ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sorova - เมื่อประเทศฉันมันบัดซบ

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 13 : โจมตีกลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 66
      0
      17 ม.ค. 64

    เจซซินลากตัวเนวิสออกมาจากค่ายของบาร์มามัสโดยที่พวกเขายังไม่ทันจะได้คุยหรือร่ำลาอะไรกับพวกบาร์มามัสดีนัก เจซซินเอารถคันเก่าที่เธอเอามาจากท่าเรือขนส่งอาวุธ เนวิสที่ยังไม่ทันจะได้พักผ่อนก็ออกอาการเซ็งเล็กน้อย

    “นี่ เราจะรีบกันเลยเหรอ นี่มันยังดึกอยู่เลยนะ??” เนวิสถามด้วยอาการสะลึมสะลือ

    “มันจะไม่ทันการหน่ะสิ นายไม่อยากกลับไปช่วยเพื่อนนายงั้นเหรอ??” 

    “ฉันรู้ แต่พรุ่งนี้เช้าก็ได้นี่หน่า” เนวิสพูดขึ้น

    “ไม่ทันหรอก พวกมันคงไม่รอถึงเช้าแน่ๆ” เจซซินพูดขึ้น จากนั้นเธอก็สตาร์ทรถออกจากค่ายของบาร์มามัสในทันที โดยที่ยามบางคนก็ได้แต่เกาหัวไป

    “จะรีบไปไหนของมันวะ??”

    เจซซินขับรถออกมาจากค่าย จากนั้นก็ขับไปตามถนนมืดๆ แต่เจซซินก็ยังคงพอคลำทางหาได้ แต่เนวิสในตอนนั้นดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นอะไรเลย

    “โห มืดๆแบบนี้เธอขับได้ยังไงกันเนี่ย??” เนวิสถามไป

    “ฉันพอเดาทิศทางได้หน่ะ” 

    “ฉันว่า เธอต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ความสามารถเยอะขนาดนี้” เนวิสพูดแซวเธอไป แต่เจซซินดูเหมือนจะพูดไม่ออก

    “อืม ก็คงอย่างงั้น” เจซซินได้แต่ตอบฮวนๆไป

    “แล้วเธอรู้ทางที่จะพาเรากลับเมืองหลวงงั้นเหรอ??” เนวิสถามอย่างสงสัย

    “พอจำได้อยู่ มันมีถนนอยู่ไม่กี่เส้นนี่” เจซซินพูดขึ้น

    “จริงด้วย ตอนไปเที่ยวจำได้ว่ารถติดกันบรรลัยเลย” เนวิสพูดขึ้น

    “ฮ่า ถ้านายง่วงนายก็นอนไปก่อนเลย ฉันขับไปให้” เจซซินพูดขึ้น

    “ไม่หรอก ฉันว่าฉันยังไม่ง่วงหรอก” เนวิสพูดขึ้น แต่อยู่ดีๆไม่นานนัก เจซซินก็ต้องดับเครื่องยนต์รถของเธอ จากนั้นก็ปลุกเนวิสในทันที โดยที่เนวิสยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย

    “หือ เจซ มีอะไรงั้นเหรอ??” เนวิสถามอย่างสงสัย

    “ชักปืนของนายออกมาก็แล้วกัน” เจซซินพูดขึ้น และในตอนนั้นเนวิสก็ชักปืนพกของเขาออกมา จากนั้นเจซซินก็พาเนวิสไปแอบที่ข้างทางในทันที และไม่นานนัก พวกเขาก็เห็นรถจิ๊บคันหนึ่งขับมาจอดที่รถของพวกเขา พวกเขาใส่ชุดทหาร Khorne ด้วย พวกนั้นลงจากรถและตรวจสอบรถของเจซซินในทันที

    “เหมือนเพิ่งจะดับเครื่องได้ไม่นานหว่ะ!!” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น

    “ตามหามัน พวกมันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ” ชายอีกคนพูดขึ้น จากนั้นพวกมันก็ส่องไฟฉายเดินลาดตระเวนที่ริมถนน ในขณะที่เจซซินและเนวิสก็แอบอยู่ที่กระท่อมหลังหนึ่งแถวนั้น

    “พวกมันมี 5 คน อาวุธเบา แต่กระสุนเราน้อย” เนวิสพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นก็ลอบเร้นแล้วกัน นายทำเป็นหรือเปล่า??” เจซซินถามไป

    “พอได้อยู่ งั้นลุยเลย” เจซซินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ชักมีดออกมา แล้วก็ค่อยๆย่องผ่านรั้วเตี้ยๆพวกนั้นไป และในตอนนั้น มันคนหนึ่งก็ส่องไฟไปเห็นรั้วเตี้ยๆของกระท่อม พวกมันเลยตะโกนเรียกคนอื่นๆในทันที

    “เฮ้ย ตรงนี้มีกระท่อม!!”

    “ฉึก!!”

    เจซซินเชือดคอหมอนั่นจากนั้นก็ลากเข้ามาแอบเงียบๆ ส่วนคนอื่นๆที่ไล่ตามมาก็พยายามเรียกหาชายคนนั้นไป แต่ไม่พบแม้แต่เงา

    “เฮ้ย มึงหายไปไหนวะ??”

    “ชิบหายหล่ะ แม่งต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง

    “ฉึก!!”

    “เฮ้ย อะไรวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกมา แล้วก็ยิงใส่ทุกอย่างที่น่าสงสัย

    “ปังๆๆๆๆๆๆๆ”

    “พี่ ผมมองไม่เห็นมันเลย!!” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง

    “ฉึกๆ!!”

     “เฮ้ย มึงเป็นใครวะ??” ชายคนนั้นตะโกนออกไป แต่ในตอนนั้นเอง

    “ตุ๊บ!!” เนวิสใช้สันปืนฟาดเข้าไปที่หน้าของมันจนมันล้ม จากนั้นก็เอามีดจ่อไปที่คอของมัน

    “บอกมา มึงมาอะไรแถวนี้วะ??” เนวิสถามมันไป

    “พวกกูมาลาดตระเวน เพราะได้ยินว่าพวกเมืองหลวงมันกำลังจะโจมตีแล้ว”

    “งั้นเหรอ เจ็บหน่อยนะเว้ย!!” เนวิสพูดขึ้น จากนั้นก็ใช้สันมีดฟาดเข้าไปที่หน้าของหมอนั่นจนสลบไปในทันที

    “เนวิส เอาอาวุธกับกระสุนไปให้หมด พวกมันแห่ตามมากันแน่” เจซซินพูดขึ้น จากนั้นเนวิสก็หยิบเอาอาวุธ กระสุน และของมีค่าทั้งหมดของพวกมันออกมา จากนั้นพวกเขาก็กลับไปขึ้นรถ และเดินทางกันต่อในทันทีก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นซะก่อน

     

