คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 7 : โรงพยาบาล
กลุ่มของนาวินเดินมาตามทางโรงพยาบาลเรื่อยๆ โดยที่พวกเขาได้คอยสอดส่องทุกอย่างดูทุกด้านว่ามีพวกบอดี้การ์ดอยู่แถวนั้นหรือเปล่า พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆโดยมีโลร็องต์และลูโดวิกนำทางไป เพื่อไปยังลิฟต์ซึ่งจะนำพวกเขาไปยังชั้น 24 พวกเขาเดินกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าลิฟต์ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครอยู่หน้าลิฟต์เลย
“พวกเราสองคนจัดการแล้วพี่ชาย” โลร็องต์พูดขึ้น
“เก็บงานได้ดีนี่” นาวินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็กดลิฟต์และขึ้นลิฟต์ไป และเมื่อพวกเขาขึ้นลิฟต์ เขาก็เสียบคีย์การ์ดเข้าไป จากนั้นก็กดที่ชั้น 24 ในทันที และในระหว่างที่ขึ้นไป ภาภินก็มาอัพเดทสถานการณ์ให้นาวินฟังไปด้วย
“พี่วิน ตอนนี้ผมดับกล้องวงจรปิดในลิฟต์แล้ว ปลอดภัยหายห่วง”
“ดี เอาไว้ถึงชั้น 24 นายดับไฟตึกให้หมด เหลือแค่ชั้น 24 พอ” นาวินตอบกลับไป จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ขึ้นลิฟต์มาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปโดยที่ชายสองคนกำลังถือปืนยืนเฝ้าบริเวณนั้น
“เฮ้ย พวกมึง!!” ชายคนนั้นพูดขึ้นพลางเล็งปืนใส่นาวิน แต่นาวินยิงปืนยาสลบใส่พวกมันก่อนจนสลบไปสองคนรวด จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะ จัดการศพด้วย” นาวินพูดขึ้น
“ได้เลย โลร็องต์ ไปลากไปบ้านั่น” ลูโดวิกพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบลากร่างของทั้งคู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นที่เหลือก็เดินไปตามทางโรงพยาบาลซึ่งมีบอดี้การ์ดเดินเฝ้ากันอย่างแข็งขัน
“เฮ้ย พวกมึงเป็นใครวะ??”
บอดี้การ์ดพวกนั้นพยายามจะขัดขวางกลุ่มของนาวิน แต่ในตอนนั้นเวียนก็ใช้พลังจิตดันพวกมันออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้พลังยกร่างของบอดี้การ์ดคนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็เหวี่ยงตัวมันออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ใครอยากจะเข้ามาอีกหล่ะ??” เวียนพูดขึ้นพลางกำร่มสีดำของเธอเพื่อเตรียมพร้อม และในตอนนั้น ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาดูสถานการณ์ด้านนอก
“เอะอะอะไรกันวะ??”
ชายคนนั้นพูดขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นพวกของนาวิน เขาก็รีบชักปืนออกมาในทันที แต่เวียนปาร่มใส่มือของหมอนั่นจนปืนหลุดออกจากมือ และอากิระก็วิ่งเข้าไปต่อยหน้าของหมอนั่นราวกับจะเอาให้หน้าของหมอนั่นแหลกเหลวให้ได้
“อากิระ เดี๋ยว!!” ชายคนนั้นพยายามพูดห้ามเขา แต่อากิระก็ยังไม่ยอมฟังและต่อยหน้ามันต่อ
“ไอ้จ๊อด ลูกพี่มึงอยู่ห้องไหน บอกกูมา หรือมึงอยากลงไปข้างล่างจากชั้นนี้ ห่ะ??” อากิระถามจนเสียงดังลั่นโรงพยาบาล ทำเอานาวินถึงกับต้องคอยห้ามเขาไว้
“ใจเย็นน่า เดี๋ยวมันก็ตายพอดี” ฮารุบอกกับอากิระไปแล้วพยายามจะฉุดเขาไว้
“หมอนั่นอยู่ที่ห้อง 5 อย่าทำอะไรกูเลย!!” ชายคนนั้นพูดขึ้น และไม่นาน อากิระก็ถีบหน้าหมอนั่นจนมันสลบเหมือดไปนอนกับพื้น
“เฮ้อ ชาวบ้านชาวช่องได้ตื่นกันหมดแน่” นายลุ้นพูดขึ้น และไม่นานนักโลร็องต์และลูโดวิกก็รีบมารวมตัวกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“รีบจัดการไอ้พวกนี้ก่อน แล้วค่อยไปที่ห้องมัน เร็ว” นาวินพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆช่วยกันแบกร่างของคนพวกนั้นไปซ่อนเอาไว้ก่อน จากนั้นพวกเขาก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็วที่หน้าห้องของแสน จากนั้นไม่นาน นาวินก็รีบเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก เขาก็พบกับห้องซึ่งประดับประดาไปด้วยยันต์ชนิดต่างๆ พร้อมกับมีหมอผีอยู่ด้านในคนหนึ่ง กำลังนั่งบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างพร้อมกับหม้อดิน และในตอนนั้น ตัวของหมอผีก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ชักมีดหมอของเขาออกมา
“ไอ้พวกอมนุษย์ อย่าคิดว่ากูจะกลัวพวกมึงนะ!!” หมอผีคนนั้นตะโกนออกมา แต่อากิระใช้ปืนยาสลบยิงหมอผีจนร่วงลงไป จากนั้นก็ไปเตะหม้อดินของหมอผีจนแตก และไม่นาน ผีร้ายตนหนึ่งก็ออกมาจากหม้อนั้น รวมถึงแสนที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของหมอผี ในตอนนั้นผีสาวตัวนั้นก็พยายามจะเล่นงานแสนต่อจนแสนต้องรีบตะโกนขึ้น
“อย่าๆๆๆ ผมกลัวแล้วๆๆๆ!!”
