ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nazi Mafia - เมืองนี้ข้าจอง

    ลำดับตอนที่ #35 : ตอนที่ 31 : ปิดฉาก (END) (ยาวพิเศษ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 109
      2
      1 พ.ย. 63

    หลังจากที่นาวินร่ำลาแม่ของเขาเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็ขับรถออกมาจากตัวเมืองปารีส เขาขับมาเรื่อยๆตามเส้นทางที่ถูกทำลายบางส่วน เขาขับมาเรื่อยๆจนมาเจอกับป้ายๆหนึ่งซึ่งบอกทางไปที่กาแล

    “กาแล 10 ไมล์!!”

    นาวินขับรถมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาก็มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่ามันยังเปิดอยู่ นาวินขับรถเข้าไปจอดในโรงแรม จากนั้นก็เดินเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับในทันทีเพื่อขอจองห้องพัก

    “สวัสดี ผมมาจองห้องพักครับ!!”

    “คุณนอร์วินสินะ คุณแจ๊คสันเตรียมห้องไว้ให้คุณแล้ว ห้องชั้นบนสุดห้องเดียวนะ!!” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น

    “ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเราเป็นยังไงบ้างครับ??” นาวินถามไป

    “ก็เรื่อยๆหน่ะ คุณไม่ต้องคิดอะไรมาก ถัดจากนี่ไป 2 ไมล์ จะมีท่าเรือซึ่งเราคิดว่าเป้าหมายของคุณจะไปที่นั่น สายข่าวของเราบอกว่าเขากำลังจะไปถึงในวันมะรืนนี้” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น

    “คุณมีวิทยุสื่อสารหรือเปล่า ผมอยากจะคุยกับแม่ผม อยากจะคุยกับเพื่อนผมหน่อย??” นาวินถามไป

    “ไม่ได้หรอก ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเราจะบอกคุณเอง ไม่ต้องห่วง” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น

    “ผมหวังว่าพวกเขาจะออกจากปารีสทันนะครับ” นาวินพูดขึ้น

    “อืม แล้วอีกอย่างนะ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร คุณรู้จักฟริตซ์ ไฮดริชหรือเปล่า??” 

    “รู้จักสิครับ ถามทำไมเหรอครับ??” นาวินถามไป

    “เราได้ข่าวมาว่าหมอนั่นจะไปขึ้นเรือที่กาแลด้วย ไม่แน่ คุณอาจยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยหล่ะ” 

    “อืม ก็หวังไว้ว่ามันจะจบง่ายๆนะครับ” นาวินพูดขึ้น

    “คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ ถ้ามีอะไรฉันจะเรียกคุณเอง ไม่ต้องห่วง” พนักงานคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ให้กุญแจห้องกับนาวิน นาวินหยิบกุญแจห้องมา จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนห้องพิเศษที่แจ๊คสันจัดไว้ให้ เมื่อเขาขึ้นไปถึง เขาก็ไขประตูห้องเข้าไปด้านใน และที่ด้านใน เขาก็พบกับห้องนอนที่ทำความสะอาดไว้ รวมถึงปืนชนิดต่างๆพร้อมกระสุนครบมือให้กับนาวิน นาวินเดินไปหยิบปืนกลมือ Sten ซึ่งเป็นปืนกลมือที่เขาชื่นชอบ จากนั้นเขาก็หยิบมันมาใส่กระสุนในทันที รวมถึงเอาปืนไรเฟิลติดกล้องเพื่อใช้ยิงระยะไกลมาด้วย ในระหว่างที่เขากำลังนั่งชื่นชมปืนอยู่ พนักงานหญิงคนหนึ่งก็มาที่หน้าห้องของเขาในทันทีแล้วก็พูดกับเขา

    “อาหารเย็นค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ!!” 

    หญิงสาวคนนั้นยื่นถาดอาหารให้กับนาวินไป นาวินหยิบถาดอาหารมาจากนั้นก็วางมันไว้ในห้อง ในตอนนี้ตัวเขาเป็นห่วงแม่ น้องสาวและไอรีนเป็นอย่างมาก เขาภาวนาขอให้ทุกคนปลอดภัย แม้ว่าตัวเขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปหาพวกเขาก็ตาม 

     

    กลับมาที่ร้านของแม่นาวิน ในวันนั้นเองแม่ของเขาและนอร์ดี้ก็เตรียมของเพื่อย้ายไปที่อเมริกาตามที่นาวินได้บอกไว้ แต่วันนี้ดูเหมือนนอร์ดี้จะไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แม่ของเธอสังเกตอาการได้จึงถามเธอไปในทันที

    “นอร์ดี้ เป็นอะไรไปลูก??”

    “แม่คะ ความจริงหนูไม่อยากไปอเมริกาเลยค่ะ” นอร์ดี้พูดขึ้น

    “อ้าว ทำไมพูดแบบนั้นหล่ะลูก??”

    “หนูอยากไปอยู่กับชาร์ลี หนูกับเขาเรารักกันค่ะ” นอร์ดี้พูดขึ้น

    “จริงเหรอ แล้วนี่ พี่นอร์วินเขารู้ด้วยหรือเปล่าเนี่ย??”

    “รู้ค่ะ พี่เขาสนับสนุนเราด้วยค่ะ” นอร์ดี้พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีมอไซค์คันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าร้าน ซึ่งนั่นคือชาร์ลีนั่นเอง เขารีบไปหานอร์ดี้ในทันที

    “นอร์ดี้!!”

    “ชาร์ลี มาจนได้นะคะ!!” นอร์ดี้พูดขึ้น

    “คุณแม่ครับ ผมอยากจะขอนอร์ดี้หน่ะครับ ผมจะดูแลเธอเอง ผมสัญญาครับ!!” ชาร์ลีพูดขึ้น

    “แล้วเธออยู่ที่นี่มันจะปลอดภัยเหรอ??” แม่ของนาวินถามไป

    “ผมจะพาเธอไปเวียดนาม ไซ่ง่อนตอนนี้เจริญมาก ผมมีพรรคพวกอยู่ที่นั่น เธอจะปลอดภัยครับ” ชาร์ลีพูดขึ้น และก็ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ชายในชุดสูทดำสองคนก็เดินเข้ามาในร้าน จากนั้นก็มาคุยกับแม่ของนอร์วินในทันที

    “คุณแม่ของนอร์วินใช่หรือเปล่าครับ??”

    “ใช่ค่ะ พวกคุณเป็นใครคะ??” แม่ของนาวินถามไป

    “นอร์วินเขาส่งพวกเรามาครับ เราจะพาคุณไปที่ท่าเรือครับ มีเรือรออยู่!!”

    “คุณแม่ครับ ผมขอนอร์ดี้ได้หรือเปล่าครับ??” ชาร์ลีถามแม่ของนาวินไป

    “นอร์ดี้ ลูกรักเขาจริงหรือเปล่า??” แม่ของนาวินถามไป

    “รักค่ะแม่!!”

    “อืม แม่เข้าใจนะ ถ้าลูกอยากอยู่กับเขาก็ไม่เป็นไร แม่ก็ขออวยพรให้ลูกโชคดีนะ” แม่ของนาวินบอกกับนอร์ดี้และกอดเธอเอาไว้อยู่ซักพักด้วย

    “เออนี่ แล้วนอร์วินเขาจะมาเมื่อไหร่หล่ะ??” ชาร์ลีถามชายสองคนนั้นไป

    “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเขาก็กลับมา เราส่งคนไปช่วยเขาแล้วหล่ะ” 

    “แม่คะ ไว้ว่างๆหนูจะไปเยี่ยมแม่ที่อเมริกานะคะ!!” นอร์ดี้พูดขึ้น

    “ได้สิลูก จะมาเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่ลูกเลย” 

    “เรื่องทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลบครับแม่ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง” ชาร์ลีพูดขึ้น

    “ยังไงเธอก็ดูแลลูกสาวฉันให้ดีๆก็แล้วกัน” แม่ของนอร์วินพูดขึ้น

    “เราต้องรีบไปแล้วครับ ตอนนี้คุณไอรีนรออยู่ที่ท่าเรือด้วยครับ!!”

    “คุณไอรีนจะไปด้วยเหรอคะ ถ้างั้นเรื่องของพี่ไอรีนกับพี่นอร์วินก็เรื่องจริงหน่ะสิคะ” นอร์ดี้พูดขึ้น

    “อะไรกันอีกหล่ะลูก นี่แม่งงไปหมดแล้ว??” แม่นาวินถึงกับสงสัย

    “เรารีบไปดีกว่าครับ พวกผมจะรีบไปขนของให้เองครับ!!” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้น พวกเขาก็ไปช่วยแม่ของนาวินขนของขึ้นรถที่พวกเขาเตรียมมา แม่ของนาวินรีบไปขึ้นรถโดยที่บอกลากับนอร์ดี้ไปด้วย ส่วนชาร์ลีก็พานอร์ดี้กลับไปที่บ้านของตนก่อน เพื่อที่จะพาเธอกลับไปเวียดนามด้วย

     

    กลับมายังที่มั่นของกลุ่ม The Crow หลังจากที่ทอร์รินจัดการเรื่องของเขาเสร็จ เขาก็กลับมาที่หน่วยเพื่อตามหาว่านาวินอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเขามาเจอกับแอ็กเซลและทาเนียก่อน ทอร์รินกับโอ๊คเลยไปถามพวกเขาเพื่อให้ได้ความในทันที

    “เฮ้ย แอ็กเซล ทาเนีย พวกนายเห็นนอร์วินหรือเปล่า??” 

