คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 6 : อุบัติเหตุ
หลังจากที่ข่าวการตายของฟานจิงและเหล่าจอมยุทธ์ผู้กว่าหลายคนได้แพร่ออกไปยังแต่ละสำนักอย่างรวดเร็ว ศิษย์แต่ละสำนักจึงพากันมารวมตัวกันยังหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้วิเศษในตำนาน หนองน้ำแห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มานาน ในช่วงเที่ยงวัน บรรดาศิษย์แต่ละสำนักพากันสร้างแพประดับดอกไม้ซึ่งสร้างมาเพื่อให้ครบจำนวนผู้พลีชีพทุกคน จากนั้นพวกเขาก็วางศพของเหล่าผู้กล้าลงบนแพ แล้วค่อยๆปล่อยไปให้ลอยไปตามน้ำ โดยที่แม่เฒ่าเหออันก็ทำพิธีร่ายมนต์คาถาของเธอไปด้วย เสี่ยวเว่ยรู้สึกสงสัยเลยหันไปถามซิ่วอิงในทันที
“พวกเขาทำอะไรกันอย่างงั้นเหรอ??”เสี่ยวเว่ยถามอย่างสงสัย
“พวกเขาทำพิธีศพตามประเพณีหน่ะ เราจะส่งผู้ตายไปหามังกรวารีเพื่อให้มังกรตัวนั้นพาพวกเขาไปพบกับเง๊กเซียนบนนสวรรค์หน่ะ”ซิ่วอิงพูดขึ้น
“แล้วก็นะ พญามังกรตัวนี้เป็นสัตว์พาหนะตัวหนึ่งขององค์เง๊กเซียนด้วย เดี๋ยวนายจะได้เห็น”หวังเหว่ยพูดขึ้นและเมื่อแพพวกนั้นค่อยๆลอยไปยังกลางลำน้ำ จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำและค่อยๆโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ
“ซู้ม!!”
เสียงน้ำสาดกระเซ็นที่ดังขึ้น ปรากฏให้เห็นร่างของพญามังกรตัวหนึ่ง ซึ่งมีเกล็ดสีฟ้าและร่างกายที่น่าเกรงขาม มังกรตัวนั้นค่อยๆสร้างน้ำวนเพื่อหมุนเอาศพของเหล่าผู้พลีชีพลงไปยังใต้บาดาล หลังจากนั้นไม่นานคุณย่าเหออันก็วางดอกไม้สีฟ้าพวงหนึ่งลงในหนองน้ำ จากนั้นมังกรตัวนั้นก็รับเอาดอกไม้นั้นไปแล้วบินกลับลงไปยังหนองน้ำในทันที ทำเอาเสี่ยวเว่ยถึงกับตาค้างไปชั่วขณะ
“ถึงกับอึ้งเลยเหรอ ข้าขอตัวก่อนนะ ข้ามีธุระนิดหน่อย”ซิ่วอิงพูดขึ้น จากนั้นเธอก็คว้ากระบี่ของเธอแล้วเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหนหล่ะ”เสี่ยวเย่พยายามตามเธอไป และอีกด้านหนึ่ง บรรดาเจ้าสำนักที่ได้เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นต่างก็มาปรึกษากันในทันทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“ท่านหญิงจิงหวู่ ข้าเสียใจด้วยเรื่องฟานจิง” เจ๋ออี๋เจ้าสำนักกระบี่มารพูดขึ้น
“ข้าเข้าใจ ข้ารู้ว่าเราคงจะเลี่ยงความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้หรอก”จิงหวู่พูดขึ้น
“เฮ้อ อย่าห่วงไปเลย ฟานจิงไปดีแล้วหล่ะ พร้อมกับศิษย์คนอื่นๆด้วย”เหออันพูดขึ้น
“พวกมันจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำ ข้าสาบานเลย”ข่งลู่พูดขึ้น
“แต่ว่า ตอนนี้เราคงต้องหาแผนการที่ดีกว่านี้นะคะ”นายหญิงหลี่ปิงพูดขึ้น
“หรือไม่ เราก็ต้องหาพันธมิตรมาช่วยนะ”เจ้าซวงจี๋พูดขึ้น
“จะว่าไป คราวก่อนศิษย์ของข้าได้รับจดหมายจากพวกมองโกลทางเหนือ พวกเขาจะร่วมมือกับเรานะ”หนีเอี๋ยนพูดขึ้น
“ข้าไม่ไว้ใจพวกมองโกลเท่าไหร่นะ พวกมันก่อกวนเว่ยตงมานานนี่”หม่าซื่อเฉินค้านไป
“แต่ศัตรูของศัตรู คือมิตรมิใช่หรือ??”จูเหลียงซานค้านตอบ
“เฮ้อ ท่านเอายังไงข้าก็เอาอย่างงั้นแล้วกัน!!”ต้าหมิงเจ้าพูดไป
“แล้วใครจะอาสาออกเจรจากับพวกนั้นหล่ะ??”ต้าเหรินเฉินถามไป
“ไม่แน่นะ พวกของเจ้าหนุ่มเสี่ยวเว่ยน่าจะจัดการได้” เจ้าเจียงชิงพูดขึ้น
“แต่ว่า ข้าไม่ค่อยไว้ใจพวกคนเถื่อนนั่นเลย” หม่าเหมยอี๋พูดขึ้น
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าพวกมันจะตลบหลังเราหรือเปล่า” ข่งจีต้าพูดขึ้น
“แต่ว่า เราน่าจะลองดูนะ ไมเสียหายหรอก” จูบูเจ้าพูดไป
“เอาหล่ะ ข้าว่าเรื่องนี้ให้พวกของบรรดาศิษย์เราจัดการดีกว่า” จิงหวู่พูดขึ้น
“เฮ้อ ข้าหวังว่าเหตุการณ์จะไม่เลวร้ายกว่านี้แล้วนะ” ย่าเหออันพูดขึ้นพลางถอนหายใจ
