ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gang Of Heaven - คณะเดินทางกู้พิภพ

    ลำดับตอนที่ #1 : ลำนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 217
      8
      31 ธ.ค. 63

    ณ กรุงเทพทวารวดีศรีอโยธยา เมษายน พุทธศักราช 2310

    หลังจากที่เปลวเพลิงได้เผาทำลายทั่วทั้งเมือง กลิ่นเถ้าถ่านและคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว แต่ท่ามกลางความวุ่นวายใน ที่บ้านทรงไทยหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่ายังไม่ถูกทำลาย ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินถอนใจมาพร้อมกับลูกน้องคนสนิทของเขา ชายวัยกลางคนนั้นนั่งถอนใจอยู่ที่ริมบันได จากนั้นลูกน้องของเขาก็คุยกับเขาในทันที

    “ท่านพระยาพลเทพขอรับ??”

    “ไอ้พวกอังวะมันทรยศกู คอยดูเถิด ข้าจักไปชำระความกับมันแน่!!” ชายคนนั้นพูดพลางทุบเข่าของตัวเอง

    “แต่ท่านเจ้าคุณขอรับ เราจะดำเนินแผนต่อไปเลยหรือเปล่าขอรับ??” 

    “จริงด้วย ข้าจักยอมแลกทุกอย่าง เพื่อแผนการของข้า ข้ามิสนสิ่งใดอีกแล้ว!!”

    “แต่ท่านเจ้าคุณ ท่านคิดดีแล้วหรือขอรับ??”

    “ข้ามิสนแล้ว เริ่มดำเนินการได้เลย เอาตำราของข้ามา แล้วเอาของๆข้ามาวางตามจุดที่ข้าบอกไว้!!” พระยาพลเทพพูดขึ้น จากนั้นลูกน้องของเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน แล้วไปหยิบเอาตำรวเล่มหนึ่งที่อยู่หน้าหิ้งพระของบ้าน จากนั้นก็ไปเอาของต่างๆตามที่พระยาพลเทพบอก ลูกน้องของเขาใช้เวลาไม่นานนักก็จัดทำพิธีเล็กๆได้สำเร็จ จากนั้นพระยาพลเทพก็คุกเข่า และได้หยิบเอาตำราคาถามาให้ พระยาพลเทพคุกเข่าและร่ายบริกรรมคาถาไปตามบท ส่วนลูกน้องของเขาก็หยิบดาบมาเตรียมไว้ เพื่อเตรียมบั่นคอพระยาพลเทพ

    “…….”

    “ข้า พระยาพลเทพ ขอเซ่นวิญญาณแด่ท่าน ขอท่านโปรดมอบพลังให้แก่ข้า และวิญญาณของข้าจักเป็นของท่าน!!”

    พระยาพลเทพเมื่อพูดจบ ลูกน้องก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาจึงบั่นคอพระยาพลเทพในทันที

    “ฉับ!!”

    หัวของพระยาพลเทพหลุดออกจากบ่ากระเด็นออกไป แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือ เลือดของพระยาพลเทพที่หลั่งรินก็สลับสีกัน ตอนแรกออกมาเป็นสีแดง ตอนหลังเป็นสีดำสลับกันไป จากนั้นไอสีดำก็ค่อยๆออกจากร่างของพระยาพลเทพ ลูกน้องของเขาก็ได้คุกเข่าตามพระยาพลเทพ จากนั้นก็เอาดาบที่เขาถือ แทงตัวเองไปในทันที

    “ฉึก!!”

    ร่างของเขานอนเตียงข้างพระยาพลเทพไป จากนั้นไอสีดำที่ออกจากร่างพระยาพลเทพก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน สายฟ้าฟาดดังไปทั่ว และร่างของพระยาพลเทพและลูกน้องของเขาก็หายอันตรธานไป เหลือเพียงแต่เศษซากของพิธีที่พวกเขาได้ทำไว้ 

     

    ณ ค่ายหลวงของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ในคินหนึ่ง

    ทหารอังวะได้เดินตรวจตรารอบค่ายอย่างแข็งขัน โดยที่แม่ทัพเนเมียวก็ได้นำสมบัติที่ปล้นมาได้จากอโยธยามาด้วย เขาเดินชมสมบัติเหล่านั้นด้วยความยินดี พร้อมกับลูกน้องของเขา

    “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้ทหารของเรากำลังเร่งตรวจสอบทรัพย์สมบัติพวกนี้อยู่ขอรับ ดูแล้วน่าจักใช้เวลาซักเดือนเศษ ถึงจักทำบัญชีเสร็จขอรับ!!”