    เช้าวันต่อมา หลังจากที่กลุ่มของลูซิน่าได้แบ่งหน้าที่กันในกลุ่มเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไปดำเนินการกันตามที่ได้วางแผนเอาไว้ วาลิน่า ซิลลินเรีย เรนิต้า รอนนี่ และมาร์ตินก็ได้นำกำลังบางส่วนเตรียมเดินทางข้ามชายแดนเขต 4 เพื่อเข้าช่วยเหลือกลุ่มกบฏในพื้นที่ พวกเขานำกำลังที่รวบรวมมาได้ราว 1000 กว่าเดินทางกันในทันที และพวกเขาก็ได้คุยกันระหว่างทางไปด้วย

    “เอาหล่ะ ถ้าเราไปถึงเขต 4 เราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” ซิลลินเรียถามอย่างสงสัย

    “เราจะพยายามติดต่อกลุ่มกบฏในพื้นที่ ให้ก่อความวุ่นวายในพื้นที่ที่พวก Khorne ยึดครองให้ได้มากที่สุดหน่ะ” รอนนี่พูดขึ้น

    “ใช่ แล้วเราต้องหาตัวเนวิสด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง” วาลิน่าพูดขึ้น

    “จริงด้วย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย” เรนิต้าถามไป มาร์ตินในตอนนั้นก็พยักหน้าตอบไปด้วย

    “ว่าแต่ นายรู้จักหมอนี่มานานแค่ไหนแล้วหล่ะ??” ซิลลินเรียถามอย่างสงสัย

    “ซักพักได้แล้วหล่ะ แต่หมอนี่เก่งน่าดูเลย” รอนนี่พูดขึ้น

    “ใช่ เราช่วยเขาตอนที่พวก Khorne เข้ายึดเมืองหลวงช่วงแรกๆหน่ะ” วาลิน่าพูดขึ้น

    “ว่าแต่ เธอถามมามีอะไรหรือเปล่า??” เรนิต้าถามอย่างสงสัย

    “พ่อรูปหล่อคนนั้นฉันไม่สงสัยหรอก แต่ยัยนั่น ที่อยู่กับเขา ฉันว่าได้กลิ่นแปลกๆ” ซิลลินเรียพูดขึ้น

    “แหม่ ก็นางสวยกว่าเธอนี่หน่า” เรนิต้าพูดแซวไป

    “ไม่ แต่เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับนางนะ ฉันได้กลิ่นแปลกๆมาซักพักแล้ว” วาลิน่าพูดเสริมซิลลินเรีย

    “นั่นสิ เธอบอกเธอเคยอยู่เขต 4 แต่เธอเหมือนไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเท่าไหร่” รอนนี่พูดขึ้น ท่ามกลางมาร์ตินที่นั่นครุ่นคิดไปด้วย

    “ใช่มะ เห็นที ถ้าเจอเธออีกฉันคงต้องถามเธอหน่อย ฉันมีวิธีหลอกถามอยู่หน่ะ” ซิลลินเรียพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันคงต้องลองหาประวัติเธอหน่อย เธอชื่อเจซซิน เกิดที่เขต 4 น่าจะหาประวัติได้ไม่ยาก” รอนนี่พูดขึ้นพลางหยิบไอแพดของเขาออกมาเช็ค

    “คงต้องใช้เวลาซักพัก แต่เราก็น่าจะพอเดาได้แน่” วาลิน่าพูดขึ้น

    “แล้วนี่ เมื่อไหร่เราจะไปถึงเขต 4 หล่ะเนี่ย??” เรนิต้าถามอย่างสงสัย

    “ไม่นานหรอก อย่าไปเฉียดเขตสหประชาชาติก็แล้วกัน” วาลิน่าพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันต่อ

    ทางลูซิน่า เด็กซ์เตอร์ เมเดอลีน และฟรอนเทียร์ พวกเขานำกำลังสมาชิกที่เหลือประมาณ 2000 กว่าพร้อมอาวุธครบมือเดินทางผ่านเขต 3 เพื่อต่อไปยังเขต 6 โดยที่พวกเขาก็ได้ดูแผนที่ไปด้วยว่าจะใช้เส้นทางไหนเดินทางไป

    “อืม ช่องทางจะไปเขต 6 ตรงนี้แคบมาก” ฟรอนเทียร์พูดขึ้น

    “ฉันคิดว่า กว่าเราจะผ่านไปได้ พวกมันคงวางกำลังดักไว้แล้ว” เด็กซ์เตอร์พูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น นายก็ลองเอาโดรนของนายสำรวจหน่อยสิ” เมเดอลีนพูดขึ้น

    “ลองส่งโดรนไปสำรวจก่อน แต่ต้องเงียบๆไว้หล่ะ” ลูซิน่าพูดขึ้น

    “ได้ๆ ถ้าอย่างงั้นรอเดี๋ยวนะ” เด็กซ์เตอร์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่รถบรรทุกคันหนึ่ง เขาสั่งให้รถบรรทุกจอด จากนั้นก็ไปลากเอากล่องๆหนึ่งลงมาจากรถ ซึ่งด้านในเป็นโดรนสำรวจลำหนึ่ง เขาติดตั้งระบบของมัน จากนั้นก็ใช้โดรนบินสำรวจพื้นที่ในทันที เขาบังคับโดรนไปพร้อมกับเดินมาที่รถที่คนอื่นๆกำลังรออยู่ด้วย และในตอนนั้น พวกเขาก็พบกับยามติดอาวุธกลุ่มหนึ่งที่กำลังดักรออยู่อีกฝั่ง ทำเอาเขาถึงกับต้องเอาโดรนบินกลับมาในทันที แล้วมาบอกกับเพื่อนๆของเขา

    “เออนี่ ได้เรื่องยังไงบ้าง??” เมเดอลีนถามอย่างสงสัย

    “มีการ์ดอยู่โหลนึง อาวุธเบา พร้อมป้อมปืนกลกับรั้วลวดหนามเตี้ยๆหน่ะ” เด็กซ์เตอร์พูดขึ้น

    “คงต้องเก็บอย่างระวังๆหน่อย ไม่อย่างงั้นพวกมันอาจจะไปเตือนพวกมันคนอื่นก็ได้” ลูซิน่าพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น ฉันขอคนไปซัก 10 คน พร้อมปืนสไนเปอร์ด้วย ที่เหลือเข้าโจมตีตอนไม่มีคนคุ้มกันได้เลย” ฟรอนเทียร์พูดขึ้นกับทุกคน

     

    กลับมายังรัฐสภาของโซโรวา ในวันนั้นคณะรัฐบาลชั่วคราวของโซโรวานำโดยโดนาทอร์ก็เข้าประชุมเรื่องที่เกิดขึ้นกับทูตรัสเซียเมื่อวาน ในวันนี้ปาโบลก็เข้าประชุมด้วย และเมื่อครบองค์ประชุม พวกเขาก็เริ่มประชุมกันในทันทีว่าจะอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    “เอาหล่ะครับ ตอนนี้อาการล่าสุดของท่านทูต ท่านปลอดภัยแล้วหล่ะ” โดนาทอร์พูดขึ้นในที่ประชุม

    “เฮ้อ ยังดีที่เขาไม่เป็นอะไรมากนะครับ” ปาร์บี้พูดขึ้น

    “อืม เท่าที่ผมคิดดู ผมว่าอาจจะมีคนสร้างสถานการณ์ก็ได้นะครับ โดยใช้พวกเราเป็นเครื่องมือ” ปาโบลออกความเห็นไป