กลับมายังศิษย์คนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาก็รีบมาปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องการตอบโต้พรรคพวกของนายพลไคตงฟง
“พวกมันทำขนาดนี้ เราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วหล่ะ”มู่เฉินพูดขึ้น
“ใช่แล้วหล่ะ แต่ว่า สองคนนั้นหายไปไหนหล่ะ ซิ่วอิง เสี่ยวเว่ยหน่ะ??”หลานหยูถามอย่างสงสัย
“อ้อ สงสัยจะไปฝึกทลายหินจันทราสินะ”หวังเหว่ยพูดขึ้น
“หะ นี่พี่ซิ่วอิงเก่งขนาดนั้น ยังทำลายมันไม่ได้อีกเหรอคะ??”กวนเทียนถามอย่างสงสัย
“เฮ้อ ขนาดพี่โหลวฟางยังยกเศษหินของมันไม่ได้เลย”เกอโย่วพูดขึ้น
“นี่ นั่นมันหินเซียนเลยนะ คนธรรมดายกได้ที่ไหนหล่ะ”โหลวฟางพูดขึ้น
“ข้างเองก็อยากยกเจ้าหินนั่นเหมือนกันนะ”เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“นี่ๆ เจ้าอย่าเพิ่งชะล่าใจตอนนี้สิ พี่ซิ่วอิงที่ว่าวรยุทธ์ล้ำเลิศยังทำลายมันไม่ได้เลย”ลี่หยวนพูดขึ้น
“เอาเถอะ ว่าแต่ เรื่องพวกเจ้าขุนศึกนั่นจะเอายังไงต่อหล่ะ??”ข่งหวังเจ่ยถามไป
“นี่ พวกท่านก็ได้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขาแล้วสินะ”จินฮัวพูดขึ้น
“ใช่ ข้าเคยลองตรวจสอบร่างกายของนายพลไคตงฟงด้วย ข้าว่ามันแปลกๆ เหมือนมีลมปราณไหลอยู่ในร่างกายเขา”หมอฝางหลินพูดขึ้น
“ท่านหมอ นี่ท่านพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย??”โฮจินถามไปด้วยความสงสัย
“นั่นสิ อย่าเจ้าขุนศึกนั้นเนี่ยนะจะมีพลังลมปราณ” ฮุยจินพูดขึ้น
“จะมีหรือเปล่า เจาจวินก็ได้เห็นมาแล้วสินะ”เฟิงเทียนพูดขึ้น ทำเอาเจาจวินถึงกับกำหมัดแน่น
“ท่านพี่ เขาทำลายมีดสั้นของข้าได้ ข้าว่าไอ้ขุนศึกคนนี้ต้องมีของแน่ๆ”เจาจวินพูดขึ้น
“จริงเหรอ ไม่รู้ว่าเขาจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า แล้วของที่พวกเจ้าไปเอามาหล่ะ??”หงฝูถามไป
“อ่า ตอนนี้ข้าเก็บมันไว้อย่างดีแล้วค่ะ ไว้เวลาว่างเราจะเอามันออกมาศึกษา”หลันฮวาพูดขึ้น
“ข้าไม่ยอมจบแค่นี้แน่ ข้าจะต้องล้างแค้นให้น้องข้า”ซื่อหงพูดขึ้น
“จริงด้วย ข้าก็ไม่ยอมพวกมันเหมือนกัน”จงซานพูดเสริม
“นี่ พวกเจ้ายังเกือบเอาตัวไม่รอดเลยนะ”เฟยอวี้พูดขึ้น
“ง่ายๆเลยนะ เราก็แค่ทำสงครามกองโจรกับพวกมันพวกมันคงเคลื่อนทัพมาตั้งค่ายไม่ห่างจากเราเท่าไหร่นัก เราจะเล่นงานพวกมันแล้วชิงอาวุธของพวกมันให้ได้มากที่สุด”หม่าเกอโย่วพูดขึ้น
“แต่ว่า เราต้องมีข่าวที่ไว้ใจได้นะ”มู่เฉินพูดขึ้น
“ไม่แน่นะ เราอาจจะใช้งานพวกมองโกลทางเหนือได้”เฟิงเทียนออกความเห็น
“ข้าไม่ไว้ใจพวกมันเท่าไหร่ พวกมันอาจจะเล่นตลบหลังเราตอนเราเผลอก็ได้”หวังเหว่ยพูดขึ้น
“ข้าเห็นด้วย ข้าว่าพวกมันไว้ใจไม่ได้” เฟยอวี้พูดเสริม
“แต่ว่า พวกเราต่างก็มีศัตรูคนเดียวกันนะคะ” กวนเทียนพูดขึ้น
“ว่าแต่ ใครจะรับอาสาไปเจรจาอย่างงั้นเหรอ??”หลานหยูถามอย่างสงสัย จากนั้นไม่นานเสี่ยวหลงก็ยกมือขึ้นด้วยความมั่นใจ
“ข้าเอง เรื่องเจรจานี่ข้าถนัดอยู่แล้ว!!”เสี่ยวหลงพูดขึ้น
“ถ้าพวกมันหักหลังเรา ข้าจะกระชากคอมันออกมาทุกคน”โหลวฟางพูดขึ้น
“ก็ลองดูก่อนสิพี่ มันอาจจะดีก็ได้”ลี่หยวนพูดปรามไป
“โอเค สรุปว่าเอาตามนี้แล้วกัน ระหว่างนี้เราก็จะหาพรรคพวกเพื่อฝึกใช้ปืนนะ”เฟิงเทียนพูดขึ้น
“ธนูของพวกข้ายิงไกลกว่าปืนขอพวกมันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”หวังเจ่ยพูดขึ้น
“ใช่ ถ้าข้าได้ฝึกยุทธ์อินทรีแหวกอากาศ รับรองว่าข้าชนะมันได้แน่”โฮจินพูดขึ้น
“ข้าเข้าใจ แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ควรประมาทมันนะท่านพี่”จินฮัวพูดขึ้น
“ข้าก็หวังไว้ว่าเราจะไม่ตายก่อนหล่ะนะ”หงฝูพูดขึ้น
“ท่านพี่ เชื่อมือพวกเราเถอะน่า”หลันฮวาพูดปรามไป
“ว่าแต่ เราจะไปลอบสังหารพวกมันดีหรือเปล่าหล่ะ??”ฮุยจินถามไป
“ข้าว่า แม่ทัพของพวกมันก็คงเข้าถึงตัวยากเช่นกัน”เจาจวินพูดขึ้น