“เดี๋ยว ไอ้บ้านั่นของกู!!” อากิระตะโกนบอกผีสาวตัวนั้น ทำเอาผีสาวตัวนั้นหันมามองพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“นี่ นี่มันผีจริงๆเหรอคะเนี่ย??” ลาลินพูดแบบกลัวๆ
“นั่นสิ อย่าเข้ามานะ เรากลัวแล้ว!!” ฮารุพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง คนแบบพวกเราฆ่ามันได้ เพราะเราเป็นอมนุษย์ที่เหนือกว่ามัน” นาวินบอกกับทุกคนไป
“ขอบน้ำใจพวกท่านมากที่ช่วยข้า” ผีสาวตนนั้นพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน โลร็องต์และลูโดวิกที่ไปจัดการพวกข้างนอกก็กลับมาในห้อง แล้วก็เห็นผีเข้าจังๆ
“เฮ้ย ผีหลอก!!” โลร็องต์พูดขึ้นแต่ลูโดวิกได้คว้าตัวเขาไว้ก่อน
“จะกลัวอะไร พวกเรามันก็ตายไปแล้วนี่หว่า” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ว่าแต่ เธอมาทำอะไรที่นี่กัน??” เวียนถามผีสาวตนนั้นไป
“นางเป็นข้ารับใช้ข้า!!” เสียงปริศนาเสียงหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นไม่นานก็ปรากฏร่างวิญญาณตนหนึ่ง และผีสาวตนนั้นเมื่อได้เห็นก็รีบทำความเคารพในทันที
“เฮ้ย ใครมาอีกวะเนี่ย??” ลุ้นถามอย่างสงสัย
“สวัสดีทุกท่าน ในที่สุดข้าก็ได้เจอพวกท่านเสียที” วิญญาณตนนั้นพูดขึ้น และอากิระก็กำลังจะเดินไปปะทะกับวิญญาณตนนั้น
“เดี๋ยวก่อน ข้ามาดี ข้าชื่อวิบัติ ข้าได้สิงดวงจิตของวิญญาณตนนี้มาเพื่อพูดคุยกับพวกเจ้า”
“ท่านวิบัติเจ้าขา ชายคนนั้นบอกจะจัดการกับไอ้แสนนี่เองค่ะ มันบังอาจมากที่มาขังฉันไว้” ผีสาวตนนั้นพูดขึ้น
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย??” ไอ้แสนได้ตะโกนถามไป
“มึงเงียบไปปากไป เดี๋ยวกูได้เล่นงานมึงแน่!!” อากิระพูดขึ้นพลางเล็งปืนใส่ไอ้แสนไป ทำเอามันถึงกับเงียบไป มันพยายามจะกดปุ่มเรียกคนข้างนอกให้ออกมาช่วย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอะไรเลย
“ปล่อยมันเถอะ ไม่มีใครมาช่วยมันหรอก เอาหล่ะ คุณมีจุดประสงค์อะไร??” นาวินพูดและหันไปถามวิบัติต่อ
“ข้าเองก็มาจัดการไอ้บ้านี่เหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ” วิบัติพูดขึ้น
“งั้นก็แสดงว่า คุณเองก็รู้เรื่องการตามล่าผู้เกิดใหม่แล้วสินะ” เวียนถามไป
“แน่นอน ข้าเลยมาชำระความกับไอ้บ้านี่ ข้าเคยได้ยินเรื่องของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าฝีมือดีกันมากเลยนี่ และในที่สุด ข้าก็ได้พบกับท่าน ผู้เป็นอมตะ” วิบัติพูดกับนาวินไป
“โห นี่ท่านรู้พลังของคุณวินด้วยเหรอคะเนี่ย??” ฮารุถามไป
“ดูเหมือนว่างานนี้เราคงจะร่วมมือกันได้นะ” ลุ้นพูดขึ้น
“ว่าแต่ เราจะเอายังไงกับนายคนนั้นหล่ะคะ??” ลาลินถามในขณะที่มองไปยังนายแสน และในตอนนั้น อากิระก็วิ่งเข้าไปต่อยหน้าของนายแสนอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ตัวของหมอนั่นยังนอนติดเตียงอยู่ ทำเอาคนอื่นๆต้องรีบไปรั้งอากิระไว้
“เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นก่อนสิ เดี๋ยวหมอนั่นก็ตายพอดี” ลูโดวิกพูดขึ้น
“เอาน่าพี่ คนชั่วมันตายยาก ให้มันทรมานหน่อย” โลร็องต์บอกลูโดวิกไป และหลังจากที่อากิระซ้อมนายแสนไป นายแสนก็พูดขึ้น
“กูขอโทษ อย่าทำอะไรกูเลย กูยอมแล้ว กูจะไม่ยุ่งกับพวกมึงอีกแล้ว!!” นายแสนพูดขึ้นพลางยกมือไหว้อากิระ
“มึงทำให้กูต้องพรากจากเพื่อน มึงทำให้กูต้องเร่ร่อน ความตายยังน้อยเกินไปสำหรับคนอย่างมึง มึงมีแผนอะไรอีก บอกกูมาให้หมด??” อากิระถามไป
“กูไม่รู้ พ่อกูเป็นคนวางแผนทั้งหมด กูไม่รู้เรื่องด้วย” นายแสนพูดอย่างลนลาน และในตอนนั้นเอง เวียนก็เดินไปหาหมอนั่นแล้วใช้พลังควบคุมสมองของเขาอย่างรวดเร็ว และนายแสนโดนพลังเข้าไปก็ถึงกับชะงัก
“บอกมาให้หมดว่าแกรู้อะไร??” เวียนถามไป
“ตอนนี้พวกเขาเรียกกองกำลังต่างชาติเข้ามาจัดการปราบปรามแล้ว พวกเขามีแผนจะปราบปรามไปทีละกลุ่มแบบถอนรากถอนโคนเลยครับ” นายแสนพูดออกมาราวกับว่าเขาเต็มใจจะบอก
“โห มันบอกง่ายขนาดนี้เลยเหรอ??” ลุ้นถามไป
“บอกแล้ว ปากแข็งแบบนี้ต้องเจอพี่เวียน” ฮารุพูดขึ้น
“แสดงว่า ที่ภาภินรู้มาก็คือเรื่องจริงสินะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ถ้าเป็นแบบนั้น เราอยู่เฉยไม่ได้แล้วนะคะพี่” ลาลินพูดขึ้น
“ใครว่าเราอยู่เฉยกันเล่า น้องสาว??” โลร็องต์พูดขึ้น
“มิน่าหล่ะ พวกมึงถึงได้ส่งคนมาตามล่ากู!!” วิบัติพูดขึ้นอย่างเจ็บแค้น
“แล้วแกรู้อะไรอีก บอกพวกเรามาให้หมด??” นาวินถามนายแสนต่อ
“ผมส่งคนไปจับตาดูแลเตรียมเล่นงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอากิระครับ” นายแสนพูดขึ้น ทำเอาอากิระถึงกับต่อยหน้านายแสนต่อ แล้วก็กระชากเสื้อของหมอนั่นขึ้นมา แต่คนอื่นๆต้องช่วยกันแยกอากิระออกมาก่อน
“ไอ้ระยำ มึงคิดจะทำอะไรเพื่อนกู??” อากิระพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น หมอผีที่นอนลงไปกับพื้นก็ฟื้นขึ้นมา จากนั้นก็หยิบมีดหมอขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วจะแทงเข้าที่ร่างของวิบัติ แต่ผีสาวตนนั้นก็เอาร่างมารับแทน ทำเอาผีสาวตนนั้นร้องอย่างโหยหวน จากนั้นก็ค่อยๆสลายร่างไป วิบัติเห็นดังนั้นจึงฆ่าหมอผีคนนั้นจากนั้นก็ดูดพลังวิญญาณมาเพื่อเป็นพลังให้เขาอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น จู่ๆ วิทยุของนาวินก็ดังขึ้น มันคือเสียงของภาภินนั่นเอง
“พี่ พี่ต้องรีบหนีแล้ว พวกมันกำลังขึ้นมาหาไอ้แสนแล้ว!!”
“บ้าเอ้ย อากิระ เราต้องหนีแล้ว เร็ว!!” นาวินตะโกนบอกอากิระในขณะที่อากิระกำลังฟัดกับนายแสนอย่างดุเดือด และไม่นานพวกเขาก็ลากอากิระออกมาได้ แต่อากิระถีบนายแสนจนตกเตียงไปอย่างรวดเร็ว
“เอาไว้พบกันใหม่ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่ใด!!” วิบัติพูดขึ้นจากนั้นก็ค่อยๆหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ส่วนนาวินและคนอื่นๆก็พากันลากอากิระออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น บรรดาบอดี้การ์ดมากมายนับร้อยก็บุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบไล่ยิงพวกเขา
“ปังๆๆๆๆๆ!!”
“เวรแล้ว รีบไปเร็ว!!” นาวินพูดขึ้น และในตอนนั้น อากิระที่แอบพกปืนจริงมาด้วยก็ยิงสวนกับพวกมันอย่างรวดเร็ว
“ปังๆๆๆๆ!!”