    “แล้วคุณว่า จะเป็นฝีมือใครหล่ะคะ??” พาร์นิต้าถามอย่างสงสัย

    “ตอนแรกผมสงสัยว่าจะเป็นอเมริกา แต่เราต้องได้ตัวมือปืนก่อน ถึงจะบอกอะไรเพิ่มได้” ปาโบลพูดขึ้น

    “แล้วพวกเขาอาจใช้พื้นที่ของเราเป็นสมรภูมิ ซึ่งผมไม่ยอมเด็ดขาด” โดนาทอร์พูดขึ้น

    “แล้วคุณจะเอายังไงต่อหล่ะ??” ปาร์บี้ถามอย่างสงสัย

    “เราต้องใช้การทูตให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้พวกเขามีปัญหากัน” โดนาทอร์พูดขึ้น

    “ได้ค่ะ เรื่องนั้นฉันจะจัดการเอง” พาร์นิต้าพูดขึ้น

    “ถ้าเราไปมีส่วนเอี่ยวด้วย งานนี้เราได้ตายกันหมดแน่” ปาโบลพูดขึ้น

    “ผมตายผมไม่เสียดายหรอก แต่ถ้าประเทศนี้เข้าสู่วังวนความขัดแย้งอีกครั้ง ประเทศนี้ก็คงไม่มีหวังอะไรอีกแล้ว” โดนาทอร์พูดกับทุกคนไป

    “แล้วเรื่องสงครามกับเขตอื่นหล่ะ จะเอายังไงต่อครับ??” ปาร์บี้ถามอย่างสงสัย

    “เรื่องนั้นผมจะฝากคุณปาโบลจัดการก็แล้วกัน” โดนาทอร์พูดขึ้น 

    “ได้เลยครับ ผมจะจัดการเอง” ปาโบลรับคำไป

    “เอาหล่ะ เรามาคุยกันเรื่องวาระอื่นต่อดีกว่า” โดนาทอร์บอกกับคณะทำงานคนอื่นๆไป

     

    กลับมายังเขต 2 กองกำลังของ Khorne ในตอนนั้นก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้น หลังจากที่จักรกลของพวกเขาเริ่มจะออกรบได้แล้ว ในตอนนี้เหลือแค่ชาร์จพลังงานให้กับมัน มันก็จะเข้าสู่สมรภูมิรบได้แล้ว ในตอนนั้นเรดเดวิลที่ยังกบดานในบ้านพักของเขาก็ปรึกษากับสูราจา ลูกน้องคนสนิทของเขาในทันที

    “ฮ่าๆๆๆ ในที่สุด สิ่งที่ฉันรอคอยมานานก็จะเป็นจริงซะที” เรดเดวิลพูดอย่างยิ้มเยาะ จากนั้นก็สูบกัญชาบนเตียงนอนของเขาอย่างสบายใจ

    “ครับท่าน ว่าแต่ ถ้าชาร์จพลังเสร็จแล้ว ให้เอาไปลุยได้เลยหรือเปล่าครับ??” สูราจาถามไป

    “ยังก่อน ของดีมันต้องเก็บไว้ทีหลังสิ” เรดเดวิลพูดขึ้น

    “ครับท่าน ปีนี้ผลผลิตยาเสพติดของเราทำกำไรได้ดีมากเลยครับ” สูราจาพูดไป

    “เออ แล้วมีข่าวอย่างอื่นหรือเปล่าหล่ะ??” เรดเดวิลถามไป

    “พวกชาวบ้านหลายคนพยายามจะหนีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็พยายามสกัดมันทุกช่องทางแล้วครับ” สูราจาพูดขึ้น

    “ฆ่ามันให้ตายซักศพ แขวนมันประจาน จะเป็นไรไปหล่ะ??” เรดเดวิลถามไป จากนั้นก็ยกน้ำชาซดไปด้วย

    “ชานี่โคตรอร่อยเลย!!” เรดเดวิลพูดขึ้น

    “ชาจีนครับ ยี่ห้อนี้ชื่อดังมากเลยครับท่าน”

    “เออ สงครามตอนนี้เป็นยังไงบ้างหล่ะ??” เรดเดวิลถามอย่างสงสัย

    “ครับ ที่เมืองหลวง พวกของโดนาทอร์ตรึงกำลังแน่นหนา ดูจากจำนวนรถหุ้มเกราะที่พวกมันได้ไป บางทีมันอาจจะมาโจมตีพวกเราในไม่กี่อึดใจครับ” สูราจาพูดขึ้น

    “ถ้ามันมา ให้จักรกลของเราออกโรงเลย มันจะได้ประกาศให้ก๊กอื่นๆได้คิดด้วยถ้าหากจะต่อต้านเรา” เรดเดวิลพูดขึ้น

    “ครับ ส่วนที่เขต 4 ตอนนี้เรากำลังกวาดล้างพวกกบฏในพื้นที่ แต่พวกมันหายเข้าไปในป่า พวกเราต้องเสียเวลาแกะรอยมันครับ”

    “เออ ยังไงก็ปูพรมให้ราบเลย ฉันชักจะเบื่อพวกหนูนรกนี่หล่ะ” เรดเดวิลพูดขึ้น

    “ครับ ส่วนที่เขต 5 เราส่งกำลังไปจัดการแล้วแต่ยังไม่มีการติดต่อกลับมาเลยครับ” สูราจาพูดขึ้น

    “อืม ไม่ต้องไปอะไรมาก แค่ลองเชิงพวกมัน ถึงยังไงพวกมันก็ต้องเปิดศึกกับพวกเขต 7 อยู่แล้ว” เรดเดวิลพูดขึ้น

    “ครับผม ส่วนเรื่องอาวุธที่กำลังจะส่งมา เราสั่งให้คนของเราคุ้มกันท่าเรือแน่นหนาแล้วครับ ผมรับรองว่าไม่มีใครบุกเข้ามาได้แน่นอน” สูราจาพูดขึ้น

    “เออ อย่าให้เหมือนคราวที่แล้วแล้วกัน ตอนนี้ฉันง่วง ขอนอนพักหน่อย สั่งทุกคนห้ามรบกวนหล่ะ” เรดเดวิลพูดขึ้น จากนั้นเขาก็สั่งให้เด็กรับใช้ถอดชุดเกราะของเขาออกในทันที

     

    กลับมายังเขต 4 ค่ายของบาร์มามัส หลังจากที่เนวิสและเจซซินได้ออกจากค่ายเพื่อกลับเมืองหลวงแล้ว ในตอนนั้นพวกเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการรบในครั้งถัดไป เพราะศัตรูของพวกเขาในครั้งนี้คือพวก Khorne ทำเอาพวกเขาต้องเตรียมพร้อมกันมากขึ้น