“ช่างมันก่อนเถิด เอาเป็นว่าเราไปหาแผนการก่อนดีกว่า”จงซานพูดขึ้น
“นั่นสิ วันนี้พวกเราเหนื่อยกันมาเยอะแล้ว ไปพักผ่อนดีกว่า”
ซื่อหงพูดขึ้นจากนั้นพวกเขาก็รีบไปพักผ่อน แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองฝางหลินก็เหลือบไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ ทำเอาคนอื่นๆถึงกับถามเขาไป
“อ้อ ไม่มีอะไรหน่ะ รีบไปดีกว่า” ฝางหลินพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองมีชายคนหนึ่งถือกล้องส่องทางไกลมองไปยังพวกเขา จากนั้นเขาก็รีบไปขึ้นม้าแล้วควบม้าออกจากพื้นที่ในทันทีก่อนที่จอมยุทธ์คนอื่นจะเห็นเขาเข้า
กลับมายังห้องขังของโทมารอฟ อิงฮวาต้องคอยดูแลเขาเพื่อตรวจสอบเขา โดยที่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในระหว่างที่อิงฮวาเอาอาหารมาให้กับโทมารอฟ จู่ๆอึ๋งฉงก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วเอาชามข้าวของโทมารอฟทิ้งลงพื้นในทันที
“อึ๋งฉง เจ้าทำแบบนี้ทำไม??”อิงฮวาถามไป
“จะไปให้มันกินทำไม ข้าไม่ชอบขี้หน้ามัน”
“ข้าจะไปเอาให้เขาใหม่”อิงฮวาพูดขึ้นแต่ในตอนนั้นเองอึ๋งฉงก็จับแขนอิงฮวาไว้
“อิงฮวา ข้ามองเจ้ามานานแล้ว แต่เจ้าไม่ยอมแม้แต่จะมองข้า วันนี้ไม่มีใครอยู่ เจ้าเป็นของข้าซะเถอะ!!”
อึ๋งฉงพูดขึ้นจากนั้นเขาก็พยายามจะปลุกปล้ำอิงฮวา อิงฮวาพยายามร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่เป็นผล แต่ในตอนนั้นเองโทมารอฟก็พยายามจะพังคุกออกไปเพื่อช่วยอิงฮวา
“เฮ้ย ปล่อยผู้หญิงนะเว้ย!!”
โทมารอฟถีบประตูคุกไปเรื่อยๆ จนประตูคุกก็หลุดออกมา โทมารอฟพยายามไปล็อคคออึ๋งฉงไว้เพื่อไม่ให้เขาทำอะไรเธอ
“คุณ รีบหนีไปสิ เร็ว!!”
โทมารอฟพูดขึ้น แต่อึ๋งฉงใช้วรยุทธ์ผลักโทมารอฟไป จนกระทั่งจางหลงและจูไค๋เข้ามาด้านในเนื่องจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จางหลงและจูไค๋เห็นอึ๋งฉงทำร้ายโทมารอฟจึงชักกระบี่ออกมาแล้วจ่อคอของอึ๋งฉงในทันที
“นี่เจ้ากล้าจ่อคอข้างั้นเหรอ??”
“อึ๋งฉง นี่เจ้าคิดจะทำอะไร อิงฮวา เกิดอะไรขึ้น??”จางหลงถามอย่างสงสัย
“อึ๋งฉงจะขืนใจข้า แต่ฝรั่งคนนั้นช่วยข้าไว้” อิงฮวาพูดขึ้น
“แล้วยังไง ยังไงพวกเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ยังไงนายหญิงของข้าก็ช่วยข้าได้อยู่แล้ว”อึ๋งฉงพูดขึ้น
“วันนี้นายหญิงไม่อยู่ ข้าเนี่ยแหละจะฆ่าเจ้าเอง” จูไค๋พูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เจ๋ออี้และนายหญิงหลี่ปิงก็เดินเข้ามาในห้องพอดี ทำเอาอึ๋งฉงถึงกับไปกอดขาของนายหญิงหลี่ปิงในทันที
“นายหญิง ช่วยข้าด้วย พวกมันจะทำร้ายข้า!!”อึ๋งฉงพูดขึ้น
“แล้วเจ้าจะข่มขืนผู้หญิงก่อนทำไมหล่ะ”โทมารอฟตอบกลับไปเป็นภาษาจีน ทำเอาเจ๋ออี๋ถึงกับต้องลากอึ๋งฉงออกมาถามที่ด้านนอก
“นี่ เจ้ากำเริบเสิบสานได้ขนาดนี้แล้วเหรอ??”เจ๋ออี๋ถามไปแต่นายหญิงหลี่ปิงพยายามห้ามเอาไว้
“เจ้าก็เหมือนกัน ให้ท้ายมันจนเสียคนแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านเชื่อพวกนั้นมากกว่าเขางั้นเหรอ”
“อิงฮวาบาดเจ็บขนาดนั้น เจ้ายังไม่เห็นอีกเหรอ ข้าไม่ทำลายวรยุทธ์ของมันก็ดีแค่ไหนแล้ว อ้อ!! นี่เห็นว่านางไม่ใช่ลูกแท้ๆของเจ้า เจ้าจึงแค้นได้ขนาดนี้เลยเหรอ??”เจ๋ออี๋ถามไป แต่หลี่ปิงยืนกรานว่าจะปกป้องอึ๋งฉงให้ถึงที่สุด
“ก็ได้ เอามันไปให้พ้นสายตาข้า!!” เจ๋ออี๋พูดขึ้น และที่ด้านใน อิงฮวาต้องไปคอยดูโทมารอฟที่กำลังนอนเจ็บเพราะพลังลมปราณอยู่บนพื้น
“นี่เจ้า ไม่เป็นไรนะ??”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก ท่านปลอดภัยก็ดีแล้ว”โทมารอฟพูดขึ้น จากนั้นเจ๋ออี๋ก็เดินเข้ามาด้านในเพื่อมาคุยกับโทมารอฟ
“ข้าขอบใจที่เจ้าช่วยนางไว้ จางหลง จูไค๋ ต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลอิงฮวาทุกฝีก้าว ไม่ต้องสนใจว่าใครจะสั่งยังไง!!”