    “นอร์วินไปทำงานสำคัญชิ้นหนึ่งหน่ะ นายอาจจะไม่ได้เจอกับเขาแล้วหล่ะ” แอ็กเซลพูดขึ้น

    “เฮ้ย ทำไมพวกนายพูดแบบนั้นหล่ะ??” โอ๊คถามอย่างโมโห

    “ใจเย็นๆสิ พวกสัมพันธมิตรให้เขาทำงานๆหนึ่ง แลกกับการที่จะปล่อยให้พวกเราหนีไปหน่ะ” ทาเนียพูดขึ้น

    “แล้วนี่ นอร์วินเขาไปที่ไหน แล้วทำงานอะไร พอรู้หรือเปล่า??” โอ๊คถามต่อไป

    “เขาไปที่กาแล ตามล่าทหารคนหนึ่งหน่ะ” ทาเนียพูดขึ้น

    “กาแลเหรอ ที่นั่นมีท่าเรือนี่ พวกมันน่าจะหนีไปที่นั่นนะ” ทอร์รินพูดขึ้น

    “ก็ใช่ นอร์วินเลยไปที่นั่นหน่ะ” แอ็กเซลพูดขึ้น

    “แล้วไม่มีใครไปช่วยเขาหน่อยเลยเหรอ??” ทอร์รินถามไป

    “เราส่งคนไปช่วยเขาบางส่วนแล้ว แต่ส่งไปได้ไม่มาก สัมพันธมิตรไม่อยากให้พวกเราเคลื่อนไหวหน่ะ” แอ็กเซลพูดขึ้น

    “บ้าที่สุดเลย ฉันจะตามไปช่วยเขาเอง” โอ๊คพูดขึ้น

    “นี่ นายไปไม่ทันแล้ว ตั้งสติหน่อยสิ นายไปจะช่วยอะไรได้หล่ะ” ทาเนียพูดปรามเขาไป

    “แล้วนี่ พวกเราดำเนินงานไปถึงไหนแล้วหล่ะ??” ทอร์รินถามไป

    “เรากำลังเตรียมของไปที่นีซหน่ะ เรือขนส่งกำลังรอเราอยู่ที่นั่นหน่ะ” แอ็กเซลตอบไป

    “แล้วนี่ พวกนายจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” ทาเนียถามอย่างสงสัย

    “ฉันจะไปช่วยนอร์วิน แต่มันไม่ทันแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน งานของฉันก็จบแล้ว ถือว่าฉันไม่เกี่ยวด้วยแล้วกัน” โอ๊คพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาเองก็หัวเสียเดินออกไปจากค่ายในทันที 

    “เฮ้อ พวกนายนี่ก็จริงๆเลยนะ” ทอร์รินพูดขึ้น

    “เขาอาสาไปเอง เราก็อยากไปช่วย แต่ทำยังไงได้หล่ะ” ทาเนียพูดขึ้น

    “ก็ขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้วหล่ะ” แอ็กเซลพูดขึ้น

    “ใช่ ถ้าเขาไม่กลับมา ฉันว่าฉันจะไปช่วยเขาเอง” ทอร์รินพูดขึ้น

    “แต่เพื่อนนายก็จัดการได้อยู่แล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ??” แอ็กเซลถามไป

    “ตอนนี้เรารีบไปช่วยคุณแจ๊คสันก่อนดีกว่า เขาอาจกำลังรอความช่วยเหลือจากเราก็ได้” ทาเนียพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไปในค่ายหลักในทันที

    และด้านในค่าย แจ๊คสันและคนอื่นๆก็ให้ลูกน้องของเขาขนของเพื่อไปจากที่นี่ รวมถึงติดตามสถานการณ์อื่นๆอย่างใกล้ชิด โดยที่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกน้องของเขาคนหนึ่งก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเขาด้วย

    “คุณแจ๊คสันครับ เราส่งคนไปรับแม่ของนอร์วินมาแล้ว คาดว่าไม่นานจะถึงท่าเรือครับ!!”

    “ดี แล้วตอนนี้นอร์วินอยู่ที่ไหนหล่ะ??” แจ๊คสันถามไป

    “พนักงานของโรงแรมเราติดต่อมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังพักผ่อนอยู่ครับ!!”

    “แล้วความเคลื่อนไหวของเป้าหมายหล่ะ เป็นยังไงบ้าง??” เควินถามไป

    “สายข่าวของเราที่อยู่ในหน่วย SS บอกมาว่าพวกเขาจะเดินทางพรุ่งนี้เช้าครับ!!”

    “ความจริงเราน่าจะไปลอบสังหารมันที่หน่วยเลยก็ได้นะครับ” ปิแอร์พูดขึ้น

    “ตอนนี้พวกมันยังเข้มแข็งอยู่ อย่าเพิ่งเสี่ยงดีกว่าครับ” ทากะพูดขึ้น

    “เออนี่ นายติดต่อคนของนายในอเมริกาหรือยังหล่ะ??” แอนนาถามโจชัวไป

    “ติดต่อได้แล้วหล่ะ ฉันกำลังจะส่งประวัติของพวกเขาไป ไม่น่าจะเกิน 7 วันคงได้เรื่องหน่ะ” โจชัวพูดขึ้น

    “เออนี่ ตอนนี้พวกพันธมิตรยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยงั้นเหรอ??” องค์จักรพรรดินีถามไป

    “เรากำลังแกะรอยพวกเขาอยู่ แต่ตอนนี้เท่าที่ได้ข่าว พวกเขาเตรียมหน่วยคอมมานโดหน่วยหนึ่งอยู่ครับ” โจนาสพูดขึ้น

    “พวกนั้นจะไปที่ไหนหล่ะ พอรู้หรือเปล่า??” องค์จักรพรรดินีถามต่อไป

    “ยังไม่ทราบแน่ครับ แต่เรารู้แค่ว่าไปทางตะวันตกครับ” โจนาสพูดขึ้น

    “เอ๊ะ มันแปลกๆนะ บอกคนของเราติดตามพวกเขาดูหน่อย ฉันอยากรู้ว่าพวกนั้นไปที่ไหน” องค์จักรพรรดินีพูดขึ้น

    “ผมจะส่งคนของผมไปสืบข่าวด้วยครับ คาดว่าน่าจะได้ข่าวมาให้แน่นอนครับ” ทากะพูดขึ้น

    “เฮ้อ ขอให้ทุกอย่างมันเป็นไปได้ด้วยดีเถอะ” แอนนาพูดขึ้น

    “ก็ภาวนาให้นอร์วินเขาทำภารกิจสำเร็จ จนกว่าเราจะไปจากที่นี่ได้หล่ะนะ” โจชัวพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงครับ หมอนี่เป็นมือดีที่สุด เท่าที่เรามีมาครับ!!” แจ๊คสันพูดขึ้น

    “แต่ยังไงก็ต้องให้เขาระวังตัวด้วย ไม่รู้ว่าพวกพันธมิตรมันจะมาไม้ไหนหน่ะ” ปิแอร์พูดขึ้น

    “ฉันว่าเขาน่าจะเอาตัวรอดได้อยู่แล้วแหละ” เควินพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เดินมาคำนับองค์จักรพรรดิ แล้วมารายงานอะไรบางอย่างกับเธอในทันที

    “พระนางขอรับ รถเตรียมพร้อมแล้วครับ!!”

    “ถึงเวลาแล้วสินะ ฉันคงต้องไปจากที่นี่แล้วหล่ะ” องค์จักรพรรดินีพูดขึ้น

    “ครับ แล้วทางกระผมจะรีบตามไปนะครับ” แจ๊คสันพูดขึ้น

    “ยังไงก็ฝากจัดการเรื่องตรงนี้ไว้หน่อยแล้วกันนะ ขอให้พวกคุณทุกคนปลอดภัยนะคะ” องค์จักรพรรดินีพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ถวายคำนับเธอในทันที ส่วนตัวเธอก็เดินไปขึ้นรถที่เตรียมไว้

    “แล้วนี่ พวกคุณจะไม่ตามไปเหรอ??” เควินถามลูกน้องคนอื่นๆของเธอไป

    “เดี๋ยวพวกเราจะตามไปครับ เราต้องสะสางเรื่องที่นี่ก่อนครับ” ทากะพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ตอนนี้นอร์วินเขาจะเป็นยังไงบ้างคะ??” แอนนาถามพวกเขาไป

    “ผมว่า เขาคงกำลังทำงานของเขาอยู่หน่ะ” ปิแอร์พูดขึ้น

    “อืม ฉันพอจะติดต่อกองเรือของสัมพันธมิตรที่อยู่บริเวณกาแลได้ ฉันว่าจะทำอะไรหน่อยหล่ะ” โจชัวพูดขึ้น

    “เออ อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำเถอะพวก” โจนาสบอกกับโจชัวไป

     

    กลับมายังที่มั่นของกลุ่ม Black Hood หลังจากที่อีวาเตรียมการของเธอจนเรียบร้อยแล้วนั้น เธอก็รีบออกเดินทางในทันทีก่อนที่กลุ่มสัมพันธมิตรจะตามมาเล่นงานเธอ ในตอนนั้นเอง อเดลล่าก็เดินทางมาถึงพอดี อีวารีบออกไปรับเธอด้วยตัวเอง อีวากอดเธอไปหนึ่งที จากนั้นก็ทักทายกันไป

    “พี่คะ เดินทางปลอดภัยนะคะ??” อีวาถามไป

    “ก็ดีจ้ะ ตอนนี้ที่นี่วุ่นวายมากเลยสินะ” อเดลล่าพูดขึ้น

    “อืม ถ้าพร้อมเดินทางแล้ว ยังไงก็ไปกันดีกว่าครับ” แซนเดอร์พูดขึ้น และในระหว่างนั้นเอง โอลิเวียกับอิซาเบลก็ถือกระดาษอะไรบางอย่างมาให้กับอีวาอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาอีวาแปลกใจ

    “คุณอีวาคะ แย่แล้วค่ะ!!” 

