คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 7 : โกรธแค้น
เวลา 12.29
นาฬิกา ตามเวลาของเบอร์ลิน เยอรมนี หลังจากที่ฮิตเลอร์ถึงแก่อสัญกรรมได้ประมาณ 3
ชั่วโมง ข่าวการตายของฮิตเลอร์ก็แพร่ไปทั่วเยอรมนี ข่าวนี้ทำให้บรรดาสมาชิกพรรคนาซีและผู้มีตำแหน่งในเยอรมนีมารวมตัวกันเพื่อประชุมหารือว่าจะเอาอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับอนาคตของเยอรมนี จนแล้วจนรอด
พวกเขาก็ยังหาผู้สืบตำแหน่งท่านผู้นำต่อไม่ได้
เนื่องจากฮิตเลอร์ไม่มีทายาทอย่างเป็นทางการ นายพลฟอนเบิร์กจึงต้องคอยรักษาการณ์แทนไปชั่วคราว
หลังจากที่เขาได้รับตำแหน่ง
ข่าวนี้ก็แพร่ไปทั่วโลกเนื่องจากว่าฟอนเบิร์กต้องการที่จะทำสงครามกับญี่ปุ่นอยู่เนื่องๆ
หลายสำนักข่าววิจารณ์ว่าสงครามโลกครั้งต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น
ทางญี่ปุ่นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามรักษาความสัมพันธ์กับเยอรมันอยู่เนื่องๆ
แต่เนื่องด้วยการประชวรขององค์จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะจึงต้องรับหน้าที่ไปพลางๆก่อน
ซึ่งโลกใบนี้กำลังจะแบ่งเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน
กลับมายังแคลิฟอร์เนีย
มหาวิทยาลัย เขตปกครองญี่ปุ่น
หลังจากที่มีข่าวการเสียชีวิตฮิตเลอร์ได้แพร่ไปทั่วโลก
ชาวเยอรมันในเขตแคลิฟอร์เนียก็มาร่วมกันไว้อาลัยการจากไปของฮิตเลอร์ ซึ่งจัดกันที่ชุมชนนาซีในเขตมหาวิทยาลัย
นักศึกษาชาวเยอรมันหลายคนมาร่วมวางดอกไม้เพื่อไว้อาลัย
โดยที่มีตำรวจญี่ปุ่นคอยควบคุมสถานการณ์อยู่ห่างๆ
นนท์กับฟรองเกอร์เดินผ่านไปแถวนั้นก็หยุดดูในทันที
“ดูท่าชาวเยอรมันจะเสียใจมากเลยนะ” นนท์พูดกับฟรองเกอร์
“ขอให้มันลงนรกไปซะ” ฟรองเกอร์แอบกระซิบข้างหูนนท์ แต่ในขณะเดียวกัน
วัยรุ่นเยอรมันคนหนึ่งดันมาเจอหน้านนท์ ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาหานนท์ในทันทีอย่างโมโห
“เขตนี้คนเอเชียห้ามผ่านเว้ย”
“เดี๋ยว มีกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” นนท์ถามอย่างสงสัย
“ก็บอกแล้วไงว่าพวกแกห้ามผ่าน”
“พวกเราไม่ได้ผ่านซะหน่อย แล้วอีกอย่าง
นี่เขาเป็นญี่ปุ่นนะเฟ้ย แกพูดอะไรระวังปากซะบ้าง” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“เฮ้อ อีกไม่นานเรากับแกก็จะรบกันแล้ว
พวกแกไม่รู้เหรอ” ชายคนนั้นพูดขึ้น ท่ามกลางความแปลกใจของนนท์
“นี่ นายพูดอะไรออกมาหน่ะ” นนท์ถามอย่างสงสัย
“อีกไม่นานแกกับฉันก็จะรบกันแล้ว พวกแกไม่รอดหรอก”
“ไปเถอะนนท์ ปากหมาแบบนี้คงจะมีคนตายหล่ะ” ฟรองเกอร์พูดหยามหน้ามัน
“แล้วมึงจะทำไมไอ้ปารีเซียงเอ้ย” ชายคนนั้นพยายามจะต่อยฟรองเกอร์แต่นนท์ก็จับหมัดเขาเอาไว้ได้
ชายเยอรมันเพื่อนของเขาเห็นจึงพยายามมาช่วยเขา
แต่จู่ๆตำรวจญี่ปุ่นก็มาระงับสถานการณ์เอาไว้ได้
“พวกแก อย่ามาก่อเรื่องดีกว่าน่า ไม่เป็นไรนะครับ” ตำรวจญี่ปุ่นคนนั้นเอากระบองชี้ไปที่หน้าชายเยอรมัน
จากนั้นก็หันมาพูดกับนนท์
“ผมไม่เป็นไรครับ ปล่อยเขาเถอะ” นนท์พยายามพูดเพื่อระงับสถานการณ์แต่ชายคนนั้นยังคงชี้หน้านนท์อย่างอาฆาต
“อีกไม่นาน พวกแกก็ได้ตายแล้ว จำคำฉันไว้เลย”
ชายเยอรมันคนนั้นพูดทิ้งท้ายจากนั้นก็เดินจากไป
และในตอนนั้นเอง ซานะก็กำลังวิ่งตามหานนท์และฟรองเกอร์อยู่ เธอก็มาเจอกับนนท์พอดี
เธอจึงวิ่งไปหานนท์ในทันที
“อ้าว นนท์ ฟรองเกอร์ ตามหาอยู่พอดีเลย”
“ซานะ พวกเราแค่มาเดินเล่นแถวนี้หน่ะ” นนท์ตอบกลับไป
“นี่ พวกนายไม่รู้เหรอว่าเขตนี้อันตรายแค่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”