“แล้วไอ้อึ๋งฉงหล่ะครับ ท่านไม่ไล่มันออกจากสำนักเหรอ??”จางหลงถามอย่างสงสัย
“หลี่ปิงยังคุ้มกะลาหัวมันอยู่ ข้าเลยต้องฝากพวกเจ้ายังไงหล่ะ”จางหลงและจูไค๋ได้ยินที่เจ้าสำนักสั่งจึงคารวะรับคำสั่งไป
และตกเย็น เขตเมืองหลัวจิง หลังอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า แสงสีจากเสาไฟและโคมไฟก็สาดแสงสว่างให้กับบรรดาผู้ที่เข้ามาในเมือง ทุกคนที่อยู่ในเขตเมืองต่างก็เพลิดเพลินไปกับอาหาร ของซื้อของขาย รวมถึงการแสดงต่างๆนาๆซึ่งจัดแสดงในยามค่ำคืน และก็เหมือนเดิม ที่โรงเตี๊ยมของจื่อหลิน ซึ่งเธอได้ปรับปรุงร้านเพื่อต้อนรับนายพลไคตงฟงและลูกน้องของเขา โดยที่เธอจัดเตรียมอาหารอย่างดีและชั้นพิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะ และในไม่กี่อึดใจ ขบวนของนายพลไคตงฟงก็เดินทางมาถึงหน้าร้านในทันที โดยที่คนของฟู่เถาก็มาคอยคุ้มกันอย่างเต็มอัตราศึก
“ท่านนายพลครับ ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมาเร็วขนาดนี้”ฟู่เถาพูดขึ้น
“แน่นอน ตอนนี้ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว” ไคตงฟงพูดขึ้น
“เชิญด้านนี้เลยครับท่าน ข้าจะพาท่านไปเอง”เจียงเหวินพูดขึ้น
“จื่อวี่ ถ้ามีขบวนขององค์หญิงมา ให้มาพบกับข้าที่ชั้นบนในทันที”
“ได้ค่ะ ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่เอง” จื่อวี่พูดขึ้น จากนั้นนายพลไคตงฟงก็พาครอบครัวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมของจื่อหลิน ซึ่งจื่อหลินก็ออกมาต้อนรับในทันที
“ท่านนายพล ยินดีที่ได้ต้อนรับท่านค่ะ!!”
“คุณจื่อหลิน วันนี้แขกของข้ามา เจ้าต้องต้อนรับเป็นพิเศษเลยนะ”
“แน่นอนค่ะท่านนายพล เชิญทางนี้เลยค่ะฮุ้ยชิง ไปเตรียมอาหารได้แล้ว”
“ได้สิ!!”ฮุ้ยซิ่วได้ยินจึงเดินเข้าไปในครัว และจากนั้นไม่กี่อึดใจ ขบวนของทหารรัสเซียก็เดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมของจื่อหลินเรียบร้อยแล้ว โดยที่อนาสตาเซียและคุณป้าหลื่อวี้ก็ลงจากรถม้ามาด้วยกัน และในตอนนั้นเอง จื่อวี่ก็เดินเข้าไปยังขบวนของพวกเขาในทันที
“องค์หญิง เชิญเสด็จเพคะ ท่านนายพลรอท่านอยู่!!”
จื่อวี่พาอนาสตาเซียขึ้นไปยังชั้นบนสุดของร้าน ซึ่งด้านบนพวกเขาได้ตกแต่งประดับประดาร้านไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอต้อนรับองค์หญิง และเมื่ออนาสตาเซียเข้าไปด้านใน ไคชิงหยางก็เดินเข้าไปทักทายองค์หญิงในทันที
“องค์หญิง เป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่าน!!” ชิงหยางพูดและจูบมือของเธอไป จากนั้นก็เชิญเธอมานั่งที่โต๊ะข้างๆกับไคชิงหยาง
“เอาหล่ะ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน!!”เมื่อนายพลไคตงฟงมีคำสั่ง ทหารคนอื่นๆในห้องก็ออกไปที่ห้องอาหารด้านนอก โดยที่ทหารรัสเซียในนั้นก็ออกไปด้วย ในตอนนี้เหลือแค่ครอบครัวของนายพลไคตงฟงและองค์หญิงพร้อมคุณป้า เมื่อพวกเขามาพร้อมหน้ากัน พวกเขาก็เริ่มการฉลองในทันที
“องค์หญิงทรงพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก มิน่าลูกข้าถึงถวิลหาทุกวัน”นายพลไคตงฟงพูดขึ้น
“ท่านกล่าวเกินไปแล้วท่านขุนศึก”องค์หญิงอนาสตาเซียพูดขึ้น
“ท่านหญิง ข้าเสียใจด้วยเรื่องราชวงศ์ของท่าน แต่ท่านมิต้องเป็นห่วง น้องชายของข้าช่วยท่านได้” ไคซุยริวพูดขึ้น
“นี่ ให้ท่านพี่ชิงหยางได้พูดบ้างเถอะท่านพี่”ไคจินพูดปรามไป
“อ่า องค์หญิง ข้าขอให้คำสัตย์กับท่าน ข้าจะคุ้มครองท่านจากพวกกบฏ ขอเพียงท่านอยู่เคียงข้างข้า”ไคชิงหยางพูดขึ้น
“ขอบคุณในความกรุณานะคะ”อนาสตาเซียพูดขึ้น
“ท่านป้า ข้าได้ยินว่าท่านดูดวงเก่งมากๆ ท่านช่วยดูให้หน่อยได้หรือเปล่า??”เหมยฉีพูดขึ้น จากนั้นหลื่อวี้ก็มองเข้าไปในดวงตาของนายพลไคตงฟงอย่างใจเย็น จนกระทั่งเมื่อดูจบ เธอก็พูดขึ้นในทันที
“ดินแดนเว่ยตง จะมีผู้มีวรยุทธ์มาเทียบรัศมีกับท่าน ซึ่งเขาเป็นคนที่ท่านเคยคุ้มครองมาก่อน”หลื่อวี้พูดขึ้น จากนั้นนายพลไคตงฟงก็รู้สึกแปลกใจ
“จริงเหรอ มันเป็นใครกันนะ ข้าอยากจะรู้นักเชียว”นายพลไคตงฟงพูดขึ้นพลางดื่มเหล้าไป
“แหม่ ท่านพี่ อีกไม่นานท่านก็จะทำลายเว่ยตงแล้วไม่ใช่เหรอคะ??”เหมยฉีพูดขึ้น
“ถ้าข้าเจอตัวมัน ฆ่าจะเล่นงานมันเลยท่านพ่อ” ไคซุยริวพูดขึ้น
“อ่า ท่านพ่อ องค์หญิงนั่งอยู่ด้วย พูดแบบนี้จะดีเหรอ??”ไคจินพูดเตือนสติพวกเขาไป
“ต้องขอโทษแทนท่านพ่อของข้าด้วย แต่ข้าอยากให้ท่านติดต่อกับกลุ่มราชวงศ์ที่เหลือว่าข้าพร้อมจะเป็นพันธมิตรกับท่าน ขอเพียงแค่ท่านยอมเต้นรำกับข้าซักครั้ง!!”