    “ดีมาก ฉับกุงโบ ข้าจะเอาทรัพย์สินเหล่านี้ ไปถวายพ่ออยู่หัวแห่งอังวะบุรีโดยเร็ววัน!!”

    “อ๊าค!!” ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงร้องจากทหารคนหนึ่งมาจากด้านหนึ่งร้องตะโกนมา ทำเอาแม่ทัพเนเมียวตกใจมาก

    “ฉับกุงโบ เจ้าไปดูสิ!!” แม่ทัพเนเมียวสีหบดีพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในสภาพเลือดท่วมตัวและอาการร่อแร่ใกล้ตายเต็มที่ แม่ทัพเนเมียวรีบเข้าไปดูอาการของทหารคนนั้นในทันที

    “ทหาร เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง??”

    “ท่านแม่ทัพ….” ทหารคนนั้นเกิดอาการชักเกรงและตัวบิดเบี้ยว ทำเอาแม่ทัพเนเมียวถึงกับถอยออกมา ทหารคนนั้นชักเกร็งมากยิ่งขึ้น

    “ไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!!” แม่ทัพเนเมียวพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง ทหารคนนั้นก็หยุดนิ่ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นมา แต่ดวงตาของทหารคนนั้นกลายเป็นสีดำ ร่างกายซูบผอมดูราวคล้ายกับภูตผี จากนั้นก็ก็เดินเข้ามาใกล้แม่ทัพเนเมียวมากขึ้นเรื่อย

    “ท่านแม่ทัพ ระวัง!!”

    ฉับกุงโบชักดาบออกมาแล้วฟันหัวของมันจนขาด หัวของมันกระเด็นออกมาและกระเด็นไปไกล

    “สั่งทหารทุกนาย ให้ล่าถอยออกไปจากค่าย ขอกำลังจากแนวหลังของเราด้วย!!” แม่ทัพเนเมียวพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ชักดาบออกมา

    “ฉับกุงโบ เจ้ารีบไป เร็ว!!”

    “ขอรับ!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็วิ่งไปขึ้นม้าที่อยู่แถวนั้นในทันที และเมื่อเขาควบม้าออกไป เขาก็เจอแต่กองทหารของเขากำลังถูกจู่โจมอย่างหนักจากภูตผี เสียงร้องโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่ว และในตอนนั้นเอง ฉับกุงโบก็ไปหานายกองคนหนึ่งซึ่งกำลังนำกำลังต่อรบกับเหล่าภูติผีพวกนั้น

    “ท่านนายกอง พวกมันมากันทุกทิศ บางตัวยังฟันแทงไม่เข้า เห็นทีเราต้องหนีแล้วขอรับ!!”

    “ใช่ขอรับ เราหนี เรายังมีโอกาสรอดนะขอรับ!!” ทหารอีกคนหนึ่งพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น สั่งกำลังของเราทั้งหมดทั้งสิ้น ให้เร่งเดินทางตามข้ามา เราจักไปธนบุรี ที่นั่นเราน่าจะปลอดภัย” ฉับกุงโบพูดขึ้น จากนั้นทหารคนหนึ่งก็ตะโกนออกไป

    “เฮ้ย พวกเอ็งทุกคน ตามท่านฉับกุงโบไป ถ้าพวกเอ็งยังอยากรอด!!”

    ทหารที่กำลังต่อสู้อยู่ได้ยินดังนั้นก็รีบมารวมตัวกับฉับกุงโบในทันที จากนั้นฉับกุงโบก็พาทหารนับร้อยตีฝ่าวงล้อมของพวกภูตผีไปในทันที ทางด้านแม่ทัพเนเมียวสีหบดี เขาและกองกำลังของเขาก็ได้ต้านเหล่าภูตผีนั้นจนวินาทีสุดท้าย ในตอนนี้ค่ายหลวงของเขาได้กลายเป็นค่ายผีสิงไปแล้ว ทุกทีมีแต่กลิ่นคาวเลือดและซากศพ รวมถึงเหล่าผีดิบที่เดินป้วนเปี้ยนแถวนั้น

     

    เช้าวันต่อมา เมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร หลังการยึดครองของกองทัพอังวะ ชาวเมืองหลายคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ พ่อค้าก็ยังคงค้าขายของตามปกติ ชาวบ้านก็ทำมาหากินไป แต่ในตอนนั้นเอง ฉับกุงโบก็นำทหารอังวะประมาณร้อยนายเดินทางมาที่หน้าเมือง ในตอนนั้นเอง ยามคนหนึ่งก็รีบเดินมาหาฉับกุงโบในทันที

    “อ้าว ท่านฉับกุงโบ ข้าน้อยนึกว่าท่านจักขนทรัพย์สินกลับอังวะเสียอีก!!”