“ว่าแต่ งานนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเนี่ย
ฮิตเลอร์ก็ตายแล้วด้วย” ซานะพูดขึ้น
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่สถานการณ์อาจไม่เลวร้ายก็ได้” นนท์พูดขึ้น
“เออจะว่าไป มีจดหมายมาถึงนนท์ด้วยหล่ะ
รู้สึกว่าพ่อนายส่งมานะ”
ซานะส่งจดหมายให้นนท์อ่าน
นนท์รีบอ่านในทันทีอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อนนท์รู้ถึงเนื้อความในจดหมาย
เขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันที
“เฮ้ย จดหมายเขียนว่าอะไรหล่ะ” ฟรองเกอร์ถามนนท์ไป
“พ่อถูกเรียกกลับโตเกียว
ไม่รู้ว่าประชุมอะไรหรือเปล่า” นนท์ตอบไป
“เออจะว่าไป พ่อฉันก็ถูกเรียกตัวกลับเหมือนกัน” ซานะพูดขึ้น
“อาจจะมีประชุมอะไรนิดหน่อยก็ได้” นนท์พูดในแง่ดี
“เออนี่ ว่าแต่นายจะไปหาคุณหมอคิมหรือเปล่าวันนี้” ซานะถามนนท์ไป
“ไม่เป็นไรหรอก
ความจริงช่วงนี้ฉันไม่มีอาการกำเริบแล้วนะ” นนท์พูดขึ้น
“สงสัยคงจะได้ยาดีนะ ว่ามั้ย” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ถ้างั้นเย็นนี้ไปกินเนื้อย่างกันมั้ย
อีกไม่กี่วันเราก็จะเรียนกันแล้ว” ซานะพูดขึ้น
“เยี่ยมเลย ฉันกำลังหิวอยู่พอดีเลย” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“เออ นายมันก็หิวตลอดนั่นแหละนะ”
นนท์พูดแซวฟรองเกอร์เล็กน้อย
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปหาอะไรกินกันในช่วงที่ประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะสับสน
กลับมายังอพาร์ทเม้นต์ลับแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นแหล่งกบดานลับๆของพวกกลุ่มต่อต้านในพื้นที่
หลังจากที่มีข่าวการลอบสังหารฮิตเลอร์
ลินน์รีดและพรรคพวกรีบกลับมาที่อพาร์ทเม้นต์เพื่อประชุมกับคนอื่นๆที่รวมตัวกันอยู่ด้านในทันที
ซึ่งดันเต้และโจอี้กำลังรออยู่ด้านในพอดี
“ลินน์รีด อลาวดี้ เป็นยังไงบ้างข้างนอกหน่ะ” ดันเต้ถามพกวเขาทั้งคู่
“ตอนนี้ยังไว้อาลัยกันอยู่เลยอ่ะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“ตอนนี้พวกเราคงจะรู้แล้วนะ ถ้าฮิตเลอร์ตาย
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” อลาวดี้พูดขึ้น
“นั่นดิ
ตอนนี้ข่าววงในก็บอกว่านายพลฟอนเบิร์กกำลังรักษาการณ์แทน
ฉันว่าพวกเขากับญี่ปุ่นอีกไม่นานต้องรบกันแน่ๆ นายว่ามั้ย” โจอี้พูดขึ้น
“ว่าแต่ คุณย่าออลเรียสเป็นยังไงบ้างหล่ะ” ลินน์รีดถามไป
“ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย แต่ไม่ต้องห่วงหรอก” ดันเต้ตอบไป
“ช่างมันก่อนเถอะ ว่าแต่เราจะมีแผนอะไรต่อมั้ยหล่ะ” โจอี้ถามคนในกลุ่ม
“เดี๋ยวรอคุณหมอคิมมาก่อนแล้วกัน ว่าแต่
ไมเคิลติดต่อมาบ้างหรือเปล่า” ลินน์รีดถามโจอี้
“ตอนนี้เขาเจอกับกลุ่มของไวเวิร์นแล้ว กำลังรอการสนับสนุนอยู่” โจอี้ตอบไป
“ว่าแต่เมื่อไหร่หมอคิมจะมานะเนี่ย” อลาวดี้ถามอย่างสงสัย แต่ในขณะเดียวกัน
หมอคิมในเสื้อแจ๊คเก็ตเทาก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาด้านใน
แล้วเคาะห้องของลินน์รีดเป็นสัญญาณ พวกของลินน์รีดเปิดประตูต้อนรับหมอคิมในทันที
“ขอโทษทีนะที่มาช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะหมอ ข้างนอกปลอดภัยดีนะคะ” ลินน์รีดพูดอย่างเป็นห่วง
“อ้อ ตำรวจญี่ปุ่นรักษาการณ์เต็มถนนเลยตอนนี้”
“สงสัยคงจะควบคุมฝูงชนเยอรมันหล่ะมั้ง” อลาวดี้พูดขึ้น
“เอาหล่ะ ที่เรามาพูดกันวันนี้ ฉันอยากจะบอกว่า
ได้เวลาที่เราต้องเล่นเชิงรุกกับพวกมันบ้างแล้วหล่ะ” ดันเต้พูดขึ้น