“เฮ้ย อากิระ เอาปืนจริงมาด้วยเหรอ??” นาวินถามไป
“เผื่อฉุกเฉินหน่ะพี่” อากิระพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ไฟในโรงพยาบาลก็เริ่มติดๆดับๆอย่างต่อเนื่อง ทำเอาพวกบอดี้การ์ดถึงกับตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย??” พวกบอดี้การ์ดถามไป และในตอนนั้นเอง พวกของนาวินก็ได้ยินเสียงมาจากฝั่งบอดี้การ์ด
“อ๊าค ช่วยด้วย!!”
“มันเรื่องอะไรกันเนี่ย??” โลร็องต์ถามอย่างสงสัย
“ต้องเป็นหมอผีที่ชื่อวิบัติแน่ๆ ฉันว่านะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“ทุกคน รีบไปก่อนเร็ว!!” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็รีบเอาเตียงแถวนั้นมากั้นเส้นทางไว้ จากนั้นก็พ่นไฟออกมาเผาเตียงนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบไปรวมตัวกับคนอื่นๆ พวกเขารีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว และในตอนนั้น ลุ้นก็รีบจั่วไพ่ออกมาอย่างรวดเร็วเผื่อจะมีไพ่ที่ช่วยเขาได้
“GHOST!!”
“อะไรกัน ผีงั้นเหรอ??” นายลุ้นถามไป
“คงเป็นผีของหมอนั่นนั่นแหละ” เวียนพูดขึ้น แต่พวกบอดี้การ์ดก็ใช้เวลาไม่นาน จึงวิ่งตามพวกเขามาได้ทันและไล่ยิงพวกเขา ลาลินรีบหยิบเอาระเบิดแก๊สออกมาขว้างและสกัดพวกมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“พี่คะ แก๊สขวางมันไว้ได้ไม่นาน เราต้องเรียกโดรนแล้ว!!” ลาลินตะโกนออกมา
“ภาภิน เรียกโดรนมาได้เลย!!” นาวินตะโกนบอกภาภินทางวิทยุ
“ได้เลยพี่ โดรนกำลังไปรับในไม่กี่นาทีแล้วพี่!!” ภาภินตอบกลับไป และไม่นานนัก พวกเขาก็ขึ้นมาถึงดาดฟ้า พวกบอดี้การ์ดพยายามไล่ตามพวกเขามาเรื่อยๆ และไม่นาน โดรนขนส่งของดันเต้ก็บินมารับพวกเขาที่ดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว โดยที่หุ่นดรอยด์ของดันเต้ที่ถือปืนมาก็ช่วยยิงคุ้มกันพวกเขา
“อยากกลับบ้านสินะครับผม!!” หุ่นดรอยด์ตัวหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นพวกของนาวินก็รีบขึ้นโดรนกันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกบอดี้การ์ดนับร้อยจะบุกมา
“ออกเครื่องได้!!”
โดรนลำนั้นบินออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว พวกบอดี้การ์ดพยายามจะยิงใส่แต่ก็แทบไม่มีผลอะไรเลย พวกเขาหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“ภาภิน รอรับพวกเราด้วย” นาวินคุยวิทยุกับภาภินไป
“ได้เลยพี่ ปลอดภัยกลับมานะพ....” และในตอนนั้น จู่ๆภาภินก็เสียงหายไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ สงสัยจะหลับไปแล้ว” นาวินพูดขึ้น
ณ ห้องทำงานห้องหนึ่งในบ้านพักของสส.สุรสิงห์ ซึ่งตัวของเขากำลังเริงรักกับเลขาของเขาอยู่บนเก้าอี้อย่างเผ็ดร้อน แต่ในตอนนั้น ตัวของเขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
“เฮ้ย อะไรของมึงวะ??” สุรสิงห์ตะโกนตอบกลับปลายสายไป
“ท่านครับ ลูกชายท่านถูกทำร้ายที่โรงพยาบาลครับ”
“ห่ะ จริงเหรอ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!!” เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็รีบวางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นก็ให้ตัวของเลขาออกอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบแต่งตัวในทันที
“ท่านคะ เราไปต่อในรถก็ได้นะคะ” เลขาของเขาพูดขึ้น
“ก็ได้ ถ้างั้นนั่งรถตู้ของเราไป บอกคนขับให้เตรียมพร้อมด้วย” สส.สุรสิงห์ตอบกลับ
กลับมายังแหล่งกบดานของดันเต้ หลังจากที่ภาภินได้แฮกข้อมูลเพื่อช่วยเหลือทุกคนเรียบร้อยแล้ว ตัวของเขาก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นายลืมก็นอนหลับอยู่ข้างๆภาภินหลังจากที่ช่วยโน่นช่วยนี้มามากแล้ว
“อืม จะว่าไปไอ้หมอนี่ที่มันลืมเก่ง มันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย” โจไซอาห์พูดขึ้น
“อืม คุณดันเต้ ว่าแต่หมอนี่ไปไงมาไงหล่ะคะ??” อินเนสซ่าถามไป
“จะว่าไป ผมพยายามหาตัวตนของเขาอยู่ รู้แค่ว่าเขาเป็นนักเรียนมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของเขาไปไหน” ดันเต้พูดขึ้น
“อ้อ จะว่าไป พวกคุณคิดยังไงกับเรื่องของนายภาภินนี่หล่ะ??” โจไซอาห์ถามไป
“เรื่องของหมอนั่นกับผู้หญิงที่ชื่อกาลีน่างั้นเหรอ ดูภาภินจะเลี่ยงตอบตลอดเลยนะ คุณดันเต้ คุณพอรู้เรื่องหรือเปล่า??” อินเนสซ่าถามไป
“อืม เรื่องส่วนตัวของเขาผมไม่อยากยุ่งหรอก แล้วนี่เมื่อไหร่นาวินเขาจะกลับมานะ??” ดันเต้ถามไป
“ถ้าอีก 10 นาทีเขาไม่กลับมา ผมจะไปช่วยเขา” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นฉันขอไปด้วยก็แล้วกัน” อินเนสซ่าพูดเสริม
“ไม่ต้องหรอก เราส่งโดรนไปรับเขาแล้ว ยังไงเขาก็ต้องกลับมาแน่” ดันเต้พูดออกไป
และอีกด้านหนึ่ง สถานที่กบดานของนายสุชัย หลังจากที่ลันโทสไปเจรจากับกองกำลังของพวกเขา ตัวของลันโทสก็เดินทางกลับเพื่อไปรวมตัวกับคนอื่น แต่ในระหว่างที่ตัวของเขาจะเดินออกไป จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินมาหาเขาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทักทายเขาไป
“ลันโทส!!”