    “มีอะไรหล่ะ ทำฉันตกใจหมดเลย??” อีวาถามไป

    “คือ คุณซิลเวียเธอหายไปแล้ว ทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้ค่ะ!!” อิซาเบลพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ยื่นจดหมายให้กับอีวาไป แต่เมื่ออีวาได้อ่าน เธอก็ยิ้มและทิ้งจดหมายนั้นไปในทันที

    “อ่า มีอะไรหรือเปล่าคะ??” แจนที่อยู่แถวนั้นถามอย่างสงสัย

    “ซิลเวียไม่เป็นอะไรหรอก เธอไปมีชีวิตที่ดีแล้วหล่ะ” อีวาพูดขึ้น

    “อืม ดูเหมือนว่าเธอจะค้นพบทุกอย่างแล้วสินะ” แซนเดอร์พูดขึ้น

    “แล้วพี่ซิลเวียเขาไปไหนเหรอคะ อยากรู้จัง??” เอลต้าถามอย่างสงสัย

    “ก็ไม่รู้สิ แต่เธอคงสบายดีแล้วหล่ะ” ลีโอนาร์ดพูดขึ้น

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้น ว่าแต่ เรื่องสงครามนี่เราจะเอายังไงต่อหล่ะ??” เรย์มอนด์ถามไป

    “เราก็คงต้องไปจากที่นี่หล่ะ เราคงทำอะไรไม่ได้ พวกนั้นคงอย่ากจะกำจัดเราเพราะกลัวว่าเราจะเป็นภัยในอนาคตนี่หล่ะ” อีวาพูดขึ้น

    “แล้วเราจะได้กลับมายุโรปอีกหรือเปล่าเนี่ย??” อเดลล่าถามไป

    “หนูจะหาทางกลับมาเองค่ะ คราวนี้จะเอาแบบยิ่งใหญ่เลย” อีวาพูดขึ้น

    “ตอนนี้พวก The Crow คงกำลังหัวปั่นอยู่กับการหนีออกจากฝรั่งเศส ถ้าเราไปได้ก่อนก็น่าจะโอเคหล่ะนะ” แซนเดอร์พูดขึ้น

    “จริงด้วย เรายังไม่ได้ชำระความกับพวกนั้นเลย” อิซาเบลพูดขึ้น

    “นี่ เรากับเขาไม่ใช่ศัตรูกันอีกแล้วนะ” เอลต้าพูดไป

    “ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ในอนาคตหล่ะ ถ้าเราเผลอไปเหยียบตาปลาพวกเขา อาจจะได้มีศึกใหญ่อีกแน่ๆ” โอลิเวียพูดขึ้น

    “ถึงตอนนั้น ค่อยมาหาทางอีกทีแล้วกันนะ” แจนตอบไป

    “ตอนนี้พวกนาซีก็กำลังหลบหนีด้วย ไม่แน่เราอาจจะเจอพวกนายทหารนาซีที่กำลังหนีความผิดก็ได้” เรย์มอนด์พูดขึ้น

    “ถึงตอนนั้นก็แค่ฆ่าพวกแม่งให้หมด แค่นั้นพอ” ลีโอนาร์ดพูดไป

    “เอาหล่ะ มาถึงตอนนี้ ฉันคงไม่หวังอะไรมากแล้วหล่ะ ถ้าไปถึงแอฟริกาแล้ว เราจะกบดานและขยายอิทธิพลไปพลางๆก่อน แล้วค่อยรอวันกลับยุโรปอีกที ถึงตอนนั้น ฉันจะตามล่าทุกคนที่เกี่ยวข้องให้หมดเลย” อีวาพูดขึ้น

    “แล้วครอบครัวของเราหล่ะอีวา เธอจะไม่ไปเยี่ยมหน่อยเหรอ??” อเดลล่าถามไป

    “ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ รอสถานการณ์ดีขึ้นแล้วหนูจะกลับไปแน่นอน” อีวาตอบไป

    “เอาหล่ะครับ ตอนนี้รถก็พร้อมแล้วหล่ะ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะครับ!!” แซนเดอร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันขึ้นรถที่เตรียมไว้ โดยที่อีวาก็นั่งรถกับพี่สาวของเธอ ส่วนคนอื่นๆก็ค่อยนั่งขบวนรถคุ้มกันไปด้วย พวกเขาออกเดินทางในทันทีก่อนที่พวกสัมพันธมิตรจะรู้ตัว

     

    ณ ท่าเรือแห่งหนึ่งในเขตตะวันตก ซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของสัมพันธมิตรแล้ว รถคันหนึ่งได้มาจอดที่เรือสินค้าลำใหญ่ลำหนึ่งซึ่งจะออกเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา หญิงสาวคนหนึ่งลงจากรถคันนั้น ซึ่งเธอก็คือไอรีนนั่งเอง เธอได้ขนทรัพย์สินส่วนของเธอขึ้นเรือไป จากนั้นโทไบอัสก็มาอยู่กับเธอในวันสุดท้ายของปารีสด้วย

    “ขอบคุณมากนะคะที่อยู่ด้วยกันมาตลอด!!” ไอรีนพูดกับเขา

    “มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ!!”

    “แล้วคุณจะออกเดินทางเมื่อไหร่คะ??” ไอรีนถามไป

    “เรือของผมจะมาในอีก 2 วัน ผมอาจจะกบดานที่นี่ไปก่อนครับ” โทไบอัสพูดขึ้น

    “ค่ะ ยังไงก็ขอให้คุณโชคดีนะคะ เงินที่ฉันให้น่าจะพอนะ”

    “ครับ ผมยินดีครับที่ได้รับใช้คุณ!!” โทไบอัสพูดขึ้น และในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน จู่ๆรถคันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าเรือลำนั้นด้วย ไอรีนรู้สึกแปลกใจเลยไปดู และพบว่ารถคันนั้นเป็นรถของแม่นาวิน ซึ่งเธอลงจากรถพร้อมด้วยคนของเธอที่ช่วยกันขนของลงจากรถด้วย

    “คุณแม่คะ!!”

    “อ้าว คุณไอรีน มาที่นี่ด้วยเหรอคะ??” แม่ของนาวินถามไป

    “ค่ะ หนูมารอนอร์วินที่นี่ค่ะ” ไอรีนพูดขึ้น

    “นอร์วินเขาต้องทำงานอะไรของเขาไม่รู้ แม่เป็นห่วงเขา” 

    “ไม่ต้องกลัวนะคะแม่ เขาเป็นคนเก่งที่สุดที่หนูเคยเจอมา เขาต้องไม่เป็นอะไรค่ะ” ไอรีนพูดขึ้น

    “คุณครับ คุณนอร์วินฝากนี่ให้คุณด้วยครับ!!” ชายคนหนึ่งพูดกับแม่ของนอร์วิน จากนั้นเขาก็ยื่นเช็คเงินสดของนอร์วินให้กับเธอ แม่ของนอร์วินรับเอาไว้

    “แล้วนี่ พวกคุณเป็นใครกันคะ??” ไอรีนถามไป

    “พวกเราเป็นคนของ The Crow ครับ คุณโจชัวติดต่อเจ้าหน้าที่อเมริกาที่จะพาคุณขึ้นเรือแล้ว เรือลำนี้จะออกจากท่าใน 3 วัน ส่วนเรื่องพาสปอร์ต ถ้าคุณไปถึงท่าเรือ ให้ถามหาเจ้าหน้าที่ที่ชื่อมาร์แชล เขาจะให้พาสปอร์ตกับคุณครับ” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่านอร์วินเขาจะจัดการให้เราทุกอย่างแล้วนะคะ แล้วนี่ นอร์ดี้ไม่มาด้วยเหรอคะ??” ไอรีนถามแม่ของนาวินไป

    “เธอไปอยู่กับสามีเธอแล้วหล่ะ แต่เธอบอกว่าเธอจะมาเยี่ยมหน่ะ” แม่ของนาวินพูดขึ้น

    “ค่ะ หนูเข้าใจค่ะ แล้วนี่เราต้องอยู่ที่นี่ 3 วันเลยเหรอคะ??” ไอรีนถามชายกลุ่มนั้นต่อ

    “ครับ ถ้าถึง 3 วันแล้ว เรือจะออกเดินทางเลย ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงก็โชคดีนะครับ!!” ชายกลุ่มนั้นพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็กลับไปขึ้นรถ แล้วเดินทางออกจากท่าเรือในทันที 

    “แม่คะ ไปพักผ่อนที่เรือก่อนนะคะ หนูจองห้องไว้ให้แม่แล้ว!!” ไอรีนพูดขึ้น

    “แม่เป็นห่วงนอร์วิน ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง แต่ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเขาด้วยเถอะ!!” แม่ของนอร์วินพูดขึ้น

     

    ณ สำนักงานเกสตาโปในกรุงปารีส

    “ตุ๊บ!!”

    โลเปซที่เพิ่งถูกพวกมันจับมาถูกพวกมันซ้อมทรมาน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำอะไรโลเปซได้ไม่มากนัก พวกมันต้องการให้โลเปซพูด แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมพูดอะไรเลย 

    “ไอ้ระยำ แกจะบอกหรือเปล่า ว่าเอกสารอยู่ที่ไหน??” เกสตาโปนายหนึ่งถามเขาไป

    “ฉันเอามันไปซ่อนไว้ ถ้าฉันตาย เอกสารตกอยู่ในมือพวกพันธมิตร พวกแกไม่รอดแน่ๆ” โลเปซพูดขึ้น

    “มึงอย่าคิดว่ากูไม่กล้านะเว้ย!!”

    “ตุ๊บ!!” พวกมันต่อยโลเปซไปหนึ่งหมัด

    “โธ่ ทำได้แค่นี้เองเหรอวะ เอาสิ เอาเลย!!” โลเปซตะโกนท้าทายมัน ในขณะที่ด้านนอกกำลังวุ่นวายสุดขีด เนื่องจากว่าพวกเขาต้องรีบทำลายเอกสารทั้งหมด ก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะมาถึงปารีส

    “ฉันว่า แกเอาเวลาเผ่นไปจากที่นี่ดีกว่าหว่ะ” โลเปซพูดขึ้น

    “ระยำเอ้ย อย่ามาท้าทายฉันนะเว้ย!!”