“แต่ว่า อาวุธและกำลังคนของเราหล่ะ” โจอี้ถามอย่างเป็นกังวล
“หายห่วง
ตอนนี้คนของเราพร้อมจะเล่นงานพวกมันทุกที่ สถานีตำรวจ ค่ายทหาร ศูนย์ราชการ
ไม่รอดแน่ๆ ฉันวางแผนนี้มาสามเดือนแล้ว รับรองว่าแผนเป๊ะแน่ๆ” ดันเต้พูดอย่างมั่นใจ
“น่าสนนะ เราจะโจมตีพวกมันจากทุกทาง
ไม่ให้พวกมันตั้งตัว แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่ดีหล่ะ” ลินน์รีดถามไป
“อีก 2 วัน เตรียมอาวุธรอได้เลย
ตอนนี้คนของฉันกำลังวางระเบิดพวกมันอยู่”
“โอเค งานนี้ห้ามข่าวรั่วเด็ดขาด
ไม่งั้นพวกเราตายหมดแน่” อลาวดี้ย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ยังไงก็แล้วแต่ ขอให้มันสำเร็จก็แล้วกัน” หมอคิมพูดทิ้งท้าย
ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องนั้นไป
ณ ห้องประชุมรัฐบาลญี่ปุ่น
กรุงโตเกียว นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น อาคาชิ ฮัมเบ
ได้เรียกคณะรัฐมนตรีเข้าประชุมเป็นการด่วนหลังจากการตายของฮิตเลอร์
ซึ่งพวกเขาได้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพทุกเหล่าเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในอนาคตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองซีกโลก
“เอาหล่ะ ท่านทั้งหลาย
ตอนนี้เราก็ได้ทราบว่าท่านฮิตเลอร์ได้เสียชีวิตลงแล้ว
ตอนนี้สถานการณ์ที่ชายแดนเป็นยังบ้าง”
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหวครับ” ผบ.กองทัพบกได้พูดขึ้น
“ดีมาก
ไม่รู้ว่าทางเยอรมันจะหาทางเล่นงานพวกเราแบบไหน เอาเป็นว่า
เราจะส่งคณะทูตไปร่วมงานศพของฮิตเลอร์ ท่านทูตยูซึเกะ ผมต้องฝากคุณแล้วหล่ะ”
“รับทราบครับท่าน” ยูซึเกะพูดแล้วคำนับ
“ตอนนี้เราจำเป็นต้องเสริมกำลังทางชายแดนของเราให้เข้มแข็งมากขึ้น
ห้ามทำการยั่วยุทุกรูปแบบ ไม่ว่าแบบไหน เราจะต้องไม่ถูกมองว่าก่อสงครามก่อน”
“แต่กองทัพของเราในตอนนี้กองทัพของเรา
ศักยภาพพอกับพวกเขา ถ้าเกิดการปะทะขึ้นมา เราอาจจะเสียหายหนักก็ได้นะครับ”
“ถ้าอย่างงั้นก็เตรียมอาวุธระเบิดอะตอมของเราให้พร้อม
เผื่อวันหนึ่งอาจจะต้องใช้มัน”
“รับทราบครับท่าน”
ณ ศูนย์บัญชาการเคมเปนไต
ในขณะนั้นยามะดะกำลังเร่งตามหาผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มต่อต้านทั้งหมด
เพื่อจับตัวมาลงโทษให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด
ในช่วงนี้พวกเขาแทบไม่เคยจะจับใครจริงๆจังๆได้เลย ซึ่งในระยะหลังนี้พวกเขาเริ่มจมจะจับใครไม่ได้แล้ว
ที่จับได้ก็มีแค่กลุ่มคนจรจัดทั่วไปซึ่งไม่เกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านเลย
ยามาดะเรียกประชุมลูกน้องของเขาเป็นการด่วนเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับงานของพวกเขา
“เอาหล่ะ ที่ฉันเรียกพวกนายมาคุยวันนี้
ก็เพราะว่าช่วงนี้งานของเราแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย พวกนายว่าฉันพูดถูกมั้ย”
“ครับ
แต่ดูแหมือนสายข่าวที่เรามีจะได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครับ” ลูกน้องของเขาคนหนึ่งพูดขึ้น
“ที่เรามีปัญหาก็เรื่องสายข่าวนี่แหละ
ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ เอาหล่ะคุณซาโต้
เรื่องที่ผมให้ตรวจสอบเกี่ยวกับอาคะสึกิคอปเปอร์เรชั่นนี่เป็นยังไงบ้างหล่ะ”
“ผมพยายามหาทางเล่นงานเธอแต่ไม่ได้ผลครับ” ซาโต้พูดขึ้น
“เราต้องรีบทำอะไรซักอย่าง
ก่อนที่ทางโตเกียวจะมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แล้วพวกคุณก็คงจะรู้นะ
ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนในห้องไม่มีใครพูดอะไร