    “เอาหล่ะ ตอนนี้กลุ่มอื่นๆในเขต 4 กำลังโดนกวาดล้าง ต่อไปต้องเป็นพวกเราแน่ๆ ตอนนี้ต้องตัดกำลังพวกมันให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะยังไง” บาร์มามัสบอกกับสมาชิกของเขา แต่ในตอนนั้น  โอเมอร์ก็ได้แต่ทำคิ้วขมวดราวกับสงสัยอะไรบางอย่าง ทั้งเคนโนช่าและแองเจลิก้าสังเกตได้ชัดเลยถามเขาไปในทันที

    “โอเมอร์ เป็นอะไร เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เช้าแล้ว??” เคนโนช่าถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ มีอะไรหรือเปล่า??” แองเจลิก้าถามเสริมไป

    “อืม เมื่อวาน พี่ผู้หญิงคนนั้นถามเรื่องของคุณจอห์นนี่ แล้วพี่เขาก็หายไปทั้งเย็น แล้วอยู่ดีๆก็มาพาพี่เนวิสกลับไปหน่ะครับ” โอเมอร์พูดขึ้น

    “เออ นั่นสิ ทำไมฉันถึงไม่สังเกตเลยหล่ะ” บาร์มามัสถามอย่างสงสัย

    “ฉันเองก็ได้กลิ่นแปลกๆของนางเหมือนกัน” เคนโนช่าพูดขึ้น

    “อย่าบอกนะ ว่าพวกนั้นเป็นสายลับกันหน่ะ??” แองเจลิก้าถามไป

    “ผมว่า พี่เนวิสไม่น่าจะใช่นะครับ” โอเมอร์พูดขึ้น

    “ใช่ ฉันไม่สงสัยหมอนั่นหรอก แต่กลัวว่าหมอนั่นอาจกำลังโดนหลอกใช้” บาร์มามัสพูดขึ้น

    “ฉันว่า น่าจะเป็นไปได้ หมอนั่นดูซื่อๆนะ” เคนโนช่าพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น คงต้องเตือนคุณจอห์นนี่แล้วหล่ะ” แองเจลิก้าพูดขึ้น

    “แล้วพี่เนวิสหล่ะ จะไม่เตือนเขาหน่อยเหรอครับ??” โอเมอร์ถามไป

    “เรื่องเนวิส ฉันเตือนผ่านเพื่อนเขาดีกว่า ฉันพอรู้คลื่นที่พวกนั้นใช้ติดต่อหากัน” บาร์มามัสพูดขึ้น

    “อืม ได้ยินว่าพวกนั้นกำลังจะมาที่เขตเราด้วย ไม่รู้จะมาช่วยเราหรือเปล่า??” แองเจลิก้าถามไป

    “พวกนั้นอาจจะมาพรุ่งนี้ แต่พวก Khorne อาจจะเล่นเราวันนี้ก็ได้” เคนโนช่าพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องเตรียมตัวแล้วหล่ะครับ” โอเมอร์พูดขึ้น

    “โอเค สั่งคนของเราให้เตรียมพร้อม ดักโจมตีพวกมันตามรายทางไป เล่นงานพวกมันให้ได้มากที่สุด อย่าให้มันบุกมาถึงที่นี่ได้” บาร์มามัสสั่งลูกน้องของเขา จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่บาร์มามัสสั่งในทันที

     

    และอีกด้านหนึ่ง ที่แหล่งกบดานของจอห์นนี่ ลูกน้องของเขาคนหนึ่งได้รับวิทยุจากโลกภายนอก และเมื่อฟังเสร็จ เขาก็ได้รีบมารายงานให้กับจอห์นนี่ได้ฟังในทันที

    “คุณจอห์นนี่ครับ บาร์มามัสมาเตือนเราครับ ว่าอย่าไว้ใจหญิงสาวที่มากับไอ้หนุ่มคนนั้น ที่คุณเพิ่งเจอเมื่อวานหน่ะครับ” ลูกน้องของเขาพูดออกมา

    “งั้นเหรอ อืม ถ้าอย่างงั้นคงต้องเพิ่มกำลังป้องกันมากกว่านี้ แล้วก็เตรียมทางหนีด้วยหล่ะ” จอห์นนี่พูดขึ้น

    “เรื่องนั้นพวกเราจัดการไว้แล้วหล่ะครับ” ลูกน้อของเขาพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ลูกน้องของเขาคนหนึ่งก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเขาอย่างเร่งรีบ

    “ท่านครับ คุณโอเมนติดต่อมาครับ!!”

    “งั้นเหรอ เอาสายมาให้ฉันเลย” จอห์นนี่พูดขึ้น จากนั้นก็ไปที่วิทยุในทันที แล้วก็คุยกับปลายสาย

    “ครับผม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ มีธุระอะไรหรือเปล่า??”

    “จะมาที่นี่เหรอครับ อืม ครับผม จะให้ผมส่งคนไปรับที่ไหนหล่ะ??”

    “ได้ๆ ผมจะส่งกองกำลังในพื้นที่ไปรับนะครับ” จอห์นนี่คุยกับปลายสายไป

     

    กลับมายังโกดังของอเล็กซานเดอร์ หลังจากที่ปีเตอร์เรียกกองกำลังของเขากลับมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานถัดไปของพวกเขา ในวันนั้นเอง ซาโตะก็เพิ่งจะได้รับข่าวจากวอชิงตัน ซาโตะได้ยินข่าวในตอนนั้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อหูของตัวเองเท่าไหร่ แต่เธอก็เอาข่าวไปบอกกับปีเตอร์ในทันที

    “ปีเตอร์ มีคำสั่งวอชิงตันมาใหม่อีกแล้ว แต่ว่า ฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่คำสั่งนี้” 

    “เหรอ พวกเขาบอกว่าอะไรหล่ะ??” ปีเตอร์ถามอย่างสงสัย

    “คือ พวกเขาบอกให้เรา สังหารโดนาทอร์หน่ะ”

    “ห่ะ จริงเหรอ ทำไมพวกเขาถึงคิดอย่างงั้นหล่ะ??” ปีเตอร์ถามอย่างสงสัย

    “ทางหน่วยข่าวกรอง CIA ให้ข้อมูลมาว่า โดนาทอร์เจรจาเปิดความสัมพันธ์กับรัสเซียในวันนั้น พวกเขาคิดว่าโดนาทอร์จะไปเข้ากับพวกรัสเซียหน่ะ” ซาโตะพูดขึ้น

    “เหรอ ข่าวของ CIA เชื่อได้หรือเปล่าครับเนี่ย ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เลย??” เจสันถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ เท่าที่เราเห็น พวกเขากำลังมีปัญหากับรัสเซียอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้มายังไงเนี่ย” คัดเตอร์พูดเสริม

    “เราไม่มีหน้าที่ตั้งคำถามหน่ะสิ ได้แต่ทำตามที่พวกเขาสั่ง” ปีเตอร์พูดขึ้น

    “แต่ว่า งานนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นกลลวงหรือเปล่านะคะ พวกเขาอาจจะใช้เราและโยนความผิดให้เรานะคะ” การ์เซียพูดขึ้น