“อ้าว คุณเบ็ตตี้ ลมอะไรหอบคุณมาถึงที่นี่เนี่ย??” ลันโทสถามไป
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะได้ยินเรื่องของนายหน่ะสิ เก่งมาก เป็นยังไงบ้างซีโร่??” เบ็ตตี้ถามซีโร่ไปบ้าง
“ก็สบายดีครับผม”
“อืม พวกนายมาเจรจากับพวกเขาสินะ ฉันเองก็กำลังคุยกับกองกำลังต่างๆเพื่อรวมกำลังเหมือนกัน ฉันเชื่อว่าสงครามใหญ่กำลังจะเกิดอีกไม่นานแน่ๆ” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“ครับ ตอนนี้เรากำลังจัดการอยู่ครับ ผมเข้าร่วมกับกองกำลังซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นกำลังหลักให้เราอยู่ คุณอยากจะไปกับผมหรือเปล่าครับ??” ลันโทสถามไป
“อืม เอาไว้ทีหลังดีกว่า ไว้ฉันจะติดต่อนายเอง ฉันรู้จักเบอร์ของนายอยู่แล้วนี่” เบ็ตตี้พูดขึ้น
“รับทราบครับผม เราต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันทีหลังนะครับ” ซีโร่พูดขึ้น จากนั้นลันโทสกับซีโร่ก็เดินไปขึ้นโดรนของพสวกเขาเพื่อกลับไปหาดันเต้อย่างรวดเร็ว
เช้าวันต่อมา ฐานทัพของกองกำลังของฮาเวิร์ด ในตอนนั้นพวกเขาก็กำลังแยกย้ายกันพักผ่อนอยู่ ในวันนั้นตัวของแสงจันทร์ก็โทรศัพท์ไปหาใครบางคน และไม่นานนัก รูกิก็เดินผ่านมาเจอแสงจันทร์โทรศัพท์อยู่
“เดี๋ยวผมโทรกลับนะครับแม่ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ” แสงจันทร์พูดแล้ววางสายไป
“โทรหาแม่นายงั้นเหรอ ลูกกตัญญูนี่” รูกิพูดขึ้น
“ก็ใช่ครับ ผมเพิ่งส่งเงินไปให้ที่บ้าน ไม่รู้ว่าน้องผมจะเป็นยังไง” แสงจันทร์พูดขึ้น
“อืม เอาเถอะ แล้วอยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า??” รูกิถามไป
“อ้อ ไม่หรอก แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะ” แสงจันทร์พูดขึ้น
“อาหารของนายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปเอาด้านโน่นก็แล้วกัน” รูกิพูดขึ้นจากนั้นเธอก็เดินจากไป ส่วนตัวของแสงจันทร์ก็เปิดกระเป๋าเงินของเขาดู ซึ่งมันมีรูปกของครอบครัวเขาซึ่งอยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่น
ทางด้านของกาลีน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็ทำความสะอาดปืนของเธออย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยตรวจสอบอาวุธอื่นเพิ่มเติมด้วย แต่ในขณะเดียวกัน วูฟก็เดินมาแถวๆนั้นด้วย จากนั้นก็เดินไปพูดกับเธออย่างรวดเร็ว
“นี่น้องสาว ได้ข่าวว่าเธอกำลังตามล่าคนๆหนึ่ง ให้ฉันช่วยหรือเปล่าน้องสาว??”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะจัดการหมอนี่เอง มันเป็นของฉัน” กาลีน่าพูดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ นายหน่ะจัดการเรื่องของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ!!” รูกี้ในตอนนั้นพูดแล้วเดินมาหาพวกเขาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“พูดอย่างกับพวกนายสองคนจัดการมันได้งั้นหล่ะ” กาลีน่าพูดขึ้น
“ว่าแต่ ไอ้หมอนั่นมันเกี่ยวข้องอะไรกับเธอเล่า??” วูฟถามไป
“อืม นั่นสิ ทุกอย่างมันต้องมีสาเหตุนะ” รูกี้ถามเสริม
“อยากฆ่ามันให้ตาย เพื่อแก้แค้นให้แม่ฉัน แม่ฉันรับมันมาเป็นลูกบุญธรรม แต่มันเผาบ้านแล้วฆ่าแม่ฉันตาย พอใจหรือยังหล่ะ??” กาลีน่าถามไป
“อู้ว น่าสงสารจังเลยแหะ ไม่น่าเลยนะ” วูฟพูดขึ้น
“เธอแน่ใจนะว่าเป็นฝีมือมัน??” รูกี้ถามไป
“ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครหล่ะ พวกนายสองคนตามล่ามันมาให้ฉันได้หรือเปล่าหล่ะ ถ้าทำได้ ฉันให้ทุกอย่างเลย??” กาลีน่าตะโกนถามทั้งคู่ไป
“เฮ้อๆๆ อย่าลืมที่พูดนะจ๊ะน้องสาว” วูฟพูดขึ้นพลางจุ๊บปากใส่กาลีน่า จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“ไอ้โง่เอ้ย เก็บชีวิตไว้หอนเถอะมึงอ่ะ” รูกี้พูดขึ้นพลางเดินออกไปด้านนอกรวมถึงควงมีดของเขาไปด้วย
ทางด้านของจ่าชัยและยูริ ตัวของจ่าชัยนั่งขัดปืนของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมอาวุธของเขา และในขณะเดียวกันนั้นเอง ยูริก็เดินผ่านมาพอดี แล้วก็มานั่งคุยกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“หวัดดีจ่า ทำอะไรอยู่หล่ะ??” ยูริถามไป
“อ้อ ผมแค่ขัดปืนหน่ะ เผื่อต้องออกไปลุย” จ่าชัยพูดขึ้น
“คุณรู้หรือเปล่า ผมไม่ไว้ใจผู้หญิงที่ชื่อลีน่าเลย” ยูริพูดขึ้น
“ก็เหมือนกับผมนั่นแหละ แต่เรายังทำอะไรไม่ได้นี่” จ่าชัยพูดขึ้น
“ไม่รู้ว่าคุณคริสเตียลกำลังคิดอะไรของเขาอยู่กันนะ” ยูริถามในขณะที่ควักบุหรี่ออกมาสูบ
“ก็ไม่รู้สิ ผมเองก็อยากรู้นะ” จ่าชัยพูดขึ้น
“เอาเถอะ อย่าให้รู้แล้วกันว่าเธอเป็นหนอน” ยูริพูดขึ้นพลางพ่นควันออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไว้เราจะได้เห็นกันครับ” จ่าชัยพูดเสร็จก็ใส่กระสุนปืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เก็บปืนของเขาเข้าไปในซอง
ทางด้านของฮาเวิร์ด ตัวของเขาและเวอร์รีนได้ไปต้อนรับคริสเตียลที่เพิ่งจะกลับจากการตามล่าผู้เกิดใหม่ ซึ่งคริสเตียลได้ชัยชนะอย่างงดงาม หลังจากที่ตัวคริสเตียลมาถึง ฮาเวิร์ดก็ไปคุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“เป็นยังไงบ้างครับท่าน??” ฮาเวิร์ดถามไป
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ไอ้พวกตัวเล็กตัวน้อยหน่ะ แต่มันฆ่าเด็กไปด้วย ผมช่วยไว้ไม่ทัน” คริสเตียลพูดขึ้นพลางเงียบไป
“เสียใจด้วยนะคะท่าน แล้วท่านจะทำยังไงต่อคะ??” เวอร์รีนถามไป
“ผมจะออกตามล่าพวกมันต่อ คราวนี้คุณลีน่าจะได้ไปด้วย” คริสเตียลพูดขึ้น
“แต่ผมว่า เธอดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนะครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“ฉันเห็นด้วยนะคะ เหมือนว่าเธอมีท่าทางแปลกๆ เมื่อคืนก็ไม่ได้ให้พวกเราออกปฏิบัติการเลยนะคะ” เวอร์รีนพูดขึ้น