เมื่อชิงหยางพูดจบ เขาก็สั่งให้เปิดแผ่นเสียงดนตรีขึ้นมา จากนั้นชิงหยางก็เชิญองค์หญิงอนาสตาเซียเต้นรำไปด้วยกันอย่างหวานชื่น บรรยากาศด้านในดูช่างหอมหวานเหลือเกิน และในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีทหารคนหนึ่งมารายงานนายพลไคตงฟงเรื่องอะไรบางอย่าง โดยที่นายพลไคตงฟงก็ออกไปคุยกับเขาที่ด้านนอกในทันที
“ท่านนายพลครับ มีข่าวจากคุณโจอี้มาครับ”
“ข่าวอะไรหล่ะ ว่ามาสิ??”นายพลไคตงฟงถามไป
“เขาต้องการพื้นที่ในการสร้างโรงงานอาวุธครับ”
“งั้นเหรอ ไปบอกเขา ข้าจะจัดการเอง ตอนนี้ข้าขอให้ลูกข้าได้สนุกก่อนเถิด”
และที่ด้านนอก ห้องรับรองของนายทหารทั้งฝ่ายไคตงฟงและฝ่ายรัสเซีย ในตอนนั้นพวกเขาก็นั่งทานอาหารที่จื่อหลินได้รับรองเอาไว้ โดยที่ทหารทั้งสองฝ่ายถูกจับนั่งแยกกัน และที่โต๊ะของฟู่เถา เจียงเหวินและจื่อวี้ พวกเขาก็นั่งทานอาหารไปด้วยและคุยกันไปด้วยเรื่องการรบของพวกเขา
“นี่ พวกเจ้าสงสัยหรือเปล่า ว่าท่านฮุ้ยชิงตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่??”จื่อวี้เปิดประเด็นขึ้น
“ข้าก็สงสัยอยู่ ดูเหมือนว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเคารพท่านนายพลเลยนะ”ฟู่เถาพูดขึ้น
“ข้าว่า ถ้านายก่อกบฏจริง คงไม่มีใครต้านทางนางได้หรอก”เจียงเหวินพูดขึ้น
“ไม่มีทาง งานนี้ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อท่านนายพล”จื่อวี่พูดพลางดื่มเหล้าไปด้วย
“แล้วเจ้าหล่ะว่าไงฟู่เถา”เจียงเหวินหันไปถามเขา
“เราทำได้แค่สังเกตการณ์เบื้องต้นแค่นั้น ที่เหลือคงต้องหาหลักฐานให้มากพอ ท่านฮุ้ยชิงฉลาดหลักแหลม คงไม่ยอมหลงกลง่ายๆหรอก”ฟู่เถาพูดขึ้น
และอีกด้านหนึ่ง โต๊ะของทหารรัสเซียซึ่งกำลังนั่งทานอาหารกันอย่างสบายอารมณ์
“ท่านกาการินครับ ท่านไว้ใจพวกจีนอย่างงั้นเหรอครับ??”นายทหารคนหนึ่งถามกาการินไป
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะช่วยเราได้หรือเปล่า??”ทหารอีกคนหนึ่งพูดเสริม
“ก็คงต้องลองดูก่อนหล่ะ ถ้าพวกเขามีอำนาจมากพอ ก็คงจะช่วยเราได้”กาการินพูดขึ้น
“แต่แบบนี้เหมือนกับเปิดทางให้พวกต่างชาติเข้าประเทศเรานะครับ”
“แต่เราก็ยังควบคุมมันได้นี่ เอาไว้ข้ามีแผนการก่อน แล้วค่อยบอกพวกเจ้าแล้วกัน”กาการินพูดขึ้น จากนั้นก็ดื่มเหล้าจีนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอย่างใจเย็น
และที่ด้านนอก จื่อหลินกับฮุ้ยชิงต่างก็กำลังทำอาหารเลี้ยงลูกค้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าวันนี้ลูกค้าของเธอจ่ายกันหนักมาก ทั้งพวกทหารและจอมยุทธ์บางส่วน รวมถึงแขกจากต่างชาติ จื่อหลินนวดซาลาเปาโดยใช้วรยุทธ์ที่เธอเรียนมา จากนั้นก็ใช้มีของมันตัดแบ่งอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเธอก็ค่อยๆยัดไส้ต่างๆแล้วนำมันไปนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ เห็นทีเราคงต้องจ้างคนงานเพิ่มแล้วหล่ะ”ฮุ้ยซิ่วพูดขึ้น
“นั่นสิ โดยเฉพาะคนนวดแป้งกับเตรียมวัตถุดิบเนี่ย”จื่อหลินพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องครัวเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
“เจ๊จื่อหลิน มีเด็กมาขอซาลาเปาของเราหน่ะ!!”