    “แต่เราจะทำอะไรได้หล่ะ ตอนนี้เราก็คงต้องทำงานตามที่เขาสั่งหน่ะสิ” ซาโตะพูดขึ้น

    “ฉันเห็นด้วยกับการ์เซียนะคะ ไม่แน่ พวกเขาอาจจะมีลับลมคมในอะไรก็ได้ มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปลอบสังหารเขา” มิคาเอลพูดขึ้น

    “เฮ้อ แต่เราก็ต้องทำตามหน่ะสิ ว่าแต่ แผนต่อไปของพวกเราจะเอายังไงหล่ะครับ กองกำลังของโดนาทอร์ตอนนี้เริ่มเข้มแข็งแล้ว จะลอบสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ” เบ็ตเก็ตต์พูดขึ้น

    “ผมเห็นด้วยนะครับ ผมได้ข่าวมาว่าตอนนี้พวกเขาเสริมกำลังอาวุธมากขึ้นเรื่อยๆ แถมมีกองกำลังใต้ดินที่แม้แต่อเมริกายังกวาดล้างไม่ได้คอยคุ้มกันอยู่ ผมว่าเข้าถึงเขาไม่น่าจะง่ายเลยนะครับ ไม่แน่ว่าเราอาจจะโดนพวกนั้นเจอตัวก่อนก็ได้” เมสันพูดปรามไป

    “ผมรู้ แต่ถึงยังไงเราก็ต้องทำ เอาเป็นว่า เรามีแผนการเดินทางไปไหนมาไหนของโดนาทอร์หรือเปล่า??” ปีเตอร์ถามอย่างสงสัย

    “ค่ะ การเดินทางของเขาไม่มีอะไรมาก เขาชอบไปเขตนั้นเขตนี้ที ไปฟื้นฟูในแต่ละพื้นที่หน่ะค่ะ” ซาโตะพูดขึ้น

    “อืม แล้วคนคุ้มกันของเขาหล่ะ??” ปีเตอร์ถามต่อ

    “เท่าที่ได้ข่าว บอดี้การ์ดของเขาก็พอมีบ้าง แต่คนที่คุ้มกันเขาจริงๆคือพวกชาวบ้านหน่ะค่ะ ถ้าบุ่มบ่าม ชาวบ้านนับร้อยนับพันคงไม่ปล่อยเราไว้แน่” ซาโตะพูดขึ้น

    “ก็ไม่แปลกใจหรอก เอาเป็นว่า ตอนนี้เราต้องจับตาดูและหาโอกาสไปก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำยังไง” ปีเตอร์พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง อเล็กซานเดอร์ตอนนั้นก็เอาอาหารเช้ามาให้กับปีเตอร์และลูกน้องคนอื่นๆในทันที เพราะพวกเขายังไม่ได้กินอะไรเลยแต่เช้า

    “วันนี้มีข้าวโอ๊ตต้มให้กินนะครับ ผมใส่เนื้อกระป๋องไปด้วย!!”

    “ขอบคุณมากครับ” ปีเตอร์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็แจกจ่ายอาหารให้กับลูกทีมของเขาไปในทันที

    “อ่า ว่าแต่ ตอนนี้สองคนนั้น แจ๊กกี้กับดีมีทรี เขาติดต่อกลับมายังครับ??” อเล็กซานเดอร์ถามอย่างสงสัย

    “เมื่อวานเห็นติดต่อมาอยู่นะครับ เขาบอกว่าตอนนี้กำลังเข้าถึงตัวนายพลจางแล้ว” ปีเตอร์พูดขึ้น

    “อืม ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะเป็นยังไงต่อนะครับ”

    “คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอกครับ ผมว่าเขาไม่น่าเป็นอะไรหรอก” ปีเตอร์พูดขึ้น

    “ว่าแต่ งานของคุณต่อไปคืออะไรครับ??” อเล็กซานเดอร์ถามไป

    “อ้อ งานนี้เป็นความลับสุดยอดครับ” ปีเตอร์พูดขึ้น

    “อ้อ ผมเข้าใจแล้วหล่ะ ยังไงก็ตามสบายเลยนะครับ ถ้าตำรวจมาผมจะรับหน้าก่อนเอง” อเล็กซานเดอร์ตอบกลับไป

     

    กลับมายังบ้านของฟรานซิสก้า ในวันนั้นเธอก็นั่งพักอยู่ที่บ้านของเธอตามปกติ ในวันนั้นจู่ๆก็มีชายในชุดตำรวจสองสามคนมาเคาะที่ประตูหน้าบ้านของเธอ เธอรีบเปิดประตูออกไปรับชายพวกนั้นในทันที

    “สวัสดีค่ะ!!”

    “สวัสดีครับ พวกเราเป็นตำรวจ เราขอสอบถามข้อมูลอะไรหน่อยได้หรือเปล่าครับ??”

    “ค่ะ พวกคุณจะถามอะไรคะ??” ฟรานซิสก้าถามไป

    “คุณรู้จักคนในรูปหรือเปล่าครับ??” ตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นก็โชว์รูปชายคนหนึ่งให้เธอดูไป

    “อืม เคยเห็นนะคะ เขาเป็นพนักงานร้านขายของคนหนึ่งนี่คะ”

    “ใช่ครับ เรากำลังสงสัยว่าเขาเป็นสายลับอเมริกัน แล้วคุณก็เคยคุยกับเขา เราเลยอยากสอบถามหน่ะครับ”

    “เหรอคะ ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากหรอกค่ะ แต่พักหลังๆ เขาไม่มาทำงานหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” ฟรานซิสก้าพูดขึ้น

    “อืม แล้วคุณพอรู้หรือเปล่าครับว่าเขาอยู่ที่ไหน??” ตำรวจพวกนั้นถามไป

    “ทางฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

    “ครับ ขอบคุณครับที่ให้ความร่วมมือ ผมไม่รบกวนแล้วนะครับ” ตำรวจพวกนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ขี่มอไซค์ออกไปในทันที 

     

    กลับมายังร้านบะหมี่ของหลิว ในระหว่างที่เขากำลังลวกบะหมี่ตามปกติเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา แต่ในตอนนั้นเอง G ก็เดินมาที่หน้าร้านของเขา หลิวเห็นในตอนนั้นก็ทักทาย G ไปในทันที

    “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ลื้อเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” หลิวถามไป แต่ G ไม่ตอบอะไร จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้าน ตัวหลิวเอง หลังจากที่หลิวทำบะหมี่ให้ลูกค้ารายหนึ่งเสร็จ เขาก็เดินตาม G เข้าไปในร้านทันทีแล้วคุยกับเขา

    “เออนี่ ลื้อส่งคนเอารถไปให้ลื้อ เป็นยังไงบ้างหล่ะ??” หลิวถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง G ก็กดแท็บแล็ตเพื่อคุยกับหลิวในทันที

    “เกือบตายหน่ะ ฉันจำเป็นต้องทิ้งรถและเดินเท้าต่อ”

    “อ้อๆ เข้าใจๆ เดี๋ยวอั๊วให้คนจัดการเรื่องรถเอง ว่าแต่ งานสำเร็จหรือเปล่า??” หลิวถามต่อ