“อย่าเสียมารยาทน่า ยังไงเราก็ต้องให้เธอมาร่วมด้วย เป็นคำสั่งของเบื้องบนหน่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น
“เอาเถอะครับ อย่าทำให้แผนของเราพังก็แล้วกัน” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมขอไปพักก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็จัดการที่เหลือด้วยหล่ะ” คริสเตียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินกลับไปที่ห้องพักของเขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ สงสัยงานนี้เราคงจะลำบากแล้ว” เวอร์รีนพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะจับตาดูเธอเอง” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น
“แน่นอน ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” เวอร์รีนพูดเสริม
ที่ห้องของลีน่า ตัวของเธอนั่งอ่านเอกสารที่ได้มาจากฮาเวิร์ดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ส่งข้อมูลบางส่วนกลับไปให้นายของเธอทางแชทไปด้วย และไม่นานนัก เธอก็คุยกับนายของเธออย่างรวดเร็ว
“ที่รักคะ ดิฉันส่งข้อมูลของผู้เกิดใหม่ไปหมดแล้วนะคะ” ลีน่าพูดขึ้น
“อืม ฉันเห็นหมดแล้ว ฉันกำลังหาวิธีรับมือมันอยู่”
“ตอนนี้ฉันกำลังหาที่อยู่ของดันเต้ แล้วฉันก็คิดว่ามันอยู่ที่ไหน”
“ระดับเธอคงหาไม่ยากหรอกมั้ง”
“แน่นอนค่ะที่รัก ไว้ใจฉันได้เลย”
“ได้เลย เอาไว้ถ้าถึงเวลา ฉันจะไปที่นั่น”
“ค่ะที่รัก ฉันจะไปรับคุณเองที่รัก”
“ได้เลย ก่อนอื่นฉันต้องเอาของของมันมาให้ได้ก่อน”
“เชื่อใจฉันได้เลยค่ะที่รัก”
ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตชานเมืองกรุงเทพ ในตอนนั้นกลุ่มของเบลที่เพิ่งจะหนีตายจากกองกำลังที่ตามล่าเขา และช่วงเช้ามืด พวกเขาก็มานั่งพักกันที่ป่ารกร้างแห่งหนึ่งในเมือง จากนั้นพวกเขาก็มานั่งคุยกันอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรกันต่อ
“เฮ้อ บ้าเอ้ย เกือบตาย แล้วนี่แก้วตื่นหรือยังเนี่ย??” เบลถามอย่างสงสัย และไม่นานนัก แก้วก็ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็มีอาการสะลึมละลือเล็กน้อย
“แก้ว เป็นยังไงบ้าง??” เกเบรียลถามไป
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วฉันทำอะไรไปเนี่ยเมื่อคืน??” แก้วถามไป
“ห่ะ นี่เธอจำไม่ได้จริงๆเหรอ??” เบลถามไป
“มันเป็นพลังของฉันหน่ะ ฉันจะมีสองบุคลิก แต่เมื่อเปลี่ยนบุคลิกที่สอง ฉันจะจำสิ่งที่ฉันทำไม่ได้หน่ะ” แก้วพูดขึ้น
“อ้อ ช่างมันเถอะ คุณลืมไปหน่ะดีแล้ว ผมช่วยคุณพาหนีจากพวกมันหน่ะ” เกเบรียลพูดขึ้น
“บ้าเอ้ย แล้วมีที่ไหนที่จะให้เราอยู่สงบๆเนี่ย??” เบลถามไป
“สงสัยคงไม่ได้แล้วหล่ะ คงต้องตอบโต้กับพวกมัน” เกเบรียลพูดขึ้น
“ฉันอยากกลับบ้านจริงๆ” แก้วพูดขึ้น
“คงจะกลับไม่ได้หรอก ถ้ายังจัดการกับพวกมันไม่ได้” เกเบรียลพูดขึ้น
“ฉันไม่อยากจะกลับไปฆ่าใครอีกแล้ว แต่ถ้าพวกมันจะเอา ฉันก็จะเล่นด้วย” เบลพูดขึ้น
“ก่อนอื่น เราคงต้องไปรวมกำลังกับคนอื่นๆก่อน” เกเบรียลพูดขึ้น
“จะไปรวมกำลังกับใครหล่ะ??” แก้วถามไป
“มันต้องมีกลุ่มผู้เกิดใหม่ที่รวมตัวกันอยู่สิ ฉันว่านะ” เบลพูดขึ้น
“พวกเขาคงต้องอยู่แถวชานเมืองแน่ ไม่ต้องห่วง” เกเบรียลพูดขึ้น
“ดีนะที่เราไม่ต้องกินอะไรก็ได้ เดี๋ยวเราเดินทางกันต่อเถอะ” เบลพูดขึ้น
“จริงด้วย ฉันเบื่อที่ต้องเป็นเป้านิ่งแล้ว” แก้วพูดขึ้น
“ฉันขอนั่งพักก่อนก็แล้วกัน” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็นั่งพักและถอนหายใจอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนอื่นๆก็รีบนั่งพักหายใจตามๆกันไป
กลับมายังบ้านพักของอีสครินน่า ในวันนั้นตัวของพัตติยาก็เดินลงมาจากชั้นสองเพื่อมาหาอีสครินน่า ซึ่งในตอนนั้นเธอกำลังคุยกับลูอีสอยู่ พัตติยาได้เห็นดังนั้นจึงไปคุยกับอีสครินน่าต่อในทันที
“เฮ้ อรุณสวัสดิ์ เป็นยังไงบ้าง??”
“อ้าว พัตติยา เรากำลังคุยกันอยู่เลย” อีสครินน่าพูดขึ้น
“อ้อๆ คุยเรื่องอะไรกันเหรอ??” พัตติยาถามไป
“ตอนนี้มีข่าวว่าพวกมันกำลังเดินหน้าโจมตีอย่างเต็มที่ แล้วมีข่าวดีอีกข่าว เราว่าเราเจอคนที่เราอยากเจอแล้วหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ครับ เราพอทราบแหล่งกบดานของกองกำลังใต้ดินแล้วหล่ะครับ” ลูอีสพูดขึ้น
“แล้วนี่ มีข่าวอะไรเกี่ยวกับฉันอีกหรือเปล่า??” พัตติยาถามไป
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรมาก คนพวกนั้นกำลังตามหาเธออยู่เลย” อีสครินน่าพูดขึ้น
“ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไงเนี่ย??” พัตติยาถามในขณะที่กอดอกไปด้วย
“ไม่ต้องห่วงหรอก แล้วเราจะได้เจอกับเขาเมื่อไหร่ ลูอีส??” อีสครินน่าถามไป
“เรากำลังตามสืบอยู่ครับ” ลูอีสพูดขึ้น
“ฉันจะช่วยเอง ตอนนี้ฉันอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ทำอะไร ฉันจะไปตามหาทุกที่เลย” พัตติยาพูดขึ้น
“ก็แล้วแต่นะ แต่ถึงยังไงก็ต้องระวังตัวด้วยหล่ะ” อีสครินน่าพูดขึ้น
“แน่นอน คุณลูอีส ฉันขอข้อมูลที่คุณได้มาค่ะ” พัตติยาพูดขึ้น
“ได้เลยครับ” ลูอีสพูดขึ้นพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับพัตติยาไปด้วย
“ยังไงเธอก็ต้องใช้พลังให้เบาๆหน่อยนะ” อีสครินน่าพูดไป
“ได้เลย เธอก็รู้จักฉันดีนี่” พัตติยาพูดไป จากนั้นตัวของเธอก็จัดการหายแวบไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาอีสครินน่าถึงกับส่ายหัวไปเลย
กลับมายังบ้านพักของมิกิ หลังจากที่เธออัพโหลดวีดีโอลงไปในเพจของเธอไป มันก็ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว มาพร้อมกับการโดนรีพอร์ตจากหลายๆที่ แต่ในตอนนั้นเธอก็สร้างเพจใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังทำคอมอยู่ จู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาหาเธอ เธอรีบรับสายในทันที
“ฮัลโหล!!”