“เออ ก็อุ่นอันที่อยู่ข้างหน้าไปแจกสิ”เสี่ยวเอ้อพยักหน้าจากนั้นก็รีบเดินออกไปในทันที
“นี่ เธอว่าสงครามในเว่ยตงจะเป็นยังไงบ้างหล่ะ??”ฮุ้ยซิ่วถามไป
“ก็นะ ฉันได้เงินทั้งสองฝ่าย ก็ไม่รู้จะว่ายังไงหน่ะ”
“แต่ว่า พวกจอมยุทธ์จะไม่ถล่มที่นี่งั้นเหรอ??”ฮุ้ยซิ่วถามอย่างสงสัย
“ไม่หรอก ฉันจะเจรจากับพวกเขาเอง เชื่อหัวฉันเถอะน่า”จื่อหลินพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปเอาไก่อบออกมาแล้วใส่จานไปให้กับนายพลไคตงฟง
“ไปเสิร์ฟท่านนายพลด้วย!!”เธอสั่งเสี่ยวเอ้อคนหนึ่ง จากนั้นเสี่ยวเอ้อคนนั้นก็รีบเอาไก่ต้มสมุนไพรตัวนั้นไปเสิร์ฟในทันที
กลับมายังเขตแม่น้ำเหลือง กองทัพของนายพลจางจงซาง หลังจากที่เที่ยผิงรักษาตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกมาพร้อมกับใส่เฝือกไปด้วย โดยที่ชิโนบุต้องคอยประคองตัวเขาเอาไว้ เนื่องจากว่าเที่ยผิงยังใช้งานแขนของเขาไม่ค่อยคล่องตัวนัก
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าเที่ยผิง??”ชิโนบุถามไป
“อ้อ ผมไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เดี๋ยวก็หาย”เที่ยผิงพูดขึ้นและในขณะเดียวกัน นายพลจางจงซางก็เดินมาเยี่ยมเที่ยผิงในทันทีด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างหล่ะ แผลใกล้จะหายหรือยัง??”
“ไม่เป็นไรมากแล้วครับท่าน”เที่ยผิงตอบไป
“ดีแล้วหล่ะ ขอบคุณมากที่ช่วยลูกสาวฉัน” จางจงซางพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งมาหาเขาเพื่อรายงานข่าวอะไรบางอย่างที่พวกเขาได้ข่าวมา
“ท่านครับ ขอรายงานครับท่าน!!”
“มีอะไรงั้นเหรอ ว่ามาเลย??”จางจงซางพูดขึ้น
“เราพบอ่าวน้ำลึก ซึ่งกว้างและลึกมากครับ คาดว่าเราจะสร้างท่าเรือที่นั่นได้ครับ”
“เป็นไปไม่ได้ เราสั่งให้คนไปสำรวจแล้วนี่”เที่ยผิงพูดขึ้น
“เราจัดการตัดเส้นทางผ่านป่า แล้วไปพบกับมันเข้าครับ”
“พ่อคะ หนูว่าเราน่าจะลองไปสำรวจหน่อยนะคะ”ชิโนบุพูดขึ้น
“เตรียมออกเดินทาง ฉันจะออกเดินทางไปดูเอง”นายพลจางจงซางพูดขึ้น จากนั้นลูกน้องของเขาก็เตรียมเรือเพื่อออกเดินทางไปยังเขตอ่าวน้ำลึกในทันทีเพื่อสำรวจที่นั่น
กลับมายังเขตของชาวมองโกล ทางเหนือของเว่ยตง กลุ่มโจรมองโกลได้เกณฑ์กลุ่มคนเร่ร่อนของพวกเขาจากทางเหนือเข้าร่วมกลุ่ม และทำการตรวจสอบข่าวของทหารนายพลไคตงฟง เพื่อทำการโจรกรรมค่ายของพวกเขา หลังจากที่เซย์ริวกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเขาหยิบพู่กันมาแล้ววาดอะไรบางอย่างบนกระดาษแผ่นใหญ่ ทาร์เมอเลนที่ตามหาตัวเขาอยู่ก็เดินเข้ามาในเต้นท์ของเขาในทันที
“เฮ้!!เซย์ริว ทำอะไรอยู่หล่ะ??”ทาร์เมอเลนถามอย่างสงสัย
“ฉันกำลังวาดแผนที่เว่ยตง และค่ายของไอ้ขุนศึกนั่นหน่ะ”
“เฮ้ย เว่ยตงตั้งกว้างใหญ่ นายจะวาดได้หมดเหรอ??”ทาร์เมอเลนถามอีกรอบ
“ฉันพอรู้รายละเอียดน่า ฉันขี่ม้าออกสำรวจกับคนของนายมานานนะเฟ้ย แต่ว่าตอนนี้ฉันวาดได้แค่เขตของเราหน่ะ”เซย์ริวพูดขึ้น และในขณะเดียวกัน โจรมองโกลคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในเต้นท์ที่พวกเขาทั้งคู่อยู่ในทันที
“ท่านทาร์เมอเลนครับ มีคนมาเพิ่มอีก 300 ครับ”
ทาร์เมอเลนและเซย์ริวได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินออกจากเต้นท์ แล้วเดินไปพบกับกลุ่มคนเร่ร่อนนับร้อยนายที่เดินทางมายังฐานที่มั่นของพวกเขา ทาร์เมอเลนรีบไปทักทายพวกเขาในทันที
“พวกเจ้าเดินทางเป็นยังไงบ้างหล่ะ??”
“เดินทางไกลมากครับ แต่โชคดีที่เรามาถึงที่นี่ได้ครับ”ชายคนหนึ่งตอบไป
“ว่าแต่ ตอนที่พวกเจ้ามา มีพวกไหนตามเจ้ามาหรือเปล่า??”เซย์ริวถามไป
“เราควบม้ามาในความมืดอยู่หลายคืน ไม่มีใครเห็นพวกเราครับ”
“ดีมาก ศัตรูที่เรากำลังเผชิญอยู่ร้ายกาจยิ่งนัก เราอาจจะสู้กับพวกมันตรงๆไม่ได้ แต่ข้ามีแผนที่จะรับมือพวกมัน เราจะทำสงครามกองโจรกับพวกมัน พวกมันไม่มีเสบียงมากพอจะรบ พวกมันต้องออกหาเสบียงแถวนี้แน่ๆ”ทาร์เมอเลนพูดขึ้น
“รับทราบครับท่าน!!”ลูกน้องของเขาพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ณ เขตชายแดนเว่ยตง หลังจากที่ฮุ้ยชิงนำกำลังพลมาตั้งค่ายเพื่อเป็นด่านหน้าในการปะทะกับพวกจอมยุทธ์ในเขตเว่ยตง เธอขุดสนามเพลาะและตั้งปืนกล ปืนใหญ่ รวมถึงขวากหนามในการดักสกัด โดยที่ฮุ้ยชิงเป็นคนควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง
“ท่านครับ เราจะวางปืนกลไว้ในเขตนี้จริงๆเหรอครับ??”ทหารคนหนึ่งถามเธอไป
“ใช่ แล้วจัดให้รถถังและรถหุ้มเกราะอยู่ติดแนวรบด้วยหล่ะ”ฮุ้ยชิงพูดขึ้น
“แต่เราจะสู้กับพวกที่ไม่มีแม้แต่ปืนซักกระบอกเนี่ยนะครับ??”ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
“อย่าประมาทศัตรูเด็ดขาด นายปล่อยพลังลมปราณได้เหมือนพวกเขาหรือเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างพวกเขาหรือเปล่าหล่ะ??”ฮุ้ยชิงพูดขึ้นจนทหารคนนั้นเงียบไป
“ครับท่าน แล้วนายพลไคตงฟงจะมาเสริมกำลังด้วยหรือเปล่าครับ??”ทหารอีกคนหนึ่งถามไป
“ปล่อยเขาเถอะ ฉันไม่หวังอะไรกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เราทำได้แค่ตั้งรับไปก่อน”ฮุ้ยชิงพูดขึ้น
“ครับผม!!”