    “ใครท้ากันวะ นี่ จักรวรรดิพวกแกมันพินาศหมดแล้ว รีบไปตอนที่ยังมีโอกาสดีกว่า” โลเปซพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตำรวจนายหนึ่งก็วิ่งมารายงานกับผู้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ด้านในทันที

    “ท่านครับ แย่แล้วครับ!!”

    “มีอะไร ว่ามา!!”

    “สัมพันธมิตรเริ่มปะทะกับแนวหน้าของเราที่ชานเมืองปารีสแล้วครับ คาดว่าเราคงต้านได้ไม่กี่วันครับ!!”

    “ฮ่าๆๆๆๆ นี่ อย่ามาเสียเวลากับผมเลย รีบหนีไปดีกว่า!!” โลเปซพูดและยิ้มเยาะอย่างมีชัย

    “ไอ้ระยำเอ้ย!!” หัวหน้าตำรวจคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็รีบชักปืนออกมาเตรียมจะยิงโลเปซในทันที

    “อยากยิงก็เชิญ แต่หลังจากนี้ ชีวิตของแกจะเป็นยังไงต่อไปหล่ะนะ??” โลเปซท้าทายมันไป

    “ปากดีนะมึง มึงจะปากดีไม่ออกแน่ๆ ถ้ากูทรมานมึงก่อน!!”

    “ถุ๊ย!! แล้วไงวะ ยังไงมึงก็ต้องตายเหมือนกูนั่นแหละ ลูกน้องของมึงด้วย กูจะไปรอพวกมึงในนรก มึงจำเอาไว้เลย!!” โลเปซพูดขึ้น 

    “ปัง!!”

     มันยิงโลเปซเข้าที่หัวจนโลเปซตายคาที่ จากนั้นพวกเขาก็รีบแยกย้ายกันไปในทันที ปล่อยให้ร่างของโลเปซอยู่ในห้องนั้นโดยลำพัง

     

    ณ ถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะเดินทางไปยังกาแล ขบวนรถของฟริตซ์ได้เดินทางมาเรื่อยๆ ผ่านเส้นทางขรุขระและทุรกันดาน ฟริตซ์แทบจะเมารถเนื่องจากว่าต้องผ่านหลายร้อยโค้ง และในตอนนั้นเอง พวกเขาก็มาถึงถนนใหญ่เส้นหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าเป็นเมืองกาแล พวกเขาดีใจมากแล้วรีบไปที่ท่าเรือในทันที

    “เฮ้อ ถึงเมื่อไหร่ฉันจะนอนให้หน่ำใจเลย”ฟริตซ์พูดขึ้น

    “ค่ะ ฉันจะไปเตรียมห้องพักให้นะคะ” วาลพูดขึ้น 

    “แล้วนี่ เรือของเราเมื่อไหร่จะมาหล่ะ??” ฟริตซ์ถามไป

    “ไม่น่าจะเกินมะรืนนี้ค่ะ” วาลตอบไป

    “ต้องรีบหน่อยหล่ะ ไม่รู้ว่าพวกพันธมิตรจะตามมาเมื่อไหร่” 

    “คุณคิดว่าพวกนั้นจะตามเรามาเหรอคะ??” วาลถามอย่างสงสัย

    “แน่นอน สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือเงินของฉัน พวกมันคงกระหายกันน่าดู” ฟริตซ์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ขับรถมาเรื่อยๆ จนมาถึงด่านๆหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นคนของเขาในกาแลที่ได้ติดต่อกันไว้แล้ว ฟริตซ์รีบไปคุยกับพวกนั้นในทันทีเพื่อสอบถามข่าวเพิ่มเติม

    “ขอต้อนรับสู่กาแลนะครับ คุณฟริตซ์!!”

    “ดี แล้วนี่เรือของเราจะมาเมื่อไหร่กัน??” ฟริตซ์ถามไป

    “ไม่เกิน 10 โมงเช้า พรุ่งนี้ครับ”

    “ดี สั่งคนของเราเติมเสบียงและเชื้อเพลิงให้เต็มเร็วที่สุด เราต้องรีบไป” ฟริตซ์พูดขึ้น

    “ครับ เรื่องนั้นเราเตรียมพร้อมแล้วครับ!!”

    “แล้วนี่ มีใครมาขึ้นเรืออีกหรือเปล่าหล่ะ??” วาลถามไป

    “เยอะแยะครับ นายทหารส่วนใหญ่มาขึ้นเรือที่นี่ บอกชื่อไปคุณจำได้แน่นอนครับ!!”

    “เฮ้อ ดูเหมือนพวกมันก็อยากไปอเมริกาใต้เหมือนกัน” ฟริตซ์พูดขึ้น

    “แต่ผมได้ข่าวมานะครับ พวกมันจะส่งคนมาตามล่าคุณด้วย!!”

    “ไม่ต้องกลัวหรอก พวกมันไม่มีทางรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนแน่นอน” ฟริตซ์พูดขึ้น

    “แต่ยังไงก็ไม่ควรประมาทนะคะ ควรเตรียมคนของเราไว้ก่อนดีกว่า” วาลพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะคุ้มกันตลอด 24 ชั่วโมงเลยครับ!!”

    “ดี ความจริงฉันอยากไปเยี่ยมหลุมศพพี่ชายฉันก่อนดีกว่า แต่ตอนนี้เราคงต้องเอาตัวรอดกันก่อน ถ้าเจอใครมาวอแวแถวเรือของเรายิงมันได้เลย ไม่ต้องรอฉันสั่ง!!” ฟริตซ์พูดขึ้น

    “รับทราบครับผม!!”

    “แล้วถ้าได้ข่าวอะไร รายงานพวกเราเป็นระยะๆด้วยหล่ะ” วาลพูดกับคนพวกนั้นไป

    “รับทราบครับคุณวาล!!”

    “โอ๊ย ฉันเหนื่อยหล่ะ ไปนอนโรงแรมแถวนี้หน่อยดีกว่า!!” ฟริตซ์พูดขึ้น

    “ได้ค่ะ โรงแรมอยู่ไม่ไกล ฉันจะพาไปเองค่ะ” วาลพูดขึ้น จากนั้นเธอก็พาฟริตซ์ขึ้นรถในทันที แล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปยังโรงแรมในเขตนั้นเพื่อพักผ่อน ก่อนจะออกเดินทางด้วยเรือขนส่งสินค้าที่พวกเขาจ้างมาแล้ว

     

    และอีกด้านหนึ่งของถนน ซึ่งอยู่ห่างจากกาแลพอสมควร ขบวนรถของหน่วย SS ก็ได้เดินทางยังที่เมืองเพื่อเตรียมขึ้นเรือที่กำลังจะมาถึง มิลเลอร์เป็นคนนำหน่วยของเขามาด้วย โดยที่ออตโต้ก็เป็นพลขับและผู้ช่วยของมิลเลอร์ในการคุ้มกันเขาครั้งนี้ด้วย

    “ออตโต้ สภาพการณ์ของเราเป็นยังไงบ้าง??” มิลเลอร์ถามไป

    “ครับ ตอนนี้ยังไม่มีอะผิดปกติครับ!!”

    “ว่าแต่ นายมีครอบครัวหรือเปล่าออตโต้??” มิลเลอร์ถามไป

    “อ้อ ผมมีแม่อยู่ครับ” ออตโต้พูดขึ้น

    “อืม ฉันขอโทษด้วยที่ต้องลากนายมายุ่งเรื่องนี้ด้วย” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจอยู่แล้วครับ!!” ออตโต้พูดขึ้น

    “ถ้าเสร็จงานนี้ นายจะทำอะไรต่อหล่ะ??” มิลเลอร์ถามไป

    “ผมว่าจะกลับบ้านครับ” ออตโต้พูดขึ้น

    “อืม ฉันเองก็อยากกลับไปที่บ้านซักครั้งหนึ่งหน่ะ” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ที่เยอรมันเหรอครับ??”

    “ไม่ใช่หรอก บ้านเกิดฉันอยู่อเมริกาหน่ะ” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “อ้อ คุณก็เลยอยากกลับบ้านสินะครับ” 

    “ก็ใช่ แล้วนี่เราจะถึงกาแลเมื่อไหร่เนี่ย??” มิลเลอร์ถามอย่างสงสัย

    “ไม่น่าจะเกินพรุ่งนี้ครับ!!” ออตโต้พูดขึ้น

    “ความจริงเราน่าจะจอดรถพักที่โรงแรมแถวนี้หน่อยนะ” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “คงจะยากครับ ตอนนี้พวกสัมพันธมิตรคงจะเข้ามาใกล้แล้ว” ออตโต้พูดขึ้น

    “ฉันไม่ห่วงเรื่องพวกพันธมิตรหรอก ฉันห่วงว่ามันจะส่งใครมามากกว่า” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ท่านคิดว่าพวกมันกำลังทำอะไรอยู่ครับ??” ออตโต้ถามไป

    “ใช่ ฉันมั่นใจเลยหล่ะ” มิลเลอร์พูดขึ้น

    และอีกด้านหนึ่งในกาแล ตึกร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเตรียมอาวุธสงครามทุกรูปแบบ และพวกเขาก็คุยกันถึงแผนการของพวกเขาไปด้วย

    “คุณแม็กซ์ครับ คุณแน่ใจเหรอว่าผู้พันมิลเลอร์จะมาที่นี่??” 

    “แน่นอน สายข่าวของฉันไม่พลาดแน่นอน” แม็กซ์พูดขึ้น

    “คุณจะให้เราฆ่ามันงั้นเหรอ??”

    “ที่ฉันต้องการก็คือเอกสารที่มันมี พวกพันธมิตรต้องการเอกสารนั่น ถ้าฉันได้มัน ฉันจะเอามันไปต่อรองกับพวกมันหน่ะ” แม็กซ์พูดขึ้น

    “แล้วเงินที่ตกลงกับเราหล่ะ??” ชายคนหนึ่งถามไป

    “ไม่ต้องห่วง จบงานนี้พวกนายได้เงินแน่ๆ” แม็กซ์พูดขึ้น

    “ผมว่า พวกพันธมิตรคงต้องส่งคนมาตามล่ามันแน่ๆเลยครับ” 

    “เออ ฉันรู้ รอให้มันมาก่อน แล้วค่อยเล่นงานมันเลย” แม็กซ์พูดขึ้น

    “แล้วกำลังคนที่คุ้มกันมันมีเยอะแค่ไหนครับ??”