“คุณมิกิ ผมขอโทษ มีคนเขาอยากจะคุยกับคุณ” ชายปลายสายพูดขึ้น จากนั้นชายอีกคนก็พูดต่อแทน
“คุณใช่หรือเปล่าที่ปล่อยข้อมูล??”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม??” มิกิถามไป
“หยุดอัพโหลดข้อมูลซักทีเถอะ ไม่อย่างงั้น...”
“ไม่อย่างงั้นทำไมหล่ะ จะทำอะไรฉันได้ โทรศัพท์ของฉันพรางสัญญาณ คุณตามฉันไม่ได้หรอก??” มิกิถามไป
“ทางองค์กรให้ 5 ล้าน แลกกับการสงบศึกกับคุณครับ”
“อืม ไม่พอหรอก ฉันขอ 50 ล้าน!!” มิกิพูดขึ้น
“นี่คุณจะหาเรื่องเหรอ??”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด ตอนนี้ฉันอยู่ในสถานะที่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง” มิกิพูดขึ้น
“ก็ได้ เอาไว้จะมาคอยดูกัน”
“เอาไว้มี 50 ล้านเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกันนะคะ แล้วอีกอย่าง แลกกับการล้างคดีให้ฉันด้วย ถ้าไม่อย่างงั้น ฉันมีชุดใหญ่เตรียมไว้อยู่ รอดูได้เลย” มิกิพูดขึ้น จากนั้นเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ คิดว่าจะแน่ซักแค่ไหน” มิกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็กลับมาที่หน้าคอมต่อ ซึ่งหน้าจอตอนนั้นก็ขึ้นมา
“อัพโหลด 100%”
“เฮ้อ มาลองดูกันสิว่าแกจะทำอะไรต่อ” มิกิพูดขึ้นพลางกดไปที่เม้าส์ซ้ายอย่างรวดเร็ว
ณ สถานี BTS แห่งหนึ่งในเขตวัดพระศรีมหาธาตุ ตัวของไคเดินทางออกตามหาเกเบรียลต่ออย่างรวดเร็ว เธอลงจาก BTS แล้วเอารูปจากโทรศัพท์มือถือที่เธอถ่ายจากข่าวมา เอาไปให้ชาวบ้านแถวนั้นดูในทันที แล้วถามคนพวกนั้นว่าเคยเจอกับชายคนนี้หรือเปล่า
“คุณป้าคะ เคยเจอผู้ชายคนนี้หรือเปล่าคะ??”
“ไม่เจอเลยจ้ะ”
ไคพยายามถามคนแถวนั้นไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเจอเลย เธอเดินตามถนนมาเรื่อยๆ จนในตอนนั้นเธอได้พบกับชายกวาดถนนคนหนึ่งซึ่งกวาดถนนแถวนั้น เธอรีบไปคุยกับเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะคะ เคยเห็นคนนี้หรือเปล่าคะ??”
“อืม เหมือนจะเคยเห็นนะ” ชายคนนั้นพูดขึ้น
“ห่ะ จริงเหรอคะคุณลุง??” ไคถามอย่างตื่นเต้น
“จะว่าไป หมอนั่นเคยไปที่โกดังในย่านโน่น กับคนอีกสามคน เหมือนว่าชายคนนี้เขามีกระเป๋าใส่อะไรด้วย” ชายแก่คนนั้นพูดขึ้น
“แล้วเจอมากี่วันแล้วคะ??” ไคถามไป
“น่าจะไม่กี่วันก่อนนี่หล่ะ แล้วเธอตามหาเขาทำไมหล่ะ??”
“อ้อ แค่คนรู้จักหน่ะค่ะ” ไคพูดขึ้น
“อืม แต่ตอนที่ลุงเดินไปแถวนั้น ลุงได้ยินเสียงปืนด้วยนะ ลุงไปเดินดูในโกดังแถวนั้น เจอศพเป็นร้อยเลย เธอได้ดูข่าวหรือเปล่าหล่ะ??”
“เจอศพเหรอคะ โอเคค่ะ” ไคพูดขึ้นจากนั้นก็ควักแบงค์พันใบหนึ่งให้กับลุงคนนั้นไป จากนั้นตัวของเธอก็รีบเดินต่อไปยังโกดังเพื่อสืบหาเบาะแสต่ออย่างรวดเร็ว
กลับมาที่ย่านเยาวราช หลังจากที่เซนได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความมืดพรางตัวเข้าไปในร้านทอง แล้วไปจัดการสังหารชายคนหนึ่งที่อยู่ในร้าน ตัวของเขาก็รีบออกมาจากร้านก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น โดยที่ตัวของคิฮาระก็กำลังยืนรออยู่บริเวณร้านกระเพาะปลาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านทองนัก และไม่นานเมื่อเซนมาถึง เซนก็มานั่งโต๊ะตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ที่โต๊ะของเซนมีกระเพาะปลาด้วย เขาไม่รอช้ารีบกินในทันที
“นี่ ค่อยๆก็ได้ มันร้อนอยู่” คิฮาระพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วเธอไม่กินเหรอ??” เซนถามไป
“ไม่อ่ะ ฉันอยากจะกินอะไรที่มันสดๆเท่านั้น” คิฮาระพูดขึ้น
“อืม งั้นก็ไปหาแผงขายเนื้อสัตว์สิ” เซนพูดขึ้นพลางตักกระเพาะปลาเข้าปาก
“ทำงานเร็วดีนี่ ว่าแต่ นายชอบกินกระเพาะปลานี่เหรอ??” คิฮาระถามไป
“ก็ใช่ ตอนมาเมืองไทยใหม่ๆ ฉันกินกระเพาะปลาข้างทางนี่หล่ะ อร่อยมาก ฉันเลยกินมาถึงวันนี้ แล้วอีกอย่าง ที่ฉันจะบอกเธอเรื่องของฉันหน่ะ น้องสาวฉันถูกพวกมาเฟียข่มขืน ตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ ฉันพยายามฆ่าตัวตาย กะว่าจะไปพบกับน้องสาวฉัน แต่ฉันก็ตื่นขึ้นมาแบบไม่เข้าใจ ฉันบุกไปฆ่าพวกมันทั้งหมด ทรมานพวกมันทีละคนก่อนตาย ฉันจะไอ้จ้อนของมันมาทุกตัวด้วย สะใจดีหรือเปล่าหล่ะ??” เซนถามไป จากนั้นเขาก็กระดกชามกระเพาะปลากินไปอย่างรวดเร็ว
“อืม ฉันเสียใจด้วยก็แล้วกัน แล้วทำไมถึงมาเมืองไทยหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ใครๆก็รู้ว่าเข้าออกเมืองไทยมันง่าย ถ้าเงินถึงหน่ะ” เซนพูดขึ้น
“เอาเถอะ แล้วนายจะเอายังไงกับไอ้พวกที่ตามล่าเราหล่ะ??” คิฮาระถามไป
“ฉันจะพยายามหาข่าว และตามล่าพวกมันเอง” เซนพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ควักเอาแบงค์ร้อยใบหนึ่งออกมา จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินต่อไป โดยที่คิฮาระก็ได้เดินตามไปด้วย
“ฉันเองก็อยากรู้นะว่าใครมันทำกับเราแบบนี้” คิฮาระพูดขึ้น
“เออ เอาไงก็เอาเถอะ” เซนตอบกลับไป
กลับมายังร้านของอัญชัน หลังจากที่ร้านของเธอถูกส่งข้อความมาข่มขู่ ตัวของอัญชันก็ต้องเฝ้าร้านของเธออยู่ตลอด เพราะเธอไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาเมื่อไหร่ โดยที่เสี่ยวหลงได้ส่งคนของเขามาคุ้มกันร้านด้วย รวมถึงมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ ในวันนี้ตัวของอัญชันได้ทำอาหารให้เสี่ยวหลงกินต่อ โดยที่อัญชันก็มานั่งดูเสี่ยวหลงกินไปด้วย