ได้แต่มองหน้ากันไปมา
“ว่าแต่ คนของเราที่ตอนนี้ไปกบดานอยู่ที่ไหนแล้วหล่ะ”
“ผมส่งโซลเขาให้ไปอยู่เขตเป็นกลางชั่วคราวครับ”
“ดี ตอนนี้ฮิตเลอร์เพิ่งถูกลอบสังหาร
อาจจะเกิดสงครามได้ทุกเมื่อถ้ามีการยั่วยุกัน เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ เราจะจัดการเองครับ”
ณ เขตเป็นกลาง
เดนเวอร์ โคโลราโด ในกระท่อมหลังหนึ่ง ซณะที่โซลกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในบ้านในขณะที่กำลังหลบหนีการจับกุมของตำรวจ
ในขณะที่เขากำลังลับมีดอยู่ในบ้าน จู่ๆก็มีคนมายื่นซองใบหนึ่งให้กับโซลในช่องประตู
เขารีบไปหยิบมาในทันที จากนั้นเขาก็เปิดซองอ่านดู โดยที่มีรูปชายคนดำคนหนึ่ง และมีข้อความที่เขียนไว้ด้านล่างเป็นภาษาไทยให้กับโซลได้อ่าน
“ชายคนนี้ชื่อคาเรน กลาเดียน อายุ 28 ปี
ซึ่งเราสงสัยว่าหมอนี่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านในพื้นที่ ซึ่งถ้าโชคดี
เราอาจจะได้ข้อมูลของไวเวิร์นไปด้วยก็ได้ เขาอาศัยอยู่ในเขตที่อยู่ที่เราแนบไป
ขอให้โชคดีนะพวก”
โซลเก็บเอกสารแผ่นนั้นไป
จากนั้นเขาก็เผาซองใส่เอกสารทิ้ง ในขณะเดียวกัน
ก็มีคนมาเคาะที่ประตูหน้าบ้านของเขา โซลรีบวิ่งไปดูหน้าบ้าน
เขาเปิดประตูมาก็พบกับชายเอเชียคนหนึ่งซึ่งกำลังถือกล่องอะไรบางอย่างมายื่นให้กับเขา
“คุณยามะดะเอาของนี่มาให้คุณครับ”
โซลหยิบกล่องๆนั้นมา
จากนั้นเขาก็เปิดดูกล่อง เขาก็พบกับปืนพกกระบอกหนึ่ง พร้อมกระบอกเก็บเสียง
“นี่จะให้ฉันใช้ปืนอย่างงั้นเหรอ”
“ก็ใช้หรือเปล่าแล้วแต่คุณเลยครับ”
“เออนี่ เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับไปได้เนี่ย”
“รอจนกว่าคุณยามะดะติดต่อกลับมาก็แล้วกัน”
ชายคนนั้นเดินกลับออกไป
ส่วนโซลก็หยิบปืนกระบอกนั้นแล้วกลับเข้าไปในบ้านทันที
กลับมายังเขตเป็นกลาง
รัฐมิชิแกน
หลังจากที่กลุ่มของไวเวิร์นจัดการปล้นขบวนรถของทารนาซีเรียบร้อยอย่างง่ายดาย
เขาก็เก็บอาวุธที่ได้มาเก็บไว้ที่ค่ายของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน
เจนนี่ที่เพิ่งจะได้ข่าวการตายของฮิตเลอร์จากสายข่าวของเธอมา
เธอรีบมาบอกไวเวิร์นกับพรรคพวกในทันที
“ทุกคน ฉันได้ข่าวจากในเมืองมา ข่าวสำคัญมากเลยนะ”
“มีอะไรเจนนี่ ว่ามาเลยสิ” โบซอลถามอย่างสงสัย
“ฮิตเลอร์ตายแล้ว โดนลอบสังหารหน่ะ”
“จริงเหรอ ข่าวดีเลยนะเนี่ย” ไวเวิร์นพูดอย่างดีใจ
“ว่าแต่ ใครจะขึ้นมาแทนเขาหล่ะงานนี้” โบซอลถามอย่างแปลกใจ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่งานนี้โลกได้ป่วนแน่ๆ
ฉันได้ข่าวว่าองค์จักรพรรดิก็ป่วยเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าพระองค์จะอยู่ได้อีกนานหรือเปล่าหล่ะเนี่ย” เจนนี่พูดขึ้น
“อืม
ฉันว่างานนี้สงครามใหญ่คงได้เกิดอีกไม่นานแน่ๆ” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“แล้วคราวนี้โลกคงได้ถึงกาลอวสานแน่นอนงานนี้” โบซอลพูดขึ้น
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงต่อดีหล่ะ” เจนนี่ถามพวกเขาทั้งคู่
“ตอนนี้ทำได้แค่ดูสถานการณ์ไปก่อนหน่ะ” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“ก็หวังไว้แบบนั้นนะ” โบซอลพูดพลางถอนหายใจ แต่ในขณะเดียวกัน
มีชายคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกในการต่อต้านพวกนาซี
เขารีบมารายงานสถานการณ์ที่เขาเจอมาให้กับไวเวิร์นในทันที
“ไวเวิร์น แย่แล้ว ที่ชายแดนตอนนี้กำลังมีเรื่อง”
“เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอ” ไวเวิร์นถามอย่างสงสัย
