหรอก อย่าอารมณ์เสียเลย” แม็กซิมพยายามห้ามไป

    “ถ้าเป็นแบบนี้ เห็นทีเราคงจะตายก่อนไปถึงพิษณุโลกแน่ๆ” ชิงเสียนพูดขึ้น 

    “เอาเถอะ ตอนนี้เราต้องรีบเก็บสัมภาระแล้วเดินทางกันต่อแล้วหล่ะ” ไวโอเล็ตพูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บสัมภาระที่เหลือในทันที โดยที่พวกเขาเอาแร่เหล็กที่เขาเอามาได้ขึ้นไปบนเกวียนที่พอจะมีเนื้อที่ จากนั้นก็เก็บดินปืนและกระสุนเพิ่มเติมด้วย

    “อองโม่โย ขอบใจมากที่ท่านช่วยข้า” ออเรเลียพูดกับเขาไป

    “เจ้าติดค้างโล่ของข้าอยู่นะแม่นาง” อองโม่โยพูดขึ้น

    “ข้ามีระเบิดที่ข้าทำเองอยู่ ข้าขอเอาไปด้วยก็แล้วกัน” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “ไม่รู้ว่าเกวียนของเราจะพอหรือเปล่า เราต้องหาวัวเทียมเกวียนเพิ่มด้วย” มาร์คัสพูดขึ้น

    “แต่วัวละแวกนี้คงถูกกินไปหมดแล้วหล่ะพี่” อเล็กซตอบกลับไป

    “ใช่แล้วหล่ะ พวกปีศาจขนเอาวัวควายไปเป็นยุทธปัจจัยของพวกมันหมดแล้ว” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “เมรัยของข้า ข้าอยากดื่มเหลือเกิน!!” จู่ๆตาลุงคงก็ตะโกนขึ้นมาอีกรอบ

    “นี่ลุง เราต้องออกเดินทางกันอีกรอบนะ รอไปพักข้างหน้าก่อนแล้วค่อยดื่มแล้วกัน” นรสิงห์ตะโกนเอ็ดไป ทำเอาตาลุงถึงกับนิ่งไปเลย

    “เฮ้อ หวังว่าข้างหน้าจะมีเหล้าให้ตาลุงแกนะ” แสนคำสมิงพูดขึ้นในขณะที่เช็ดดาบของเขาไป

    “ตอนนี้เราก็เก็บสัมภาระกันแล้ว เรารีบไปกันเถอะจ้ะ” ธิดาบอกกับคนอื่นๆไป

    “ไม่มีท่านใดบาดเจ็บอีกนะจ๊ะ??” ทูตเบลล์พยายามถามคนอื่นๆไป แต่ก็ไม่มีใครบาดเจ็บอยู่ในกลุ่มเลย

    “เอาหล่ะ ถ้าเช่นนั้น ก็ออกเดินทางกันต่อเถิด” ทองอินทร์บอกกับคนอื่นๆและออกจากเมืองอ่างทองในทันที

    =============================================================

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย!!

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×