ทหารคนนั้นรับคำสั่งไป ส่วนฮุ้ยชิงก็วางกำลังพลเพิ่มเติมเพื่อเป็นแนวรบป้องกันข้าศึก และในขณะเดียวกัน ฮุ้ยชิงก็เดินไปสำรวจพื้นที่แถวนั้นเพิ่มเติม และในขณะเดียวกัน เธอก็เจอลานกว้างแห่งหนึ่งในเขตค่ายทหารของเธอ ซึ่งค่อนข้างกว้างและยาวมากๆ ฮุ้ยชิงไปสำรวจแถวนั้นจากนั้นก็พูดขึ้นในทันที
“พื้นที่ตรงนี้เราน่าจะสร้างสนามบินได้นะ”ฮุ้ยชิงพูดขึ้น
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้นครับ!!”
“นายพาคนไปสำรวจความยาวของมัน แล้วสร้างสนามบินชั่วคราวไปเลยถ้าทำได้”ฮุ้ยชิงพูดขึ้น
“รับทราบครับ!!”ทหารของเธอรับคำสั่ง จากนั้นพวกเขาก็รีบไปสำรวจพื้นที่ในทันทีเพื่อสร้างสนามบินชั่วคราว
กลับมายังทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งในเขตเว่ยตง ซึ่งกลุ่มทายาทของแต่ละสำนักมารวมตัวกันเพื่อเจรจาปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการรบ และตรวจสอบอาวุธที่พวกเขาได้มาด้วย เมื่อพวกเขามารวมตัวกันครบ การเจรจาก็เริ่มขึ้นในทันที
“เอาหล่ะทุกคน ในเมื่อมากันครบแล้ว ผมจะขอตรวจสอบอาวุธที่ได้มาแล้วกันนะ”
เกอโย่วพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เปิดลังอาวุธที่พวกเขายึดมาได้ เมื่อเปิดทุกกลอง พวกเขาก็พบว่าในกล่องมีปืนกลMP 18 ,ปืนMedsenและระเบิดจู่โจมมากมาย รวมถึงปืนกลหนักรุ่นใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“โห นี่มันของดีทั้งนั้นเลยนะเนี่ย!!”เฟิงเทียนพูดขึ้น
“อาวุธพวกนี้ดูธรรมดาไปหน่อยนะ ข้าว่า!!”หลานหยูพูดพลางกอดอกไป
“ไม่หรอก อาวุธพวกนี้ถือว่าร้ายกาจพอควรเลยนะคะ”จินฮัวพูดขึ้น
“โห เราน่าจะทดสอบให้ศิษย์คนอื่นๆของเราได้เห็นนะ”กวนเทียนพูดขึ้น
“ไหน ข้าขอลองดูหน่อยสิ!!”โหลวฟางพูดขึ้นพลางหยิบปืนกลหนักขึ้นมาแล้วยกดู
“ก็ไม่เห็นหนักเลยนี่”โหลวฟางพูดขึ้น
“ของแบบนี้มันไม่ได้วัดกันที่น้ำหนักนะท่านพี่ แหม่!!”ลี่หยวนพูดขึ้น
“ข้าขอลองกระบอกนี้หน่อยสิ โฮจิน ลองดูหรือเปล่า??”หวังเจ่ยพูดขึ้น จากนั้นโฮจินก็หยิบอีกกระบอกขึ้นมา ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ยิงได้ต่อเนื่อง
“อืม ขนาดมันพอดีมากๆเลยนะเนี่ย” โฮจินพูดขึ้น
“ข้าอยากรู้เช่นกันมันจะยิงได้ไกลแค่ไหน??”เฟยอวี้พูดขึ้น
“ท่านเฟย ข้าว่าอย่าดีกว่า เดี๋ยวจะเสียงดังเปล่าๆ”มู่เฉินพูดปรามไป
“อาวุธพวกนี้คืออาวุธที่โลกภายนอกใช้เช่นนั้นเหรอ มิน่าหล่ะมันถึงฆ่าแฮเตี๋ยนได้ง่ายๆ”หงฝูพูดขึ้น
“นั่นสิพี่ ข้าว่าเราควรจะมีมันเยอะๆนะคะ”หลันฮวาออกความเห็น
“แต่เราควรจะฝึกวิชายุทธ์ของเราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นนะ อยากให้วรยุทธ์ของเราเสื่อมสลายหรือไง??”เจาจวินถามไป
“แต่ว่า ถ้าเราไม่เรียนรู้จากมัน เราก็คงจะแพ้มันในไม่กี่อึดใจนี่หล่ะ”ฮุยจินพูดปรามเธอไป
“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้ให้เจ้าเสี่ยงเว่ยแสดงให้ดูสิ ว่ามันใช้ยังไง”ซื่อหงพูดขึ้น
“ใช่ๆ เจ้านั่นก็เคยเป็นทหาร น่าจะรู้วิธีใช้มันนะ”จงซานพูดเสริม
ณ ลานหินจันทราริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นลานหินซึ่งดูสงบเงียบและดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา โดยที่มีหินขนาดใหญ่สีดำทะมึนตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางพื้นที่
“ฟิ้ว!!”