“อัญชัน เธอไม่ต้องห่วงนะ คนของพ่อฉันจะช่วยคุ้มกันเอง” เสี่ยวหลงบอกกับเธอไป
“ฉันไม่กังวลเรื่องนั้นหรอก แต่ฉันมีอะไรจะบอกเธอหน่อย” อัญชันพูดขึ้น
“หือ เธอจะบอกอะไรงั้นเหรอ??” เสี่ยวหลงถามไป
“เมื่อคืน ไอ้เป๊กมันส่งข้อความมาหาฉัน มันบอกว่าให้ฉันระวังไว้ เมื่อคืนไอ้แสนบอกว่าอากิระมันยกพวกมาเล่นงานมัน ตอนนี้มันกำลังจะเล่นงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอากินะหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น ทำให้เสี่ยวหลงถึงกับตกใจ
“ห่ะ อากิระไปที่นั่นเหรอ??” เสี่ยวหลงถามไป
“ใช่ ไอ้เป๊กมันบอกแบบนั้น มีแต่คนคิดว่ามันบ้า แต่ไอ้แสนมันยังย้ำคำเดิมหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“แสดงว่าไอ้แสนมันพูดจริง อากิระยังไม่ตาย แต่เขาอยู่ที่ไหนกันนะ??” เสี่ยวหลงถามด้วยความเป็นห่วง
“แล้วทำไมอากิระถึงไปหาไอ้แสนที่นั่นหล่ะ แล้วเขารู้ว่าไอ้แสนอยู่ที่นั่นได้ยังไง??” อัญชันถามไป
“นั่นสิ ความจริงฉันอยากตามหาเขา แต่ฉันก็เป็นห่วงเธอเหมือนกัน” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันว่ายังไงพวกมันก็คงไม่กล้าหรอก” อัญชันพูดขึ้น
“เฮ้อ อากิระกำลังทำอะไรของเขากันนะ??” เสี่ยวหลงถามแบบนั้นอีกครั้ง
“ฉันเชื่อว่าหมอนั่นต้องมีเหตุผลของเขาหน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“ถ้าฉันเจอเขานะ ฉันจะด่าให้เลย” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“นายไม่ด่าหรอก ฉันเอาหัวเป็นประกันได้เลย” อัญชันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง อัญชันก้ได้รับข้อความใหม่เข้ามาในโทรศัพท์ของเธออย่างรวดเร็ว เธอรีบหยิบมันมาดูในทันที
“อัญชัน บอกเสี่ยวหลงด้วย ไอ้แสนมันเอาจริงแล้ว”
“อัญชัน มีอะไรงั้นเหรอ??” เสี่ยวหลงถามไป
“ไอ้เป๊กมันบอกว่าให้นายระวังตัวเอาไว้หน่ะ” อัญชันพูดขึ้น
“ให้มันมาสิ ฉันไม่กลัวมันหรอก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“เราจะไม่แจ้งตำรวจหน่อยเหรอ??” อัญชันถามไป
“เธอก็รู้นี่ว่าตำรวจมันพวกใคร ฉันไม่ไว้ใจหรอก” เสี่ยวหลงพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆก็มีโทรศัพท์โทรหาเสี่ยวหลง ตัวของเขารีบรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
“ครับ ครับป๊า เดี๋ยวผมจะไปครับ” เสี่ยวหลงพูดขึ้นจากนั้นก็วางสายไปในทันที
“มีอะไรงั้นเหรอ??” อัญชันถามไป
“อ้อ ที่บ้านเรียกให้ฉันไปช่วยงานนิดหน่อยหน่ะ เอาไว้ฉันจะรีบมานะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้นพลางหยิบผ้ามาเช็ดปากอย่างรวดเร็ว
“อ้อๆ ไปเถอะ ยังไงก็โชคดดีนะ” อัญชันพูดขึ้น
“ได้เลย ฉันทิ้งปืนไว้ให้เธอในร้าน หยิบมาใช้ได้นะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินไปที่รถของเขา โดยที่ตัวของเขาไม่รู้เลยว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองเขาอยู่ แล้วก็ได้โทรศัพท์หาใครบางคนไปด้วย
“นายครับ มันออกมาจากร้านแล้วครับ!!”
กลับมายังถ้ำของวิบัติ หลังจากที่ตัวของเขาได้ใช้วิญญาณไปเป็นสื่อเพื่อติดต่อกับกลุ่มของนาวินแทนเขาเรียบร้อยแล้ว ตัวของเขาก็กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้ตัวของเขาได้แต่เจ็บปวดทรมานตัวเองเป็นอย่างมากเนื่องจากใช้พลังในการควบคุมวิญญาณมากพอสมควร ตัวของเขาลงไปนอนดิ้นกับพื้นราวกับว่าเป็นคนที่โดนของเข้าตัวเอง
“เออ เจ้าว่านายท่านจักรอดหรือไม่??” วิญญาณตนหนึ่งได้ถามวิญญาณอีกตนไป
“นี่นายท่านวิบัตินะ นายท่านมิเคยเป็นอันใด”
ตัวของวิบัตินอนทุรนทุรายอยู่ซักพัก แต่ไม่นาน ตัวของเขาก็ได้ยินอะไรบางอย่างภายใต้จิตใต้สำนึกของเขา
“วิบัติ!!”
“เมืองผา!!”
ตัวของเขาตะโกนออกมา จากนั้นเขาก็เริ่มได้สติมากขึ้น รวมถึงอาการต่างๆของเขาก็เริ่มหายไป และไม่นานนัก ตัวของวิบัติก็นั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น แล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ฮือๆๆๆๆๆๆ เมืองผา ข้าต้องหาเจ้าให้เจอให้ได้”
ณ โรงพยาบาลของนายแสน ซึ่งสส.สุรสิงห์ พ่อของเขาได้มาเยี่ยมลูกชายของเขาจนเช้า ในตอนนี้ตัวของนายแสนได้นอนอยู่บนเตียงราวกับไม่มีชีวิต หลังจากที่ตัวของเขาเห็นสภาพของลูกชายเขา เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มาคุยในทันที
“ฮัลโหล!!”
“ท่านประกอบ นี่ผมเอง”
“อ้าว ท่านสิงห์ เป็นยังไงบ้างครับ??”
“ลูกของผมโดนแบบนี้เพราะพวกมัน ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง??”
“มีคนจากองค์กรระหว่างประเทศยื่นมือมาจัดการแล้วครับ พวกมันไม่รอดแน่”
“ไม่รอดเหรอ ถ้าอย่างงั้น ไอ้คนที่ชื่ออากิระ จับตัวมันมาเป็นๆให้กับผม!!”
“อากิระเหรอครับ หมอนี่เป็นใครครับ??”
“มันเป็นไอ้บ้าที่ทำลูกฉัน จับมันมาให้ฉันให้ได้!!” สส.สุรสิงห์พูดขึ้นจากนั้นก็รีบวางสายอย่างรวดเร็ว
“ท่านคะ เราจะตามหามันได้ที่ไหนคะ??” เลขาของเขาถามไป
“ไม่ต้องห่วง พวกนั้นหาตัวมันเจออยู่แล้ว” สุรสิงห์พูดขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาเขา สุรสิงห์ก็รีบรับสายในทันที
“ฮัลโหล”
“นี่คุณสิงห์ วันนี้ทำไมคุณไม่มาตามนัด??”