    “ไม่หว่ะ แถมโดนตามล่าเกือบตายด้วย” G พิมพ์ตอบไป

    “เออๆ ว่าแต่ งานต่อไป นายจะทำอะไรต่อวะ??” หลิวถามอย่างสงสัย

    “ฉันต้องกลับไปที่เขต 2 ทำงานลอบสังหารพวก Khorne หน่ะ” G พิมพ์ตอบไป

    “อ่าๆ ดีแล้วหล่ะ ไปเขตอื่นเพื่อกบดานซักพัก ยังไงก็ระวังๆไว้หล่ะ พวกมันอาจจะตามล่าลื้ออีกก็ได้ ชายแดนเขต 2 คงไม่ปลอดภัยแล้วหล่ะ” หลิวพูดขึ้น

    “ขอบใจมาก แต่ยังไง ฉันขอของให้ฉันเหมือนเดิมก็แล้วกัน” G พิมพ์บอกหลิวไป

    “อ่าๆ ได้เลย พรุ่งนี้ได้ของแน่ๆ ว่าแต่ลื้อจะออกเดินทางเมื่อไหร่หล่ะ??” หลิวถามอย่างสงสัย

    “ได้ของเมื่อไหร่ฉันจะไป นายจะได้ไม่เดือดร้อนหน่ะ” G พิมพ์บอกไป

     

    ณ เรือธงสัญชาติบราซิล เรือของฟิลิปเป้ ในวันนั้นเขาก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือ ซึ่งงานนั้นเขาต้องติดต่อกับ G เพื่อคุยถึงรายละเอียดของงานใหม่ที่ G จะต้องทำ เพราะทางนั้นต้องการปิดฉากกลุ่ม Khorne โดยเร็ว

    “ทุกคน ติดต่อ G ให้ผมหน่อยสิ!!” ฟิลิปเป้พูดขึ้น

    “รับทราบค่ะ เราพยายามจะติดต่ออยู่ค่ะ แต่ตอนนี้เขาคงปิดระบบชั่วคราว เพราะกำลังโดนตามล่าอยู่หน่ะค่ะ”

    “เฮ้อ ถ้าอย่างงั้นก็รอดูก็แล้วกันว่าเขาจะออนไลน์เท่าไหร่” ฟิลิปเป้พูดขึ้น

    “ค่ะท่าน ว่าแต่ ทางนั้นเขามีงานอะไรเหรอคะ??”

    “อ้อ ทางนั้นเขาต้องการปิดเกมพวก Khorne ให้เร็วที่สุด เพราะหน่วยข่าวกรองบางส่วนบอกเรามาว่า ตอนนี้พวก Khorne มีอาวุธร้ายอยู่ในครอบครองหน่ะ” ฟิลิปเป้พูดขึ้น

    “อาวุธนิวเคลียร์เหรอคะ??”

    “ไม่น่าใช่ แต่ดูเหมือนว่าก็อันตรายอยู่พอตัว ถ้าพวกนั้นโจมตีและยึดได้ทั้งประเทศ งานนี้สงครามครั้งหน้าเราอาจจะลำบากแน่ๆ” ฟิลิปเป้พูดขึ้น

    “ดิฉันว่า ถ้าพวกนั้นมีนิวเคลียร์ สหรัฐคงโจมตีไปตั้งนานแล้วหล่ะค่ะ” 

    “ก็ใช่ แต่เราไม่รู้ว่าอาวุธใหม่ของพวกมันเป็นอะไร ถึงยังไงก็จับตาดูไว้ก่อนแล้วกัน” ฟิลิปเป้พูดขึ้น

     

    กลับมายังเขต 4 เขตสหประชาชาติ ซึ่งมารีนเนอร์ก็ยังคงรับผู้อพยพจากเขต 2 ซึ่งพยายามหนีออกมาจากพื้นที่เขต 2 เรื่อยๆ แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าผู้อพยพเดินทางมาน้อยผิดปกติ พร้อมกับได้ยินเสียงปืนดังมาแต่ไกลเป็นระยะๆ ทำเอามารีนเนอร์ถึงกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเลยถามทหารในทันที

    “นี่ เสียงปืนที่ดังมาจากตรงนั้น ได้ยินมาซักพักแล้วนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย??” มารีนเนอร์ถามอย่างสงสัย

    “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ บางทีอาจจะมีการปะทะกับกลุ่มกบฏในพื้นที่ก็ได้นะครับ”

    “อืม เข้าใจ แต่วันนี้ผู้อพยพจากเขต 2 มากันน้อยกว่าที่คิดไว้นะ เหมือนกับว่าพวกเขา…” แต่ยังไม่ทันที่มารีนเนอร์จะพูดจบ ในตอนนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาหาเธอ ในสภาพที่โดนยิงเข้าที่แขน เลือดอาบไปทั่ว ทหาร UN รีบไปประคองร่างของชายคนนั้นในทันที มารีนเนอร์รีบไปคุยกับชายคนนั้นในทันที

    “คุณคะ ทำใจดีๆไว้นะคะ!!”

    “ช่วยด้วย พวกมันฆ่าทุกคน พวกมันฆ่าทุกคน!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ พวกนั้นทำอะไร ฆ่าอะไรเหรอคะ??” มารีนเนอร์ถามไป

    “พวก Khorne จากเขต 2 พวกนั้นฆ่าทุกคนที่พยายามจะหนีออกไป พวกนั้นไล่ยิงทุกคน ตอนนี้มีชาวบ้านถูกยิงตายไปเป็นร้อย ช่วยพวกเราด้วยครับ!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น 

    “ใจเย็นๆไว้ก่อนนะคะ รีบพาเขาไปรักษาด่วนเลย!!” มารีนเนอร์พูดขึ้น จากนั้นทหาร UN ก็รีบไปตัวชายคนนั้นไปรักษาที่เต้นท์พยาบาลในทันทีก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้

    “เห็นที เราคงต้องไปสังเกตการณ์หน่อยหล่ะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น??” มารีนเนอร์พูดขึ้น

    “แต่ว่า มันอันตรายนะครับ พวกนั้นอาจจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อ แถมเรายังแทรกแซงลำบาก ถ้าไม่มีหลักฐานมากพอหน่ะครับ” ทหาร UN พูดขึ้น

    “ฉันมีเพื่อนเป็นนักข่าวสายนี้ ฉันจะลองติดต่อเขาดู เผื่อว่าเขาพอจะทำข่าวนี้ได้ เราต้องตีแผ่เรื่องนี้ให้โลกได้รู้ ไม่อย่างงั้น ต้องมีอีกหลายชีวิตที่ตายแน่ๆ” มารีนเนอร์พูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในเต้นท์ของเธอในทันที โดยที่เธอได้ขอให้ทหาร UN เอาวิทยุติดต่อมาด้วย เพื่อที่เธอจะได้ติดต่อนักข่าวที่เธอรู้จัก เพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับการสังหารหมู่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์พวกนั้น

     