ซิ่วอิงหมุนตัวกลางอากาศพร้อมชักกระบี่ออกมาจากฝัก จากนั้นเธอก็หมุนตัวเล็งกระบี่จะแทงเข้าไปยังใจกลางหินจันทราที่ตั้งอยู่กลางลานกว้างแห่งนั้น
“เป๊ก!!”
แต่ความพยายามของซิ่วอิงไม่เป็นผล หินจันทราที่ตั้งอยู่นั้นไม่ระคายแม้แต่น้อย แต่ซิ่วอิงที่ถูกพลังหินจันทราผลักกระเด็นออกไปไกล ซึ่งเธอกระเด็นไปยังที่ที่เสี่ยวเว่ยแอบมองเธออยู่ สายตาของทั้งคู่มองประสานกันในตอนนั้น แต่มันทำเอาซิ่วอิงถึงกับคลั่งและชักกระบี่ออกมาจ่อคอเสี่ยเว่ยในทันที
“เจ้าสะกดรอยตามข้ามางั้นเหรอ??”
“ก็ข้าเห็นเจ้ามาคนเดียวนี่หน่า นี่เจ้ามาทำอะไรกันเนี่ย??” เสี่ยวเว่ยถามกลับไป
“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้าซักหน่อย”ซิ่วอิงพูดขึ้น แต่จู่ๆเธอก็กระอักเลือดขึ้นมา ทำเอาเสี่ยวเว่ยถึงกับต้องไปประคองเธอไว้
“นี่ คุณต้องพักผ่อนด่วนเดี๋ยวก็เป็นอะไรไปหรอก”เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น
“เจ้าไม่ต้องมาพูด เจ้ามันไม่เคยตั้งใจทำอะไร จะไปรู้ใจข้าได้ยังไงหล่ะ”ซิ่วอิงพูดขึ้นและปล่อยลมปราณผ่านกระบี่ทำต้นไม้แถวนั้นโค่นลงด้วยความโกรธ
“เออ ผมรู้ ผมมันแค่คนเสเพลไปวันๆ ผมมันแค่ไอ้ห่วยคนหนึ่ง แต่คุณรู้อะไรไหม??รู้แค่ว่าผมไม่ได้ระบายอารมณ์ใส่ต้นไม้พวกนี้แน่ๆ”เสี่ยวเว่ยพูดอย่างเกรี้ยวกราด จนซิ่วอิงถึงกับนิ่งไปและยอมสงบลงในทันที จากนั้นเธอก็นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆต้นไม้ต้นนั้น โดยที่เสี่ยวเว่ยก็นั่งอยู่แถวนั้นไปด้วย
“ถ้าแค่นี้ข้าทำไม่ได้ แล้วข้าจะรับผิดชอบสำนักต่อได้อย่างไร”ซิ่วอิงพูดขึ้น
“แล้วยังไงต่อหล่ะ??”
“แล้วยังไงเหรอ ข้าถึงต้องเก่งกว่านี้ ต้องฝึกหนักกว่านี้หน่ะสิ”
“เหรอ แล้วถ้าคุณตายขึ้นมาจะทำยังไงหล่ะ??”เสี่ยวเว่ยถามอย่างสงสัย
“ถึงข้าตาย ข้าก็ไม่เสียดายชีวิตหรอก” ซิ่วอิงพูดขึ้น
“งั้นเหรอ แล้วใครจะรับผิดชอบสำนักต่อหล่ะ??”เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น ทำเอาซิ่วอิงถึงกับนิ่งไป
“ผมรู้เจตนาของคุณนะ แต่ถ้าฝืนตัวเองเกินไปก็ไม่ดีหรอก สุดท้ายคุณก็ตายและไม่มีใครรับผิดชอบสำนักอยู่ดีนั่นแหละ สิ่งที่คุณทำมันก็ดีนะ แต่ถ้าเกินไปมันจะมีผลเสียมากกว่า คุณน่าจะผ่อนคลายบ้าง อย่าแบกโลกไว้บนหลังขนาดนั้นสิ โลกนี้มันใหญ่เกินกว่าใครซักคนจะแบกมันนะ”เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น
“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นที่หนึ่งหรือไงหล่ะ??”ซิ่วอิงถามไป
“คนเรามันเป็นที่หนึ่งได้ตลอดเช่นนั้นเหรอ??เราต้องแก่ตัวกันทุกคน เผลอๆไม่แน่ถ้าคุณแก่กว่าผม ผมอาจชนะคุณได้ง่ายๆก็ได้”เสี่ยวเว่ยพูดขึ้น ทำเอาซิ่วอิงถึงกับนั่งนิ่งไป แต่ในขณะเดียวกัน ซิ่วอิงก็ลุกขึ้นยืนและปาดเลือดที่กบปากของเธอ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า
“ลองรับลมปราณข้าดูหน่อยสิ!!”
เสี่ยวเว่ยถึงกับสงสัย แต่ซิ่วอิงก็ใช้พลังของเธอผลักเสี่ยวเว่ยไป เสี่ยวเว่ยกระเด็นตกลงไปในหนองน้ำวิเศษแห่งหนึ่ง ทำเอาซิ่วอิงถึงกับต้องตามไปดูด้วยความเป็นห่วง เสี่ยวเว่ยตกลงไปในน้ำลึก ปืนของเขาพร้อมกับหยดเลือดที่หยดออกมาจากแผลที่ยังไม่หายสนิทของเขา ปืนกระบอกนั้นและหยดเลือดของเขาเผลอไปกระทบกับหินประหลาดสีแดงฉานที่อยู่ใต้น้ำ
“ตู้ม!!”
เมื่อปืนกับเลือดของเสี่ยวเว่ยกระทบกับหินสีแดงเพลิงนั้น ก็เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นใต้น้ำ เสียงดังสนั่นไปทั่วดินแดนเว่ยตง น้ำในหนองน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ซิ่วอิงในตอนนั้นไม่กล้ากระโดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเขา เพราะเกรงกลัวพลังของมันเธอจึงได้แต่มองเสี่ยวเว่ยอยู่ตรงนั้นด้วยความเป็นห่วง
===============================================================
เสี่ยวเว่ยจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลผมด้วย!!
ความคิดเห็น