“อ้อ ขออภัยครับท่าน ลูกชายผมถูกทำร้ายที่โรงพยาบาล ผมเลยมาดูนิดหน่อย ท่านมีอะไรก็ว่ามาเลยครับ”
“ผมมีแน่ แต่รอเจอคุณก่อนดีกว่า ยังไงก็อย่าลืมมาเจอกันที่เดิมนะครับ”
หลังการสนทนาจบสายก็ตัดไป ตัวของสุรสิงห์ก็ถึงกับปวดหัวไปเลย
กลับมายังสถานที่กบดานของดันเต้ หลังจากที่นาวินและพรรคพวกของเขากลับมาถึง พวกเขาก็รีบกลับไปรวมตัวกับดันเต้อย่างรวดเร็วเพื่ออัพเดทภารกิจต่อไป รวมถึงลันโทสซึ่งไปติดต่อกับกองกำลังของนายสุชัย พวกเขามารวมตัวกันและอัพเดทภารกิจของพวกเขาต่ออย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะ ตอนนี้พวกของไอ้ สส.นั่น คงร้อนรนไม่เป็นสุขแน่ๆ” นาวินพูดขึ้น
“ตอนนี้พวกมันคงกำลังตามล่าเรา คงต้องหาทางกบดานซักพักแล้วหล่ะ” ฮารุบอกกับทุกคนไป และในขณะเดียวกัน ตัวของภาภินก็ตื่นขึ้นมาในสภาพเหมือนคนที่ยังไม่ค่อยได้นอน เขาเดินเข้ามาหาทุกคนอย่างรวดเร็ว
“โห เป็นยังไงบ้างวะพวก เหมือนยังไม่ได้นอนเลยนะเนี่ย??” นายลืมถามในขณะที่ยังนั่งกอดเข่าอยู่แถวๆนั้น
“เออใช่ พี่ยังไม่ได้พักผ่อนเลยนะคะ อย่าหักโหมมากสิ” ลาลินพูดเสริม
“ผมไม่เป็นไรหรอก คือ พี่อากิระ พี่ต้องใจเย็นๆนะพี่” ภาภินพูดขึ้น
“ทำไม มันเกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอ??” อากิระถามอย่างแปลกใจ
“นั่นหน่ะสิ ใจเย็นๆภาภิน ค่อยๆพูดนะ” เวียนพูดเสริม
“ได้พี่ คือว่า ผมแอบไปดักฟังโทรศัพท์ของลูกสส.บ้านั่น เหมือนว่ามันกำลังส่งคนไปประกบใครก็ไม่รู้หน่ะพี่ รู้แค่ว่าชื่อเสี่ยวหลงหน่ะพี่” ภาภินพูดขึ้น และเมื่ออากิระได้ยินชื่อของเสี่ยวหลงก็ถึงกับอารมณ์ขึ้นในทันที
“ภา มันไปตามพวกนั้นเหรอ บอกพี่มาเร็ว??”
ในตอนนั้นทุกคนต้องพยายามห้ามอากิระเอาไว้อย่างรวดเร็ว โดยที่นาวินได้พาอากิระไปไว้ที่อื่น แล้วพยายามสงบสติอารมณ์เขาไว้
“นี่ พวกมันทำขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย??” โลร็องต์ถามไป
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้น ไอ้บ้านั่นมันคงแค้นเรา” ลูโดวิกพูดเสริม
“แล้วแบบนี้เราจะเอายังไงหล่ะ??” โจไซอาห์ถามไป
“ผมจะไปช่วยเพื่อผม อย่ามาห้ามผมเลย!!” อากิระพูดขึ้น
“เย็นไว้อากิระ เราต้องมีแผนก่อน มันอาจจะล่อให้นายออกมาก็ได้” นาวินพูดใส่หน้าอากิระไป
“แล้วเราจะย้อนกลับไปในเมืองอย่างงั้นเหรอพี่??” นายลุ้นถามไป
“น่าจะได้ มันคงส่งแต่พวกลูกกระจ๊อกมาตามประกบเขาหน่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“หรือว่า เราจะไปช่วยเขามาหลบที่นี่ก่อนหล่ะ??” ลันโทสถามไป
“แต่ว่า เขาจะยอมมาอยู่กับเราอย่างงั้นเหรอครับ??” ซีโร่ถามไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะลองโน้มน้าวเขาดู” ดันเต้พูดขึ้น
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมขอแค่ให้เขาปลอดภัยก็พอ” อากิระพูดขึ้น
“เอาเถอะ นายคิดว่าพวกมันน่าจะไปกบดายเขาที่ไหน??” นาวินถามอากิระไป
“ต้องเป็นร้านอาหารของเพื่อนผมแน่ๆ เพื่อนผมเปิดร้านอาหาร มันรู้ว่าเพื่อนผมรักร้านนี้มาก” อากิระพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น ผมขอพิกัดร้านอาหารของเพื่อนพี่ได้หรือเปล่า??” ภาภินถามไป
“ร้านชื่อครัวอัญชันหน่ะ ลองหาดู ไม่น่าจะหายากหรอก” อากิระพูดขึ้น
“พวกมันอาจจะยังไม่เคลื่อนไหวตอนนี้หรอก” เวียนพูดขึ้น
“แต่ก็ไม่แน่นะพี่ ไอ้แสนนั่นมันแค้นเรามาก มันคงต้องทำทุกอย่างแน่ๆ” ฮารุพูดขึ้น
“พวกนายไปช่วยเถอะ ฉันจะอยู่รับมือกับพวกมันที่นี่เอง” ลันโทสพูดขึ้น
“ครับ อย่างน้อยพวกคุณก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังครับ” ซีโร่พูดขึ้น
“เอาหล่ะ แล้วทางหนีทีไล่เราจะเอายังไงต่อหล่ะครับ??” โลร็องต์ถามไป
“คงต้องใช้โดรนของคุณดันเต้แล้วหล่ะ” ลูโดวิกพูดขึ้น
“เสียดายที่พวกนายไม่ได้ฆ่าไอ้บ้านั่น” โจไซอาห์พูดขึ้น
“ดีแล้ว ไม่อย่างงั้นเรื่องอาจจะแย่ลงก็ได้” อินเนสซ่าพูดขึ้น
“อืม แต่จะว่าไปหนูก็เสียดายอยู่ดีนะคะ” ลาลินพูดขึ้น
“จะมาเสียดายตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้ว เรื่องบางเรื่อง มันก็ต้อง...” นายลืมพูดขึ้น แต่นายลุ้นพูดดักทางไว้
“เออ ไม่พูดซักเรื่องมันก็ไม่ตายหรอกนะพวก” นายลุ้นตอบกลับไป
“เอาหล่ะ เราต้องระวังไว้ด้วยหล่ะ ค่อยมาวางแผนกันว่าจะเอายังไง” ดันเต้พูดขึ้น
“โอเค อากิระ นายไม่ต้องห่วงนะ เราจะช่วยเพื่อนายเอง” นาวินบอกกับอากิระแล้วแตะไหล่ของอากิระไป ทำให้อากิระดูเบาใจขึ้นมาบ้าง
===================================================================
อากิระดูจะเป็นห่วงเพื่อนของเขา แต่นาวินและคนอื่นๆจะทำอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย
https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย
paypal.me/shinobinon paypal ของข้าพเจ้าเน้อ
ความคิดเห็น