    “เจ้ามิต้องพูดอะไรทั้งนั้น สั่งชาวเมืองแลทหารของเราให้เข้าเมืองเสียให้หมด นำกำลังป้องกันเมืองเต็มที่ หากผู้ใดจักเข้าออกเมือง ให้ตรวจตราอย่างละเอียด ทำตามที่ข้าสั่ง!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น

    “เกิดอะไรขึ้นท่านนายกอง??” ทหารยามถามอย่างสงสัย แต่ในตอนนั้นเอง

    “เก๊ง!!” จู่ๆก็มีเสียงระฆังดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงกรีดร้องมาแต่ไกล

    “พวกข้าศึกบุก!!”

    “มิมีเพลาแล้ว พวกนั้นมิใช่ข้าศึกหรอก พวกมันน่าหวั่นกลัวกว่าที่คิด พวกเจ้ารีบอพยพชาวเมืองเข้าเขตกำแพงให้สิ้น สั่งปืนใหญ่ระดมยิงอย่าให้ขาด!!”

    ฉับกุงโบพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็รีบอพยพชาวเมืองเข้าไปหลบในกำแพงทันที เมื่อชาวเมืองกลับเข้ากำแพงจนสิ้น ประตูเมืองก็ปิดลงในทันที

    “สั่งยิงสีหนาถปืนไฟ ทุกกระบอก!!”

    “ตู้ม!!”

    ปืนใหญ่บนป้อมปราการระดมยิงใส่กลุ่มผีร้ายนั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่นายกองฉับกุงโบรีบขึ้นไปประจำบนเชิงเทินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สั่งให้ทหารของเขาระดมยิงในทันที

    “ท่านนายกอง พวกมันมาราวกับสายน้ำหลาก กระสุนดินดำของพวกเราอาจมิพอ!!”

    “โยม!!”

    ยังไม่ทันที่นายกองฉับกุงโบจะทำอะไร จู่ๆก็มีพระองค์หนึ่งเดินขึ้นมาบนกำแพงเชิงเทิน ฉับกุงโบเห็นจึงคุกเข่าและกราบพระในทันที

    “พระคุณท่าน ท่านเข้าไปหลบด้านในก่อนจักปลอดภัยกว่า!!” นายกองฉับกุงโบพูดขึ้น

    “โยมสู้พวกนั้นไม่ไหวหรอก อาตมาจัดการเอง!!” 

    พระองค์นั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ร่ายบริกรรมคาถาอะไรซักอย่าง จนพวกมันถึงกับล้มลงกันจนหมด จนกระทั่งทหารพวกนั้นก็ถึงกับโล่งใจขึ้น และโห่ร้องดีใจกันไปทั่ว

    “ขอบน้ำใจพระคุณท่านมากขอรับ ที่ช่วยเหลือพวกเรา!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น

    “อาตมาสัมผัสได้ถึงวิญญาณชั่วร้าย ที่กำลังคลืบคลานเข้ามาในเขตกำแพง ที่จริงแล้วอาตมาสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว!!”

    “ว่าแต่ พระคุณท่านพอทราบหรือเปล่าขอรับ ว่าพวกมันมาจากที่ใด??” ฉับกุงโบถามต่อ

    “อาตมาก็หารู้แน่ชัด แต่พวกมันกล้าแกร่งเกินกว่าที่เราจักต่อกรกับมัน เห็นที คงต้องใช้พุทธานุภาพปราบมารเสียแล้ว อาตมาจะไปแจ้งแก่เจ้าเมืองซักหน่อย!!”

    “ถ้าเช่นนั้น ข้าจักให้คนของข้าไปกับพระคุณท่านนะขอรับ ทหาร ไปส่งพระคุณท่านหน่อย!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น จากนั้นทหารอังวะก็รีบไปส่งพระรูปนั้นไปยังจวนของเจ้าเมืองในทันที ส่วนตัวฉับกุงโบนั้น ตัวเขาก็รีบคุยกับทหารคนหนึ่งในทันที

    “เห็นที ข้าคงจักต้องฝ่าวงล้อมพวกมันออกไป ขอความช่วยเหลือจากกองทัพอังวะที่เหลือ!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น

    “ท่านนายกอง มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆแบบนี้!!”

    “แล้วข้ามีทางเลือกหรืออย่างไร เอ็งมิเห็นบ้างหรือ อยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากรอวันตายดอก” ฉับกุงโบพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น ท่านนายกองจะทำเช่นไรต่อขอรับ??”