“พวก SS เกณฑ์แรงงานและนักโทษมาที่เขตชายแดนหน่ะ”
“หือ พวกมันจะเอาพวกเขามาประหารงั้นเหรอ” โบซอลถามอย่างสงสัย
“เปล่านะ
ดูเหมือนว่าพวกมันจะสร้างอะไรบางอย่างหน่ะ”
“ก่อสร้าง ก่อสร้างอะไรกันนะ” เจนนี่ถามอย่างสงสัย
“ไม่มีใครรู้หรอก
เราคงต้องไปดูกับตาของตัวเองแล้วหล่ะ” โบซอลพูดขึ้น
“อืม เดี๋ยวฉันจะจัดการ
หวังว่าพวกมันจะไม่ทำแค่หลอกล่อให้พวกเราออกมาหรอกนะ” ไวเวิร์นพูดขึ้น
“เดี๋ยวฉันคุ้มกันให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก” โบซอลพูดขึ้น
“ยังไงก็ต้องรอดูก็แล้วกันนะ
ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรต่อ” เจนนี่พูดขึ้นจากนั้นเธอก็เดินออกไปที่รถของเธอ
และในขณะเดียวกันคนอื่นๆก็รีบตามเจนนี่มา
ณ
เขตชายแดนอีกด้านหนึ่ง
แองเจลล่าได้เกณฑ์แรงงานหลายเชื้อลาติที่เธอพอจะหามาได้มาเพื่อทำการสร้างกำแพงกั้นเขตแดนของเธอ
ซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็สั่งให้เริ่มดำเนินการทันที
ก่อนที่กลุ่มกบฏจะใช้เส้นทางนี้เพื่อหลบหนีข้ามเขตแดนกลับไปยังเขตเป็นกลาง
แองเจลล่าคุมการก่อสร้างนี้ด้วยตัวเองโดยที่ลูกน้องของเธอก็คอยเป็นลูกมือช่วยด้วย
“คุณแองเจลล่าครับ
ตอนนี้เรามีแรงงานมาอีกหนึ่งหมื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพมาจากเม็กซิโกครับ”
“ดีมาก ให้พวกเขารีบไปดำเนินการสร้างในทันทีเลย”
“แต่ว่า มีบางพื้นที่ที่ติดแม่น้ำและยากแก่การก่อสร้างนะครับ”
“เราจะยึดเขตแดนแค่ของเรา สร้างแบบง่ายๆ
แต่ให้มีหอกระจายสัญญาณอยู่ติดๆกัน ถ้าเรามีคนมากพอ
เราอาจจะทำงานเสร็จได้ภายในหนึ่งเดือนก็ได้นะ” แองเจลล่าบอกไป
“ครับ แต่ว่า
ไม่รู้ว่าเราจะหาแรงงานได้ที่ไหนเพิ่มเติมสินะครับ”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นนายพลสติฟท์จะจัดการเอง”
“ว่าแต่ คุณแองเจลล่าพอทราบหรือเปล่าครับ
เรื่องการสังหารท่านผู้นำหน่ะ”
“พอรู้หน่ะ ท่านนายพลสติฟท์เพิ่งจะบอกฉัน”
“อ้อครับ ไม่รู้ว่าพวกญี่ปุ่นจะเล่นงานพวกเราหรือเปล่า”
“พวกมันไม่ยอมหรอก ปะทะกันตรงๆแบบนั้นหน่ะ”
“ผมก็หวังไว้แบบนั้นนะครับ
ไม่งั้นสงครามใหญ่เกิดแน่ๆ”
“ช่างมันก่อนเถอะ
ตอนนี้เราทำงานของเราให้เสร็จดีกว่า”
กลับมายังศูนย์บัญชาการหน่วย
SS หลังจากที่มีข่าวการตายของฮิตเลอร์ นายพลสติฟท์เรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามารวมตัวกันเพื่อรับทราบคำสั่งใหม่จากทางเบอร์ลิน
เมื่อบรรดาลูกน้องของเขามารวมตัวกัน สติฟท์ก็อ่านคำสั่งใหม่จากทางเบอร์ลินในทันที
“ทั้งหมด แถวตรง”
“หลังจากที่ท่านผู้นำของเรา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ได้ถึงแก่อสัญกรรม ทางเบอร์ลิน ได้มีคำสั่งให้เรา รักษาความสงบในพื้นที่ของเรา
และในวันพรุ่งนี้ จะมีการจัดงานรำลึกและไว้อาลัยท่านผู้นำ เราได้รับคำสั่ง
ให้ดูแลความปลอดภัยในงานนี้ เพราะฉะนั้น
ผมจะไม่ยอมให้ผู้ก่อการร้ายหน้าไหนทำให้งานนี้เสียหายแน่นอน พวกคุณคือลูกหลานของประเทศชาติ
พวกคุณต้องอุทิศมันแด่ผู้นำของเรา”
สติฟท์พูดปลุกใจบรรดาลูกน้องของเขา
ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ลูกน้องของเขาเตรียมรักษาความสงบในงานไว้อาลัยท่านผู้นำทั่วประเทศ
ซึ่งได้มีการออกกฎอัยการศึกไปทั่วเขตปกครองของเยอรมันในอเมริกา
และห้ามมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ทั่วประเทศ
นายพลสติฟท์สั่งการลุกน้องของเขาให้ตรวจตราอย่างเต็มที่เพื่อดูว่าจะมีกลุ่มต่อต้านคนไหนจะออกมาก่อการร้ายอีก
เขาจะทำการจับกุมแบบไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว
ณ
ชายแดนเบลารุสเซีย-รัสเซีย เรือของเรซนอร์ฟที่หนีการไล่ล่าจากพวก SS ข้ามพรมแดนรสเซียได้โดยสวัสดิภาพ
เรือของพวกเขามาจอดเทียบท่าเรือลับแห่งหนึ่ง
ซึ่งในตอนนั้นเองก็มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งมารอต้อนรับเขาอยู่ที่ท่าเรืออยู่แล้ว
เมื่อเรซนอร์ฟและพรรคพวกลงจากเรือ พวกเขาก็เดินไปต้อนรับทันที
“ว่าไงพวก ขอต้อนรับกลับบ้านนะ”
“แน่นอน งานนี้ต้องยกความชอบให้หัวหน้าเขาเลย” เอลซาร์วินด์พูดขึ้น
ในขณะที่เรซนอร์ฟสีหน้านิ่งตั้งแต่ขึ้นเรือมาแล้ว
“เป็นอะไรไปครับหัวหน้า” ดาโกวิชถามอย่างสงสัย
“มันดูง่ายเกินไป ไม่สมเหตุสมผลเลย” เรซนอร์ฟพูดอย่างใจเย็น
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นหล่ะครับหัวหน้า” เอลซาร์วินด์ถามอย่างสงสัย
“ปกติมันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น
หรือว่าที่เรายิงมันตัวปลอมนะ”
“ไม่น่าใช่นะครับ ข่าวก็เพิ่งจะออกเมื่อกี้นี่เอง” เอลซาร์วินด์แย้งไป
“นั่นแหละที่น่าห่วง
มันอาจจะปล่อยข่าวลวงให้เราสับสนก็ได้” เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“อืม มันก็น่าสงสัยอยู่นะครับ”
“เห็นทีเราคงต้องจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดแล้วหล่ะ”
“ผมว่า เราน่าจะห่วงสงครามในอนาคตมากกว่านะครับ” ดาโกวิชพูดขึ้น
“อืม นั่นสิ
อีกไม่นานเยอรมันกับญี่ปุ่นก็คงจะรบกัน แถบชายแดนคงจะละเป็นแถบๆแน่” เรซนอร์ฟพูดอย่างเป็นกังวล
“ถ้าอย่างงั้น
เรากลับไปเตรียมรับมือเหตุการณ์ต่อไปดีกว่านะครับ” เอลซาร์วินด์พูดทิ้งท้ายเอาไว้
ก่อนที่พวกเขาจะสลายตัวไปคนละทางเพื่อหลบหนีการจับกุม
กลับมายังโรงแรมที่เป็นแหล่งกบดานของมิคาอิล
ในขณะเดียวกันเขากำลังเก็บของกลับขึ้นเรือของเขา เพื่อไปทำงานใหญ่งานหนึ่ง
ในระหว่างที่เขากำลังจะออกจากห้อง จู่ๆลูกน้องของเขาคนหนึ่งก็รีบวิ่งมารายงานเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านครับ
ตอนนี้คนของเราไปส่งเรซนอร์ฟและพรรคพวกข้ามชายแดนเบลารุสแล้วครับ”
“ดีมาก มีใครโดนตามล่าหรือเปล่า” มิคาอิลถามอย่างสงสัย
“ไม่มีครับ แต่ว่าเราต้องรีบไปจากที่นี่นะครับ
พวกเกสตาโปกำลังสงสัยโรงแรมนี้อยู่ พวกเขากำลังมาค้นที่นี่ครับ” ลูกน้องของเขาพูดอย่างสั่นกลัว
“โอเค อย่างงั้นเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า”
มิคาอิลและพรรคพวกรีบขนของขึ้นรถของเขา
จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปในทันที
เพื่อหนีจากเกสตาโปที่กำลังจะมาตรวจค้นที่โรงแรม
“โอเค งานนี้เราจะต้องไปที่ไหนต่อหล่ะ”
“จีนครับผม น่าจะใช้เวลา 20 กว่าวันกว่าจะถึงครับ”
“ช่างมันเถอะ
แต่เราจะหลบการตรวจจับของเรือพวกมันนี่สิน่าห่วง”
“เรื่องนั้นเราพอมีสายอยู่ในกองทัพเยอรมันอยู่ครับ”
“ขอให้สายข่าวของเราไว้ใจได้ด้วยเถอะ”
รถของมิคาอิลรีบขับไปยังท่าเรือเดิมที่พวกเขามา
เพื่อที่พวกเขาจะไปทำงานสำคัญที่พวกเขาได้รับมอบหมาย
กลับมายังโอเอซิสซึ่งเป็นแหล่งกบดานของออร์ลินด้า
ในระหว่างที่เธอกำลังวางแผนการก่อการขั้นต่อไปของเธอในห้อง
จู่ๆบาโธรี่ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องของออร์ลินด้าอย่างเร่งรีบ
ทำเอาออร์ลินด้าตกใจมาก
“เอ้า ใจเย็นๆสิ มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ออร์ลินด้าถามอย่างสงสัย
“แย่แล้วค่ะ คนของเราที่ก่อการในเบลารุส
ตอนนี้โดนพวกนาซีจับไปได้คนหนึ่งค่ะ”
“หะ จริงเหรอ เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้พวกเกสตาโปคงนำตัวไปสอบสวนอยู่ค่ะ”.