    “ก็น่าจะเยอะอยู่ ไอ้ออตโต้น่าจะมาด้วย แต่ฉันไม่สนใจมันหรอก จะเอายังไงกับมันก็ได้” แม็กซ์พูดขึ้น

    “เราน่าจะรอให้พวกมันปะทะกับพวกพันธมิตรก่อน แล้วเราค่อยเสียบพวกมันดีกว่านะครับ”

    “ถ้าทำแบบนั้นพวกมันก็ได้เอกสารไปก่อนหน่ะสิ ฉันต้องการเอกสารนั่น พวกแกไปจัดการตามนั้นก็แล้วกัน” แม็กซ์สั่งคนของเขาไป

     

    กลับมายังโบสถ์ของเวเวอร์ ในวันนั้นเองตัวเขาก็นั่งภาวนาอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว ในขณะเดียวกันนั้นเอง เกรย์ที่เฝ้าสังเกตอยู่ซักพักก็เดินมาคุยกับเขาในทันที เพื่อดูว่าเขาเป็นอะไร

    “เป็นอะไรหรือเปล่าคะหลวงพ่อ??”

    “ก็ ไม่รู้สิ มันอธิบายไม่ถูกหน่ะ” เวเวอร์พูดขึ้น

    “หลวงพ่อคงต้องมีอะไรอยู่ในใจแน่ๆ” เกรย์พูดขึ้น

    “ก็คงงั้น แต่ไม่เป็นไรหรอก”

    “โธ่ หลวงพ่อ บอกหนูหน่อยได้หรือเปล่าคะ??” เกรย์ถามไป

    “ไม่รู้สิ พ่อว่าจะกลับอังกฤษหน่ะ พ่อคงหนีความจริงไม่พ้นหรอก” เวเวอร์พูดขึ้น

    “หนูเข้าใจค่ะ แล้วโบสถ์นี้จะเอายังไต่อหล่ะคะ??” เกรย์ถามไป

    “เราอยากจะอยู่ที่นี่หรือเปล่าล่ะ พ่อจะยกโบสถ์นี้ให้”

    “ความจริงหนูอยากไปทั่วโลกมากกว่า หนูอยากเห็นโลกหน่ะ” เกรย์พูดขึ้น

    “อืม เข้าใจหล่ะ ยังไงก็ขอให้โชคดีหล่ะ” เวเวอร์พูดกับเธอ

    “ขอบคุณค่ะ หลวงพ่อเข้าใจหนูนะคะ”

    “พ่อรู้ ว่าแต่ตอนนี้อเดลล่าจะเป็นยังไงบ้างนะ??” เวเวอร์ถามอย่างสงสัย

    “หนูว่า เขาคงไปที่แอฟริกาแล้วหล่ะค่ะ” เกรย์พูดขึ้น

    “พ่อมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง พ่อจะเก็บไว้ให้เราแล้วกัน อย่าใช้ฟุ่มเฟือยหล่ะ” เวเวอร์พูดกับเธอ

    “ขอบคุณมากค่ะ แต่หลวงพ่อเดินทางแบบนี้จะปลอดภัยเหรอคะ??”

    “ไม่ต้องห่วง พ่อพอจะมีพรรคพวกอยู่หน่ะ” เวเวอร์พูดขึ้น

    “ค่ะ ยังไงก็ขอให้ปลอดภัยนะคะ”

    “อืม หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะเกรย์” เวเวอร์บอกกับเกรย์ไป

     

    กลับมายังเขตของกลุ่มกบฏ ในวันนั้นเองทั้งเอลเซ่และวาลเดรียก็มาคุยกันต่อว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ เพราะเอลเซ่กังวลว่าจะตกเป็นเป้าเนื่องจากเธอจะรู้เยอะเกินไปแล้ว อาจจะเป็นภัยได้

    “เอลเซ่ เธอจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้หล่ะ??” วาลเดรียถามเธอไป

    “ฉันคงต้องหาทางหนีทีไล่แล้วหล่ะ ไม่งั้นเราตายทั้งคู่แน่” เอลเซ่พูดขึ้น

    “ถ้าเป็นเธอ เกมนี้เธอจะเล่นข้างไหนดีหล่ะ??” วาลเดรียถามไป

    “ฉันไม่อยากเล่นข้างไหนทั้งนั้นหล่ะ ฉันว่าจะติดต่อกับใครคนหนึ่งหน่อยหน่ะ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “เหรอ เธอจะติดต่อใครหล่ะ??” วาลเดรียถามไป

    “เป็นคนที่คุณนอร์วินแนะนำ ฉันเคยทำงานกับเขามาครั้งหนึ่ง เขาน่าจะไว้ใจได้หน่ะ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “คุณนอร์วิน ที่ได้ข่าวว่ากำลังโดนตามล่าอยู่ไม่ใช่เหรอ??” วาลเดรียถามไป

    “เพื่อนฉันที่ทำงานให้นายพลอัลเฟรดบอกมา ตอนนี้เขากำลังทำงานให้นายพลอัลเฟรด แลกกับการที่เขาและพวกออกจากฝรั่งเศสได้หน่ะ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “อืม แล้วเธอจะไปที่ไหนหล่ะ??” วาลเดรียถามไป

    “ไม่รู้สิ อาจจะอิสราเอล ซักพักหน่ะ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “เหรอ ถ้าอย่างงั้นฉันไปด้วยสิ ต้องรอเรื่องเงียบด้วยหล่ะ” วาลเดรียพูดขึ้น

    “อืม วันนี้ฉันจะรีบไปเลย ไม่งั้นตายแน่” เอลเซ่พูดขึ้น

    “เออ ฉันอยากจะบอกเธอว่า ตอนที่เขาเอาเอกสารที่ฉันฉกมาได้ไป ฉันแอบจิ๊กมันมาซ่อนเล่มหนึ่งหน่ะ” วาลเดรียพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ยื่นมันให้เอลเซ่ดู เอลเซ่หยิบมาอ่านก็ตกใจทันที

    “ถ้าเขารู้ว่าเอกสารอยู่กับเธอ เธอตายแน่ๆ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “ก็ใช่ ฉันแค่อยากรู้หน่ะว่ามันเป็นอะไร” วาลเดรียตอบไป

    “ถ้าอย่างงั้น เราคงไม่มีทางเลือกหน่ะ เราคงต้องหนีออกจากปารีสไปซักพัก รายชื่อพวกนี้เป็นรายชื่อที่นายทหารสัมพันธมิตรมีผลประโยชน์ร่วมกับพวกนาซี เราตายหมดแน่ถ้าพวกเขารู้ รีบไปกันดีกว่า” เอลเซ่บอกกับวาลเดรีย จากนั้นก็พาเธอหนีออกจากที่มั่นของกลุ่มกบฏในทันที ก่อนที่พวกนั้นจะเริ่มสงสัย พวกเธอขโมยรถแถวนั้นแล้วรีบออกเดินทางในทันที

     

     

    กลับมายังธนาคารเดิมของลิริ ในวันนั้นเองลิริก็ยืนคุยกับชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคาร ซึ่งนั่นก็คือคาร์ลกับลูเซียนั่นเอง พวกเขาทั้งคู่แอบมาที่ปารีสอย่างลับๆ เพื่อสะสางงานที่เหลือของพวกเขาทั้งคู่

    “หวังว่าเธอพอจะจัดการได้นะ!!” ลูเซียพูดกับลิริไป

    “เฮ้อ ถ้าไม่เห็นพระนางท่าน ฉันไม่ทำหรอก” ลิริพูดขึ้น

    “เอาน่า รับรองว่าผลตอบแทนคุ้มแน่นอน” คาร์ลพูดขึ้น

    “แล้วพวกคุณจะเอายังไงกันต่อหล่ะ สัมพันธมิตรคงกำลังมาที่นี่แน่ๆ??” ลิริถามไป

    “ก็ต้องไปจากที่นี่หล่ะ” ลูเซียพูดขึ้น

    “ใช่ แล้วเรื่องข้อมูลลับของพวกเราหล่ะ??” คาร์ลถามอย่างสงสัย

    “ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครสาวถึงตัวพวกเธอได้แน่นอน” ลิริพูดขึ้น

    “ขอบใจมากนะ นี่คงจะเป็นงานสุดท้ายจริงๆแล้วหล่ะ” ลูเซียพูดขึ้น

    “ลูเซีย เราจะไปที่ไหนกันต่อดีหล่ะ??” คาร์ลถามเธอไป

    “เขาสั่งให้เราตามไปที่นีซ เราจะตามไปหรือเปล่าหล่ะ??” ลูเซียถามกลับ

    “ก็คงต้องตามไปหล่ะ” คาร์ลพูดขึ้น

    “โอเค จัดการทุกอย่างแล้วหล่ะ!!” ลิริพูดขึ้นจากนั้นก็ยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้กับพวกเขาทั้งคู่ จากนั้นคาร์ลก็ยื่นซองเงินซองหนึ่งให้กับลิริไป

    “อืม ขอบใจมาก!!” ลิริพูดขึ้น

    “คาร์ล รีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวพวกนาซีจะสังเกตเราได้” ลูเซียพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบออกจากธนาคารในทันที ก่อนที่จะมีคนจับสังเกตพวกเขาได้

     

    กลับมายังที่มั่นของนายพลรอสและนายพลอัลเฟรด ในวันนั้นเองนายพลรอสก็ใส่เครื่องแบบเต็มยศของเขา รวมถึงได้คุยกับเกลนนิสและการ์เน็ตต้า รวมถึงอลิซและริชาร์ดครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

    “พวกเธออยู่ที่นี่ก็ระวังตัวกันด้วยแล้วกันนะ” นายพลรอสพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วงครับ เราจะจัดการทุกอย่างที่นี่เอง” ริชาร์ดพูดขึ้น

    “ท่านนายพลกลับไปแล้วก็ส่งข่าวมาให้เราด้วยนะคะ” อลิซพูดขึ้น

    “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะจัดการทุกอย่างเองค่ะ” เกลนนิสพูดขึ้น

    “แล้วพวกเราจะรีบกลับไปเยี่ยมนะคะ!!” การ์เน็ตต้าพูดขึ้น

    “ขอบคุณทุกๆคนมากนะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก” นายพลรอสพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง นายพลอัลเฟรดก็พาทหารอังกฤษสองนายมาพาตัวนายพลรอสไป ทหารสองคนนั้นเดินไปหานายพลรอสในทันที

    “ท่านครับ เชิญครับ!!”