    “ข้าจักนำกองทัพอังวะที่เหลือ ตีฝ่าพวกผีร้ายนี่กลับไปที่ค่ายท่านแม่ทัพเนเมียว บางที ท่านแม่ทัพอาจจักยังมิเป็นอันใด ตอนนี้เราเหลือทหารอีกสักเท่าใด??” ฉับกุงโบถามไป

    “ตอนนี้ที่มีในเมือง น่าจะ 3000 ขอรับ!!” 

    “ข้าขอแค่ 1000 ข้าจักตีฝ่าพวกมันออกไป หากข้าตีฝ่าสำเร็จ ข้าจักส่งข่าวมา เตรียมไพร่พลแลม้าเท่าที่จักหาได้ มันผู้ใดพร้อมจะไปกับข้า ให้ตามข้ามา!!” ฉับกุงโบพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็เดินลงจากเชิงเทินและเตรียมพร้อมในการฝ่าวงล้อมในทันที และที่ด้านหน้าเมือง ก็ได้มีการเตรียมทัพกันอย่างรวดเร็ว ทหารอังวะมือฉกาจส่วนใหญ่ในตอนนี้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว

     

    ณ จวนเจ้าเมืองธนบุรี หลังจากที่เกวียนของพระคุณท่านได้มาถึง ทหารอังวะนายหนึ่งก็ตะโกนเรียกเจ้าเมืองธนบุรีในทันทีเพื่อให้ออกมาต้อนรับ

    “ท่านเจ้าเมือง ทางนี้หน่อย!!”

    เจ้าเมืองธนบุรีเดินลงบันไดอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ลงมาด้านล่าง จนมาเจอกับพระคุณท่านรูปนั้น เจ้าเมืองรีบไปกราบในทันที

    “หลวงพ่อ มาถึงจวนกระผมเลยเหรอขอรับ??”

    “โยม อาตมาจำเป็นต้องแจ้งข่าวแกโยมหน่ะ!!” 

    “ถ้าเช่นนั้นนิมนต์ขึ้นบ้านกระผมเลยขอรับ ผมจะรีบให้อ้ายไพร่เอาภัตตาหารมาถวายนะขอรับ เอ้ย รีบนิมนต์หลวงพ่อท่านไปหน่อย!!”

    เจ้าเมืองนิมนต์พระคุณท่านขึ้นไปบนเรือน และได้ถวายภัตตาหารให้ในทันที แต่พระคุณท่านไม่แตะอะไรเลย และได้พูดขึ้นในทันที

    “อาตมาต้องการจะแจ้งแก่โยม ว่าบัดนี้ เหล่าภูตผีแห่งความชั่วร้ายได้คลืบคลานเข้าใกล้เมืองธนบุรีแล้ว อาตมาไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเกิดจากเรื่องอันใด รู้แต่เพียงว่าต้องมีผู้ใช้เดรัจฉานวิชาเมื่อคืนวานเป็นแน่”

    “แล้ว หลวงพ่อ พอจะมีวิธีใดที่จักช่วยเมืองนี้หรือเปล่าขอรับ??” เจ้าเมืองถามอย่างสงสัย

    “อาตมาเห็นแจ้งแล้วว่า เราต้องจัดตั้งผู้กล้า เพื่อเดินทางออกตามหาความจริง ความเกิดอันใดขึ้นกับที่นี่กันแน่ อาตมาอยากให้โยมเอายันต์ที่อาตมาเตรียมไว้ไปติดตามหน้าประตูเมือง และอย่าให้ยันต์หลุดออกเด็ดขาด!!” พระคุณท่านพูดขึ้น

    “ขอรับหลวงพ่อ ข้าจะให้พวกไพร่ไปจัดการเลย”

    “ถ้าโยมได้คนมาเมื่อไหร่ ให้โยมพาพวกเขาไปที่วัดของอาตมาที อาตมาจะชี้แจงแถลงไขแกพวกเขาเอง!!” 

    “ขอรับหลวงพ่อ ข้าจะจัดการเอง” เจ้าเมืองรับปากหลวงพ่อไป ก่อนที่หลวงพ่อจะดื่มน้ำชา จากนั้นก็พูดต่อ

    “ท่านต้องเร่งหน่อย คาถาของอาตมา ก็ใช่ว่าจะต้านทานพวกมันไว้ได้ตลอดไปนะ”

    “อย่าห่วงเลยขอรับหลวงพ่อ ข้าจะให้คนของข้าติดประกาศทั่วเมืองเลย” เจ้าเมืองธนบุรีพูดขึ้น ในขณะที่เมืองธนบุรีตอนนี้วุ่นวายสุดขีด ประชาชนต่างขวัญหนีดีฝ่อ ไม่รู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าพวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ท่ามกลางโลกอันกลียุคเช่นนี้

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×