    กลับมายังเขต 5 ของแอลรอน ในตอนนั้นกองกำลังของเขาได้ปะทะกับหน่วยรบพิเศษที่พวก Khorne ส่งมาสู้กับพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าในตอนนั้นพวกเขากำลังเสียเปรียบ เพราะไม่รู้ว่าจะรับมือกับคนพวกนั้นยังไง แอลรอนและโรสเซียเดินทัพมาถึงพื้นที่นั้น จากนั้นก็ลงจากรถและมาดูสถานการณ์ในทันทีว่าพวกนั้นเป็นใคร 

    “โห ดูชุดเกราะพวกนี้สิ คงจะเป็นชุดเกราะแบบพิเศษ กระสุนธรรมดาคงจะทำอะไรพวกมันไม่ได้แล้วหล่ะ” แอลรอนพูดขึ้น

    “แล้วนี่ เราจะเอายังไง ขืนชักช้าพวกมันได้บุกเข้ามาแน่ๆ??” โรสเซียถามอย่างสงสัย

    “เอา RPG ยิงยัดพวกมันไปเลย รอสัญญาณจากฉันก็แล้วกัน” แอลรอนพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็หยิบเอาจรวด RPG ซึ่มีทั้งหัวกระสุนระเบิดและเจาะเกราะ ซึ่งในตอนนั้นพวกมันก็เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆแล้ว

    “พวกมันกำลังมาแล้ว เอายังไงต่อหล่ะ??” โรสเซียถามอย่างกังวล

    “รออีกนิด ให้พวกมันเข้ามาใกล้หน่อย” แอลรอนพูดขึ้น จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆเดินเข้ามาเรื่อยๆ เพราะสงสัยว่าพวกของแอลรอนหายไปไหนกันหมด

    “เอาหล่ะ ยิงเลย!!”

    คนของแอลรอนโผล่ออกมาแล้วระดมยิง RPG ใส่ทหารพวกนั้นในทันที และเมื่อมันระเบิดออก ทหารพวกนั้นก็กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง บางส่วนก็ร่างขาดทั้งตัว บางส่วนก็เกราะเสียหายและบาดเจ็บ พวกมันที่เหลือในตอนนั้นก็เห็นท่าไม่ดีจึงได้ถอยร่นกลับไป

    “อยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องตามพวกมันไปหรอก” แอลรอนพูดขึ้น

    “ได้เลย แล้วนี่ พวกเราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” โรสเซียถามไป

    “เอาคนเจ็บไปรักษาก่อน ส่วนพวกมันที่เหลือ เอาชุดเกราะของพวกมันออกมาดู ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นชุดเกราะแบบไหน ไประวังๆหล่ะ พวกมันอาจจะยังตายไม่หมด” แอลรอนพูดขึ้น จากนั้นลูกน้องของเขาก็จัดการวิ่งไปถอดชุดเกราะของพวกนั้น แล้วก็สังหารคนที่อยู่ในชุดเกราะทิ้งทันที แอลรอนในตอนนั้นก็สังเกตการณ์พื้นที่เพิ่มเติมไปด้วยว่าพวกนั้นจะทำอะไรต่อ

    “นี่ นายคิดอะไรอยู่เหรอแอลรอน??” โรสเซียถามอย่างสงสัย

    “ฉันคิดว่า พวกมันคงจะไม่มาแล้วหล่ะ จนกว่าพวกเราจะเพลี่ยงพล้ำหน่ะ” แอลรอนพูดขึ้น

    “ก็เป็นไปได้ พวกมันส่งมาแค่ 50 คน คงแค่มาลองเชิงพวกเราดูก่อนหน่ะ” โรสเซียพูดขึ้น

    “สั่งซื้อ RPG มาเพิ่ม ฉันว่างานนี้เราคงต้องเล่นกับของใหญ่แล้วหล่ะ ถ้าพวกมันมีของดีขนาดนี้” แอลรอนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกน้องของแอลรอนคนหนึ่งก็มารายงานข่าวอะไรบางอย่างกับแอลรอนในทันทีอย่างรวดเร็ว

    “ลูกพี่ครับ มีข่าวจากเขต 7 ครับ!!”

    “มีอะไรหล่ะ ว่ามาเลย??” แอลรอนถามไป

    “ตอนนี้เราผลักดันพวกมันให้ออกไปจากพื้นที่หุบเขาของเราแล้วครับ!!”

    “เยี่ยมไปเลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร” โรสเซียพูดขึ้น

    “พวกมันต้องกลับมาแน่ เสริมกำลังไว้ที่แนวภูเขานั่นไว้ สิ่งที่พวกมันต้องการคืออะไรบางอย่างที่อยู่ใต้เขา อย่าให้มันได้ไปเด็ดขาด”  แอลรอนสั่งลูกน้องไป จากนั้นลูกน้องก็ไปทำตามที่เขาสั่งในทันที

     

    กลับมายังที่มั่นของบาร์มาร่า ในวันนั้นหลังจากที่เธอเจรจากับนายพลจางเรียบร้อยแล้ว เธอก็กลับมาพักผ่อนที่ห้องของเธอ แต่ในวันนั้น ทั้งเรซนอร์ฟและโพคลอนสกายาก็มาคุยกับเธออย่างรวดเร็ว เพื่อรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไป โดยที่บาร์บาร่าก็ได้แต่หัวเสียเล็กน้อย

    “นี่ พวกมันยึดเขาตรงนั้นได้แล้วงั้นเหรอ??” บาร์บาร่าถามพวกเขา

    “ครับ พวกมันระดมยิงอาวุธหนักใส่เรา จนเราต้องถอยลงจากเขามาครับ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น

    “ไม่รู้เหรอว่าเขาลูกนั้นมีแร่ที่เราต้องการมากมายเลยนะ แล้วที่เรามีตอนนี้ก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย??” บาร์บาร่าถามไป

    “ฉันรู้ค่ะ แต่เราจำเป็นต้องถอยออกมาก่อน เพื่อรักษาชีวิตทหารเอาไว้ค่ะ” โพคลอนสกายาพูดขึ้น

    “เฮ้อ ตอนนี้นายพลจางรับปากฉันแล้วว่าจะส่งอาวุธหนักมาช่วย พร้อมกับเฮลิคอปเตอร์หน่ะ” บาร์บาร่าพูดขึ้น

    “ครับ ตอนนี้เราต้องการอาวุธแทบจะทุกชนิดเลยเพื่อยึดเขาลูกนั้นคืนครับ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น

    “ได้ ฉันจะให้ทุกอย่างที่พวกนายต้องการ แต่งานนี้อย่าพลาดนะ ไม่อย่างงั้นพวกเราจะซวยกันหมด ฉันลงทุนกับมันไปมาก ฉันไม่ยอมให้มันมาชิบหายหรอก ฉันมอบงานให้ฟอร์ดไปจัดการลอบสังหารคนสำคัญๆของพวกมันแล้วหล่ะ” บาร์บาร่าพูดขึ้น

    “แต่สิ่งที่เราต้องการคือ เราต้องกำจัดกองทัพของพวกมัน ไม่อย่างงั้นงานของเราจะพังหมดครับ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่า เรื่องอาวุธ ท่านนายพลจะจัดการเอง ตอนนี้พยายามยึดเขาลูกนั้นคืนให้ได้” บาร์บาร่าออกคำสั่งไป