    นายพลรอสส่งปืนพกประจำตัวของเขาให้ทหารอังกฤษไป จากนั้นนายพลอัลเฟรดก็พูดต่อในทันที

    “พวกเขาจะไปส่งนายกลับลอนดอน ไม่ต้องห่วงตรงนี้หรอก” นายพลอัลเฟรดพูดขึ้น

    “หวังว่านายจะจัดการทุกอย่างได้นะ” นายพลรอสพูดขึ้น

    “ฉันรู้ ฉันจะเดินไปส่งนายก็แล้วกัน” นายพลอัลเฟรดพูดขึ้น จากนั้นเขาก็พานายพลรอสออกไปส่งที่ด้านนอกในทันที

    “ไม่รู้ว่างานนี้จะจบยังไงนะ” อลิซพูดขึ้น

    “ถ้าท่านนายพลรอสเป็นอะไรไป ไม่จบแค่นี้แน่ๆ” เกลนนิสพูดขึ้น

    “ใจเย็น ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คิดมาก” ริชาร์ดพูดขึ้น

    “ฉันว่างานนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ๆ” การ์เน็ตต้าพูดขึ้น

    “ฉันเห็นด้วย เราคงต้องสืบกันต่อหล่ะ ฉันจะกลับอังกฤษ ไปสืบเรื่องนี้เอง” เกลนนิสพูดขึ้น

    “เอายังไงก็เอาเถอะ ฉันคงห้ามอะไรพวกเธอไม่ได้แล้วหล่ะ” ริชาร์ดพูดขึ้น

    “หรือว่าพวกเธอสองคนไม่เห็นว่ามันผิดปกติหล่ะ??” เกลนนิสถามอย่างสงสัย

    “ฉันรู้ แต่พวกเราจะทำอะไรได้หล่ะ??” อลิซถามไป

    “ถ้าอย่างงั้นฉันจะทำเอง อยากจะไปบอกนายพลอัลเฟรดก็เชิญเลย!!” การ์เน็ตต้าตะโกนออกไป จากนั้นเธอก็เดินหัวเสียออกไป

    “นี่ รอกันก่อนสิ!!” เกลนนิสตะโกนไล่หลัง จากนั้นก็ตามเธอไปด้วย

    “แล้วนี่ เราจะออกยังไงต่อหล่ะ??” อลิซถามอย่างสงสัย

    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยไว้แบบนี้แหละ” ริชาร์ดตอบเธอไป

    และที่ด้านนอก นายพลอัลเฟรดก็พานายพลรอสไปที่รถ ซึ่งทหารกลุ่มหนึ่งก็รอเขาอยู่แล้ว 

    “เดินทางปลอดภัยนะรอส!!”

    “ก็หวังไว้แบบนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก” นายพลรอสพูดขึ้น

    “อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะพวก” นายพลอัลเฟรดพูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง ฉันเป็นทหาร ฉันพร้อมรับมันอยู่แล้ว” นายพลรอสพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ขึ้นรถในทันที ส่วนทหารอังกฤษที่เหลือก็ขึ้นรถตามไป จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังสนามบินในทันทีเพื่อกลับไปลอนดอน

     

    2 วันต่อมา

    หลังจากที่นาวินตื่นขึ้นมาและจัดเตรียมอาวุธของเขา ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาที่หน้าห้อง นาวินรีบไปเปิดประตูต้อนรับในทันที ซึ่งนั่นก็คือพนักงานโรงแรมคนเดิมที่มาเสิร์ฟอาหารนั่นเอง

    “คุณนอร์วิน พวกมันมาถึงแล้ว และเรือก็ใกล้เทียบท่าแล้วค่ะ!!”

    “อืม แล้วพวกมันมีกันเยอะแค่ไหนหล่ะ??” นาวินถามไป

    “น่าจะเยอะอยู่ค่ะ พอรับมือไหวนะคะ??”

    “พอได้ ผมจะจัดการเอง!!” นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ใส่กระสุนของเขาต่อ จากนั้นเขาก็สะพายปืนออกไปด้านนอก แล้วไปขึ้นมอไซค์ที่จอดอยู่หน้าโรงแรม และขี่ออกไปที่ท่าเรือในทันทีอย่างรวดเร็ว

    นาวินขี่รถมอไซค์มาจอดบริเวณทางเข้าเมือง จากนั้นเขาก็ลงจากรถและเตรียมอาวุธของเขา เขาค่อยๆย่องเข้าไปที่ด่านตรวจด่านแรก ในขณะที่พวกมันกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่

    “เฮ้ย ขอไฟหน่อยดิ!!”

    “เออๆ ประหยัดๆหน่อยนะเว้ย!!”

    “ฉึก!!”

    นาวินปามีดเข้าไปใส่มันคนหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าใส่มันในทันที

    “เฮ้ย ข้าศึกบุก!!”

    นาวินวิ่งไปเอามีดของมันที่ปักออกมา จากนั้นเขาก็ไล่จ้วงพวกมันจนล้มไปทีละคน มันคนหนึ่งจะยิงปืนกลใส่เขา แต่นาวินก็ปามีดใส่ที่หัวมันจนมันตายคาที่

    “ฉึก!!”

    นาวินเดินไปหยิบมีดกลับคืนมา จากนั้นเขาก็เก็บมีด และค่อยๆย่องเข้าไปในพื้นที่ของท่าเรือในทันที เขาเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงกำแพงท่าเรือ เขาเห็นลังๆหนึ่งที่วางไว้ที่กำแพง เขาเดินขึ้นไปและกระโดดปีนกำแพงในทันที 

    “ตุ๊บ!!”

    นาวินกระโดดลงมา ก็พบกับชายสองคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่แถวนั้น

    “เฮ้ย!!”

    “ตุ๊บ!!”

    นาวินเตะพวกมันทั้งสองคน จากนั้นก็ชักมีดออกมาแทงพวกมันทั้งคู่ จากนั้นก็ทิ้งศพไว้แถวนั้น จากนั้นก็รีบสำรวจพื้นที่บริเวณท่าเรือเพื่อดูว่ามีอะไรบ้าง

    “โห ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 คนได้!!”

    นาวินพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เตรียมพร้อมที่จะบุกเข้าไปเล่นงานเป้าหมายของเขา

     

    และอีกด้านหนึ่ง กลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธไม่ต่ำกว่า 50 คนก็เตรียมอาวุธเพื่อเข้าโจมตีพื้นที่ของท่าเรือ

    “จำไว้ เอาตัวมิลเลอร์มาก่อน ฉันต้องการเอกสารนั่น!!”

    “แล้วไอ้ออตโต้หล่ะครับ??” ลูกน้องคนหนึ่งของแม็กซ์ถามไป

    “ฆ่ามันทิ้งซะ มันอาจจะทำให้งานของเราพัง”

    แม็กซ์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็ยิงปืนขึ้นฟ้าในทันที

    “ปัง!!”

    เสียงปืนดังไปทั่วท่าเรือ ซึ่งทำเอาคนที่ท่าเรือตกใจมาก

    “เฮ้ย ฆ่ามันให้หมด!!”

    แม็กซ์ตะโกนออกไปและบุกเข้าไปในท่าเรือในทันที จากนั้นเขาก็ยิงปะทะกับยามที่ท่าเรืออย่างดุเดือด นาวินที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นก็รีบชักปืนออกมาในทันที

    “เฮ้อ ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เราแล้วแหะ!!”

    นาวินชักปืนออกมา จากนั้นก็เข้าไปผสมโรงกับพวกที่อยู่ในท่าเรือทันที

     

    ทางด้านของมิลเลอร์ ตัวเขาเดินออกมาจากโกดังแห่งหนึ่งในท่าเรือ แล้วก็ถือปืนออกมาด้วยเพื่อเตรียมการปะทะ เขากับออตโต้พยายามดูว่าเกิดอะไรขึ้น และในตอนนั้นออตโต้ก็ได้ชี้ให้เห็นแม็กซ์ที่กำลังนำคนบุกเข้ามาหาเขา

    “ท่านครับ ไอ้แม็กซ์!!”

    “มันคงมาเอกสารจากฉัน สั่งคนของเรา ป้องกันเต็มที่ เจอไอ้แม็กซ์ก็ฆ่ามันได้เลย!!”

    มิลเลอร์พูดแล้วก็ยิงปืนสกัดพวกของแม็กซ์ไว้ แต่แม็กซ์ก็บุกเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

    “ฆ่าให้หมด อย่าให้พวกมันรอด!!”

    “ไอ้แม็กซ์!!” ออตโต้พูดและไล่ยิงแม็กซ์ แต่แม็กซ์ก็หลบแถวนั้นและตะโกนด่ากันในทันที

    “ไอ้แม็กซ์ ไอ้ระยำ คิดจะทำอะไรวะ??” 

    “ออตโต้ นี่มันไม่เกี่ยวกับแก อย่ามายุ่งดีกว่า ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!!” แม็กซ์ตะโกนกลับไป

    “ฝันเถอะ วันนี้กูจะเอาเลือดหัวมึงให้ได้!!” 