“แล้วแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อหล่ะ ไม่ดีแน่แบบนี้”
“ถ้าเขาบอกความลับของพวกเรา พวกเราตายหมดแน่” บาโธรี่พูดขึ้น
“ช่างมันเถอะ ถึงยังไงพวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า ถ้าพวก SS เอาจริง เราอาจจะแย่ก็ได้นะคะ” บาโธรี่พูดอย่างเป็นกังวล
“อืม ถ้าอย่างงั้นเราคงต้องย้ายที่อยู่กันแล้วหล่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นฉันจะไปบอกพวกเราค่ะ”
“โอเค ไปจัดการตามนั้นก็แล้วกัน” ออร์ลินด้าพูดขึ้น
ก่อนที่เธอจะเข้าไปในห้องเพื่อเตรียมเอกสารเก่าๆของเธอเพื่อทำอะไรบางอย่าง
กลับมายังบริษัทอาคะสึกิ
คอปเปอร์เรชั่น อาคะสึกิกำลังนั่งรอโทรศัพท์สายหนึ่งที่กำลังติดต่อมา
เธอนั่งรออยู่ในห้องอยู่นาน และในไม่ช้า
โทรศัพท์สายหนึ่งก็ติดต่อเข้ามาในโทรศัพท์ของเธอ
“สวัสดี นี่ฉันอาคะสึกิ”
“สวัสดีค่ะ นี่ฉันไดอาน่า
ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกคุณหน่ะ”
“ฉันฟังอยู่ไดอาน่า”
“ตอนนี้เคมเปนไตตั้งให้คุณเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายค่ะ”
“งั้นเหรอ รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยนะ” อาคะสึกิพูดติดตลก
“ช่วงนี้คุณคงต้องระวังตัวหน่อยนะคะ”
“ฉันเข้าใจ ฉันระวังตัวอยู่แล้วหล่ะ”
“ค่ะ ถ้าเป็นไปได้
ช่วงนี้พยายามอย่าติดต่อกับใครในกลุ่มนะคะ ให้ลูกน้องของคุณติดต่อแทน”
“ฉันรู้แล้วหล่ะ ขอบใจมากนะ”
ไดอาน่าวางสายไป
ส่วนอาคะสึกิก็หยิบกระดาษและปากกามาวางไว้บนโต๊ะ เพื่อเขียนข้อความอะไรบางอย่าง
ณ
ทะเลแห่งหนึ่ง ห่างจากชายฝั่งเม็กซิโก 400 ไมล์ทะเล กองเรือของอาคะสึกิก็กำลังเข้าเทียบท่าเพื่อที่จะไปเสริมกำลังกับทัพเรือที่คอยรักษาความสงบในเม็กซิโก
ในตอนนั้นเองเธอก็ใช้กล้องส่องทางไกลมองไปด้านหน้า จากนั้นเธอก็สั่งลูกน้องของเธอให้เตรียมเทียบท่าในทันที
“คุณอาคะสึกิครับ อีก 1 ชั่วโมงเรากำลังจะถึงแล้วครับ”
“ดีมาก ติดต่อพวกของเราที่อยู่ที่นั่นเลย”
“ได้ครับ อ่า คุณนาโอมิครับ เรามีข่าวจะแจ้งครับ”
“มีเรื่องอะไรหล่ะ ว่ามาสิ” นาโอมิถามไป
“ฮิตเลอร์ตายแล้วครับ ไม่นานมานี่เอง”
“จริงเหรอ เรื่องเศร้ามากเลยนะเนี่ย” นาโอมิพูดอย่างใจเย็น
“แล้วตอนนี้ทางโตเกียวกำลังเรียกนายทหารระดับสูงเข้าประชุมกันอยู่ครับ”
“อืม มันคงใกล้จะเกิดขึ้นแล้วหล่ะนะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ” ลูกน้องของเธอถามอย่างแปลกใจ
“เรื่องที่ว่าเราอาจจะต้องทำสงครามกับเยอรมันหน่ะสิ”
“ผมว่าไม่เข้าท่าเลยนะครับ”
ณ
สหพันธรัฐอินเดีย ซึ่งหลังจากที่พวกเขาได้รับเอกราชจากอังกฤษ
พวกเขาก็มีประธานาธิบดีจันทราเป็นผู้นำ บ้านเมืองค่อนข้างสงบสุข
ผู้คนเดินสัญจรไปมา และบนถนนเส้นหนึ่ง
ชาวอินเดียและชาวต่างชาติกำลังมองไปยังการเต้นระบำแบบอินเดียซึ่งมีดนตรีคอยกำกับ พวกเธอเต้นระบำอย่างสวยงาม
และที่น่าสะดุดตาก็คือหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเต้นอยู่ เธอค่อนข้างจะโดดเด่นกว่าคนอื่น
ท่วงท่าของเธอทำเอาเธอสามารถสะกดได้ทุกสายตาคนดู จนการเต้นจบลง เธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอ
จากนั้นก็เดินออกไปในทันที แต่ในขณะเดียวกัน
“ซวาตีๆ รอฉันก่อนสิ” สาวสวยคนนั้นหันหน้าไปมองเพื่อนเธอในทันที
“อ้าว มีอะไรหรือเปล่าหล่ะ”
“ฉันได้ข่าวว่าเธอกำลังจะไปแคลิฟอร์เนียนี่น่า”
“ใช่ คงจะเป็นคืนนี้เลยหล่ะ ทำไมเหรอ”
“ไม่คิดจะบอกลาพวกฉันเลยงั้นเหรอ”
ซวาตียิ้มจากนั้นก็เดินไปกอดเพื่อนของเธอ
แล้วเธอก็ดันร้องไห้ออกมาด้วย
“อยู่ที่นั่นต้องระวังตัวดีๆนะ” เพื่อนของเธอบอกไป
“เธอก็รักษาตัวด้วยนะ วันหนึ่งฉันจะกลับมาเองหล่ะ”
“ของที่ฉันให้อย่าลืมเอาไปใช้ด้วย
ห้ามลืมเด็ดขาดนะ”
ซวาตียิ้มจากนั้นเธอก็เดินจากไปในทันที
กลับมายังโรงงานของบริษัท
ZEUS สวิสเซอร์แลนด์ หลังจากที่มาเรียน่าได้โทรศัพท์คุยกับพ่อของเธอเรียบร้อยแล้ว
เธอก็มานั่งคนเดียวอยู่ในห้องโดยไม่ยอมสุงสิงกับใครเลย จนกระทั่งชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเธอในห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มาเรียน่ารีบลุกขึ้นมาในทันที
“ท่านประธานคะ”
“อืม ไม่เป็นไร คุณนั่งลงเถอะ” ท่านประธานให้มาเรียน่านั่งลงเหมือนเดิม
“เรื่องพ่อของคุณเป็นยังไงบ้างหล่ะ”
พ่อปลอดภัยค่ะ
แต่คนอื่นแทบไม่รอดเลยค่ะ”
“ผมเข้าใจ ว่าแต่คุณอยากลาพักร้อนหรือเปล่า
คุณยังไม่เคยลาเลยนี่”
“จริงเหรอคะท่าน ฉันว่าจะไปเยี่ยมพ่อที่เบอร์ลินพอดีเลยค่ะ”
“นั่นสิ
ผมก็ได้รับคำสั่งให้ไปไว้อาลัยท่านผู้นำด้วยหน่ะสิ”
“แล้วงานที่นี่หล่ะคะ ใครจะดูแลต่อ”
“คุณไม่ต้องห่วง ผมให้บอร์ริลดูแลต่อแล้วหล่ะ”
“บอร์ริลเหรอคะ ก็ได้นะคะ” มาเรียน่าพูดขึ้น
“อืม วันนี้ผมต้องไปขึ้นเครื่องหล่ะ
ยังไงก็เจอกันที่เบอร์ลินนะครับ”
ท่านประธานเดินออกจากห้องไป
ปล่อยให้มาเรียน่านั่งคนเดียวต่ออยู่ในห้องพักผ่อน
ณ
กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี พิธีศพของท่านผู้นำฮิตเลอร์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
มีนายทหารระดับสูงและบรรดาคณะทูต นายทหารของประเทศอื่นๆมาร่วมงานอย่างมากมาย
ประชาชนชาวเยอรมันกำลังโศกเศร้ากับเรื่องนี้กันมากมาย
และนในระหว่างที่ประชาชนกำลังโกรธแค้นกับการตายของฮิตเลอร์ ก็มีการปลุกปั่นกันบนถนนในประเทศขึ้นอย่างหนักหน่วง
และชายคนหนึ่งดกำลังยืนอยู่บนเวที และพูดออกไมค์ที่เขาเตรียมมาด้วยให้ทุกคนได้ยินกัน
“ท่านผู้นำของเราไปเยือนเบลารุสอย่างเป็นไมตรี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นแบบนี้งั้นเหรอ
ซึ่งป่านนี้พวกมันคงจะหนีเข้าไปยังเขตรัสเซียแล้ว
เราควรจะนิ่งเฉยอย่างงั้นเหรอเราจะสู้กับพวกมันหรือเปล่า
เราจะลากคอพวกมันมาลงโทษมั้ย”
“แน่นอนๆ” เสียงตอบรับเซงแซ่จากชาวเยอรมันตะโกนดังขึ้น
“เราจะลากคอพวกมันมาลงโทษให้ได้”
เสียงปรบมือของประชาชนขาวเยอรมันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายทหารระดับสูงของเยอรมันไม่อาจจะวางเฉยต่อเรื่องนี้ได้อีกแล้ว
พวกเขาจะต้องทำอะไรซักอย่างกับเรื่องนี้
=====================================================================================
ในขณะที่นอกประเทศกำลังสับสน ในประเทศก็กำลังเกิดการปลุกปั่นกันอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
ความคิดเห็น