    “ค่ะ เอาเป็นว่าฉันจะพยายามค่ะ” โพคลอนสกายาตอบไป

    “เออนี่ ถ้าเจอมือขวาของฉันสองคน เรียกให้เขามาหาฉันด้วยหล่ะ ฉันเบื่อๆยังไงก็ไม่รู้” บาร์บาร่าพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินออกไปด้านนอกห้องในทันที

    และอีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ ซึ่งมันเป็นห้องพักห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ซึ่งรองรับแขกที่มาเยี่ยมเยือน ซึ่งฟอร์ดได้พาแจ๊กกี้และดีมีทรีมาคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของงานที่พวกเขาได้รับมา

    “เออนี่ พวกนายสองคนมาที่โซโรวานานแค่ไหนแล้วหล่ะ??” ฟอร์ดถามอย่างสงสัย

    “ปีนึงได้แล้วหล่ะ นายเองก็เพิ่งมาสินะ” แจ๊กกี้ถามกลับ

    “ใช่ เรารับงานรัฐบาลสหรัฐให้มาสืบเรื่องราวของบาร์บาร่าหน่ะ” เซเนย์พูดขึ้น

    “หวังว่าจะไม่มีใครมาได้ยินเราที่ห้องนี้นะ” ดีมีทรีพูดขึ้น

    “ไม่หรอก ห้องนี้เป็นห้องรับแขก พวกลูกน้องไม่มีใครมาหรอก” ฟอร์ดพูดขึ้น

    “เออ ว่าแต่ งานของเรานี่เราจะเอายังไงกันต่อ??” แจ๊กกี้ถามอย่างสงสัย

    “ฉันว่า พวกนายสองคนลองสืบเรื่องของบาร์บาร่ากับนายพลจาง ส่วนเราจะไปทำงานตามที่เธอสั่งเพื่อซื้อใจเธอหน่ะ” เซเนย์พูดขึ้น

    “อืม แบบนี้ก็ดีนะ มีคนเยอะจะได้ช่วยกัน ตอนนี้นายพลจางกำลังระวังตัวสุดขีด ฉันแอบติดเครื่องดักฟังไว้ที่เสื้อคลุมของเขาแล้วหล่ะ ถ้ามีรายละเอียดอะไร ฉันจะมาบอกพวกนายอีกที” ดีมีทรีพูดขึ้น

    “ดี แต่งานนี้เราต้องเนียนให้ถึงที่สุด ไม่อย่างงั้นพวกเราอาจจะลงหลุมกันหมดก็ได้” ฟอร์ดพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง” แจ๊กกี้ตอบกลับไป

    “ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักพวกนายนะ” เซเนย์พูดขึ้น

    “พวกเราก็เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” ดีมีทรีตอบกลับ และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูมาจากด้านหน้า แจ๊กกี้รีบเดินไปเปิดประตูในทันที แล้วก็พบว่าเป็นเรซนอร์ฟและโพคลอนสกายากำลังยืนอยู่ที่หน้าห้อง

    “มาทำอะไรห้องนี้เนี่ย แอบอู้งานเหรอ??” โพคลอนสกายาถามพลางหัวเราะไป

    “เออๆ คุณบาร์บาร่าเรียกพวกนายสองคน เด็กใหม่ใช่หรือเปล่า ไปหาเธอหน่อยหน่ะ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น จากนั้นทั้งพวกแจ๊กกี้และพวกฟอร์ดก็แยกย้ายกันไปในทันที แจ๊กกี้และดีมีทรีไปหาบาร์บาร่า ส่วนฟอร์ดและเซเนย์ก็ไปทำงานตามที่เขาถูกว่าจ้างมา

     

    กลับมายังเขตชายแดนเมืองหลวงของโซโรวา ในวันนั้นเจซซินก็ขับรถเดินทางมาโดยใช้เส้นทางลับซึ่งจะเป็นทางลัดในการเข้าเมืองหลวง ซึ่งเนวิสที่อยู่ข้างๆเธอก็ได้แต่หลับอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะเขาไม่ได้นอนมาตั้งคืน เจซซินจอดรถอยู่ข้างทาง จากนั้นเธอก็ใช้แท็บแล็ตติดต่อกับหน่วยเหนือของเธอในทันที

    “เจซซิน ออนไลน์”

    “เฮ้ย เจซ หายไปทั้งคืนเลยนะ เป็นยังไงบ้าง??”

    “ฉันรีบกลับมาเมืองหลวงหน่ะสิ ว่าแต่ นายจะให้ฉันทำอะไรหล่ะ??” 

    “อ้อ ทาง CIA มีคำสั่งให้เราเก็บโดนาทอร์หน่ะ แล้วก็เตรียมกวาดล้างพวกใต้ดินด้วย เราได้ยินมาว่าซิลลินเรียเดินทางมาติดต่อกับลูซิน่า หัวหน้ากลุ่มใต้ดินในโซโรวาแล้วด้วย เราต้องเริ่มขุดรากถอนโคนแล้วหล่ะ”

    “หือ เก็บโดนาทอร์ ทำไมกันหล่ะ??”

    “หน่วยข่าวกรองบอกมาว่าในวันที่เขาพบทูตรัสเซีย เขาได้จับมือกับพวกมันด้วย สหรัฐเห็นว่าจะเป็นภัยหน่ะ”

    “แบบนี้มันไม่มีเหตุผลเลยนะ”

    “เธอก็รู้ CIA มีเหตุผลที่ไหนหล่ะ เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไร ฉันจะมาอัพเดทแล้วกัน”

    ออฟไลน์

    และในไม่กี่อึดใจนัก เนวิสก็ตื่นขึ้นมาในทันทีในสภาพที่งัวเงียเต็มที่ ในตอนนั้นเนวิสก็คุยกับเจซซินต่อในทันที

    “เฮ้ เจซ มาจอดอะไรที่นี่หล่ะ??” เนวิสถามอย่างสงสัย

    “อ้อ คือ ฉันง่วงนิดหน่อยหน่ะ” เจซซินพูดขึ้น

    “ง่วงเหรอ งั้นมานอนก่อนสิ ฉันขับให้เอง” เนวิสพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ลงจากรถ แล้วไปสลับที่นั่งกับเจซซินในทันที

    “เออนี่ ฉันอยากไปที่ๆหนึ่ง ไปส่งฉันหน่อยสิ นายรู้จักอพาร์ทเม้นต์ดีน่าหรือเปล่า??” เจซซินถามไป

    “โห หรูมากเลยนะ เธอจะไปทำไมหล่ะ??”

    “เอาน่า ไปส่งฉันหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากพักเหมือนกัน” เจซซินพูดขึ้น เนวิสก็ได้แต่รับคำไป และขับรถไปส่งเธอที่ห้องพักของเธอในทันที ส่วนตัวเจซซินก็ล้มตัวลงนอนที่ข้างๆตัวของเนวิสไป

    ===============================================================

    เนวิสจะทำอย่างไรต่อไปกับเจซซิน และเจซซินจะทำอะไรต่อ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย!!

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×