    ออตโต้ตะโกนกลับไป จากนั้นแม็กซ์ก็ใส่กระสุนและยิงสวนอย่างดุเดือด

     

    และโกดังอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของฟริตซ์ จนกว่าเขาจะไปขึ้นเรือ แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ทำเอาพวกเขาถึงกับต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

    “เฮ้ย นี่มันเกิดบ้าอะไรกันเนี่ย??” ฟริตซ์ถามอย่างสงสัย

    “มีคนยิงปะทะกันที่ท่าเรือค่ะ” วาลตอบไป

    “ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย แต่ส่งคนไปสกัดไว้ บอกคนของเราให้ขนของขึ้นเรือให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเราจบเห่แน่ๆ” ฟริตซ์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็หยิบปืนขึ้นมาในทันที จากนั้นเขาก็รีบไปขึ้นเรือในทันที

    “ไปสืบมาว่าพวกมันเป็นใคร??” ฟริตซ์บอกกับวาลไป

    “ได้ค่ะ ฉันจะจัดการเอง”

    “ปังๆๆๆๆ”

    ยังไม่ทันที่พวกเขาจะขึ้นเรือ ในตอนนั้นเองมีชายคนหนึ่งถือปืนกลมือเดินเข้ามา จากนั้นก็ไล่ยิงฟริตซ์และพรรคพวกในทันที

    “ปังๆๆๆๆ”

    “เฮ้ย พวกมึง สกัดมันไว้!!”

    ฟริตซ์ตะโกนสั่งลูกน้องไป จากนั้นเขาก็รีบหนีไปขึ้นเรือ ชายคนนั้นขว้างระเบิดใส่ลูกน้องของฟริตซ์จนแตกกระเจิง

    “ตู้ม!!”

    ชายคนนั้นพยายามจะวิ่งตามไปบนเรือ แล้วไล่ยิงฟริตซ์ในทันที

    “ปังๆๆๆ”

    กระสุนพุ่งไปถูกวาลที่เดินตามฟริตซ์ ฟริตซ์เห็นดังนั้นจากดึงร่างของเธอมาเป็นเกราะป้องกัน จากนั้นก็ยิงสวนกลับไปที่ชายคนนั้น

    “ปังๆๆๆ”

    ชายคนนั้นถูกยิงจนล้มลง ส่วนตัวฟริตซ์ก็ทิ้งศพวาลลงทะเล จากนั้นก็พูดขึ้นในทันที 

    “เอาเรือออกเลย ระเบิดสะพานทิ้งซะ!!”

    ฟริตซ์พูดขึ้น จากนั้นลูกน้องของเขาก็ทำลายสะพานทิ้ง ร่างของชายคนนั้นกลิ้งมาที่ท่าเรือ ส่วนเรือของฟริตซ์ก็ค่อยๆแล่นออกไปในทันที ตอนนั้นนาวินก็วิ่งเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุว่ามันเป็นอะไร เขาเห็นร่างของชายคนนั้น เขารู้สึกคุ้นเลยวิ่งเข้าไปดูในทันที

    “โอ๊ค!!”

    “นอร์วิน มาทำบ้าอะไรที่นี่วะเนี่ย??”

    “มันเป็นงานหน่ะ ทำใจดีๆไว้นะเว้ย!!” นาวินพูดและพยายามแบกร่างของเขาไป

    “ไม่ทันแล้วหว่ะ รีบไปทำงานของแกให้จบเถอะ!!” โอ๊คพูดทิ้งท้าย จากนั้นเขาก็สิ้นลมตรงนั้น นาวินโกรธจัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขารีบวิ่งไปหาเป้าหมายของเขาให้จบ

     

    ทางด้านของมิลเลอร์ เขาพยายามจะยิงสกัดคนของแม็กซ์เอาไว้ แต่พวกนั้นมีเยอะเกินไป ออตโต้จึงต้องคุ้มกันให้แม็กซ์ไปหลบในโกดังก่อน แต่แม็กซ์ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะตามไป เขายิงไล่ออตโต้จนกระสุนหมด จากนั้นก็ชักปืนพกออกมา ออตโต้ถูกยิงเข้าที่แขน ทำเอาเขาล้มลงในทันที

    “ออตโต้!!”

    “ท่านครับ รีบไปหลบด้านในก่อนครับ!!”

    ออตโต้ตะโกนบอกไป แต่แม็กซ์ก็ไล่ตามเขามาติดๆ ออตโต้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายหยิบปืนพกที่อยู่บนพื้น แล้วกลิ้งตัวหลบกระสุนของแม็กซ์

    “ปังๆๆๆๆๆ”

    “ย้าก!!”

    “ปัง!!”

    ออตโต้กลิ้งตัวและนอนยิงเข้าที่หน้าอกของแม็กซ์ แม็กซ์ล้มลงในทันที 

    “ไอ้ห่าเอ้ย คิดว่าจะได้เป็นฮีโร่งั้นเหรอ??”

    “กูไม่ใช่ฮีโร่ แต่กูเป็นพ่อมึงไง!!”

    “ปัง!!”

    ออตโต้ยิงเข้าที่หัวของแม็กซ์ ทำเอาแม็กซ์ตายคาที่ ส่วนตัวออตโต้ก็ล้มตัวลงนอนเนื่องจากพิษของบาดแผล

     

    ในห้องของมิลเลอร์ ในตอนนั้นเองเขาก็รีบหยิบเอกสารที่เขาเตรียมไว้ในทันที และในตอนนั้น ทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องของมิลเลอร์ แล้วรายงานอะไรบางอย่างกับเขาในทันที

    “ท่านครับ มีคนมาบอกว่าเรือของท่านพร้อมแล้วครับ!!”

    “ปังๆๆๆ”

    ทหารคนนั้นถูกรัวกระสุนใส่จนตายคาที่ ทำเอามิลเลอร์ถึงกับต้องหยิบปืนพกออกมา แต่ในตอนนั้นเอง

    “อย่าขยับ!!”

    นาวินเจ้าของเสียงนั่นเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับถือปืนพกมากระบอกหนึ่ง พร้อมกับมืออีกข้างกุมท้องที่เพิ่งจะโดนยิงเฉียดไป มิลเลอร์ในตอนนั้นก็นั่งลงในทันที

    “เอ๊ะ ฉันว่าฉันรู้จักนายนะ!!” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “แกรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “แกคือนอร์วินคนดังสินะ คิดไม่ถึงเลยเขาจะส่งแกมาเก็บฉัน!!” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ว่าแต่ แกมีอะไรจะสั่งเสียหรือเปล่า ไอ้สวะนาซี??” นาวินถามเขาไป

    “ถ้าแกอยากยิงฉัน ก็กล้าๆหน่อย” มิลเลอร์พูดขึ้น จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำจากกระติกน้ำเขาในทันที แล้วก็พูดต่อ

    “แกอยากจะยิงฉันก็ได้ แต่แกจะไม่มีวันรู้ว่าแกจะเจออะไร คิดว่าพวกพันธมิตรที่แกทำงานให้จะเชื่อใจได้เหรอ??” มิลเลอร์พูดขึ้น

    “ตอนนี้แกยังพูดได้ก็พูดซะ!!” นาวินตอบมิลเลอร์

    “ได้ยินว่าแกจะไปที่อเมริกา แต่ถ้าแกฆ่าฉัน แกคงจะได้ตายที่นั่นหลังจบเรื่องแน่ๆ เพราะอะไรหน่ะเหรอ ฉันเป็นทายาทตระกูลดังที่นั่น คิดว่าเขาจะปล่อยให้แกรอดเหรอ??” มิลเลอร์พูดและมองนาวินด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความกลัว

    “มึงคิดว่ากูจะกลัวเหรอ กูฆ่าล้างโคตรตระกูลมึงทั้งตระกูลก็ยังได้ ส่งเอกสารมา!!” นาวินตะโกนออกไป

    “หึ!!” มิลเลอร์แค่นยิ้มในใจ และในตอนนั้นเอง ออตโต้ที่ยังไม่ตายกำลังจะยิงนาวิน แต่นาวินรู้ตัวก่อนจึงยิงสวนไปในทันทีจนออตโต้ตายคาที่

    “ปัง!!”

    มิลเลอร์ได้จังหวะจึงรีบวิ่งไปทางประตูหลัง ซึ่งนั่นมีรถคันหนึ่งกำลังจอดอยู่ มิลเลอร์รีบขับรถออกไปในทันที นาวินวิ่งตามออกมาไล่ยิงจนกระสุนหมด แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้เห็นไรเฟิลกระบอกหนึ่ง นาวินหยิบมันขึ้นมาแล้วยิงใส่ล้อรถในทันที

    “ปัง!!”

    กระสุนพุ่งตรงใส่ล้อรถของมิลเลอร์ รถของมิลเลอร์คว่ำในทันทีที่หน้าเรือลำหนึ่ง ซึ่งมาจอดรับมิลเลอร์ และด้านบนเรือ เอริกะกำลังรอรับเขา เธอเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงพยายามมาช่วย 

    “ปัง!!”

    นาวินยิงเข้าที่ขาของเธอ ทำเอาเธอไปไหนไม่ได้ มิลเลอร์กระเสือกกระสนลากสังขารตัวเองออกมาจากรถ นาวินพยายามเดินไปหามิลเลอร์ และลากตัวมิลเลอร์ไปที่ริมท่าเรือ เขาหยิบเอกสารของมิลเลอร์มาในทันที จากนั้นก็เล็งปืนที่มิลเลอร์

    “แกคิดว่าเรื่องนี้จะจบยังไง??” มิลเลอร์ถามนาวินไป

    “ฉันคิดว่าฉันไม่อยากโดนหลอกใช้อีกแล้วหว่ะ!!”

    “ปัง!!”

    นาวินยิงมิลเลอร์จนตกน้ำ ทุกอย่างรอบตัวเขาหยุดนิ่ง เขาเดินไปพักที่ใต้ร่มไม้ในทันที และทิ้งตัวลงนอนที่นั่นเนื่องจากบาดเจ็บ เขาค่อยๆคิดถึงเรื่องในอดีตทุกเรื่องที่เข้ามาในหัวของเขา

    “มันจบแล้วจริงๆสินะ!!”

     

    ปี 1947 นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 

    ไอรีนยืนอยู่คนเดียวที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เธอยืนเหม่อลอยเนื่องจากคิดถึงอะไรบางอย่าง ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่าน และในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งก็อุ้มทารกน้อยคนหนึ่งมาหาเธอ แล้วมาคุยกับเธอในทันที

    “ไอรีน เจ้าตัวน้อยนี่หิวนมอีกแล้วหล่ะ!!” 

    “ค่ะแม่ เดี๋ยวหนูจัดการเอง!!” ไอรีนพูดขึ้นจากนั้นเธอก็ให้นมกับเขาในทันที

    “แล้วนี่ นอร์วินเขาไปไหนหล่ะเนี่ย??”

    “คงไปเดินเล่นแถวนี้ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงหรอก” ไอรีนพูดขึ้น

    “แหม่ เจ้าลูกคนนี้ ไปไหนมาไหนก็ไม่เคยยอมบอก”

    “หนูว่า เขาคงจะปลีกวิเวกแถวนี้ซักพักหล่ะค่ะ” ไอรีนพูดขึ้น และอีกด้านหนึ่งของสวนสาธารณะ นอร์วินที่ยังไม่ตายก็เดินเล่นแถวๆนั้น แล้วไปเจอกับม้านั่งตัวหนึ่ง เขาไปนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อพักผ่อน แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆเขาพูดกับเขา

    “เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าชีวิตเราทั้งคู่จะมาถึงตรงนี้ได้นะ นอร์วิน!!”

    “มิลเลอร์ ดีใจที่แกไม่ตายหว่ะ” นาวินตอบเขาไป

    “ยิงคนไม่ควรยิงที่ไหล่นะเว้ย แต่ฉันรู้ว่านายคิดอะไร” มิลเลอร์พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งก็แบกทารกน้อยคนหนึ่งเดินมาหามิลเลอร์ แล้วก็เรียกหาเขา

    “คุณมิลเลอร์ เจอเพื่อนเก่าเหรอ??”

    “ก็ใช่นะ แองเจลล่า ไปรอผมที่รถก่อนนะ!!” มิลเลอร์ตอบไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

    หลังจากที่นาวินหมดสติไป กลุ่มภาคีอีกาและองค์จักรพรรดินีพาเขาขึ้นเรือและหลบหนีไปยังอเมริกา ส่วนมิลเลอร์ เขาถูกกู้ตัวขึ้นมาโดยคนของเอริกะ โดยที่เอริกะเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ให้เขาทั้งหมด จนพวกเขามาลงเอยที่นี่

     

    หลังจากที่จบเรื่อง เอกสารหลักฐานก็ถูกเผยแพร่ออกมา ทหารสัมพันธมิตรที่มีรายชื่อถูกสอบสวนกันยกชุด บางส่วนก็ติดคุก บางคนก็ใช้เส้นสายให้ตัวเองพ้นผิดไปได้ จนหลังจบสงครามครั้งนี้

     

    หลังจากที่นาวินมาถึงอเมริกา เขาก็ไปพบกับไอรีนและแม่ของเขา เขาไปยังธนาคารตามที่องค์จักรพรรดินีบอก และมอบเหรียญทองนั้นให้เจ้าของธนาคาร ซึ่งเจ้าของธนาคารก็พาเขาไปยังเซฟแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในเก็บทองคำแท่งและธนบัตรดอลล่าห์ไว้มากมาย ซึ่งมีเงินไม่ต่ำกว่า 50 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ เขากับไอรีนจึงได้ใช้ชีวิตอย่างมหาเศรษฐี รวมถึงแม่ของเขาด้วย ปัจจุบันเขากับไอรีนมีลูกด้วยกันถึง 4 คน

     

    ทางฝากของแก๊งค์ The Crow แจ๊คสันได้พาพวกทุกคนไปกบดานที่ตะวันออกกลางอยู่ 10 ปี ยกเว้นแต่ทอร์ริน ซึ่งเขาหนีไปแต่งงานกับซิลเวียที่อิสราเอล และใช้ชีวิตอยู่กันจนบั้นปลาย จนถึงปี 1956 แจ๊คสันก็กลับมาขยายอิทธิพลในยุโรปร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ มาจนถึงทุกวันนี้

     

    ทางด้านของอีวาและ Balck Hood เธอเดินทางไปใช้ชีวิตกับพี่สาวของเธอที่แอฟริกา 5 ปี จากนั้นก็กลับมาอังกฤษ ไปเยี่ยมครอบครัวอยู่ซักพัก และประกาศยุบแก๊งค์และให้ทุกคนแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตตามที่พวกเขาฝัน แซนเดอร์กลับสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนโอลิเวีย อิซาเบล เอลต้า แจน ลีโอนาร์ดและเรย์มอนด์ ได้ไปร่วมกันตั้งแก๊งค์และกิจการใหม่ที่ซาอุดิอาระเบีย

     

    ทางด้านโทไบอัส เขาใช้ชีวิตอยู่ในจีน จนกระทั่งปี 1949 เขาก็ย้ายหนีมาที่ฮ่องกง และเสียชีวิตที่นั่น

     

    ด้านชาร์ลี เขาแต่งงานกับนอร์ดี้และใช้ชีวิตในไซ่ง่อน ชาร์ลีเข้าร่วมกับกลุ่มเวียดมินห์เพื่อปลดปล่อยประเทศจากฝรั่งเศส จนปี 1975 เขาเห็นว่าต้องให้ครอบครัวปลอดภัยไว้ก่อนจึงพาครอบครัวไปหานอร์วินที่อเมริกา

     

    ฟริตซ์ หลังจากที่เขาไปถึงชิลี เขาอยู่ที่นั่นประมาณ 20 ปี จนถูกหน่วยมอสสาดลักพาตัวมาอิสราเอล เขาถูกตัดสินให้จำคุก 20 ปี และเขาก็ได้ผูกคอตายในคุกเพื่อหนีความผิด

     

    ด้านมิลเลอร์ เขารับตำแหน่งเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูล โดยมีเอริกะเป็นผู้ช่วย เขาไปเจอกับแองเจลล่าโดยบังเอิญจนขอเธอแต่งงานและมีลูกด้วยกัน ลิริตามสืบจนเจอว่าเอริกะอยู่ที่ไหน เธอตัดสินใจมาอเมริกาและใช้ชีวิตอยู่กับเอริกะ

     

    ทางด้านของเวเวอร์ เขาเดินทางกลับไปที่อังกฤษและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยใช้สมบัติของตระกูลทำให้มีกินมีใช้จนตาย ส่วนเกรย์ ครั้งหนึ่งอเดลล่าเคยส่งเงินให้เธอเดินทางทั่วโลก เธอจึงตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อการเดินทางไปทั่วโลก

     

    ทางด้านของนายพลรอส เมื่อเขากลับไปลอนดอน เขาถูกตัดสินคดีเนื่องจากคายความลับทางราชการ แต่เมื่อหักลบกับผลงานเก่าๆ เขาก็แค่ถูกปลดจากราชการและจำคุก 3 ปี เมื่อออกมาเขาก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่วันหนึ่ง จู่ๆมีเงินกระสอบหนึ่งส่งไปที่บ้านของเขา จำนวน 1 ล้านปอนด์ ทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนบั้นปลาย ส่วนนายพลอัลเฟรด เขาถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่นกับพวกนาซี ซึ่งคนเปิดโปงไม่ใช่ใคร เกลนนิสและการ์เน็ตต้านั่นเอง แต่นายพลอัลเฟรดก็ยังใช้เส้นสายทำให้รอดมาได้ แต่วันหนึ่ง ปี 1946 มีคนพบศพของเขาในบ้านพัก สภาพศพของเขา คล้ายกับถูกปากนกรุมจิกจนตาย รวมถึงมีขนอีกาเต็มไปทั่ว หน้าของเขาดูหวาดกลัว แสดงให้เห็นว่าเขาต้องกลัวมากๆก่อนตาย

     

    เกลนนิสและการ์เน็ตต้ากลับไปหาครอบครัวของพวกเธอ จนตอนนี้ครอบครัวของเธอทั้งสองให้การยอมรับเธอแล้ว แต่เธอทั้งคู่ก็ช่วยกันทำข่าวเปิดโปงทหารสัมพันธมิตรที่มีเอี่ยวกับงานสกปรกของพวกนาซี จนเธอได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยม

     

    เอลเซ่กับวาลเดรียใช้เส้นสายที่นอร์วินแนะนำให้ไปกบดานที่อิสราเอล 5 ปี เอลเซ่กลับฝรั่งเศสและหางานทำจนบั่นปลาย ส่วนวาลเดรียยังคงใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลจนบั้นปลาย

     

    อลิซและริชาร์ด ยังคงอยู่ในกองทัพฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบัน

     

    และองค์จักรพรรดินีและกลุ่มภาคีของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปที่ไหน การหายตัวไปของเธอ ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้

    นั่นคือข้อมูลของพวกเขาทั้งหมดที่ผมมี ผมพูดได้แค่นี้แหละครับ!!

    ชายคนหนึ่งบอกกับตำรวจที่อยู่ตรงหน้าของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ตำรวจคนนั้นก็ได้แต่จดบันทึกตามที่เขาบอกไป

    ===============================================================

    จบแล้วจ้า เย้ๆ เป็นยังไงกันบ้าง

    ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดเน้อ

    เรื่องต่อไป Sorova เลยจ้า https://writer.dek-d.com/shinobinon/writer/view.php?id=2144498 

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ อิอิ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลหนูด้วย!!

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×